วันที่ 3 พฤษภาคม 2025

“สาธิต”มอบนโยบายระบบแพทย์ฉุกเฉินรับท่องเที่ยวไฮซีซั่นกระบี่

People Unity : “สาธิต”รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบนโยบายให้ระบบการแพทย์ฉุกเฉินทางทะเลจังหวัดกระบี่ พร้อมดูแลนักท่องเที่ยวช่วงไฮซีซั่น ตุลาคม – พฤษภาคม

วันที่ 26 ต.ค.2562 ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลกระบี่ จังหวัดกระบี่ ว่า กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายในการพัฒนาระบบบริการสาธารณสุขทางทะเลและพื้นที่เกาะ 23 จังหวัดชายทะเล เพื่อดูแลประชาชนและนักท่องเที่ยวที่มีประมาณ 35 ล้านคนต่อปี ทั้งการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกัน รักษา ฟื้นฟูสภาพ รวมทั้งจัดบริการพิเศษทางสุขภาพ หรือพรีเมี่ยม เซอร์วิสในพื้นที่ท่องเที่ยวทางทะเล สร้างรายได้ เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจประเทศ บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ

กองทัพ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดระบบการแพทย์ฉุกเฉินทางทะเล (Maritime ECS : Maritime Emergency Care System) พัฒนาศักยภาพหน่วยบริการให้สามารถดูแลผู้บาดเจ็บ/ป่วยฉุกเฉินทางทะเล และโรคที่พบบ่อย และสร้างอาสาสมัครสาธารณสุขทางทะเล /ทีมกู้ชีพทางทะเล เพื่อให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวทางทะเลร้อยละ 80 ได้รับการดูแลให้มีความปลอดภัยหากเจ็บป่วย/ฉุกเฉินทางทะเล เสียชีวิตจากเหตุฉุกเฉินลดลงร้อยละ 25 การเจ็บป่วยจากโรคที่พบบ่อยลดลงร้อยละ 30 สร้างรายได้จากการลงทุนบริการระดับพรีเมียมปีละ 70 ล้านบาท และความเชื่อมั่นของประเทศอยู่ในอันดับ 1 ของอาเซียนภายในปี 2564

“ขอชื่นชมจังหวัดกระบี่ที่มีความพร้อมดูแลนักท่องเที่ยวและประชาชนในช่วงไฮซีซั่น ตุลาคม – พฤษภาคม ร่วมมือกับหน่วยงานทั้งภาครัฐ และสถานพยาบาลเอกชน ดำเนินการจัดระบบการแพทย์ฉุกเฉินช่วยเหลือส่งต่อผู้ป่วยทางทะเลที่มีประสิทธิภาพ มีระบบการปรึกษาแพทย์กับโรงพยาบาลแม่ข่าย ระหว่างการนำส่งบนเรือ Ambulance จนถึงโรงพยาบาล สร้างมาตรฐานการดูแลประชาชนพื้นที่เกาะ ห่างไกล และสร้างความมั่นใจแก่นักท่องเที่ยว” ดร.สาธิตกล่าว

ทั้งนี้ จังหวัดกระบี่เป็นหนึ่งในจังหวัดพื้นที่เขตสุขภาพพิเศษด้านสาธารณสุขทางทะเล เน้นบูรณาการเครือข่ายการช่วยเหลือประชาชนและนักท่องเที่ยวในภาวะวิกฤตฉุกเฉินทางทะเล ได้จัดตั้งหน่วยบริการทางการแพทย์ฉุกเฉินในพื้นที่อุทยานแห่งชาติทางทะเล/เกาะที่สำคัญ โดยมีระบบการช่วยเหลือ ณ จุดเกิดเหตุ ส่งทีมแพทย์ พยาบาล ณ พื้นที่เกาะ มีแนวทางการส่งต่อ การอบรมอาสาสมัครกู้ชีพ กู้ภัย ระบบการแจ้งเหตุจากจุดเกิดเหตุ ศูนย์สั่งการและระบบสั่งการทางการแพทย์เชื่อมโยงกับศูนย์ระดับภาคใต้ รวมทั้งการประสานงานหน่วยงานที่มีศักยภาพในการจัดระบบบริการทางการแพทย์ทางทะเล และระบบป้องกันไม่ให้เกิดเหตุหรือระบบแจ้งเตือน ณ จุดเกิดเหตุ

สธ.เชิญชวนประชาชน บริจาคโลหิตสร้างกุศล ช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์

People Unity : กระทรวงสาธารณสุข เชิญชวนประชาชนสร้างกุศล ช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ ด้วยการบริจาคโลหิตทุก 3 เดือน เพิ่มปริมาณโลหิตสำรองคงคลังพร้อมดูแลใช้รักษาผู้ป่วยทั่วประเทศ โดยเลือด 1 ถุงช่วยได้ 3 ชีวิต

วันที่ 26 ตุลาคม 2562 นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ ที่ปรึกษาระดับกระทรวง (นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ) และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุข ร่วมมือกับศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย รณรงค์ขอประชาชนบริจาคโลหิตอย่างสม่ำเสมอทุก 3 เดือน หรือปีละ 4 ครั้ง เพื่อให้มีปริมาณโลหิตสำรองคงคลังอย่างน้อย 3,000 ยูนิต/วัน เพียงพอนำไปใช้รักษาผู้ป่วยทั่วประเทศ โดยเฉพาะกรณีผู้ป่วยฉุกเฉินและวิกฤต หรือสถานการณ์ต่างๆ อาทิ ภัยพิบัติทางธรรมชาติ เทศกาลต่างๆ ที่มีวันหยุดติดต่อกันหลายวัน ปีใหม่ สงกรานต์ ซึ่งจะมีความต้องการใช้โลหิตเพิ่มมากขึ้น โดยการบริจาคโลหิต 1 ครั้ง ใช้เวลาประมาณ 20 กว่านาที ได้เลือด 1 ถุง ประมาณ 350-450 มิลลิลิตร (ซี.ซี.) ขึ้นอยู่กับน้ำหนักของผู้บริจาค สามารถนำไปช่วยผู้ป่วยที่ต้องการเลือดได้ถึง 3 ชีวิต

นายแพทย์รุ่งเรืองกล่าวต่อว่า ผู้ที่สามารถบริจาคโลหิตได้จะต้องมีอายุระหว่าง 17 ถึง 70 ปีบริบูรณ์ (ผู้ที่มีอายุ 17 ปีต้องมีหนังสือยินยอมจากผู้ปกครอง) น้ำหนักตัว 45 กิโลกรัมขึ้นไป และมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอก่อนวันบริจาคโลหิต และไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นอันตราย เพราะเป็นการสละโลหิตส่วนเกินที่ร่างกายยังไม่จำเป็นต้องใช้ โดยในร่างกายจะมีปริมาณโลหิตประมาณ 17-18 แก้วน้ำ แต่ใช้เพียง 15-16 แก้ว เมื่อบริจาคโลหิตออกไปไขกระดูกจะสร้างเม็ดโลหิตขึ้นมาทดแทนให้มีปริมาณโลหิตในร่างกายเท่าเดิม แต่หากไม่บริจาคเมื่อเม็ดโลหิตอายุประมาณ 3 เดือนก็จะหมดอายุและสลายตัว ขับออกจากร่างกายทางปัสสาวะ อุจจาระ

นายแพทย์รุ่งเรืองกล่าวต่อไปว่า ข้อมูลของสภากาชาดไทยพบว่า ปริมาณสำรองเลือดในคลังของศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องเนื่องจากมีผู้บริจาคลดลง จากปกติต้องได้รับโลหิตบริจาคตามเป้าหมายคือ 2,000 – 2,500 ยูนิตต่อวัน แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 1,500 – 1,700 ยูนิตต่อวัน จึงเกิดการขาดแคลนสะสม จนทำให้ปริมาณโลหิตคงคลังลดน้อยลงจนถึงขณะนี้ จึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมสร้างกุศลได้ทุกวัน หรือใช้โอกาสวันเกิด วันครบรอบโอกาสสำคัญ ร่วมบริจาคโลหิตได้ที่โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไปทั่วประเทศ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ถนนอังรีดูนังต์ และหน่วยเคลื่อนที่รับบริจาคโลหิตทุกแห่ง ส่วนภูมิภาคบริจาคได้ที่ภาคบริการโลหิตแห่งชาติในแต่ละจังหวัด

กรมควบคุมโรคเผยกรุงเทพฯผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตมากที่สุดรอบสัปดาห์

People Unity : กรมควบคุมโรคเผยแพร่”พยากรณ์โรคและภัยสุขภาพรายสัปดาห์” กรุงเทพฯผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตมากที่สุด

วันที่ 26 ต.ค.2562 นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า จากการเฝ้าระวังของกรมควบคุมโรค สถานการณ์อุบัติเหตุทางถนนของประเทศไทย จากศูนย์ข้อมูลอุบัติเหตุเพื่อเสริมสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนน (ข้อมูล ณ วันที่ 24 ตุลาคม 2562) พบผู้ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนน 737,464 ราย และเสียชีวิต 13,291 ราย ส่วนจังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตมากที่สุด คือ กรุงเทพฯ รองลงมาคือชลบุรี นครราชสีมา เชียงใหม่ และสมุทรปราการ ตามลำดับ สำหรับปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ นอกจากตัวผู้ขับขี่และยานพาหนะแล้ว ยังมีปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมด้วย เช่น ฝนตก ถนนลื่น ทัศนวิสัยไม่ดี

อธิบดีกรมควบคุมโรคระบุอีกว่า การพยากรณ์โรคและภัยสุขภาพประจำสัปดาห์นี้ คาดว่าในช่วงนี้มีโอกาสจะพบอุบัติเหตุทางถนนอย่างต่อเนื่อง เพราะประเทศไทยเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว ประชาชนมักเดินทางท่องเที่ยวตามภูเขาสูง โดยเฉพาะทางภาคเหนือ ซึ่งในช่วงเช้าอาจมีหมอกลงจัด ทำให้ทัศนวิสัยในการมองเห็นลดลงได้ ประกอบกับในบางพื้นที่ยังมีฝนตก อาจทำให้ถนนลื่น เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุได้เช่นกัน กรมควบคุมโรค จึงขอแนะนำให้ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน ใช้หลักการป้องกันการบาดเจ็บ ตามหลัก 3ม. 2ข. 1ร. ได้แก่ 3ม. (เมาไม่ขับ สวมหมวกนิรภัย มอเตอร์ไซค์ปลอดภัย) 2ข. (คาดเข็มขัดนิรภัย พกใบขับขี่ติดตัวเสมอ) และ 1ร. (ขับขี่ไม่เร็ว) หากผู้ขับขี่รู้สึกเกิดความอ่อนล้า อย่าฝืนขับ ควรพักงีบหลับอย่างน้อย 15 นาที และหลีกเลี่ยงการโดยสารบนกระบะท้าย กรณีมีความจำเป็นต้องโดยสารให้มีหลังคาปกปิด และมีที่นั่งสองแถวที่มั่นคงแข็งแรง ไม่นั่งห้อยโหนหรือยืนกระบะท้าย ตรวจสอบสมรรถนะรถและสภาพความปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอ ใช้ความเร็วตามที่กฎหมายกำหนด ขับขี่รถยนต์ตามกฎจราจร และเว้นระยะห่างขณะขับตามรถคันหน้าให้มากกว่าปกติเป็น 2 เท่า โดยเฉพาะช่วงฝนตกหรือหมอกลงจัด เพื่อลดอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นได้

“พช.”ยกขบวนอาหารถิ่นรสไทยแท้เสิร์ฟคนกรุง

People Unity : “พช.”ยกขบวนอาหารถิ่นรสไทยแท้เสิร์ฟคนกรุง ในงาน “กรุงเทพธารา ไทยเท่ เสน่ห์นคร @ central World” ณ ลานสแควร์ B ศูนย์การค้าเซนทรัลเวิลด์

นายอนุชิต โอชัยกุล ผู้อำนวยการกลุ่มงานส่งเสริมการตลาด สำนักส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นและวิสาหกิจชุมชน ผู้แทนกรมการพัฒนาชุมชน(พช.) เข้าร่วมพิธีเปิดงาน “กรุงเทพธารา ไทยเท่ เสน่ห์นคร @ central World” ณ ลานสแควร์ B ศูนย์การค้าเซนทรัลเวิลด์ โดยการจัดงานครั้งนี้ เป็นการบูรณาการร่วมกันหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน เพื่อประชาสัมพันธ์อาหารถิ่นรสไทยแท้ จากสี่ภาคอาหารฟิวชั่น และอาหารขึ้นชื่อทั่วกรุง ให้คนกรุงได้เลือกซื้ออย่างสะดวกสบาย ง่าย ๆ กลางใจเมือง พร้อมถ่ายภาพกับฉากสวย ๆ เก๋เก๋ ที่ผสมผสานวัฒนธรรมจากสี่ภาค โดยมีคุณพีช พชร จิราธิวัฒน์ และคุณพีชญา วัฒนามนตรี ดารานักแสดง ร่วมโปรโมทงานฯ

ห้ามพลาดชิมความอร่อยอาหารถิ่นรสไทยแท้ต้นตำรับจากผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP จำนวน 19 ร้าน ระหว่างวันที่ 25 ตุลาคม – 3 พฤศจิกายน 2562 ณ ลานสแควร์ B ศูนย์การค้าเซนทรัลเวิลด์

กรมควบคุมโรครณรงค์วันอัมพาตโลกปี 2562 ลดเสี่ยงเป็นอัมพาต

People Unity : กรมควบคุมโรครณรงค์วันอัมพาตโลก ปี 2562 ให้ประชาชนรับรู้สัญญาณเตือนโรคหลอดเลือดสมอง ลดความเสี่ยงเป็นอัมพาต

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ร่วมรณรงค์วันอัมพาตโลก ปี 2562 ซึ่งตรงกับวันที่ 29 ตุลาคม ของทุกปี และประเด็นในการรณรงค์ปีนี้ คือ “อย่าให้ อัมพฤกษ์ อัมพาต…เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตคุณ” เพื่อเน้นให้ประชาชนรู้ถึงสัญญาณเตือนของโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการอัมพฤกษ์ อัมพาต พร้อมเชิญชวนให้ดูแลสุขภาพของตนเอง เพราะโรคหลอดเลือดสมองสามารถป้องกันได้

วันที่ 25 ต.ค.2562 นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า อัมพาตหรือ โรคหลอดเลือดสมอง เป็นภาวะที่สมองขาดเลือดหล่อเลี้ยงทำให้มีอาการชาที่ใบหน้า ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด แขน ขา ข้างใดข้างหนึ่งอ่อนแรง เคลื่อนไหวไม่ได้ ซึ่งแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ หลอดเลือดสมองตีบหรือตันและหลอดเลือดสมองแตก จากรายงานขององค์การอัมพาตโลก (WSO) พบว่า โรคหลอดเลือดสมองเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 2 ของโลก พบผู้ป่วยจำนวน 80 ล้านคน ผู้เสียชีวิตประมาณ 5.5 ล้านคน และยังพบผู้ป่วยใหม่ถึง 13.7 ล้านคนต่อปี โดย 1 ใน 4 เป็นผู้ป่วยที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป และร้อยละ 60 เสียชีวิตก่อนวัยอันควร นอกจากนี้ ยังได้ประมาณการความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดสมองในประชากรโลกปี 2562 พบว่า ทุกๆ 4 คน จะป่วยด้วยโรคหลอดเลือดสมอง 1 คน โดยร้อยละ 80 ของประชากรโลกที่มีความเสี่ยงสามารถป้องกันได้

สำหรับประเทศไทย จากรายงานข้อมูลย้อนหลัง 5 ปี ของกองยุทธศาสตร์และแผนงาน กระทรวงสาธารณสุข พบว่า จำนวนผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ตั้งแต่ปี 2556-2560 มีแนวโน้มสูงขึ้น โดยในปี 2559 พบผู้ป่วย 293,463 รายในปี 2560 พบผู้ป่วย 304,807 ราย และจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองปีละประมาณ 30,000 ราย จากสถานการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า โรคหลอดเลือดสมองเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของประเทศไทย ซึ่งสามารถเกิดได้กับประชาชนทุกกลุ่มวัย และปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญในการเกิดโรคได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ภาวะโรคหัวใจ ไขมันในเลือดสูง สูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น
กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค ได้เห็นถึงความสำคัญของปัญหาโรคหลอดเลือดสมอง จึงได้กำหนดคำขวัญการรณรงค์วันอัมพาตโลกในวันที่ 29 ตุลาคม 2562 คือ “อย่าให้ อัมพฤกษ์ อัมพาต…เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตคุณ” เพื่อให้เกิดความตระหนักในการป้องกันโรคดังกล่าว และรู้ถึงสัญญาณเตือนของโรค คือ “F.A.S.T” F (Face) เวลายิ้มแล้วพบว่ามุมปากข้างหนึ่งตก, A (Arms) ยกแขนข้างใดข้างหนึ่งไม่ขึ้น, S (Speech) มีปัญหาด้านการพูด แม้แต่ประโยคง่ายๆ, และ T (Time) เวลามีอาการเหล่านี้ ให้รีบไปโรงพยาบาลโดยด่วนภายใน 4 ชั่วโมงครึ่งรวมการรักษา เพื่อจะได้รับการรักษาให้ทันเวลาและสามารถฟื้นฟูให้กลับมาได้เป็นปกติมากที่สุด หรือโทรสายด่วน 1669 ให้บริการฟรีตลอด 24 ชั่วโมง

นายแพทย์สุวรรณชัย กล่าวต่อไปว่า อัมพาต หรือโรคหลอดเลือดสมองสามารถป้องกันได้ โดยประชาชนทุกคนต้องเรียนรู้สัญญาณเตือนของการเกิดโรค และปฏิบัติตามแนวทางเพื่อลดความเสี่ยง ดังนี้ 1.เลิกสูบบุหรี่ 2.งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 3.กลุ่มเสี่ยงที่มีโรคประจำตัว ควรดูแลรักษาสุขภาพตามที่แพทย์แนะนำ ควรรับประทานยาและไปพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอตามแผนการรักษา 4.ควบคุมน้ำหนักตัวเองให้อยู่ในเกณฑ์ 5.ออกกำลังกายวันละ 30 นาที อย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์ 6.ทำจิตใจให้ผ่อนคลาย มีการจัดการความเครียดที่เหมาะสม 7.ลดอาหารหวาน มัน เค็ม และเพิ่มผัก ผลไม้ 8.ตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอทุกปี อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422

เตือนผู้ที่มีภาวะไขมันส่วนเกินสะสมมากกว่าปกติเสี่ยงเป็นโรคหอบหืด

People Unity : กรมการแพทย์ โดยสถาบันโรคทรวงอก เตือนผู้ที่มีภาวะไขมันส่วนเกินสะสมมากกว่าปกติ หรือโรคอ้วนลงพุง ทำให้ระบบหายใจทำงานติดขัด ก่อให้เกิดโรคหอบหืดตามมา

วันที่ 25 ต.ค.2562 นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า การรับประทานอาหารเกินความต้องการของร่างกาย ทำให้เกิดภาวะที่มีไขมันสะสมมากผิดปกติหรือมากเกินกว่าที่ร่างกาย จะเผาผลาญออกไป ส่งผลให้พุงยื่นออกมาอย่างชัดเจน เรียกว่า โรคอ้วนลงพุง ซึ่งผลแทรกซ้อนของ โรคดังกล่าว อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ ตามมา คือ เสี่ยงกับภาวะไขมันอุดตันหลอดเลือดและหัวใจ อาทิ โรคหลอดเลือดแดงแข็ง โรคหลอดเลือดสมอง โรคความดันโลหิตสูง ไตวาย มะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ ภาวะหัวใจล้มเหลว อีกทั้งไขมันส่วนเกินนั้นยังสามารถเข้าไปสะสมในปอดจนเบียดทางเดินหายใจ ทำให้หลอดลมตีบลง เกิดอาการเหนื่อยง่าย หายใจลำบากซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคหอบหืดได้ ทั้งนี้ผู้ที่เข้าเกณฑ์เสี่ยงโรคอ้วนลงพุงจะมีลักษณะต่างๆ อย่างน้อย 3 ข้อ ดังนี้ คือ 1. ภาวะอ้วนลงพุง 2. ความดันโลหิตสูง 130/85 มม.ปรอทขึ้นไป 3. น้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารสูงกว่า 100 มิลลิกรัม ต่อเดซิลิตรขึ้นไป 4. ไขมันไตรกลีเซอไรด์สูงกว่า 150 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร 5. มีไขมันดี ชนิด HDL ต่ำ โดยเพศชายน้อยกว่า 40 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร และเพศหญิงน้อยกว่า 50 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หากพบว่าร่างกายมีลักษณะดังกล่าว ต้องรีบหาแนวทางการรักษาและป้องกันโรคอ้วนลงพุง เพื่อห่างไกลโรคร้ายแทรกซ้อนที่จะตามมาอย่างทันท่วงที

นายแพทย์เอนก กนกศิลป์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคทรวงอก กรมการแพทย์ กล่าวว่า โรคอ้วนลงพุง เป็นกระบวนการหนึ่งที่ทำให้เกิดการอักเสบของหลอดลม ทำให้มีอาการโรคหอบหืดตามมา อาการในผู้ป่วยโรคหอบหืดมักจะเหนื่อยหอบเวลาออกแรง ไอ เสมหะเหนียวข้น หายใจลำบาก แน่นหน้าอก และมีเสียงดังวี๊ดๆ หรือมีอาการในช่วงกลางคืน และมีค่าความเร็วของลมหายใจออกสูงสุดอยู่ระหว่าง 50 – 80 % ของค่าที่ดีที่สุด ดังนั้นเพื่อลดความเสี่ยงการเกิดโรค ผู้ป่วยต้องปฏิบัติตนด้วยการคุมอาหารและลดน้ำหนักในรายที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วน ออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน 5 วัน ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารไม่ให้มีปริมาณมากเกินไป หลีกเลี่ยงอาหารประเภททอด มัน กะทิ ดื่มน้ำเปล่าหลีกเลี่ยงน้ำหวานและน้ำอัดลม หากสามารถปฏิบัติตนตามคำแนะนำต่างๆเหล่านี้ ได้อย่างถูกต้อง สม่ำเสมอ จะทำให้หลีกหนีโรคอ้วนลงพุง ส่งผลให้มีสุขภาพแข็งแรงห่างไกลโรคร้ายที่แทรกซ้อนตามมาอีกด้วย

กรมสุขภาพจิตร่วมกับกองประกวดมิสไทยแลนด์เวิลด์ ให้กำลังใจผู้ประสบอุทกภัยอุบลฯ

People Unity : กรมสุขภาพจิตร่วมมือกับกองประกวดมิสไทยแลนด์เวิลด์ ลงพื้นที่ฟื้นฟูเติมกำลังใจผู้ประสบภัยน้ำท่วม พร้อมร่วมให้กำลังใจผู้ปฏิบัติหน้าที่ทุกภาคส่วน ณ จ.อุบลราชธานี

วันที่ 25 ต.ค.2562 นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า แม้เหตุอุทกภัยจะผ่านมาได้สักระยะแล้ว แต่สุขภาพจิตยังคงเป็นเรื่องสำคัญในระยะยาวของคนที่ได้รับความเสียหายจากภัยพิบัติ กรมสุขภาพจิตจึงได้ร่วมกับกองประกวดมิสไทยแลนด์เวิลด์ ลงพื้นที่ฟื้นฟูเติมกำลังใจผู้ประสบภัยน้ำท่วม ณ จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2562 โดยร่วมให้กำลังใจผู้ปฏิบัติหน้าที่ทุกภาคส่วน ซึ่งได้เดินทางไปยังหมู่บ้านคูสว่าง เพื่อมอบอุปกรณ์การเรียน กีฬา และปัจจัยซ่อมแซมอาคารโรงเรียนบ้านคูสว่าง มีการปลูกฝังเยาวชนให้เป็นคนคิดบวก มีพลังใจที่เข้มแข็ง รวมทั้งทำกิจกรรมฟังด้วยใจ เปลี่ยนร้ายกลายเป็นพลัง สร้างสรรค์สังคมไทยรักใคร่กลมเกลียวให้กับผู้ประสบภัย หลังจากนั้น ได้เยี่ยมผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียงที่อาศัยอยู่ในพื้นที่น้ำท่วมบ้านเรือนพังเสียหาย พร้อมมอบดอกไม้และของขวัญ เพื่อเป็นกำลังใจให้กับผู้ประสบภัยน้ำท่วมดังกล่าว

“การทำงานครั้งนี้ เป็นการร่วมมือกันระหว่างกรมสุขภาพจิตและกองประกวดมิสไทยแลนด์เวิลด์ โดยเป็นที่น่าปลื้มใจเมื่อเห็น น้องเกรซ นรินทร ชฎาภัทรวรโชติ มิสไทยแลนด์เวิลด์ 2019 ลงพื้นที่ทำงานอย่างเต็มตัวในฐานะทูตด้านสุขภาพจิต ซึ่งน้องเกรซเอง ก็มีความตั้งใจจริงในการทำงานด้านนี้ และต้องการลงพื้นที่ไปพบปะกับประชาชนอย่างใกล้ชิด การทำงานด้านสุขภาพจิตด้วยมิติใหม่เช่นนี้ จะเป็นการขับเคลื่อนงานด้านสุขภาพจิต โดยเฉพาะงานวิกฤตสุขภาพจิต ให้เข้าถึงประชาชนชาวไทย และสร้างขวัญกำลังใจให้พี่น้องชาวไทย มีแรงใจต่อสู้กับภัยพิบัติหรืออุทกภัยได้ต่อไปในอนาคต โดยยึดหลักที่ว่า สุขภาพจิตไทย ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”

ทางด้านนายแพทย์ประภาส อุครานันท์ ผู้อำนวยการรพ.พระศรีมหาโพธิ์ จ.อุบลราชธานี กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการลงพื้นที่ติดตามสภาพจิตใจของผู้ประสบภัยจ.อุบลราชธานี ในครั้งนี้ ทางรพ.พระศรีมหาโพธิ์ ทีมสุขภาพจิต MCATT (Mental Health Crisis Assessment and Treatment Team : MCATT) และกองประกวดมิสไทยแลนด์เวิลด์ ได้ลงพื้นที่ร่วมกัน โดยมีเป้าหมายเสริมสร้างกำลังใจให้คนที่ประสบภัยพิบัติสามารถดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข โดยรูปแบบกิจกรรมในครั้งนี้ ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีและการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากพี่น้องชาวอุบล เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ ทั้งจิตอาสา ครูอาจารย์ ทหาร เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และชาวบ้าน ล้วนมีกำลังใจที่ดีในการซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดขึ้นและกลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติ โดยหลังจากนี้ ทีมสุขภาพจิต MCATT จะยังคงติดตามสภาพจิตใจของคนในพื้นที่เป็นระยะ และน้องเกรซ นรินทร แบรนด์แอมบาสเดอร์กรมสุขภาพจิต จะยังเดินหน้าช่วยเหลือด้านสุขภาพจิตของคนไทยอย่างต่อเนื่อง

จบรถไฟฟ้า-แบน 3 สารพิษ! “อนุทิน”ลุยยันปลูกกัญชา 6 ต้น

People Unity : จบรถไฟฟ้า-แบน 3 สารพิษ! “อนุทิน”ลุยยันปลูกกัญชา 6 ต้น รุดตรวจองค์การเภสัชกรรมพัฒนาสายพันธุ์แปรรูปเป็นผลิตผลิตภัณฑ์ต่างๆ พร้อมรับปากกทวงหนี้ 5 พันล้านคืนให้

วันที่ 25 ต.ค.2562 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีแและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หลังจากตรวจเยี่ยมองค์การเภสัชกรรม คลอง 10 จ.ปทุมธานี ได้โพสต์ข้อความพร้อมภาพที่เกี่ยวกับกัญชาผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า “ค่าของคน อยู่ที่ผลของงาน ตรวจเยี่ยมความก้าวหน้าของการพัฒนาสายพันธุ์กัญชาเพื่อให้ได้สารสกัดน้ำมันกัญชาในระดับ MEDICAL GRADE ซึ่งมีสรรพคุณในการรักษาโรคต่างๆด้วยความปลอดภัยและมีมาตรฐานในทุกช่วงของกระบวนการผลิต หลังจากนี้ก็จะได้มีการรวบรวมสถิติข้อมูลจากการใช้รักษาโรคเพื่อนำไปสนับสนุนร่างพระราชบัญญัติกัญชาที่พรรคภูมิใจไทยได้เสนอต่อรัฐสภาไปเรียบร้อยแล้ว

ที่ถามมาว่าปลูกที่บ้านหกต้นอยู่ที่ไหน โกหกหรือเปล่า นี่คือคำตอบ ถ้าประชาชนที่เห็นคุณค่าและประโยชน์ของการใช้กัญชาในทางการแพทย์ออกมาช่วยกันผลักดัน ก็จะเห็นผลเร็วขึ้น ทุกอย่างผมต้องเน้นความปลอดภัยและทำให้มีสายพันธุ์ที่ให้สารสกัดที่ปลอดภัย ไม่ใช่มั่วเอาอะไรก็ได้”

ทั้งนี้ตามที่นายอนุทินได้ตรวจเยี่ยมองค์การเภสัชกรรม คลอง 10 จ.ปทุมธานีนั้น ได้กล่าวว่า องค์การเภสัชกรรมเป็นหน่วยงานที่มีศักยภาพ สามารถผลิตผลิตภัณฑ์ต่างๆ ออกมาได้มากมาย ซึ่งล้วนแต่มีคุณภาพ ที่ประทับใจมากคือการพัฒนาสายพันธุ์กัญชา มีแปลงปลูกระดับเมดิคัลเกรด และปลูกมาก่อนปี 62 เท่ากับองค์การเภสัชกรรม เห็นประโยชน์จากกัญชา เป็นไปตามนโยบายปัจจุบัน ขอขอบคุณที่มาลงเรือลำเดียวกัน

ทั้งนี้ พูดอยู่เสมอว่าเรื่องนี้ หากไม่พบประโยชน์ มีแต่โทษ ก็ไม่ต้องเดินหน้าต่อ แต่องค์การเภสัชกรรม ยังเดินหน้าอยู่ แสดงว่ากัญชาต้องมีดี และองค์การเภสัชกรรม นับว่ามีองค์ความรู้เรื่องกัญชาที่มีประโยชน์ ข้อมูลดังกล่าวจะสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องแก่สังคมให้เปิดใจยอมรับมากขึ้น เวลาโพสต์อะไร มักจะมีคนถามเรื่อง 6 ต้น ขอทำความเข้าใจว่า เมื่อก่อนน้ำมันกัญชา อยู่ใต้ดิน ต้องแอบทำ แอบใช้ ตอนนี้ อนุญาตให้ใช้ตามสถานพยาบาลแล้ว นี่คือความคืบหน้าที่จับต้องได้ ตนมาเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ เพราะมองเห็นประโยชน์ภาพรวมต่อคนไทย สำหรับเรื่อง 6 ต้น กำลังผลักดันผ่านช่องทางสภา ยืนยัน ทำเต็มความสามารถ ส่วนญาติพี่น้อง ไม่มีใครยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจกัญชาทั้งสิ้น

นายอนุทิน กล่าวต่อว่า องค์การเภสัชกรรมมีศักยภาพในการแข่งขัน และทำกำไรได้อย่างน่าชื่นชม กระทั่งเป็นเจ้าหนี้ถึง 5 พันล้านบาท มีลูกหนี้คือกระทรวงสาธารณสุข 3 พันล้านบาท และ สปสช. 2 พันล้านบาท ซึ่งในฐานะของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จะรับทวงหนี้ให้ โดยงบกระทรวงมีหลักแสนล้านบาท มันต้องมีวิธีจัดการ ตอนนี้ ปัญหา ยังพอมีทางออก แต่ถ้าปล่อยให้หนี้สูงถึงระดับหมื่นล้านบาท รับรองว่าแก้ยากแน่นอน แนวทางแก้ไข อาจจะให้ทยอยจ่ายให้จบใน 3 ปี

“ขอให้องค์การเภสัชกรรมรักษามาตรฐานการทำงานต่อไป เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว สมัยเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการฯ เกิดวิกฤติไข้หวัดนก แล้วหายายากมาก ทำให้ตระหนักถึงคุณค่าขององค์การเภสัชกรรมทันที ทั้งนี้ การให้คือบุญที่ยิ่งใหญ่ หากเกิดภาวะโรคระบาด แล้วไทยมีสำรองยาสำหรับนานาชาติ มันจะเป็นเรื่องดีแค่ไหน”นายอนุทิน กล่าว

14 พ.ย.! กรมควบคุมโรคฉีดวัคซีนป้องโรคหัด กลุ่มเด็กอายุ 1-12 ปี ฟรีที่ยังไม่เคยรับ

People Unity : กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เผยสถานการณ์โรคหัดในไทยดีขึ้น สามารถควบคุมได้ โดยมอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดติดตามสถานการณ์โรคหัดทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างใกล้ชิด และรัฐบาลได้สนับสนุนงบกลางเพื่อดำเนินการรณรงค์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัดในกลุ่มเด็กอายุ 1-12 ปีทั่วประเทศ ฟรี ในกลุ่มที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีน เริ่ม 14 พ.ย.นี้ แนะหากมีไข้สูง 3-4 วัน มีผื่นนูนแดงขึ้นที่ใบหน้าแล้วแพร่กระจายไปตามลำตัว แขน ขา ให้รีบไปพบแพทย์โดยเร็ว

วันที่ 25 ตุลาคม 2562 นายแพทย์อัษฎางค์ รวยอาจิณ รองอธิบดีและโฆษกกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในช่วงนี้มีรายงานข่าวว่าพบผู้ป่วยโรคหัดเพิ่มขึ้นในหลายประเทศ ซึ่งประเทศที่มีผู้ป่วยโรคหัดสูง ได้แก่ มาดากัสการ์ อินเดีย ยูเครน ฟิลิปปินส์ ไนจีเรีย คาซัคสถาน บราซิล แองโกลา และพม่า นอกจากนี้ในช่วงต้นปียังเคยมีการระบาดในบางเมืองของสหรัฐอเมริกาด้วย ส่วนประเทศไทย ตั้งแต่มีการให้วัคซีนหัด จำนวนผู้ป่วยโรคหัดลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ในปี 2558 พบผู้ป่วยจำนวนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ และในสถานที่ที่มีคนอยู่รวมกันหนาแน่น เช่น เรือนจำ โรงเรียน ค่ายทหาร ทั้งนี้ ประเทศไทยตั้งเป้าหมายลดจำนวนผู้ป่วยโรคหัดให้เหลือไม่เกิน 1 รายต่อประชากร 1 ล้านคน ภายในปี 2563 จึงได้มีการจัดทำโครงการกำจัดหัด เพื่อให้มีการค้นหาและรายงานผู้ป่วยไข้ออกผื่นหรือสงสัยหัดให้ครบถ้วน ตั้งแต่ปี 2555 ซึ่งจากโครงการดังกล่าว ในปี 2562 พบผู้ป่วยไข้ออกผื่นหรือสงสัยหัด 7,470 ราย เสียชีวิต 21 ราย (1 มกราคม–18 ตุลาคม 2562) จังหวัดที่พบมาก ได้แก่ นราธิวาส ปัตตานี ตาก ภูเก็ต และชลบุรี

นอกจากนี้ กลุ่มอายุที่พบจะแตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ส่วนใหญ่อายุน้อยกว่า 1 ปี ซึ่งสัมพันธ์กับความครอบคลุมของวัคซีนต่ำในพื้นที่ และผู้ป่วยในพื้นที่อื่นๆ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวัยแรงงาน อายุ 20–39 ปี โดยผู้ป่วยมักพบในสถานที่ที่มีคนอยู่รวมกันหนาแน่น ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และหน่วยงานสาธารณสุข ได้ร่วมกันดำเนินการเพื่อป้องกันควบคุมโรคหัดอย่างเข้มข้นและต่อเนื่องในทุกพื้นที่ จนทำให้สถานการณ์โรคหัดในประเทศไทยดีขึ้นอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ และได้มอบหมายให้กองระบาดวิทยา และกองโรคป้องกันด้วยวัคซีน ติดตามสถานการณ์โรคหัดทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างใกล้ชิด

นายแพทย์อัษฎางค์ กล่าวต่อไปว่า ประเทศไทยมีการให้วัคซีนป้องกันโรคหัดตามแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคตั้งแต่ปี 2527 แก่เด็กอายุ 9 เดือน ต่อมาในปี 2539 ได้เพิ่มการฉีดวัคซีนโรคหัดเข็มที่สอง ดังนั้น ในผู้ใหญ่ที่เกิดก่อนปีที่เริ่มให้วัคซีน อาจไม่มีภูมิคุ้มกันถ้าไม่เคยเป็น ประกอบกับมีแรงงานต่างชาติจากประเทศเพื่อนบ้านที่เข้ามาทำงาน ทั้งนี้ รัฐบาลได้สนับสนุนงบกลางเพื่อดำเนินการรณรงค์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัดในกลุ่มเด็กอายุ 1-12 ปีทั่วประเทศ พ.ศ.2562-2563 ตามแผนเร่งรัดการกำจัดโรคหัดของประเทศไทย โดยไม่เสียค่าใช่จ่ายใดๆ เพื่อรณรงค์ให้วัคซีนเก็บตกในกลุ่มเด็กไทยและเด็กต่างชาติช่วงอายุดังกล่าว ที่ได้รับวัคซีนไม่ครบตามเกณฑ์ทุกราย โดยเป็นการให้วัคซีนป้องกันโรคหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน (MMR) แก่เด็กอายุ 1-7 ปี และให้วัคซีนป้องกันโรคหัด-หัดเยอรมัน (MR) แก่เด็กอายุ 7-12 ปี จะเริ่มดำเนินการทั่วประเทศ ในวันที่ 14 พฤศจิกายนนี้

อาการที่พบบ่อยของโรคหัด คือไข้ออกผื่น โดยมักมีไข้สูง 3-4 วัน แล้วเริ่มมีผื่นนูนแดงขึ้นจากหลังหูแล้วลามไปยังใบหน้า กระจายไปตามลำตัว แขน ขา จากนั้นไข้จะลดลงและผื่นค่อยๆ จางหายไป ส่วนภาวะแทรกซ้อนที่พบได้คือ คออักเสบ หลอดลมอักเสบจนถึงปอดบวม หูชั้นกลางอักเสบ เยื่อบุตาอักเสบ ท้องเสีย และสมองอักเสบซึ่งเป็นภาวะที่รุนแรงที่สุด หากป่วยด้วยโรคหัดหรือสงสัยว่าเป็นโรคหัดควรรีบพบแพทย์โดยเร็ว ทั้งนี้ โรคหัดสามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน ซึ่งตามแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของกระทรวงสาธารณสุข จะฉีดวัคซีนรวมป้องกันโรคหัด คางทูม หัดเยอรมัน (MMR) จำนวน 2 เข็ม เข็มแรกเมื่อเด็ก อายุ 9 เดือน และเข็มที่สองเมื่ออายุ 2 ปีครึ่ง หากพบว่าบุตรหลานยังรับวัคซีนไม่ครบตามเกณฑ์ ผู้ปกครองสามารถพาไปรับวัคซีนได้ที่สถานบริการสาธารณสุขของรัฐทุกแห่ง สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422

สธ.ปรับโฉมสมุนไพรไทยคุณภาพสู่ตลาดโลก

People Unity : กระทรวงสาธารณสุขส่งเสริมสมุนไพรไทยคุณภาพ สู่ตลาดโลกภายใต้แนวคิด “สมุนไพรไทย ตำรับไทย มรดกโลก” เพิ่มช่องทางการตลาด เพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจ พร้อมปรับโฉมรูปแบบผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์สปา บาล์ม และเครื่องดื่มชาสมุนไพร

วันที่ 25 ตุลาคม 2562 ที่ผ่านมา ที่คิงเพาเวอร์ ศรีวารี คอมเพล็กซ์ จ.สมุทรปราการ นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ได้รับมอบหมายจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เยี่ยมชมนิทรรศการพร้อมรับฟังผลการจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากผู้ประกอบการในงานนิทรรศการแสดงสินค้า Thai Herbal Pavilion ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 14-27 ตุลาคม 2562 โดยมีอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ร่วมเยี่ยมชม

นายแพทย์สุขุมกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ร่วมกับภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชน จัดทำโครงการนำสมุนไพรคุณภาพสู่ตลาดโลกภายใต้แนวคิด สมุนไพรไทย ตำรับไทย มรดกโลก (Thailand KISS The World) เพิ่มช่องทางการตลาด ส่งเสริมการขายและการประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์สมุนไพรคุณภาพให้เป็นที่รู้จัก ผ่านตลาดทั้งในและต่างประเทศ จัดอบรมและพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการตามตลาดที่ได้รับการส่งเสริม อาทิ ตลาดนักท่องเที่ยว ตลาดร้านยา มีการเจรจาจับคู่ธุรกิจกับบริษัทชั้นนำ ได้แก่ KING POWER และ CP EXTRA ซึ่งมีจำนวน 11 บริษัทที่ผ่านการคัดเลือกจากผู้ประกอบการทั้งสิ้น 35 บริษัท จัดนิทรรศการแสดงสินค้าทั้งในและต่างประเทศ เพื่อประชาสัมพันธ์และสร้างการยอมรับในตลาดต่าง ๆ อาทิ เช่น การออกนิทรรศการ LANNA HERB 2019 ณ จังหวัดเชียงใหม่ ร่วมกับกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์, การออกนิทรรศการงาน Thai Festival in Hanoi 2019 (Local Best, Global Taste) ร่วมกับสถานเอกอัคราชทูตไทย ณ กรุงฮานอย และเพิ่มช่องทางการขายทั้ง Online และOffline อาทิ ร้านค้าปลอดภาษีอากรของ KING POWER, ร้านยา SEVEN EXTRA

นายแพทย์สุขุมกล่าวต่อว่า การจัดนิทรรศการแสดงสินค้า Thai Herbal Pavilion ในวันนี้ได้รับความร่วมมือจากคิงเพาเวอร์ ศรีวารี คอมเพล็กซ์ จังหวัดสมุทรปราการ เปิดพื้นที่นิทรรศการแสดงสินค้าให้กับเครือข่ายผลิตภัณฑ์สมุนไพรคุณภาพที่ได้รับรางวัล Prime Minister Herbal Awards (PMHA), Premium Products, Quality Thai Herbal Products (QTHP) ร่วมออกบูธกว่า 29 บริษัทจำหน่ายและแสดงสินค้า ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องสำอาง เครื่องดื่มชาสมุนไพร กาแฟ ผลิตภัณฑ์สปา ยาสมุนไพร เป็นการเปิดตลาดในระดับสากล เน้นเจาะตลาดกลุ่มลูกค้านักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวประเทศจีนที่นิยมผลิตภัณฑ์สมุนไพรประเภทครีมไพลและบาล์มสูตรร้อน อาหารเสริมกระชายดำ และซื้อเป็นของฝากในโอกาสได้มาท่องเที่ยวประเทศไทย โดยผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยที่มีโอกาสเติบโตในตลาดประเทศจีน ได้แก่ น้ำมันสมุนไพรแก้อาการปวดเมื่อย ผลิตภัณฑ์ธุรกิจสปา ยาดม ยาอมสมุนไพร ยาหม่อง เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้การผลิตสมุนไพรไทยตรงกับความต้องการของตลาด คาดว่าในปี 2562-2565 จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 1 เท่าตัวหรือ 7.8 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ สำหรับ 11 บริษัทที่ผ่านการคัดเลือก เป็นสินค้าประเภทเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์สปา บาล์ม และเครื่องดื่มชาสมุนไพร ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบผลิตภัณฑ์ การบรรจุหีบห่อให้สวยงาม ดึงดูด น่าสนใจ รวมทั้งพัฒนาคุณภาพให้ได้มาตรฐานภายใต้เงื่อนไขของบริษัท KING POWER ต่อไป

Verified by ExactMetrics