วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2025

เตือน!! สวมหน้ากาก N95 ขณะออกกำลังกาย อาจทำให้หายใจไม่ทัน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 3 กุมภาพันธ์ 2568 รัฐบาลแนะเลี่ยงออกกำลังกายกลางแจ้ง ยึดหลัก ‘1 เช็ก 3 เปลี่ยน 1 ประเมิน‘ เตือนการสวมหน้ากาก N95 ขณะออกกำลังกาย อาจทำให้หายใจไม่ทัน

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่ากระทรวงสาธารณสุข ได้แนะนำวิธีการออกกำลังกายกลางแจ้งอย่างปลอดภัยในช่วงที่ค่าฝุ่น PM2.5 กลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง ในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก โดยแนะนำให้ยึดหลัก “1 เช็ก 3 เปลี่ยน 1 ประเมิน” ดังนี้

“1 เช็ก” เช็กค่าฝุ่นก่อนออกกำลังกาย หากค่าฝุ่นสูงกว่า 37.5 มคก./ลบ.ม (สีส้ม) ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพควรหลีกเลี่ยง ส่วนประชาชนทั่วไปให้เลี่ยงการออกกำลังกายกลางแจ้งช่วงเช้า บริเวณริมถนน หรือบริเวณที่มีการก่อสร้าง หากสูงกว่า 75 มคก./ลบ.ม (สีแดง) ให้ออกกำลังกายในอาคารแทน

“3 เปลี่ยน” คือ เปลี่ยนเวลามาออกกำลังกายในช่วงบ่ายหรือเย็น เปลี่ยนสถานที่จากกลางแจ้งเป็นในร่ม และเปลี่ยนรูปแบบจากการออกกำลังกายหนัก เช่น วิ่ง ปั่นจักรยาน เป็นต้น มาเป็นการออกกำลังกายเบา ๆ

“1 ประเมินตนเอง” ก่อนและระหว่างออกกำลังกายทุกครั้ง หากมีอาการผิดปกติ เช่น ไอ หายใจลำบาก แน่นหน้าอก ให้งดหรือหยุดออกกำลังกายทันที

ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนประเมินค่าดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) ดังนี้ 1) ค่า AQI อยู่ที่ 0-60 ถือว่าปลอดภัยในการออกกำลังกายกลางแจ้ง (Outdoor) 2) ค่า AQI 60-100 สามารถออกกำลังกายได้ แต่ลดความถี่ออกกำลังกายกลางแจ้งลง 3) ค่า AQI 100-150 แนะนำให้เข้า ยิม หรือว่ายน้ำในสระว่ายน้ำระบบปิด และ 4) ค่า AQI เกินกว่า 150 แม้ออกกำลังกายในร่ม ก็จำเป็นต้องมีเครื่องกรองอากาศ สำหรับการใส่หน้ากากอนามัยชนิด N95 ขณะออกกำลังกายซึ่งมีความหนา ที่ส่วนใหญ่จะใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมหรือการใส่ขณะพ่นสีที่ต้องมีทั้งหน้ากากครอบตาด้วย อาจทำให้หายใจไม่ทัน ซึ่งการใส่หน้ากากอนามัย ที่มีความหนาขณะออกกำลังกาย จะทำให้ระบบหัวใจและหลอดเลือดทำงานหนักมากขึ้นและอาจเป็นอันตรายในคนที่มีโรคประจำตัว

“การออกกำลังกายกลางแจ้งในช่วงมีฝุ่น PM 2.5 จำเป็นต้องคำนึงถึงสุขภาพและคุณภาพอากาศเป็นหลัก ขอให้ใช้ดุลพินิจ โดยคำนึงถึงการออกกำลังกายที่ปลอดภัยและเหมาะสม และติดตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขอย่างสม่ำเสมอ” นางสาวศศิกานต์ ระบุ

Advertisement

รัฐบาลย้ำเตือนก่อน พรก.ไซเบอร์ประกาศใช้ 22 เว็บไซต์อันตรายห้ามคลิกเข้าชม อย่าโหลดข้อความจากคนไม่รู้จัก อย่าให้ข้อมูลส่วนตัว

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 29 มกราคม 2568 รัฐบาล ย้ำก่อน พรก.ไซเบอร์ประกาศใช้ สั่งเร่งจับกุม พร้อมเตือน 22 เว็บไซต์อันตรายห้ามคลิกเข้าชม อย่าโหลดข้อความจากบุคคลที่ไม่รู้จัก อย่าให้ข้อมูลส่วนตัว โจรออนไลน์ชอบหลอกว่ามีผลตอบแทนสูง

วันนี้ (29 มกราคม 2568) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  เปิดเผยว่า ในระหว่างที่รอพระราชกำหนดทางไซเบอร์ประกาศใช้คาดว่าภายในเดือนหน้านี้ซึ่งขณะนี้รัฐบาลได้เร่งดำเนินการปราบปรามและจับกุมผู้กระทำความผิดอย่างต่อเนื่องโดยได้ออกเตือนประชาชนระมัดระวังภัยคุกคามทางไซเบอร์ในโลกออนไลน์ เนื่องด้วยปัจจุบันจากความรวดเร็วของเทคโนโลยีสมัยใหม่ และช่องทางการสื่อสารที่มากขึ้น ทำให้มิจฉาชีพต่างสรรหาวิธีการในการหลอกลวงเหยื่อ โดยมักจะใช้วิธีการที่มาในรูปแบบของการสร้างแรงจูงใจให้ผ่านรูปแบบต่าง ๆ เช่น หลอกให้ลงทุน หลอกหารายได้พิเศษ และหลอกให้หลงเชื่อใส่ข้อมูลส่วนตัว

นายคารม กล่าวว่า ด้วยวิธีการหลอกลวงดังกล่าว กลุ่มมิจฉาชีพจึงมักจะใช้วิธีการแอบแฝงในโลกออนไลน์โดยมาในรูปแบบของการสร้างเว็บไซต์ปลอม ซึ่งจากการตรวจสอบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่ามีเว็บไซต์ปลอม 22 เว็บไซต์อันตราย ดังนี้  1. thaigrowthdigitalmarketing .cc 2. www.settradethailand .com 3. m.athur .net/trade 4. www.ezbuy66 .com/ 5. ftc. trade-thai .com 6. okx. hsgi .xyz 7. www. btscswl .com/djvjpw 8. wap.happinessco .cc 9. bitmart.erwz .live 10. tokts .life/ww 11. www. thaibet248 .com/ 12. tiktok.thaipvz .com/ 13. www. shopping-now-maket .com/ 14. pi-moneyloan .com        15. pea.bjgth .cc 16. www. cryptoxj .com/ 17. www. bonanza-store .net 18. hshh-banktt .app         19. dedifeqa-spt .top 20. royaltrad .vip 21. h5.jgol .live และ 22. affilliiate .com/index/login โดยเว็บไซต์อันตรายดังกล่าว ทางด้านตำรวจไซเบอร์ได้ดำเนินการทางคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่อย่างไรก็ตามเว็บไซต์อันตราย 22 เว็บไซต์ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเว็บไซต์อันตรายเท่านั้น ยังมีเว็บไซต์อันตรายอื่น ๆ ที่เปิดใช้งานอยู่ ซึ่ง Server ไม่ได้อยู่ในประเทศไทย

“ย้ำเตือนประชาชนระมัดระวังเว็บไซต์ที่ส่งต่อผ่านทางสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะจากคนที่ไม่รู้จัก ไม่มีแหล่งที่มา เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อการหลอกลวงโดยมิจฉาชีพ หากไม่มั่นใจ อย่าคลิกเข้าชมเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ อย่าโหลดข้อความจากบุคคลที่ไม่รู้จัก อย่าให้ข้อมูลส่วนตัว ทั้งนี้ กลโกงของมิจฉาชีพมักจะมาในรูปแบบของการโฆษณาชวนเชื่อที่ได้รับผลตอบแทนสูง” นายคารม กล่าว

Advertisement

นายกฯ บอกปัญหาฝุ่น PM 2.5 เป็นวาระอาเซียน กต.เดินหน้าคุยเพื่อนบ้าน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 26 มกราคม 2568 นายกฯ บอกปัญหาฝุ่น PM 2.5 เป็นวาระอาเซียน ต้องขอความร่วมมือประชาชนทุกคน กต. เดินหน้าคุยเพื่อนบ้าน รัฐบาลเตรียมแผนรับมือระยะยาวไว้แล้ว เฉพาะหน้าให้นั่งรถไฟฟ้า-รถเมล์ฟรี ลดควันดำ รับ Work From Home เป็นแนวทางแก้ปัญหา ขอหารือก่อน

วานนี้ (25 ม.ค.) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางถึงประเทศไทย หลังเสร็จสิ้นการเข้าร่วมประชุม World Economic Forum ที่เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ว่าเรื่องฝุ่นไม่ใช่เฉพาะเป็นวาระแห่งชาติ แต่เป็นวาระของอาเซียน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ต้องทำตามกระบวนการ ขั้นตอนของต่างประเทศ ต้องไปคุยขอความร่วมมือจากอาเซียน ซึ่งมีการพูดคุยเรียบร้อยแล้วกับประเทศที่มีการเผา ขณะที่ในประเทศเราก็มีการเผา ทุกประเทศต้องมีมาตรการที่จะช่วยกัน ต้องขอความร่วมมือ เพราะสภาพอากาศที่มีลมพัดไปมา ต้องลดปริมาณการเผาในแต่ละพื้นที่ เช่น ในไทยทุกกระทรวงต้องมีมาตรการ มีการเตรียมการตั้งแต่ช่วงเดือนพฤศจิกายน ว่าถ้าหากมีการเผาจะต้องมีการปรับหรือบังคับใช้กฎหมายอย่างไร

ขณะที่ด้านอุตสาหกรรมการเผาก็ลดน้อยลงกว่าปีที่แล้วเป็นอย่างมาก ส่วนฝุ่นเป็นเรื่องของการสะสมมันถึงเวลาแล้วไม่ใช่คนใดคนหนึ่งหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง ประชาชนทุกคนต้องช่วยกันคนละไม้คนละมือ เพื่อให้เกิดพลังที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งในขณะนี้สิ่งที่รัฐบาลทำคือการแก้ปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นให้ทันการณ์ ให้ดีที่สุด ระยะกลาง ระยะยาวก็ทำแล้ว ระยะสั้นก็ทำอยู่

ส่วนการให้ Work From Home จะต้องมีประกาศจากหน่วยงานราชการหรือไม่ จากเดิมที่ให้มีการพิจารณาเอง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นไปได้ สามารถคุยกันได้ว่าที่ไหนที่ Work From Home แล้วไม่กระทบกับการทำงานมากเกินไป จะช่วยลดเรื่องการเดินทางได้เยอะ

เมื่อถามย้ำว่าหน่วยงานราชการที่ไม่ต้องบริการประชาชน และสามารถทำงานผ่านออนไลน์ได้ รัฐบาลควรจะประกาศให้ Work From Home หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าข อไปคุยรายละเอียดก่อน แต่จากที่คุยกันเบื้องต้น คิดว่าเป็นไปได้ เพราะช่วงนี้ฝุ่นเยอะจริงๆ

สำหรับภาคเอกชนจะมีมาตรการจูงใจเพื่อ Work From Home อย่างไรนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หลายที่ก็ทำเรื่องนี้อยู่แล้ว ขณะที่รัฐบาลก็มีมาตรการเร่งด่วน เช่น การขึ้นรถไฟฟ้าฟรี ใช้งบฯ 140 ล้านบาท ซึ่งเอกชนหลายที่ก็ได้ใช้ด้วย ถือเป็นภาพรวมในการแก้ปัญหา

Advertisement

 

รัฐบาลเตรียมจัดงบ 145.63 ล้านบาท เพิ่มสิทธิประโยชน์ใหม่ “ยาฮอร์โมน” ดูแลกลุ่มคนข้ามเพศ 200,000 ราย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 25 มกราคม 2568 รัฐบาลเดินหน้านโยบายรองรับบริการด้านสุขภาพสำหรับกลุ่มคนข้ามเพศ เตรียมจัดสรรงบประมาณ 145.63 ล้านบาท เพิ่มสิทธิประโยชน์ใหม่ “ยาฮอร์โมน” ดูแลกลุ่มคนข้ามเพศจำนวน 200,000 ราย

วันนี้ (25 มกราคม 2568) นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กระทรวงสาธารณสุข ขานรับนโยบายกฎหมายสมรสเท่าเทียมของรัฐบาล ให้ความสำคัญนอกจากการดูแลสุขภาพทางกายแล้ว ยังให้ความคุ้มครองสิทธิการดูแลสุขภาพทางใจให้กับประชาชนผู้มีสิทธิบัตรทองฯ ด้วย รวมถึงประชากรในกลุ่มบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศนี้ โดยปัจจุบันด้วยความเข้าใจและเปิดกว้างของสังคม ส่งผลให้สภาวะเพศในวันนี้ ไม่ได้ถูกจำกัดแค่เพียงเพศชายหรือเพศหญิงเท่านั้น แต่ผู้คนต่างให้การยอมรับเพศที่แตกต่างมากขึ้น อย่างไรก็ตามในกลุ่มบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศ มีจำนวนหนึ่งที่เป็น “กลุ่มคนข้ามเพศ” และมีความจำเป็นต้องได้รับยาฮอร์โมน เพื่อทำให้ร่างกายมีความสอดคล้องกับสภาพจิตใจที่เป็นอยู่ ที่ถือเป็นการบำบัดหรือรักษา

ดังนั้น ในการพิจารณางบประมาณหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปี 2568 คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) จึงได้เห็นชอบให้ สปสช. ดำเนินการจัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนบริการสิทธิประโยชน์ใหม่ คือ “บริการด้านสุขภาพสำหรับกลุ่มคนข้ามเพศ” จำนวน 145.63 ล้านบาท เพื่อดูแลกลุ่มเป้าหมายจำนวน 200,000 ราย โดยรวมถึงบริการยาฮอร์โมนบำบัดนี้ด้วย นายอนุกูล กล่าวต่อว่า สิทธิประโยชน์นี้จะเป็นการช่วยลดความเหลื่อมล้ำสุขภาพ ซึ่งเดิมคนที่จะรับยาฮอร์โมนนี้ จะต้องจ่ายเงินเองเท่านั้น ทำให้มีส่วนหนึ่งไม่สามารถเข้าถึงการรักษา และมีความเสี่ยงต่อสุขภาพ เพราะมีจำนวนหนึ่งที่ไปหาซื้อยาฮอร์โมนมากินเองที่อาจเป็นอันตรายได้ นอกจากนี้ สิทธิดังกล่าวยังเป็นการดูแลด้านจิตใจ ทำให้ร่างกายอยู่ในสภาวะเดียวกับจิตที่เป็นอยู่

“นอกจากบริการยาฮอร์โมนแล้ว ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติยังมีสิทธิประโยชน์การรักษาพยาบาลและบริการสาธารณสุขที่ครอบคลุมดูแลกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศที่ไม่ต่างจากประชากรทั่วไป ซึ่งครอบคลุมทั้งบริการรักษาพยาบาล บริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค และบริการฟื้นฟูสมรรถภาพ เพื่อให้เกิดการเข้าถึงบริการอย่างเท่าเทียม” นายอนุกูล ย้ำ

Advertisement

รัฐบาลรณรงค์ป้องกันมะเร็งปากมดลูก แนะฉีดวัคซีน HPV ตั้งแต่อายุ 11-12 ปี

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 25 มกราคม 2568 รัฐบาลห่วงใยสุขภาพ รณรงค์ป้องกันมะเร็งปากมดลูก แนะฉีดวัคซีน HPV ตั้งแต่อายุ 11-12 ปี ชี้กลุ่มเป้าหมาย ป้องกันโรคได้ด้วยการตรวจคัดกรองสม่ำเสมอ

วันนี้ (25 มกราคม2568) นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เดือนมกราคมเป็นเดือนแห่งการรณรงค์ต้านภัยมะเร็งปากมดลูกที่องค์การด้านโรคมะเร็งทั่วโลกให้ความสำคัญ เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคนี้ซึ่งเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 4 ของผู้หญิงทั่วโลก และอันดับ 5 ของประเทศไทย โดยปัจจัยเสี่ยงสำคัญมาจากการติดเชื้อไวรัส Human Papillomavirus (HPV) ที่ติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์ รวมถึงการสูบบุหรี่ก็เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรค ซึ่งการป้องกันมะเร็งปากมดลูกสามารถทำได้โดยการฉีดวัคซีน HPV สามารถป้องกันโรคได้ 70-90% อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนนี้แล้วยังคงต้องหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงและต้องรับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างสม่ำเสมอตามคำแนะนำของแพทย์

นางสาวศศิกานต์ กล่าวต่อว่า ในปัจจุบันวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกที่มีใช้ในประเทศไทยมีอยู่ 3 ชนิดหลัก ตามจำนวนของสายพันธุ์ที่บรรจุอยู่ในวัคซีน ได้แก่ วัคซีนชนิด 2 สายพันธุ์ (bivalent) ประกอบด้วย แอนติเจนของเชื้อเอชพีวี 16 และ 18 วัคซีนชนิด 4 สายพันธุ์ (quadrivalent) ประกอบด้วยแอนติเจนของเชื้อเอชพีวี 6, 11, 16 และ 18 และวัคซีนชนิด 9 สายพันธุ์ (nonavalent) ประกอบด้วยแอนติเจนของเชื้อเอชพีวี 6, 11, 16, 18, 31, 33, 45, 52 และ 58 และข้อห้ามควรระวังของการฉีดวัคซีนเอชพีวี ได้แก่ ผู้ที่ภาวะภูมิไวเกิน (Hypersensitivity) ต่อสารประกอบในวัคซีน โดยเฉพาะเด็กที่มีอาการแพ้ยาง (Latex) หรือยีสต์ (Yeast) ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ ผู้ที่มีอาการป่วย ติดเชื้อ ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนไปก่อนจนกว่าจะหาย ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ แต่ถ้าตั้งครรภ์ในช่วงที่ยังฉีดวัคซีนไม่ครบ แนะนำให้ฉีดเข็มที่เหลือจนครบ 3 เข็ม ในช่วงหลังคลอด ทั้งนี้ กลุ่มผู้ที่เหมาะสมกับการฉีดวัคซีน เอชพีวี ได้แก่ 1. กลุ่มที่น่าจะมีประโยชน์สูงสุดจากการฉีดวัคซีนเอชพีวี คือ ผู้ที่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์หรือยังไม่เคยติดเชื้อมาก่อน ได้แก่ เด็กหญิง (วัคซีนชนิด 2, 4 หรือ 9 สายพันธุ์) และเด็กชาย (วัคซีนชนิด 4 หรือ 9 สายพันธุ์) ที่อายุ 11-12 ปี และหากไม่ได้รับวัคซีนในช่วงอายุดังกล่าวสามารถฉีดในช่วงอายุ 13-26 ปีได้ 2. การฉีดวัคซีนในผู้หญิงและผู้ชายอายุ 27-45 ปี ให้พิจารณาฉีดวัคซีนเป็นรายๆ ไป ผู้ที่ต้องการฉีดวัคซีนควรได้รับคำอธิบายถึงประโยชน์ที่จะได้รับและอาจไม่เทียบเท่ากับการฉีดในช่วงอายุ 9-26 ปี 3. ผู้หญิงที่เคยเป็น หรือกำลังมีหูดหงอนไก่ หรือรอยโรคก่อนมะเร็งปากมดลูก หรือมีผลตรวจคัดกรองทางเซลล์วิทยาปากมดลูกผิดปกติ หรือตรวจพบเชื้อเอชพีวีกลุ่มความเสี่ยงสูง ยังคงแนะนำให้ฉีดวัคซีนเอชพีวีเช่นเดียวกับสตรีทั่วไป 4. ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์แล้วสามารถฉีดวัคซีนนี้ได้ โดยไม่มีความจำเป็นต้องตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกหรือตรวจหาเชื้อเอชพีวีกลุ่มเสี่ยงสูงก่อนเริ่มฉีดวัคซีน

“รัฐบาลได้ดำเนินแผนการป้องกันและควบคุมโรคมะเร็งปากมดลูก ซึ่งมีการกำหนดนโยบายให้ฉีดวัคซีนเอชพีวีแก่เด็กหญิง ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 อายุ 11-12 ปี และกลุ่มหญิง อายุ 11 – 20 ปี ที่ไม่เคยได้รับการฉีดวัคซีน HPV ทั้งในและนอกระบบการศึกษา โดยไม่มีค่าใช้จ่ายให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งเป็นการฉีด 2 เข็มห่างกัน 6-12 เดือน อย่างไรก็ตามผู้หญิงที่ได้รับการฉีดวัคซีนเอชพีวีครบแล้วยังคงต้องรับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างสม่ำเสมอตามคำแนะนำ หากมีข้อสงสัยสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ผ่านทาง Facebook : สถาบันมะเร็งแห่งชาติ National Cancer Institute และ Line : NCI รู้สู้มะเร็ง” นางสาวศศิกานต์ ระบุ

Advertisement

นายกฯแสดงความยินดีคู่รัก LGBTQIA+ สมรสถูกต้องตามกฎหมาย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 23 มกราคม 2568 นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีคู่รัก LGBTQIA+ สมรสถูกต้องตามกฎหมาย จุดเริ่มต้นประวัติศาสตร์หน้าใหม่กฎหมายไทยสร้างความเท่าเทียมให้ทุกเพศ เคารพในความแตกต่างทั้งเพศสภาพ เพศวิถี เชื้อชาติ ศาสนา

วันนี้ (23 มกราคม 2568)  นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี  กล่าวเนื่องในโอกาส กฎหมายสมรสเท่าเทียมมีผลบังคับใช้วันนี้ว่า   ในนามของรัฐบาลขอแสดงความยินดีกับคนไทยทุกคนที่ต่อจากนี้ ทุกความรักของคนไทย จะถูกรับรองทางกฎหมาย ทุกคู่จะมีชีวิตอย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี บนผืนแผ่นดินไทยกว่า 2 ทศวรรษของการต่อสู้ทั้งในทางกฎหมาย การเผชิญหน้ากับอคติ และการเปลี่ยนแปลงค่านิยมของสังคม ชัยชนะในครั้งนี้ถือเป็นความสำเร็จ จากความร่วมมือของทุกคน   พร้อมกันนี้  นายกฯ กล่าวขอบคุณนายเศรษฐา ทวีสิน  อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มุ่งมั่นทำงานร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อผลักดันกฎหมายสมรสเท่าเทียมอย่างเต็มที่ ตามที่เคยให้คำมั่นสัญญาไว้กับพี่น้องประชาชน  ขอขอบคุณ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากทั้งพรรคฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน สมาชิกวุฒิสภาที่ร่วมกันผลักดันกฎหมายฉบับนี้ผ่านกลไกของรัฐสภา ขอขอบคุณ สื่อมวลชนที่เป็นกระบอกเสียงในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร ช่วยทำลายมายาคติและอคติที่ฝังรากลึกในสังคมไทย ทำให้เรามาถึงวันนี้  และสำคัญที่สุด ขอบคุณภาคประชาชน พี่น้อง LGBTQIA+ แกนนำสำคัญที่ทำให้กฎหมายสมรสเท่าเทียมมีผลบังคับใช้ในวันนี้ได้สำเร็จ รวมถึง ความทุ่มเททำงาน สร้างการรับรู้ต่อสู้กับอคติมาตลอดหลายปี ทำให้สังคมไทยยอมรับความหลากหลายทางเพศด้วยหัวใจได้อย่างแท้จริงทำให้ธงสีรุ้งปักลงบนประเทศไทยอย่างภาคภูมิ ทำให้ประเทศไทยเป็นชาติแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นประเทศที่ 3 ของเอเชียที่ผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียม

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญและยึดมั่นเสมอว่า คนไทยทุกเพศ และความรักทุกรูปแบบควรได้รับการยอมรับอย่างเท่าเทียมกฎหมายสมรสเท่าเทียมถือเป็นจุดเริ่มต้นที่แสดงให้เห็นว่า สังคมไทยรับรู้และเคารพในความแตกต่างหลากหลายทั้ง เพศสภาพ เพศวิถี เชื้อชาติ ศาสนา ทุกคนมีสิทธิและศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน เพราะความแตกต่าง ไม่ใช่ข้ออ้างในการเลือกปฏิบัตินายกฯ เชื่อมั่นพลังความรักของทุกคนที่ทำให้ในวันนี้ประเทศไทยได้บันทึกประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญ ทำให้ทั้งโลกได้รู้ว่า ประเทศไทยโอบรับความรักทุกรูปแบบ ยอมรับความหลากหลายทางเพศ ซึ่งเป็นพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย  พร้อมเชิญชวนให้คนไทยมาร่วมเฉลิมฉลองความสำเร็จนี้ไปด้วยกัน และขอแสดงความยินดีกับคู่สมรสใหม่ทุกคู่

Advertisement

‘กฎหมายฟ้องชู้’ บังคับใช้แล้ววันนี้ เปิดโอกาสให้ผู้ฟ้องหย่าด้วยเหตุมีชู้ สามารถฟ้องเรียกค่าเสียหายได้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 22 มกราคม 2568 ‘กฎหมายฟ้องชู้’ บังคับใช้แล้ววันนี้ เปิดโอกาสให้ผู้ฟ้องหย่าด้วยเหตุมีชู้ สามารถฟ้องเรียกค่าเสียหายจากได้

วันนี้ (22 มกราคม 2568) นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (21 มกราคม 2568) มีมติรับทราบการแก้ไขมาตรา 1523 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567 ที่แก้ปัญหาความไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 27 วรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคสาม ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 13/2567

โดยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ปัจจุบัน) สาระสำคัญ ดังนี้ มาตรา 1523 เมื่อศาลพิพากษาให้หย่ากันเพราะเหตุตามมาตรา 1516 (1) คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีสิทธิได้รับค่าทดแทนจากคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งและจากผู้ซึ่งได้รับการอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่อง หรือผู้ซึ่งเป็นเหตุแห่งการหย่านั้น คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเรียกค่าทดแทนจากผู้ซึ่งล่วงเกินคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งไปในทำนองชู้ หรือจากผู้ซึ่งแสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงตนว่ามีความสัมพันธ์กับคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งในทำนองชู้ก็ได้  ถ้าคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจให้อีกฝ่ายหนึ่งกระทำการตามมาตรา 1516 (1) หรือให้ผู้อื่นกระทำการตามวรรคสอง คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนั้นจะเรียกค่าทดแทนไม่ได้

ทั้งนี้ การแก้ไขปรับปรุงบทบัญญัติดังกล่าว เป็นการแก้ไขข้อความจากเดิมที่ใช้คำว่า “สามีหรือภริยา” และ “ชู้สาว” เป็น “คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง”  และ “คู่สมรสฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งในทำนองชู้” ซึ่งการปรับปรุงกฎหมายดังกล่าวจะส่งผลให้การเรียกค่าทดแทนของคู่สมรสแต่ละฝ่าย เกิดความเท่าเทียมกัน และสร้างความเป็นธรรมต่อบุคคล โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 22 มกราคม 2568 เป็นต้นไป

Advertisement

รัฐบาลพร้อมแล้ว จดทะเบียน “สมรสเท่าเทียม” พฤหัส 23 ม.ค.นี้ ทั่วไทยทั่วโลก

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 20 มกราคม 2568 จดทะเบียน “สมรสเท่าเทียม” พร้อมแล้วพฤหัส 23 ม.ค.นี้ รัฐบาล อำนวยความสะดวกเต็มที่ จดได้ทั้งที่ อำเภอ/เขต และสถานทูตไทยในต่างประเทศทั่วโลก

วันนี้ (20 มกราคม 2568 ) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย มีความพร้อมสำหรับการ อำนวยความสะดวก ในการจดทะเบียนสมรสตามกฎหมายสมรสเท่าเทียม พร้อมกันทั่วประเทศ แล้วในวันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคมนี้ บนหลักการความเสมอภาคและเท่าเทียม  ภายใต้แนวคิด “สมรสเท่าเทียม ยินดีกับทุกความรัก 878 อำเภอ ทั่วไทย (Embracing Equality : Love Wins in 878 Districts)” รวมถึงสนับสนุนการดำเนินงานตาม กฎหมายฉบับนี้ที่ประกาศใช้

นายคารม กล่าวว่า กรมการปกครองในฐานะนายทะเบียนกลาง ได้เตรียมความพร้อมซักซ้อมการปฏิบัติกับสำนักทะเบียน และอำเภอ 878 แห่ง พร้อมทั้งสำนักงานเขต ใน กทม. 50 เขต รวมทั้งสถานเอกอัครราชทูต สถานกงสุลไทยในต่างประเทศ 94 แห่งซึ่งจะมีผลใช้บังคับในวัน พฤหัสบดีที่ 23 มกราคม 2568 ใน 4 ด้าน คือ

ด้านระเบียบ โดยได้ร่างระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการจดทะเบียนครอบครัว (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2568 เพื่อรองรับการอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวระหว่างบุคคลเพศหลากหลาย ทำให้คู่รักสามารถหมั้นและสมรสกันได้ ซึ่งจะทำให้ทราบสิทธิ หน้าที่ และสถานะทางครอบครัวที่เท่าเทียมกัน และเสริมสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวที่ก่อตั้งขึ้นระหว่างบุคคลทั้งสองฝ่าย

สำหรับด้านระบบ โดยได้มีการแก้ไขระบบทะเบียนสมรสและทะเบียนหย่า และมีการทดสอบระบบเรียบร้อยแล้ว รวมทั้งจัดเตรียมผลิตแบบพิมพ์ ใบสำคัญการสมรส (คร.3) และใบสำคัญการหย่า (คร.7) เพื่อรองรับการให้บริการที่เพิ่มสูงขึ้น

ด้านบุคลากร โดยได้จัดทำชุดความรู้และอบรมเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทะเบียนใน 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ ความรู้ด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งหมด การปรับกรอบความคิดในการให้บริการประชาชน และการบริการที่เป็นสากลบนหลักความเสมอภาคและเท่าเทียม คำนึงถึงมารยาทสากลและหลักสิทธิมนุษยชน

ด้านการจัดกิจกรรม ได้แก่ กิจกรรม Kick Off ในวันนี้ และกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ที่จะจัดขึ้นพร้อมกันทั่วประเทศ ณ ที่ว่าการอำเภอ ทั้ง 878 แห่ง ในวันที่ 23 ม.ค. 68 ซึ่งเป็นวันแรกที่กฎหมายสมรสเท่าเทียมมีผลบังคับใช้ เพื่อเฉลิมฉลองให้กับทุกความรักตามแนวคิด “กรมการปกครองยินดีเป็นนายทะเบียนให้กับทุกความรัก”

“วันที่ 23 มกราคม 2568 นี้เป็นวันที่กฎหมายสมรสเท่าเทียมมีผลบังคับ รัฐบาล โดยกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย พร้อมอำนวยความสะดวกให้คู่รักที่มีความหลากหลายทางเพศเข้าจดทะเบียนสมรส เพื่อส่งเสริมความเท่าเทียม ความเสมอภาค และการไม่เลือกปฏิบัติ รวมทั้งยังเป็นการเสริมสร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทยในระดับนานาชาติในฐานะประเทศที่ยอมรับและเคารพสิทธิมนุษยชน รวมถึงสนับสนุนความหลากหลายทางเพศ เชิญชวนคู่รักทุกคู่เข้ารับบริการจดทะเบียนสมรสได้ ณ ที่ว่าการอำเภอ และสำนักงานเขตทุกแห่งทั่วประเทศ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่สายด่วนสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง ” นายคารมกล่าว

Advertisement

เตือน ผู้สูงวัย-ผู้ใหญ่วัยเกษียณ!! มิจฉาชีพ คอลฯ จ้องหลอกกลุ่มนี้มากขึ้น ขอลูกหลานช่วยดูแล

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 19 มกราคม 2568 รัฐบาลเตือน ผู้ใหญ่วัยเกษียณ หลังพบ มิจฉาชีพ คอลฯ หลอกกลุ่มนี้มากขึ้น ขอลูกหลาน ช่วยดูแลผู้สูงวัยในครอบครัว ตรวจสอบเบอร์โทรก่อนรับ เพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อและสูญเสียทรัพย์สิน

วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม 2568 เวลา 09.00 น. นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า ปัจจุบันมิจฉาชีพมีจำนวนมากขึ้น มีการเตรียมการเป็นอย่างดี และทำกันเป็นขบวนการเพื่อหลอกลวงให้ประชาชนสูญเสียทรัพย์สินจากทุกช่องทางไม่ว่าจะเป็น SMS หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยมุ่งเป้าหมายหลอกลวงไปที่กลุ่มผู้สูงอายุ และผู้เกษียณเพิ่มขึ้น ด้วยวิธีการต่าง ๆ อาทิ การหลอกลวงซื้อขายสินค้าออนไลน์ โดยหลอกให้ซื้อขายสินค้าแต่ไม่มีเจตนาที่จะส่งสินค้าให้จริง การหลอกลงทุน โดยหลอกชักชวนให้ลงทุนที่มีผลตอบแทนสูงในเวลาอันสั้น ที่ไม่มีอยู่จริง การหลอกให้รัก โดยหลอกเข้ามาตีสนิท สร้างความสัมพันธ์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อหวังเอาทรัพย์สิน การหลอกให้กลัว หรือ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ แจ้งว่าท่านเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด หลอกให้โอนเงินให้ตรวจสอบ การหลอกขายยาและอาหารเสริม โดยหลอกขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรือยา อ้างว่าสามารถรักษาโรคต่าง ๆ ได้ ซึ่งอาจไม่ได้ผลจริงและเป็นอันตราย การหลอกขายประกันสุขภาพ โดยอ้างว่าเป็นตัวแทนจากบริษัทประกันสุขภาพ เพื่อขอข้อมูลส่วนตัวหรือขายประกันที่ไม่เป็นความจริง หรือการหลอกให้รับสวัสดิการผู้สูงอายุ โดยอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานราชการที่ดูแลเรื่องบำนาญหรือสวัสดิการผู้สูงอายุ และขอข้อมูลส่วนตัวหรือขอให้โอนเงินเพื่อดำเนินการ ส่งผลทำให้ผู้สูงอายุตกเป็นเหยื่อถูกหลอกลวงทางออนไลน์เพิ่มขึ้น

นายคารม ย้ำเตือนประชาชนให้ระมัดระวังจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพในรูปแบบดังกล่าว และขอให้บุตรหลานคอยสอดส่องดูแลผู้สูงวัยในครอบครัว เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกหลอกลวงโดยมิจฉาชีพที่แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ทั้งนี้ ประชาชนสามารถตรวจสอบและป้องกันตนเอง เพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อได้ง่าย ๆ ดังนี้ 1. นำเบอร์แปลกที่โทรเข้ามา เช็กใน Google ตรวจสอบประวัติเบอร์ผู้ใช้ 2. ค้นหาใน Facebook หากเบอร์โทรนั้นเคยผูกกับบัญชีเฟซบุ๊ก 3. ค้นหาทาง Line “เพิ่มเพื่อน” เลือกจาก “หมายเลขโทรศัพท์” ถ้าเบอร์โทรนั้นผูกกับไลน์ 4. โหลดแอปพลิเคชัน WHOSCALL เพื่อช่วยในการค้นหาตรวจสอบเบอร์โทรศัพท์ หรือเบอร์โทรศัพท์แปลก ๆ โดยแอปจะแจ้งเตือนได้ว่าเบอร์นั้นเป็นเบอร์ของใคร

นอกจากนั้น หากประชาชนได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ สามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่ สถานีตำรวจในพื้นที่ และสำหรับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่ ศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ บนเว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th หรือสายด่วน 1441 (ได้ตลอด 24 ชั่วโมง)

Advertisement

 

นายกฯ ชมเปาะ “บ้านเพื่อคนไทย” สะดวกสบาย เหมาะกับครอบครัวที่มีลูก 1 – 2 คน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 17 มกราคม 2568 นายกฯ ยืนยัน “โครงการบ้านเพื่อคนไทย” สะดวกสบาย เป็นโครงการที่ดีเพื่อผู้มีรายได้น้อยมีบ้านเป็นของตนเอง

วันนี้ (17 มกราคม 2568) เวลา 15.00 น. ณ บริเวณด้านหน้า โถงกลางประตู 1 สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ เขตจตุจักร กรุงเทพฯ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังเปิดโครงการบ้านเพื่อคนไทย ว่า วันนี้ได้ชมห้องตัวอย่างรวมถึงห้องน้ำรู้สึกว่ามีความสะดวกสบาย ขนาดพื้นที่ของโครงการถือว่ามีความเหมาะสมกับครอบครัวที่มีลูก 1 – 2 คน อายุไม่เกิน 10 ขวบ ซึ่งรัฐบาลมุ่งให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงโครงการบ้านเพื่อคนไทย หากประชาชนให้ความสนใจเพิ่มขึ้น รัฐบาลพร้อมพิจารณาแนวทางต่าง ๆ สำหรับการขยายโครงการระยะต่อไป

ส่วนประเด็นที่ว่าโครงการฯ จะส่งผลดีหรือเสียในตลาดอสังหาริมทรัพย์หรือไม่นั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่ารัฐบาลไม่ได้แย่งส่วนแบ่งทางการตลาดอสังหาริมทรัพย์อย่างแน่นอน และโครงการดังกล่าว จะเป็นการเพิ่มโอกาสให้ผู้มีรายได้น้อยให้มีสิทธิ์มีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองได้

Advertisement

Verified by ExactMetrics