วันที่ 5 พฤษภาคม 2025

“กนกวรรณ”ตรวจสนามกีฬาร.ร.กีฬาอุบลฯ เตรียมแข่งกีฬา กศน.เกมส์ครั้งที่ 5

People Unity News : “กนกวรรณ” เสมา 3 ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมความพร้อมของสนามกีฬาโรงเรียนกีฬาจังหวัดอุบลฯ เพื่อเตรียมการในการแข่งขันกีฬา กศน.เกมส์ ครั้งที่ 5 ปลื้ม กศน.อุบลเดินหน้าจัดการศึกษาเพื่อผู้ด้อยโอกาสได้ตามเป้า

วันที่ 24 พฤศจิกายน 2562 ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมคณะทำงาน รมช. และ นายธฤติ ประสานสอน ผอ.กศน.จังหวัดอุบลราชธานี ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบความพร้อมของสนาม ณ โรงเรียนกีฬาจังหวัดอุบลราชธานีเพื่อใช้ในการแข่งขันกีฬา กศน. ทั่วประเทศ ครั้งที่ 5 ใน “กศน.เกมส์” ระหว่างวันที่ 19-21 กุมภาพันธ์ 2563

สำหรับกิจกรรมมีการแข่งขันกีฬาทั้งหมด 5 ประเภท ได้แก่  กรีฑาฟุตบอล, วอลเลย์บอล,ตะกร้อ, เปตองผสม และกอล์ฟ ซึ่งการจัดการแข่งขันกีฬาดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนให้ นักศึกษา กศน. ผู้บริหารหน่วยงาน/สถานศึกษา ครู กศน. บุคลากรทางการศึกษา พนักงานราชการ และข้าราชการพลเรือน ในสังกัดสำนักงาน กศน.ได้เล่นกีฬาและออกกำลังกายอย่างถูกวิธี และเสริมสร้างสัมพันธภาพอันดีระหว่างนักศึกษา กศน. ผู้บริหารหน่วยงาน/สถานศึกษา ครู กศน. บุคลากรทางการศึกษา พนักงานราชการ และข้าราชการพลเรือน ในสังกัดสำนักงาน กศน.

ปลื้ม กศน.อุบลเดินหน้าจัดการศึกษาเพื่อผู้ด้อยโอกาสได้ตามเป้า

อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 23 ดร.กนกวรรณ พร้อมด้วย นายสมเกียรติ ตันดิลกตระกูล ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และคณะเดินทางไปตรวจเยี่ยมกิจกรรมการเรียนการสอนกลุ่มเด็กเร่ร่อนที่ชุมชนท่าบ้งมั่ง เทศบาลเมืองวารินชำราบ โดย กศน. อำเภอวารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ซึ่งในวันนี้ รมช.ศธ.ได้ให้กำลังใจครู กศน.และสอบถาม พูดคุยถึงสภาพปัญหาพร้อมมอบสื่อการเรียน การสอน ผ้าห่มแก่กลุ่มเด็กเร่ร่อนที่มาเรียนในวันนี้จำนวน 20 คน ด้วยความห่วงใย

รมช.ศธ.ได้เปิดเผยว่า ตนมีความตั้งใจในการลงพื้นที่ในครั้งนี้เพื่อติดตามผลการดำเนินงานตามนโยบาย ที่เคยมอบให้ผอ.กศน.จังหวัดอุบลราชธานีไปขับเคลื่อนตั้งแต่คราวลงพื้นที่เมื่อเดือนกันยายน ที่ผ่านมา ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีและขอบคุณ กศน.จังหวัดอุบลราชธานีที่ได้นำข้อสั่งการ และนโยบายจัดการศึกษาเพื่อผู้ด้อยโอกาส โดยเฉพาะกลุ่มเด็กเร่ร่อนและผู้พิการ ไปขับเคลื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอเมืองอุบลราชธานี  (กศน.อำเภอเมืองอุบลราชธานี) ได้จัดการศึกษานอกระบบสำหรับ เด็กด้อยโอกาส มาตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2552 จนถึงปัจจุบัน มีบุคลากรครูที่รับผิดชอบ จำนวน 4 คน กลุ่มเป้าหมาย ทั้งสิ้น จำนวน 101 คน  กระจายอยู่ในพื้นที่ชุมชนแออัดของอำเภอเมืองอุบลราชธานีและอำเภอวารินชำราบ จำนวน 11 ชุมชน  เนื่องด้วยสภาพแวดล้อมของชุมชนเมือง ที่มีความเหลื่อมล้ำของผู้คนที่มาจากต่างถิ่น เข้ามาอาศัยอยู่ในพื้นที่  ซึ่งกลุ่มเป้าหมายดังกล่าวเป็นผู้ด้อยโอกาส  เนื่องจากเข้าไม่ถึงการบริการ  สวัสดิการต่างๆของภาครัฐ ด้วยองค์ประกอบหลายด้าน

“จึงต้องการความช่วยเหลือ การพัฒนา เพื่อสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขตามอัตภาพ  ไม่สร้างความเดือดร้อนหรือเป็นภาระของสังคม  โดยที่นี่มีการจัดการศึกษานอกระบบสำหรับเด็กด้อยโอกาส ตามกรอบนโยบาย  และภารกิจของสถานศึกษา ประกอบด้วย การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน การจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะชีวิต  การจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาอาชีพ การจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาสังคมและชุมชน และการจัดการศึกษาตามอัธยาศัย โดยการประสานการดำเนินงานร่วมกับภาคีเครือข่าย เช่น เทศบาลนครอุบล เทศบาลเมืองวารินชำราบ   โรงเรียนพุทธเมตตา(วัดไชยมงคล)  สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พมจ.) นับว่าเป็นผลความก้าวหน้าในการขับเคลื่อนนโยบายสู่การปฏิบัติของพื้นที่เป้าหมายได้อย่างดีระดับหนึ่ง” ดร.กนกวรรณ กล่าว

จากนั้น รมช.ศธ.พร้อมคณะ เดินทางไปตรวจเยี่ยมการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนสำหรับผู้สูงอายุ ณ โรงเรียนผู้สูงอายุ กศน.อำเภอเดชอุดม จ.อุบลราชธานี โรงเรียนผู้สูงอายุ กศน.อำเภอเดชอุดม เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2561 โดยเป็นสถานศึกษาที่เกิดจากการลงนามความร่วมมือในการจัดการศึกษา ระหว่าง เทศบาลตำบลเมืองเดช และ กศน.อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี ที่มีวัตถุประสงค์มุ่งพัฒนาศักยภาพให้แก่ผู้สูงอายุภายใต้แนวคิด “การศึกษานอกโรงเรียนเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต” โดยมีผู้สูงอายุในพื้นที่เขต อบต.เมืองเดช ให้ความร่วมมือในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนร่วมกันทุกวันอังคารของสัปดาห์ เน้นการพัฒนาผู้สูงอายุด้วยการเรียนเพื่อพัฒนาศักยภาพชีวิต การเรียนเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต และการเรียนเพื่อพัฒนาสุขภาพชีวิต ผ่านการถ่ายทอดความรู้อย่างเป็นระบบที่ผู้สูงอายุจะได้เรียนรู้อย่างสนุกสนาน เกิดทักษะด้านการดูแลตัวเอง และพึ่งพาตัวเองได้ในระดับพื้นฐาน ทำให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพกายสุขภาพใจที่ดีขึ้น มีสังคม เพื่อน ฝูง ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เกิดประโยชน์แก่ตัวผู้เรียนรวมถึงการพัฒนาความสามารถทางกาย จิต สังคม ปัญญา และ เศรษฐกิจ เพื่อให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิต และเห็นคุณค่าในตนเองยิ่งขึ้น

ดร.กนกวรรณ ได้กล่าวขอบคุณ ทุกฝ่ายที่จัดกิจกรรม เพื่อผู้สูงอายุ ซึ่งในอนาคตผู้สูงอายุจะมีศักย ภาพมากขึ้น จึงขอให้ผู้สูงอายุอย่าอายที่จะมาร่วมแลกเปลี่ยน เรียนรู้ ประสบการณ์แก่กัน และเน้นย้ำให้สอดแทรกและปลูกฝังความสำคัญ ความเข้าใจที่ถูกต้องของสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รวมไปในกิจกรรมต่าง ๆ ด้วย

ดร.ดิศกุล เกษมสวัสดิ์ เลขาธิการ กศน. เปิดเผยว่า ขณะนี้ กศน.ได้ตั้งคณะทำงานและประชุมร่างแผนพัฒนาการศึกษาสำหรับเด็กด้อยโอกาส(เร่ร่อน)​และผู้พิการ เพื่อนำไปสู่การขับเคลื่อนนโยบายในการปฎิบัติของพื้นที่ให้บรรลุเป้าหมายครอบคลุมทุกมิติต่อไป

นายธฤติ ประสานสอน ผู้อำนวยการ กศน.จังหวัดอุบลราชธานี กล่าวเพิ่มเติมว่า สำนักงาน กศน.จังหวัดอุบลราชธานีได้จัดกิจกรรมส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการโดยมีการจัดตั้งชมรมผู้สูงอายุครอบคลุมทั้ง 25 อำเภอ ซึ่งมีการดำเนินงานร่วมกับภาคีเครือข่ายในชุมชน จัดกิจกรรมที่มุ่งเน้นการพัฒนาแบบองค์รวม เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในชุมชนให้สามารถดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขและมีคุณค่าในสังคมต่อไป

สธ.หนุนมรภ.สวนสุนันทา เปิดหลักสูตร”กัญชาเวชศาสตร์”แห่งแรกในไทย

People Unity News :  ปลัดสธ.เปิดการประชุมสัมมนาวิชาการ ครั้งที่ 2 เรื่อง “เทคโนโลยีการผลิตสารสกัดจากกัญชา” หนุนมหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา เปิดหลักสูตร “กัญชาเวชศาสตร์”  หลักสูตรแรกในประเทศไทย

วันที่ 24 พฤศจิกายน 2562 นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดการประชุมสัมมนาวิชาการ ครั้งที่ 2 เรื่อง “เทคโนโลยีการผลิตสารสกัดจากกัญชา” (Cannabis Extraction Technologies) ขับเคลื่อนการใช้ประโยชน์กัญชาทางการแพทย์ ตั้งเป้าหมายบรรจุเข้าบัญชียาหลักและระบบหลักประกันสุขภาพ เพิ่มทางเลือกการรักษาของผู้ป่วย เข้าถึงยากัญชาอย่างปลอดภัย และสนับสนุนการจัดการศึกษาของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ โดยมหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา เปิดหลักสูตร “กัญชาเวชศาสตร์” หลักสูตรแรกในประเทศไทย

ยกเลิกทุกการนัดหมาย ! “อนุทิน”บินด่วน”ร้อยเอ็ด” ทำภารกิจหัวใจติดปีก

People Unity News : ยกเลิกทุกการนัดหมาย ! “อนุทิน” นำทีมแพทย์บินด่วน “ร้อยเอ็ด” ทำภารกิจหัวใจติดปีก ด้าน สธ.หนุนเต็มที่ เชิญประชาชนบริจาคอวัยวะ

วันที่ 24 พฤศจิกายน 2562 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธาณสุข ได้ขับเครื่องบินนำทีมแพทย์จากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ไปยัง จ.ร้อยเอ็ด เพื่อปฏิบัติภารกิจรับอวัยวะนำไปส่งแก่ผู้ป่วยที่รอการช่วยเหลือ ทั้งนี้ ที่เฟซบุ๊ก “อนุทิน ชาญวีรกูล” ปรากฏข้อความว่า

“ทีมหัวใจติดปีก
มาร้อยเอ็ด
ภารกิจด่วน
ยกเลิกทุกนัด
ขออภัยเจ้าภาพทุกงาน ที่รับเชิญไว้ด้วยนะครับ”

อีกด้านหนึ่ง ที่เฟซบุ๊ก “นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ” ของนายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ปรากฏข้อความเขิญชวนให้ประชาชนร่วมบริจาคอวัยวะ พร้อมชื่นชมกิจกรรมของนายอนุทิน ระบุว่า

“เช้าวันเสาร์ และเช้าวันอาทิตย์ แม้เป็นวันหยุด คุณอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ขับเครื่องบินและค่าใช้จ่ายส่วนตัว รับอวัยวะมาช่วยชีวิตผู้ป่วย ด้วยภาระกิจ หัวใจติดปีก มาก่อนเรื่องส่วนตนด้วยการเดินทางพร้อมทีมแพทย์ และยังไปกราบขอบพระคุณญาติๆผู้ป่วยด้วยความอ่อนน้อม….

ผู้นำที่ดีของกระทรวงสาธารณสุขที่มีทั้งคุญธรรม ความสามารถ ความยุติธรรม”

ขอชื่นชมท่านเป็นแบบอย่างการทำงาน

ทำเพื่อส่วนรวมมาก่อนส่วนตนเสมอ”ท่านเป็นแบบอย่างที่ดีให้เราทุกคนชาวสาธารณสุขได้ศรัทธา ให้นึกถึงประโยชน์ประชาชน ประโยชน์ส่วนรวม มาก่อน เรื่องของตนเอง และผมขอชื่นชมให้กำลังใจพี่น้องชาวสาธารณสุขทุกคนที่เสียสละ

ตัวหมอเองก็บริจาคทั้งอวัยวะและดวงตา ร่วมถึงมอบร่างที่เหลือให้ศึกษาเป็นอาจารย์ใหญ่

ไม่ต้องกลัวความเชื่อผิดๆ ว่า “ถ้าตายไปอวัยวะไม่ครบ” จะพิการชาติหน้าได้ หรือเกิดเรื่องไม่ดี ขอรับรองว้าไม่จริง มีแต่ได้บุญมากๆ ด้วยผู้ป่วยหัวใจเทวดาครับ

กระทรวงสาธารณสุข เชิญชวนประชาชนร่วมสร้างกุศลบริจาคอวัยวะ ให้ชีวิตใหม่เพื่อนมนุษย์ ลดความพิการแก่ผู้ป่วยที่รอรับการปลูกถ่ายอวัยวะโดยผู้บริจาค 1 คนจะช่วยผู้ป่วยได้ถึง 8 คน

กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับสภากาชาดไทย ได้จัดทำโครงการบริจาคอวัยวะเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสฉลองพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 รณรงค์ให้ประชาชนร่วมแสดงความจำนงบริจาคอวัยวะและดวงตา

จึงเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมบริจาค เป็นการสร้างบุญครั้งย่ิงใหญ่มากในวาระสุดท้ายของชีวิต

นายแพทย์รุ่งเรือง เปิดเผยว่า นายอนุทิน ให้ความสำคัญในการดำเนินงานระบบบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะให้มีความเข้มแข็งพัฒนาระบบบริการสุขภาพ(Service Plan) สาขาการรับบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะ ร่วมมือกับสภากาชาดไทย

ได้จัดตั้งศูนย์รับบริจาคอวัยวะในโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไปทั่วประเทศ และพัฒนาทีมจัดเก็บอวัยวะในทุกเขตสุขภาพ เพื่อให้ประชาชนที่อยู่ในต่างจังหวัด มีโอกาสเข้าถึงบริการปลูกถ่ายอวัยวะที่มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว โดยเฉพาะการปลูกถ่ายไตและดวงตา ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

มีผู้ป่วยที่ลงทะเบียนรอรับการบริจาคอวัยวะจำนวน 6,311 ราย แต่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะจากผู้บริจาคเพียงร้อยละ 9.1 เท่านั้น

ผู้มีจิตศรัทธาต้องการบริจาคอวัยวะและดวงตา ติดต่อได้ที่ศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทย โทร. 02 256 4045, 02 256 4046 ในวันและเวลาราชการ และศูนย์ดวงตา สภากาชาดไทย โทร. 02 256 4039, 02 256 4040 ในวันและเวลาราชการและโรงพยาบาลทุกแห่งของประทรวงสาธารณสุข”

กรมควบคุมโรคเผยพบการเสียชีวิตจากจราจรทางถนนกทม.ต่ำลงกว่า 47%

People Unity News : กรมควบคุมโรค โดยสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมืองร่วมกับสถาบันนิติเวชศาสตร์ พัฒนาฐานข้อมูล “3 ฐาน พลัส นิติเวช”ถือเป็นครั้งแรกของประเทศ ที่พบข้อมูลการเสียชีวิตจากการจราจรทางถนนในเขตกรุงเทพมหานคร ที่รายงานต่ำกว่าความเป็นจริงมากถึงร้อยละ 47 ผลจากโครงการ นับเป็นตัวแบบของการจัดการ “ระบบข้อมูลการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุการจราจรในเขตเมืองใหญ่บนฐานข้อมูลนิติเวช”(Urban forensic based data quality) ที่ครบถ้วน ทันต่อเวลา ลดภาระงาน จัดการได้และยั่งยืน รวมทั้งสามารถนำไปใช้วิเคราะห์ทางระบาดวิทยา และใช้ประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบายด้านการป้องกัน ควบคุมโรคในระดับชาติได้อีกด้วย

วันที่ 24 พฤศจิกายน 2562 นายแพทย์ปรีชา เปรมปรี รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ให้สัมภาษณ์ ว่า กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงของประเทศ เป็นเขตเมืองใหญ่ ทุกๆวัน จะเกิดอุบัติเหตุและมีผู้เสียชีวิตหรือการบาดเจ็บจากการจราจรทางถนนประมาณ 10 รายต่อวัน และเป็นพื้นที่ที่มีโรงพยาบาลจำนวนมากและหลากหลายสังกัด ยังไม่มีหน่วยงานที่รวบรวมข้อมูลอย่างเป็นทางการและครอบคลุมทุกสังกัด ส่งผลให้ข้อมูลสถิติอุบัติเหตุทางถนนที่นำมาใช้อ้างอิงในขณะนี้ ยังต่ำกว่าข้อมูลที่องค์การอนามัยโลกคาดการณ์ไว้

กรมควบคุมโรค โดยสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง(สปคม.) ร่วมกับมูลนิธิสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง และมูลนิธิบลูมเบิร์ก เพื่อสาธารณประโยชน์ (BIGRS) ได้ขับเคลื่อน การพัฒนาฐานข้อมูล กลไก รูปแบบการเก็บและระบบรายงานข้อมูลผู้เสียชีวิตจากการจราจรทางถนนในกรุงเทพมหานคร ซึ่งผลของแนวคิดและระบบการจัดการข้อมูลชุดใหม่นี้ (ข้อมูล 3 ฐาน พลัส : ข้อมูลบูรณาการร่วม ตำรวจ มรณบัตร บริษัทกลาง และกลุ่มสถาบันนิติเวชศาสตร์ 7 แห่ง) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 – 2561 ที่เรียกว่า 3 ฐาน พลัส พบว่า ผู้เสียชีวิตจากการจราจรทางถนนในพื้นที่กทม. จำนวน 4,678 ราย ซึ่งมีมากถึงร้อยละ 47 จากที่ ขาดหายไป หรือค้นพบเพิ่มเติมจำนวนมากถึง 2,202 ราย ที่มาจากสถาบันนิติเวชทั้ง 7 แห่ง ถือเป็นครั้งแรกของประเทศ ที่พบข้อมูลการเสียชีวิตจากการจราจรทางถนนในเขตกรุงเทพมหานคร ที่รายงานต่ำกว่าความเป็นจริงมากถึงร้อยละ 47 และได้มีการทวนสอบข้อมูลกับกองยุทธศาสตร์และแผนงาน กระทรวงสาธารณสุข พบว่า ในทะเบียนมรณะบัตร ส่วนใหญ่ไม่ได้ลงสาเหตุการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน

นพ.ปรีชา กล่าวเพิ่มเติมว่า ข้อค้นพบที่สำคัญจากโครงการนี้ นับเป็นตัวแบบของการจัดการ “ระบบข้อมูลการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุการจราจรในเขตเมืองใหญ่บนฐานข้อมูลนิติเวช “(Urban forensic based data quality)ที่ครบถ้วน ทันต่อเวลา ลดภาระงาน จัดการได้และยั่งยืน รวมทั้งสามารถนำไปใช้วิเคราะห์ทางระบาดวิทยา และนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบายด้านการป้องกันควบคุมโรคในระดับชาติได้อีกด้วย

ทั้งนี้ได้สร้างเครื่องมือในการทำงานร่วมกัน ประกอบด้วย แบบฟอร์มการยืนยันการให้ข้อมูลกับหน่วยงานราชการ digital platformกลาง ระบบการเชื่อมโยงข้อมูล เชื่อมการวิเคราะห์และใช้ข้อมูล ก่อให้เกิดระบบเฝ้าระวัง 3 ฐาน พลัส ที่มีการเชื่อมใช้ข้อมูล การได้มาซึ่งข้อมูลและระบบการทำงานใหม่นี้ ต้องใช้ความพยายามร่วมของสปคม.และ7 สถาบันนิติเวชเป็นอย่างมาก ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการตลอดระยะเวลา 4 เดือน ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เกิดความเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสู่การนำข้อมูลไปใช้ในการวางแผน ประเมินนโยบาย ยุทธศาสตร์ มาตรการ แนวทาง การบังคับใช้กฎหมาย และการสร้างความร่วมมือในการบูรณาการ การดำเนินงานป้องกันการบาดเจ็บและ ลดอัตราการเสียชีวิตจากการจราจรทางถนนในพื้นที่เขตเมือง ต่อไป

“กนกวรรณ”มอบบ้านช่วยนักศึกษา กศน. ผู้พิการทางสายตา

People Unity News : “กนกวรรณ” เสมา 3 ชูกศน. ที่พึ่งสำหรับประชาชน มอบบ้านช่วยนักศึกษา กศน. ผู้พิการทางสายตา

วันที่ 23 พฤศจิกายน 2562 เวลา 11.00 น. ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานศึกษาและมอบนโยบายในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี พร้อมกันนี้ได้ทำพิธีมอบบ้านให้กับนางสาวอุรักษ์  จงเจริญ นักศึกษาระดับประถมศึกษา กศน.อำเภอเดชอุดม ณ บ้านโคกเจริญ ตำบลเมืองเดช อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี พร้อมด้วย นายสมเกียรติ  ตันดิลกตระกูล  ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ คณะทำงาน รมช.ศธ. โดยมี ดร.ดิศกุล เกษมสวัสดิ์ เลขาธิการ กศน. นายณัฐพงษ์  นวลมาก  รองเลขาธิการ กศน. นายอำเภอเดชอุดม นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเมืองเดช หัวหน้าส่วนราชการ และประชาชนในพื้นที่ให้การต้อนรับ

ดร.กนกวรรณ กล่าวตอนหนึ่งในช่วงมอบบ้านให้นักศึกษา กศน. ว่า “ขอชื่นชมผู้บริหาร กศน. ทั้งระดับจังหวัดและอำเภอ ตลอดจนครู กศน.ที่ให้การดูแล ติดตามช่วยเหลือผู้เรียน โดยการจัดกิจกรรมเยี่ยมบ้าน ทำให้ครูและนักศึกษาเกิดความสัมพันธ์ที่ดี และทำให้ครูได้รู้ได้เห็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมต่างๆ และสภาพความเป็นอยู่ทางบ้านของนักศึกษา สามารถนำข้อมูลไปวางแผนพัฒนา ส่งเสริมและแก้ปัญหาของนักศึกษาได้ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างบ้านให้กับนางสาวอุรักษ์ จงเจริญ นักศึกษาระดับประถมศึกษาศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอเดชอุดม ทำให้ดิฉันรู้สึกปลาบปลื้มยินดีแทนเจ้าของบ้านที่ทุกฝ่าย ได้ให้การสนับสนุนและร่วมมือช่วยเหลือในการก่อสร้างบ้านเป็นอย่างดียิ่ง ได้เสียสละกำลังกาย กำลังใจ กำลังทรัพย์ ช่วยเหลือการก่อสร้างบ้านจนสำเร็จลุล่วงด้วยดี ทำให้บ้านของท่านเป็นบ้านแห่งน้ำใจเอื้ออาทรอย่างแท้จริง ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมอย่างหนึ่งที่มีอยู่ในจิตใจอันดีงามของพี่น้องชาวอำเภอเดชอุดมทุกคน ขอบคุณทุกท่านแทนเจ้าของบ้าน ไว้ ณ โอกาสนี้และขอให้รักษาสิ่งดีงามนี้ไว้ตลอดไป ขอให้เจ้าของบ้านมีความภาคภูมิใจและระลึกอยู่เสมอว่าการที่ท่านได้รับความช่วยเหลือ เพราะท่านประพฤติดี เป็นคนดีที่สังคมยอมรับ ซึ่งนับว่าเป็นเกียรติแก่ครอบครัวเป็นอย่างยิ่ง ขอให้ท่านได้กระทำความดีต่อไป อย่าได้ย่อท้อ ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยและคุณความดีที่กระทำไว้ ได้ปกป้องคุ้มครองให้ปลอดจากภัยอันตรายและดลบันดาลให้ท่านมีความสุข ความเจริญ

สำหรับการสร้างบ้านให้กับนางสาวอุรักษ์ จงเจริญ นักศึกษาระดับประถมศึกษา กศน.อำเภอเดชอุดม นั้น สืบเนื่องจาก นายธฤติ  ประสานสอน ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดอุบลราชธานี ได้ดำเนินการตามนโยบายโดยให้สถานศึกษาในสังกัดทุกแห่ง จัดกิจกรรมออกเยี่ยมบ้านผู้เรียนทุกภาคเรียน เพื่อเป็นการติดตามดูแลช่วยเหลือผู้เรียน ซึ่ง นายอุกฤษฏ์  รินทรามี ผู้อำนวยการศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอเดชอุดม ได้นำนโยบายสู่การปฏิบัติ โดยได้มอบหมายให้ครูทุกคนออกเยี่ยมบ้านผู้เรียน เมื่อครูได้ออกเยี่ยมบ้านผู้เรียนจึงได้พบว่า นางสาวอุรักษ์ จงเจริญ นักศึกษาระดับประถมศึกษา ซึ่งเป็นนักศึกษาคนพิการด้านสายตา กลุ่มตำบลเมืองเดช อายุ 64 ปี มีรายได้น้อย ไม่มีที่อยู่อาศัย ต้องอาศัยอยู่เล้าไก่ของชาวบ้าน ไม่มีไฟฟ้าใช้ ไม่มีห้องน้ำ เมื่อฝนตกหลังคารั่ว ฤดูหนาวก็ขาดแคลนเครื่องนุ่งห่ม มีรายได้จากเบี้ยผู้สูงอายุและเบี้ยคนพิการ เดือนละ 1,600 บาท เพื่อประทังชีวิต แต่นางสาวอุรักษ์ จงเจริญ เป็นคนดี ประกอบอาชีพด้วยความสุจริตและช่วยเหลืองานส่วนรวมด้วยดีตลอดมา

ด้วยปณิธานและแนวคิดของ ดรกนกวรรณ รมช.ศธ.ที่ว่า “เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ” ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอเดชอุดม จึงได้ร่วมกับองค์การบริหารส่วนตำบลเมืองเดช ร่วมระดมทุนจากทุกภาคส่วน เพื่อจัดซื้อวัสดุในการก่อสร้างบ้าน ในส่วนของแรงงานในการก่อสร้าง ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอเดชอุดม ได้จัดกิจกรรมจิตอาสาทำความดีจากพี่สู่น้อง โดยนักศึกษา คณะครู กศน.อำเภอเดชอุดม เพื่อนบ้าน ตลอดจนผู้นำท้องถิ่น ได้ช่วยเหลือแรงงานในการก่อสร้าง งานก่ออิฐ งานหลังคา งานฉาบปูน งานเทพื้นและงานก่อสร้างทั่วไป ทุกฝ่ายได้ช่วยเหลือให้คำปรึกษา แนะนำ ทำให้การก่อสร้างบ้านแล้วเสร็จด้วยความเรียบร้อย  คิดเป็นมูลค่าก่อสร้างประมาณ 90,000 บาท นับเป็นภารกิจหนึ่งที่เกิดจากการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน อันจะยังประโยชน์แก่ประชาชนอย่างแท้จริง

ผู้สูงอายุอุบลฯร้อง”กนกวรรณ”จัดหาห้องเรียนคอมพ์เรียนรู้ข่าวสารยุค4.0

People Unity News : ผู้สูงอายุอุบลฯร้อง”กนกวรรณ”จัดหาห้องเรียนคอมพ์เรียนรู้ข่าวสารยุค4.0 เสมา 3 สั่ง กศน.อำเภอเมืองเร่งดำเนินการ ร้องรับเป็นศูนย์การเรียนรู้ต้นแบบ ( Co – Learning Space)

วันที่ 23 พฤศจิกายน 2562 ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยนายสมเกียรติ ตันดิลกตระกูล ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายดิศกุล เกษมสวัสดิ์ เลขาธิการ กศน.และคณะ เยี่ยมชมห้องสมุดประชาชนจังหวัดอุบลราชธานี และรับฟังรายงานผลการดำเนินงานห้องสมุดประชาชนและธนาคารหนังสือ

ดร.กนกวรรณ กล่าวว่า การเดินทางมาติดตามการดำเนินงานในวันนี้ ทำให้ได้ฟังเสียงสะท้อนจากพื้นที่ในหลายมิติ อะไรที่รัฐบาลเดิมทำดีแล้วก็ขอให้ทำต่อไปและพัฒนาให้ดีขึ้น การรับฟังข้อมูลทุกด้าน ทำให้ได้รับทราบถึงปัญหาในหลายๆส่วนที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะในส่วนของการให้บริการ ซึ่งต้องอาศัยงบประมาณสนับสนุนในการบริหารจัดการ และการส่งเสริมให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ ผ่านการสร้างกิจกรรมต่างๆเพื่อสร้างแรงจูงใจให้เยาวชนเข้าสู่สังคมแห่งการอ่าน

วันนี้เข้ามาที่นี่รู้สึกมีความสุข อยากกลับมาอีก อยากให้เด็กๆทุกคนให้ความสำคัญกับการอ่านหนังสือ และขอให้ผู้ปกครองช่วยกันปลูกฝังลูกๆตั้งแต่เด็กให้รักการอ่าน และขอฝากให้ห้องสมุดส่งเสริมการจัดกิจกรรมและแหล่งเรียนรู้ให้รองรับความต้องการของคนทุกช่วงวัย รวมถึงการเพิ่มจุดบริการอาหารสมองให้มีความหลากหลาย เพื่อเตรียมความพร้อมให้เป็นศูนย์การเรียนรู้ต้นแบบ ( Co – Learning Space) โดยเฉพาะหนังสือและสื่อที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และศาสตร์พระราชา เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนได้ศึกษาและพัฒนาแนวคิด วิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง สามารถคิดเป็น ปฏิบัติเป็น สามารถพึ่งตนเองได้อย่างชาญฉลาด เสริมสร้างการเรียนรู้ทุกช่วงวัย ที่สำคัญในบทบาทของ กศน.ที่จะขาดมิได้ และขอให้พัฒนาให้ดีขึ้น มากขึ้น ก็คือ การแสวงหาเครือข่ายเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็งร่วมกัน

“และวันนี้ได้พบกับคุณลุงอ้วน สมาชิกเจ้าประจำของห้องสมุดประชาชนจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งลุงอ้วนบอกว่าอยากให้ติดแอร์ในห้องสมุด และขอให้ที่นี่มีการจัดห้องเรียนคอมพิวเตอร์สำหรับผู้สูงอายุ จะได้เอาไว้เรียนรู้เทคโนโลยี และข่าวสารต่างๆให้ทันคนรุ่นใหม่บ้าง ซึ่งตนได้รับไว้แล้วจะให้ กศน.อำเภอเมืองอุบลราชธานี ดำเนินการในส่วนนี้ให้ต่อไป เพราะการส่งเสริมการศึกษาในยุคไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งเป็นยุคเทคโนโลยี ดิจิตอล ถือเป้าหมายสำคัญที่เราจะจับมือพัฒนาคนทุกช่วงวัยไปด้วยกันอย่างมีความสุข” รมช.ศธ.กล่าว

พุทธทั่วโลกนับ 10,000 คนชุมนุมที่อินเดีย ถกความสัมพันธ์กับโลกปัจจุบัน

People Unity News : ชาวพุทธทั่วโลกกว่า 10,000 คนชุมนุมกันที่เมืองออรังคาบัดอินเดีย ถก”ความสัมพันธ์ของพระพุทธศาสนากับโลกปัจจุบัน”

เมื่อเวลา 16.00 น. วันศุกร์ ที่ 22 พฤศจิกายน 2562 ที่ผ่านมา ที่ PES, College of Education, Nagsenvan Campus (Stadium) เมืองออรังคาบัด (Aurangabad) รัฐมหาราษฏร์ ประเทศอินเดีย พระธรรมโพธิวงศ์ เจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา หัวหน้าพระธรรมทูต สายประเทศอินเดีย-เนปาล ร่วมเป็นประธานในการชุมนุมชาวพุทธ โดยมมีพระมหาเถระจากทั่วโลกอาทิสมเด็จพระสังฆราชจากประเทศศรีลังกาและชาวพุทธอินเดียมากกว่า 10,000 คนเข้าร่วม เพื่อรับฟังการปาฐกถาเรื่อง “ความสัมพันธ์ของพระพุทธศาสนากับโลกปัจจุบัน” จากวิทยากรทั่วโลก

พระธรรมโพธิวงศ์กล่าวความตอนหนึ่งว่า “วันนี้นับว่าเป็นวันมงคลที่มหาบัณฑิตมาประชุมกันเพื่อปรารภธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความเจริญ อันเป็นแนวทางห่างไกลจากความเสื่อม การมาสัมมนาเป็นการเสวนาธรรมเพื่อเปิดทางเดินให้โลกปลอดภัยจากภัยอันตราย ธรรมที่เรียกว่ามีอยู่ทุกที่ จะสร้างสันติสุขยืนเคียงคู่กับมนุษย์ได้อย่างถาวร

ท่านพระมหาเถระทั้งหลาย ท่านมหาบัณฑิตทุกท่านเราคงต้องยืนยันว่าโลกเราเดือดร้อน จากกิจกรรมต่างๆ ปฏิบัติในปัจจุบันนี้ทำให้โลกวุ่นวาย ความร้อน ความทุกข์จากเหตุอย่างปรากฎในพรหมชลสูตร และธรรมที่ทรงโปรดในวิถีทางดับทุกข์ให้แก่ชาวโลกกับความปลอดภัย อันปรากฏในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ที่เป็นหลักของพระพุทธศาสนาที่ให้ความสัมพันธ์กับโลกที่เปิดทางแห่งความสุขให้สรรพสัตว์เดินทางปฏิบัติในมรรค การเปิดมิตร ปิดศัตรู ที่ได้อย่างแท้จริงและทราบว่า ที่นี่เป็นเป้าหมายของมหาชนผู้มีปัญญาแท้ และยั่งยืน นำแสงสว่างมาให้ชาวโลกให้มีความสุขอยู่เสมอ เมื่อสรรพทุกชีวิตฟังธรรมจากศรัทธา ในหนทางของมรรค เช่นสัมมาทิฐิ จะได้ความเบิกบานเปิดใจในงานนี้”

เมืองออรังคาบัด (Aurangabad) นั้นตั้งอยูทางทิศตะวันออกของเมืองมุมไบ รัฐมหาราษฏร์ ครอบคลุมพื้นที่ 200 ตร.ก.ม. โดยมีแหล่งท่องเที่ยวคือถ้ำอจันตา (Ajanta Caves)หางจากเมืองออรังคาบัด 95 ก.ม.และถ้ำเอลโลรา (Ellora Caves) หางจากเมืองออรังคาบัด 30 ก.ม.

และที่สำคัญคือรัฐมหาราษฏร์เป็นรัฐกำเนิดของ ดร.เอ็มเบดการ์ (Dr. Ambedkar) จากวรรณะจันฑาลซึ่งสังคมฮินดูของอินเดียรังเกียจเนื่องจากเป็นวรรณที่ต่ำสุด แต่สามารถพัฒนาตนจนเป็นบุคคลสำคัญของประเทศอินเดียและพระพุทธศาสนา โดยเป็นบุคคลแรกของประเทศอินเดียที่ได้นำเอาพระพุทธศาสนากลับมาสู่มาตุภูมิ (ถิ่นกำเนิดพระพุทธศาสนา) เดิมนั้นดร.เอ็มเบดการ์ นับถือศาสนาพราหมณ์ต่อมาจึงเปลี่ยนมานับถือพระพุทธศาสนา ได้เข้าพิธีอย่างเป็นทางการ และได้ยกย่องพระพุทธศาสนาว่าเป็นศาสนาที่สร้างสันติภาพให้แก่โลก เพราะพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เป็นประชาธิปไตย ให้ความเสมอภาค ภราดรภาพ และยกย่องความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน

Cr.เพจสำนักสื่อสารองค์กร พระธรรมทูต สายประเทศอินเดีย-เนปาล

“นิพนธ์”รุกโคราชเตรียมรับมือ 7 วันปลอดภัยรับเทศกาลปีใหม่63

People Unity News :  “นิพนธ์”รุกโคราชประตูอีสาน เตรียมรับมือ 7 วันปลอดภัยรับเทศกาลปีใหม่63 ลดบาดเจ็บล้มตายจากอุบัติเหตุบนท้องถนน

เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2562 ณ ห้องประชุมหลวงพ่อคูณปริสุทโธ ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.2) พร้อมคณะ เดินทางมาตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัดนครราชสีมา การป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ โดยมีนายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา หัวหน้าส่วนราชการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมประชุม

นายนิพนธ์ กล่าวว่า มาเยี่ยมและมอบนโยบายความปลอดภัยทางถนนในโอกาสที่จะถึงช่วงเทศกาลวันปีใหม่ 7 วันอันตราย โดยได้มอบหมายทุกภาคส่วนช่วยกันดูแล ทั้งในส่วนกลไกลท้องถิ่น มูลนิธิ องค์กรการกุศลต่างๆ ต้องร่วมมือกันเพื่อช่วยลดการสูญเสียชีวิตบนท้องถนน โดยขอความร่วมมือจากผู้ว่าราชการทุกจังหวัดในฐานะเป็นประธานศูนย์ความปลอดภัยทางถนนจังหวัด โดยมีกลไก ของ ศปถ.จังหวัด  ศปถ.อำเภอ  รวมไปถึง ศปถ.ท้องถิ่น

โดยในช่วงต้นปีที่ผ่านมาได้แก้กฎหมายเพิ่มอำนาจหน้าที่ของท้องถิ่นจากเดิมที่ไม่ได้เกี่ยวข้องในเรื่องของความสงบเรียบร้อย เรื่องของจราจร ขณะนี้กฎหมายสภานิติบัญญัติได้แก้ไขให้ท้องถิ่นมีอำนาจดูแลเรื่องการจราจร ท้องถิ่นจึงสามารถตั้งงบประมาณในการดูแลทรัพย์สินและการสูญเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนได้
เพราะจากสถิติข้อมูลถนนที่อยู่ในการดูแลของท้องถิ่นมีอยู่ประมาณ 86 เปอร์เซ็นต์ทั้งประเทศ อยู่ในความดูแลของกรมทาหลวง 7 เปอร์เซ็นต์ คือ ประมาณ 51,000 กม. อยู่ในการดูแลของกรมทางหลวงชนบทประมาณ 48,000 กิโลเมตร ท้องถิ่นจึงต้องเข้ามามาดูแลความปลอดภัยทางท้องถนนให้มากขึ้น มุ่งที่จะลดจำนวนการสูญเสีย เราต้องการลดปริมาณการเสียชีวิตจากปีละ 22,000 กว่าราย และพิการเกือบ 50,000 รายต่อปีไม่รวมบาดเจ็บจากอุบัติเหตุบนท้องถนนจำนวนกว่า 1 ล้านราย ซึ่งในการลดตัวเลขเหล่านี้จะลดลงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน วันนี้จึงเดินสายชวนทำบุญช่วยชีวิตคน ชวนภาคีเครือข่าย องค์กรต่างๆ ทั่วประเทศ ได้เข้ามาร่วมกันรณรงค์เพื่อลดตัวเลขการสูญเสียชีวิตบนท้องถนนอย่างต่อเนื่องเพื่อลดการสูญเสีย  จึงมีความจำเป็นที่พวกเราต้องช่วยกันลดการสูญเสียชีวิต ลดการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน สำหรับการดำเนินการนั้นต้องทำต่อเนื่องทั้งปีและสิ่งสำคัญคือต้องให้ความเข้าใจกับผู้ใช้ถนน โดยเฉพาะมาตรการกฎหมายมีการแก้ราชบัญญัติจราจร พยายามจะนำมาตรการต่างๆ มาใช้ เช่น การหักคะแนนใบอนุญาตขับขี่ ซึ่งตอนนี้กำลังฟังความคิดเห็นอยู่ว่าจะใช้เกณฑ์ใดบ้างในการหัก เพราะฉะนั้นมาตรการต่างๆ จะนำมาสู่การเข้มงวดในการใช้ยานพาหนะมากขึ้นการปฏิบัติตามกฎจราจรมากขึ้น

ทั้งนี้การป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ.2563 จังหวัดนครราชสีมา ดำเนินการภายใต้แนวคิด “ขับรถมีน้ำใจ รักษาวินัยจราจร” โดยแบ่งการดำเนินการเป็น 3 ระยะ คือ ช่วงการประชาสัมพันธ์ ช่วงการเตรียมความพร้อมและการรณรงค์ และช่วงควบคุมเข้มข้น โดยศปถ.เน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการประเมินความเสี่ยงของพื้นที่ โดยนำข้อมูลช่วงเทศกาลปีใหม่เฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง (พ.ศ.2560-2562) มาวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อให้จังหวัดและอำเภอที่มีความเสี่ยงหามาตรการแนวทางการลดปัจจัยเสี่ยงให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงและสภาพปัญหาในพื้นที่ โดยเฉพาะอำเภอที่มีความเสี่ยงสูงจะต้องกำหนดมาตรการพิเศษในการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน เพื่อลดความสูญเสียให้ได้มากที่สุด

“พม.”จับมือ”ม.นเรศวร”ร่วมสร้างทักษะพัฒนาอาชีพ ให้กลุ่มเปราะบาง

People Unity News : “พม.”จับมือ”ม.นเรศวร”ร่วมสร้างทักษะพัฒนาอาชีพ ให้กลุ่มเปราะบางในสังคม พร้อมต่อยอดไปจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ

วันที่ 23 พฤศจิกายน 2562 เวลา 10.15 น. ที่ห้องประชุมวิทยาลัยพลังงานทดแทน มหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในพิธี ลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ความร่วมมือทางวิชาการ ระหว่างกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กับ วิทยาลัยเทคโนโลยีธุรกิจอาหารไทยและนานาชาติ มหาวิทยาลัยนเรศวร (มน.) โดยมี นางธนาภรณ์ พรมสุวรรณ อธิบดีกรมกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ นายธนสุนทร สว่างสาลี รองอธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กาญจนา เงารังสี อธิการบดีมหาวิทยาลัยนเรศวร และนางสาวมารีน่า จงเลิศเจษฎาวงศ์ ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคโนโลยีธุรกิจอาหารไทยและนานาชาติ ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดการนำองค์ความรู้ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ในการส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินงาน รวมถึงความร่วมมือระหว่างกันในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาอาชีพและคุณภาพชีวิตคนพิการ การพัฒนาอาชีพและศักยภาพสตรี อีกทั้งเพื่อการสร้างความเข้มแข็งให้แก่สถาบันครอบครัว

นายจุติ กล่าวว่า เป็นการบูรณาการของหน่วยงานภาควิชาการ ท้องถิ่น ราชการ และประชาสังคม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่สังคม โครงการนี้จะเป็นการสร้างอาชีพ สร้างทักษะ สร้างโอกาสให้ผู้ด้อยโอกาส เป็นการเน้นจุดแข็งของประเทศ วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม รวมถึงพัฒนาทุนมนุษย์ ต้องขอขอบคุณมหาวิทยาลัยนเรศวร ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก ที่ร่วมมือกันทำโครงการนี้ ซึ่งเป็นโครงการนำร่อง ทาง กระทรวง พม.จะนำไปต่อยอดและขยายไปในทั่วทุกภูมิภาค

นายจุติ กล่าวอีกว่า เป้าหมายในการทำโครงการ คือต้องการสร้างทักษะ สร้างอาชีพ ให้กับกลุ่มเปราะบางในสังคมทั่วประเทศที่มีมากถึง 500,000 ครัวเรือน ทำให้ปัญหาสังคมมีมากมาย เช่น สถิติการหย่าร้าง คุณพ่อและคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว เป็นต้น ดังนั้นทางกระทรวง พม.ต้องแก้ไขปัญหาของสังคม พร้อมกับการสร้างอาชีพ เพื่อเศรษฐกิจและประโยชน์ที่จับต้องได้ให้กับประชาชน โดยจะมีกระทรวงแรงงาน กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาที่จะช่วยกันสร้างโมเดลนี้ให้เติบโตยิ่งขึ้นไป

“สนธิรัตน์”ชู “ชุมชนผาปัง” ต้นแบบดันเศรษฐกิจฐานรากด้วยพลังงาน

People Unity News : “สนธิรัตน์” ชู “ชุมชนผาปัง” ต้นแบบผนึกกำลังร่วมพัฒนาแผนพลังงานเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจฐานราก ยกระดับวัสดุทางการเกษตรในชุมชนมาเป็นพลังงาน ชี้เห็นแผนใน 1 เดือน ก่อนชง ครม.รับทราบ

วันที่ 23 พฤศจิกายน 2562 ที่อ.แม่พริก จ.ลำปาง นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน และเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ลงพื้นที่ศึกษาดูงาน ชุมชน ต.ผาปัง ในฐานะชุมชนต้นแบบที่ประสบความสำเร็จในการบริหารจัดการ “พลังงานชุมชน” ด้วยตนเอง โดยการใช้ประโยชน์จากไผ่ซางหม่น ซึ่งเป็นพืชประจำถิ่น ในการสร้างพลังงานทดแทนด้วยการแปรรูปเป็นถ่านชีวภาพ (biochar) ทำให้ประหยัดการใช้น้ำมันสูบน้ำเพื่อการเกษตรได้สูง ทั้งยังสามารถลดรายจ่ายในครัวเรือนได้ด้วยการนำมาใช้ทดแทนการใช้ก๊าซหุงต้ม ตลอดจนมีการยกระดับจากพลังงานในชุมชนสู่การจัดตั้งบริษัท กิจการเพื่อสังคม โดยมีชุมชนเป็นแกนกลางการขับเคลื่อนต่อยอดให้ไผ่ซางหม่นเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีมูลค่าในด้านอื่นๆ เช่นการแปรรูปผลิตภัณฑ์ ตะเกียบ ก้านธูป น้ำยาฆ่าเชื้อราจาก น้ำควันไม้จากการเผาถ่าน ตลอดจนการท่องเที่ยวชุมชน เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมอุโมงค์ไผ่ขนาดใหญ่แห่งแรกในประเทศไทย

นายสนธิรัตน์ กล่าวด้วยว่ากระทรวงพลังงานได้เตรียมหารือ กับหน่วยงานอื่นๆ ได้แก่ กระทรวง มหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรม ชาติและสิ่งแวดล้อม กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลัง งาน (พพ.) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เพื่อกำหนดแผนพลังงานเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจฐานราก โดยพัฒนาด้านพลังงานของชุมชนในพื้นที่ห่างไกล ใช้วัตถุ ดิบในพื้นที่ยกระดับสู่การจัดตั้งบริษัท กิจการเพื่อสังคม (SE) เช่นเดียวกับโมเดลของชุมชนผาปัง

ทั้งนี้ แผนดังกล่าวคาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 1 เดือนหลังจากนี้ และจะนำเสนอต่อคณะรัฐ มนตรี (ครม.) เพื่อรับทราบในแนว ทางการทำงาน และคาดว่าจะมีการ กำหนดใช้ได้ภายในช่วงต้นปี 2563 โดยแผนดังกล่าวเป็นการทำให้สอดรับกับการพัฒนาโรงไฟฟ้าชุมชน แต่ไม่ใช่รูปแบบการพัฒนาโรงไฟฟ้า เนื่องจากจะเป็นการนำวัตถุ ดิบในพื้นที่มาเปลี่ยนเป็นเชื้อเพลิง อื่นๆ อย่างเช่นแก๊สได้ และเป็นโมเดลแบบใช้ไฟฟ้าได้เฉพาะตอนกลางวัน (ออฟกริด) โดยคาดว่าจะ ใช้กลไกของกองทุนอนุรักษ์พลัง งานมาสนับสนุน

นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ขอชื่นชมความเข้มแข็งและภูมิปัญญาของชุมชนผาปังที่ร่วมกันระดมความคิด สามารถพลิกฟื้นพื้นที่ที่เคยแห้งแล้ง มาเป็นพื้นที่ที่มีความมั่นคงทางพลังงานในชุมชนได้ด้วยตนเอง จากการใช้ประโยชน์จากต้นทุนที่มีไผ่เป็นพืชท้องถิ่นสะท้อนว่า พลังงานเพื่อชุมชน คือสิ่งที่เป็นไปได้ ไม่ได้เป็นเพียงอนุเสาวรีย์ ทั้งสอดคล้องกับนโยบาย Energy for all ของกระทรวงพลังงาน ที่แสดงให้เห็นถึงการมีความหวังโดยไม่ต้องร้องขอ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีข้อสั่งการว่า ต้องให้ความสำคัญ มีการจัดตั้งงบประมาณพร้อมให้การสนับสนุนชุมชนอื่นๆ ให้ร่วมกันสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับชุมชนของตนเอง ด้วยการบูรณาการกระทรวงที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุนชุมชนอื่นๆ ให้เกิดการใช้พลังงานเพื่อยกระดับเศรษฐกิจฐานราก โดยยกให้ชุมชนผาปังเป็นตัวแบบในการบริหารจัดการเพื่อปลุกเศรษฐกิจฐานรากในปี 2563 ด้วยพลังงาน และยกระดับไปสู่เป้าหมายของการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับชุมชนผาปังนั้น มีความมั่นคงทางพลังงาน สามารถลดรายจ่ายด้านพลังงานและสร้างรายได้จากถ่านชีวภาพได้ 40,000 บาท ต่อไร่ต่อปี ผลิตถ่านปุ๋ยชีวภาพได้ราว 1 แสนบาท มีการยกระดับวิสาหกิจถ่าน สู่การเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม เตรียมประกาศเป็นหมู่บ้านไม่มี lpg ในอนาคต นอกจากนี้ยังถือเป็นต้นแบบการพัฒนาการท่องเที่ยวชุมชน ด้วยการใช้สอยพื้นที่ป่ากว่า 2.4 หมื่นไร่ จนสร้างเป็นแหล่งท่องเที่ยว ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้กว่า 2,500 คนต่อปี โดยระหว่างปี 2558 -2562 สามารถสร้างรายได้สูงถึง 11 ล้านบาท

Verified by ExactMetrics