วันที่ 16 กรกฎาคม 2025

32ส.ส.ซีกรัฐบาลยิ้มแก้มปริ! ทีมกม.ลั่นมีลุ้นหลุดหลังคำวินิจฉัยคดี”ธนาธร”

People Unity News : ทีมกฎหมาย 32 ส.ส.รัฐบาลถือหุ้นสื่อมีความหวัง ลุ้นหลุดคดี หลังคดี”ธนาธร”ศาลรธน. ชี้ความเป็นสื่อดูที่จดแจ้งการพิมพ์ ยันทั้ง 32 คน ไม่เคยจดแจ้ง ไม่ได้ประกอบกิจการสื่อ

วันที่ 21 พฤศจิกายน 2562 นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานกฎหมาย ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่ถูกร้องให้พ้นสถานภาพความเป็นส.ส.จากการถือหุ้นบริษัทสื่อ กล่าวถึงผลคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญคดีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ขาดคุณสมบัติการเป็น ส.ส. โดยมีเนื้อหาระบุถึงบริษัทที่ถือว่าเป็นสื่อมวลชนต้องมีการจดแจ้งการพิมพ์ตามพ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ. 2550 และต้องมีรายได้จากการผลิตสื่อว่า คำวินิจฉัยดังกล่าว ทำให้มีความหวังมากขึ้น เพราะศาลได้เทียบเคียงให้เห็นว่า ผู้ที่จะประกอบกิจการสื่อต้องมีการไปจดแจ้งการพิมพ์แต่กรณีของส.ส.ประชาธิปัตย์ ไม่เคยมีการจดแจ้งการพิมพ์ เพราะมีวัตถุประสงค์ชัดเจนในการจัดตั้งบริษัทว่าไม่ใช่กิจการสื่อ ดังนั้นทุกคดีของส.ส.ประชาธิปัตย์จึงไม่มีใครไปจดแจ้งการพิมพ์ กับสำนักหอสมุดแห่งชาติ หรือต่างจังหวัดก็ไม่มีใครจดแจ้งต่อสำนักงานศิลปากรเขต ซึ่งในการต่อสู้คดีเรามีการขอเอกสารเหล่านี้ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว ก็ได้รับคำยืนยันกลับมาชัดเจนว่าไม่มีทั้งการจดแจ้งและการยกเลิกจดแจ้งการพิมพ์ เป็นเครื่องยืนยันว่าส.ส.ประชาธิปัตย์ไม่ได้ถือหุ้นในบริษัทที่ประกอบกิจการสื่อตามที่ระบุในคำร้อง

“ผมคิดว่าเมื่อดูคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญแล้วเรามีความหวังขึ้น อย่างน้อยที่สุดความหวังเรื่องเจตนาที่บริสุทธิ์ใจในการตั้งต้นบริษัทและถ้าเห็นที่ศาลอธิบายเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญมาตรา 98(3) ก็ค่อนข้างชัดว่าเพื่อป้องกันไม่ให้ส.ส.ก้าวก่ายแทรกแซงหรือครอบงำ ฉะนั้นการก้าวก่ายแทรกแซงหรือครอบงำ ศาลก็ต้องกลับไปตั้งต้นว่าบริษัทนั้นเป็นสื่อจริงหรือไม่ ถ้าเริ่มต้นไม่มีการประกอบกิจการสื่อ ไม่ได้มีการจดแจ้งการพิมพ์ก็จะนำไปสู่การครอบงำไม่ได้อยู่แล้ว” นายราเมศ กล่าว

ด้านนายทศพล เพ็งส้ม ทีมกฎหมายของพรรคพลังประชารัฐ ก็ระบุเช่นเดียวกันว่า คำวินิจฉัยเกี่ยวกับการจดแจ้งการพิมพ์เป็นสิ่งสำคัญที่จะยืนยันได้ว่า สส.รัฐบาลไม่มีใครถือหุ้นสื่อ เนื่องจากทุกบริษัทไม่ได้มีการจดแจ้งการพิมพ์แต่อย่างใด จึงมีความมั่นใจในการทำคดีมากขึ้น โดยจะไปขอคัดลอกสำเนาคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในคดีของนายธนาธร มาประกอบการพิจารณาว่าจะต้องจัดส่งเอกสารหรือทำคำชี้แจงใดที่จะเป็นประโยชน์ต่อการสู้คดีเพิ่มเติมอีกหรือไม่

สำหรับส.ส.รัฐบาลที่ถูกร้องว่าถือหุ้นสื่อมีทั้งหมด 32 คน ประกอบด้วย ส.ส.พลังประชารัฐ 21 คน ประชาธิปัตย์ 8 คน รวมพลังประชาชาติไทย 1 คน ชาติพัฒนา 1 คน และประชาภิวัฒน์ 1 คน

“หญิงหน่อย”ลั่นทหารต้องเปลี่ยนเป็นฮีโร่ มาเน้นกระจายอำนาจยึดปชช.เป็นศูนย์กลาง

People Unity News :  “คุณหญิงสุดารัตน์” ระบุประเทศหยุดพัฒนา-ผู้มีอำนาจเลือกปฏิบัติ ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือทำลายฝ่ายตรงข้าม ชี้ถึงเวลาเปลี่ยนความคิดทหารเป็นฮีโร่ แนะกระจายอำนาจเน้น ปชช.เป็นศูนย์กลาง

วันที่ 21 พฤศจิกายน 2562 หลักสูตรการพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูง สถาบันพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้ง คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จัดเสวนาผู้นำการเมือง กับอนาคตประเทศไทย โดยมีนายวีระกร คำประกอบ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ นายปริญ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ร่วมเสวนา และดำเนินรายการโดยนายยุทธพร อิสระชัย

คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า การพัฒนาประเทศกับการพัฒนาประชาธิปไตยต้องไปด้วยกันอย่างแน่นอนเพราะประชาธิปไตยเป็นเหมือนโครงสร้าง รัฐธรรมนูญเป็นกฏหมายที่ควบคุม ที่จะทำให้ประเทศเดินหน้าได้ ดังนั้นการพัฒนาประชาธิปไตยจึงมีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ

พร้อมระบุว่า วันนี้ระบอบประชาธิปไตย เป็นระบบที่ต้องส่งเสริมโอกาสและในยุคที่ต้องใช้อินเตอร์เน็ตเป็นการชับเคลื่อนต่างๆ ซึ่งเป็นระบบเปิด ที่จะกระจายโอกาสให้ทุกคนสามารถต่อยอดได้ กลับมาถึงประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ยังเป็นระบบการคิดเหมือน 50 ปีที่แล้ว และไม่ได้ใช้งบประมาณเพื่อเตรียมคนให้มีความรู้ความสามารถ

และต้องมีการปรับโครงสร้างอำนาจของประเทศ จากรัฐราชการรวมศูนย์ เป็นการกระจายอำนาจท้องถิ่น เพื่อให้ท้องถิ่นดูแลตัวเองได้ จึงจะเกิดการพัฒนา ซึ่งถ้าไม่มีเตือนให้ประชาชนเป็นตัวกลางประเทศไทยจะตกยุค อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าทหาร เป็นส่วนสำคัญ แต่ต้องปรับความคิดว่า มีนักการเมืองทุจริต แล้วต้องเป็นฮีโร่เข้ามารัฐประหาร ฉีกรัฐธรรมนูญทุกครั้ง จึงไม่สามารถปล่อยไว้เป็นแบบนี้อีกต่อไป ตราบใดที่การทำรัฐประหารไม่ผิดกฎหมายทหารอยู่เหนือรัฐบาลประเทศจะย่ำอยู่กับที่

ดังนั้นจึงต้องปรับให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง นอกจากนี้ยังขอว่า อย่าดูถูกคนต่างจังหวัดว่าเป็นทาสของเงินเพราะทุกวันนี้ฉลาด และการที่นักการเมืองใช้เงินซื้อเสียงของชาวบ้านเชื่อว่าเป็นการใช้เงินเปล่า 80% จึงเกิดคำพูดที่ว่า “รับเงินสุนัข กาพรรคการเมืองอื่น”

คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวด้วยว่า ปี 2540 มีรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน แต่เมื่อถูกบังคับใช้ฝ่ายที่มีอำนาจกลับนำมาใช้ต่ออำนาจ ทำให้องค์กรอิสระไม่เป็นความอิสระแต่ใช้เป็นเครื่องมือในการทำลายฝั่งตรงข้าม และเลือกปฏิบัติ บางคนยืมนาฬิกาเพื่อนหลายเรือนไม่ผิด แต่บางคนยืมรถเพื่อนคันเดียวมาขับกลับติดคุก เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ผู้นำยุคใหม่นอกจากจะต้องมีคุณสมบัติพื้นฐาน สิ่งที่สำคัญคือต้องเป็นผู้นำที่เข้าใจโลกยุคใหม่ทำตัวให้ทันสมัยเพื่อไปคว้าโอกาสมาพัฒนาประเทศให้ได้ และไม่ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางของอำนาจพร้อมยอมรับการเปลี่ยนแปลง และหยุดการผูกขาดกลุ่มทุนขนาดใหญ่

“บิ๊กป้อม”ฮึ่มใส่ “ธนาธร” อย่าอาศัยปมรณรงค์เลิกเกณฑ์ทหารปลุกม็อบ

People Unity News : “บิ๊กป้อม”ฮึ่มใส่ “ธนาธร” อย่าอาศัยปมรณรงค์เลิกเกณฑ์ทหารปลุกม็อบ ไม่ผิดกฎหมายก็ทำไป ลั่นไม่ต้องเคลียร์ “อนุทิน” ปมภท.เปิดศึกสื่อค่ายใหญ่เดี๋ยวเขาก็คุยกัน

วันที่ 21 พฤศจิกายน 2562 เวลา 10.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการเคลื่อนไหวของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ภายหลังศาลรัฐธรรมมีคำตัดสินให้พ้นสมาชิกภาพ ส.ส. ถือเป็นความพยายามในการปลุกมวลชนหรือไม่ ว่า ก็ทำไป ปล่อยเขา ไม่ผิดกฎหมายก็ทำไป

เมื่อถามว่าหน่วยงานความมั่นคงประเมินแล้วใช่หรือไม่ว่าเป็นการรณรงค์ ไม่ใช่การปลุกระดมเชิญชวนให้คนออกมา พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ถ้าเขาทำไม่ผิดกฎหมาย อยากทำก็ทำไป ไม่ว่าจะเป็นการรณรงค์เรื่องการเกณฑ์ทหารหรืออะไรก็ว่ากันไป เมื่อถามย้ำว่าประเมินดูแล้วคงไม่มีการปลุกม็อบลงถนนใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “ไม่ได้มั้ง”

เมื่อถามต่อว่า ในอีกมุมเราต้องบอกสังคมหรือไม่ว่าการยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ต้องมีขั้นตอนรองรับอย่างไรบ้าง พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ก็รู้อยู่แล้ว ว่ามันมีขั้นตอนมาก เพราะเราใช้มาหลาย 10 ปีแล้ว เมื่อถามอีกว่าเห็นว่าขณะนี้กำลังศึกษาการยกร่างยกเลิกการเกณฑ์ทหารอยู่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ก็ต้องดูว่าเราจะเอากำลังที่ไหนมาใช้ รวมถึงการรับสมัคร และงบประมาณจากไหน เมื่อรับสมัครไปแล้วอายุเท่าไหร่ถึงจะปลดประจำการ

พล.อ.ประวิตร กล่าวถึงกรณีความขัดแย้งระหว่างพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กับสื่อดังค่ายหนึ่งนายกรัฐมนตรีได้หารือหรือไม่ ว่า “ไม่มีอะไรหรอก เดี๋ยวเขาก็คุยกัน”

เมื่อถามต่อว่า ในฐานะผู้ใหญ่ในรัฐบาล ได้เคลียร์เรื่องความไม่เข้าใจกันตรงนี้กับนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย หรือไม่ พล.อ.ประวิตร ย้อนถามว่า”เคลียร์กับใคร ไม่เห็นต้องเคลียร์ ไม่ได้มีอะไรกับนายอนุทิน”

เมื่อถามย้ำว่าแต่นายอนุทิน มีปัญหากับพรรคอื่น ในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่จะต้องไปเคลียร์เรื่องนี้หรือไม่ พล.อ.ประวิตร ย้อนถามอีกว่า “พรรคไหน ถ้ามีปัญหากับสื่อ เดี๋ยวเขาก็คุยกัน ไม่มีอะไร”

“นิพนธ์”ขอให้ใช้น้ำประปาอย่างประหยัดเพราะทุนมีน้อย

People Unity News : “นิพนธ์”ขอให้ใช้น้ำประปาอย่างประหยัดเพราะทุนมีน้อย พร้อมให้นำเทคโนโลยีมาใช้พัฒนาการบริการกับประชาชน

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 21 พ.ย. 2562 ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.2) เป็นประธานเปิดการสัมมนาวิชาการและประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2562 จัดโดย สมาคมการประปาแห่งประเทศไทย (สปปท.)เพื่อเผยแพร่ความรู้ทางวิชาการ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์เพื่อปรับปรุงงานด้านการประปา โดยมีสมาชิก สปปท. ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจเข้าร่วมจำนวนมาก

นายนิพนธ์ กล่าวตอนหนึ่งว่า โลกในยุคปัจจุบันมีความเจริญเติบโตเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี ได้ส่งผลกระทบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะเรื่อง “น้ำ” มนุษย์ได้นำความก้าวหน้า ทางด้านเทคโนโลยีและวิทยาการสมัยใหม่เข้ามาบริหารจัดการน้ำเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการ ทั้งด้านอุปโภคบริโภคเพื่อใช้ในด้านธุรกิจอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม ขณะเดียวกัน ความสะดวกสบายทางนวัตกรรม ทำให้มนุษย์ใช้น้ำอย่างฟุ่มเฟือย โดยขาดจิตสำนึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมส่งผลให้ปริมาณน้ำหายากขึ้น ดังนั้น รัฐบาลนี้จึงได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการจัดการทรัพยากรน้ำ ซึ่งจะต้องอาศัยการบูรณาการและความร่วมมือจากหลายฝ่ายร่วมกัน เพื่อนำพาประเทศขับเคลื่อนไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ตามแนวนโยบายของรัฐบาล

“สำหรับสถานการณ์ภัยแล้งในปี 2563 นั้น จากสถิติย้อนหลังพบว่าปริมาณน้ำในปีนี้มีน้อยกว่าปกติส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำในเขื่อนหลัก จึงมีความห่วงใยต่อสถานการณ์ภัยแล้งเพราะน้ำต้นทุนในการผลิตน้ำน้อยกว่าปกติ แต่ทั้งนี้การประปามีความมั่นใจและยืนยันว่าจะบริหารจัดการน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับพี่น้องประชาชน จึงขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนร่วมกันใช้น้ำประปาอย่างประหยัด โดยใช้ทรัพยากรน้ำอย่างรู้คุณค่า และใช้เท่าที่จำเป็น หากทุกคนร่วมมือกันประหยัดการใช้ทรัพยากรน้ำ และเห็นคุณค่าของน้ำอย่างจริงจัง ก็จะสามารถประหยัดน้ำได้เป็นปริมาณมาก” นายนิพนธ์ กล่าว

ส.ส.ผู้ทรงเกียรติขัดแย้งกันอย่างหนัก “ปารีณา”ฟ้อง”เสรีพิศุทธ์”-“มาดามเดียร์”ส่งทนายฟ้อง”ช่อ”

People Unity News : “ปารีณา” แจ้งความ “เสรีพิศุทธ์” กลางดึก รุ่งขึ้นเข้าสภาฯ ฟ้อง “ชวน” สอบจริยธรรม ถูกปิดไมค์ให้ไปเคลียร์กันเองใน กมธ. สอนไม่ควรขัดแย้งในเรื่องที่ไม่ควรขัดแย้ง ขณะที่ “มาดามเดียร์” ส่งทนายฟ้อง “ช่อ” แล้ว ปมบิดเบือนข้อเท็จจริงถือหุ้นและครอบงำสื่อ พร้อมเรียกร้องอย่าใช้เอกสิทธิ ส.ส.หลีกเลี่ยงกระบวนการพิสูจน์ความจริงในศาล

วันที่ 21 พฤศจิกายน 2562 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม ก่อนเข้าสู่วาระการประชุม ได้เปิดโอกาสให้สมาชิกหารือปัญหาความต่างๆ โดยน.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ หารือว่า ขอเรียกร้องให้นายชวนสอบจริยธรรมพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย ในฐานะประธานกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร เพราะทนกับพฤติกรรมของพลต.อ.เสรีพิศุทธ์มาระยะหนึ่งแล้ว ไม่คุ้นเคย และไม่ชอบ รู้สึกว่า ประธานกมธ.ใช้คำพูดดูหมิ่นเช่น เดี๋ยวจะโดน การโดนชี้หน้า อยากให้ประธานสภาฯตั้งกรรมการสอบจริยธรรมพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ด้วย

อย่างไรก็ตามก่อนที่น.ส.ปารีณาจะพูดต่อ นายชวนกล่าวตัดบทไม่นำเรื่องภายในกมธ. มาหารือ หากมีอะไรให้ทำหนังสือส่งมาที่ตนได้ แต่น.ส.ปารีณายังพยายามพูดต่อโดยระบุว่า การทำหน้าที่ประธานกมธ.ของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ มีลักษณะดูถูก ดูหมิ่น ดังนั้นต้องสอบพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ทำให้นายชวนต้องปิดไมค์ไม่ให้น.ส.ปารีณาพูดต่อ พร้อมตักเตือนว่า การหารือในที่ประชุมสภาฯ ต้องไม่พูดกระทบผู้อื่น ปัญหาภายในกมธ. ต้องจัดการกันเอง อยากให้ทุกคนทำงานเพื่อประชาชนร่วมกัน ไม่ขัดแย้งในเรื่องที่ไม่ควรขัดแย้ง

ทั้งนี้เมื่อ​ช่วงดึกวันที่​ 20 พฤศจิกายน 2562 น.ส.ปารีณา​ ได้เดินทางเข้าแจ้งความกับ​ พ.ต.ต.ณพพล​ มักการุณ สารวัตร (สอบสวน)​ สน.ทองหล่อ​ เพื่อให้ดำเนินคดีกับ​ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ในข้อหาเอกสารเท็จ

“มาดามเดียร์” ส่งทนายฟ้อง “ช่อ” แล้วปมบิดเบือนข้อเท็จจริงถือหุ้นและคลอบงำสื่อ

ที่รัฐสภา น.ส.วทันยา วงษ์โอภาสี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ระบุว่า ได้มอบอำนาจให้ทนายไปดำเนินการยื่นฟ้อง      น.ส.พรรณิการ์ วานิช ส.ส.บัญชีรายชื่อและโฆษก  พรรรอนาคตใหม่ต่อศาลอาญาถนนรัชดาภิเษก ในคดีหมิ่นประมาทและหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา เพื่อปกป้องสิทธิและศักดิ์ศรีจากการที่ น.ส.พรรณิการ์ บิดเบือนข้อเท็จจริงของตนเองและคู่สมรส ในประเด็นการถืิอหุ้นและคลอบงำสื่อ

พร้อมยืนยันไม่เคยดำรงตำแหน่งใดๆและไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัท เนชั่นมัลติมีเดียกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ดังนั้นการที่ น.ส.พรรณิการ์ได้ออกมาแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายนที่พรรคอนาคตใหม่ จึงเป็นความเท็จ นอกจากนี้ข้อเท็จจริงตนเองและคู่สมรส ไม่ได้เป็นเจ้าของและเป็นผู้ถือหุ้นในกิจการสื่อใดๆ ตั้งแต่ก่อนที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ดังนั้นไม่ว่าจะตีความคู่สมรสทั้งทางนิตินัยหรือพฤตินัย ตนเองก็ทำถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ

น.ส.วทันยา กล่าวด้วยว่า จากประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมา สื่อมวลชนย่อมรู้ดีเสมอว่าผู้บริหารนั้นไม่สามารถแทรกแซงกองบรรณาธิการได้ สื่อมวลชนทุกคนล้วนมีเสรีภาพทางความคิดและอิสระในการทำงาน ซึ่งส่วนตัวตระหนักและเคารพการทำงานของกองบรรณาธิการสื่อทุกสำนักมาโดยตลอด นอกจากนี้ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันที่เข้ามาทำงานในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตนเองยึดมั่นมาโดยตลอดว่าต้องมีวุฒิภาวะในการแยกแยะระหว่างเรื่องส่วนตัวและเรื่องของงานออกจากกัน ดังนั้นขอให้ น.ส.พรรณิการ์อย่าใช้เอกสิทธิ์ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในการหลีกเลี่ยงกระบวนการพิสูจน์ความจริงในชั้นศาล ควรมาสู้ด้วยข้อเท็จจริงตามกระบวนการยุติธรรม เพราะถ้ารักจะกล่าวหาผู้อื่นต้องกล้าพิสูจน์ความจริงอย่างมีความรับผิดชอบด้วย

อย่างไรก็ตามศาลรับคำฟ้องไว้ทำการไต่สวนมูลฟ้องและนัดไต่สวนครั้งแรกในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2563

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสเสด็จทำเนียบรัฐบาล

People Unity News :  สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสเสด็จทำเนียบรัฐบาล นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี คณะทูตานุทูต และแขกผู้มีเกียรติรับเสด็จ ทรงชมไทยเป็นพหุสังคมอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์

วันที่ 21 พฤศจิกายน 2562 เวลา 09.00 น. ณ สนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส (His Holiness Pope Francis)ประมุขแห่งคริสตจักรโรมันคาทอลิก ในโอกาสเสด็จเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ โดยในพิธีรับเสด็จ นายกรัฐมนตรีได้กราบทูลเชิญสมเด็จพระสันตะปาปาฯ เสด็จตามพรมแดงไปยังแท่นรับความเคารพ ณ สนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า โดยผู้มีเกียรติที่มารับเสด็จ อาทิ รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการเหล่าทัพ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จากนั้น นายกฯกราบทูลเชิญสมเด็จพระสันตะปาปาฯ เสด็จไปยังห้องสีงาช้างด้านนอก และทรงลงนามในสมุดเยี่ยม และทอดพระเนตรของที่ระลึกที่ทั้งสองฝ่ายมอบให้แก่กัน

จากนั้น นายกฯกราบทูลเชิญสมเด็จพระสันตะปาปาฯ ไปยังตึกสันติไมตรีหลังนอก เพื่ออนุญาตให้คณะทูตานุทูต คณะรัฐมนตรี แขกผู้มีเกียรติ และสื่อมวลชน เข้าเฝ้ารับเสด็จ โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวถวายการต้อนรับ ว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสถวายการต้อนรับสมเด็จพระสันตะปาปาฯ ในโอกาสเสด็จเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ในปีนี้ตรงกับวาระครบรอบ 350 ปี การจัดตั้งคณะมิสซังคาทอลิกแห่งสยาม และเป็นวาระครบรอบ 50 ปี ของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับนครรัฐวาติกัน ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ชื่นชมพระกรณียกิจของสมเด็จพระสันตะปาปาฯ ที่ทรงให้ความสำคัญกับการสร้างความสามัคคี การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การขจัดความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำในสังคม การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม รวมถึงการส่งเสริมสันติภาพในโลก ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนทุกศาสนา

นายกฯกล่าวถึงการดำเนินนโยบายของไทยที่ได้น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มาเป็นแนวทางในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ซึ่งในปี 2562 นี้ ไทยในฐานะประธานอาเซียนได้ร่วมมือกับทุกภาคส่วนและประเทศหุ้นส่วนทุกภูมิภาคส่งเสริมประชาคมอาเซียนให้เป็นสังคมแห่งการพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกมิติ จากผลการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 35 สมาชิกอาเซียนต่างเห็นพ้องที่จะเสริมสร้างความร่วมมือตามประเด็นที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของสมเด็จพระสันตะปาปาฯ ได้แก่ การแก้ไขปัญหาความยากจน การลดช่องว่างด้านการพัฒนา การพัฒนาทุนมนุษย์ การคุ้มครองสิ่งแวดล้อม การลดขยะทะเล การพัฒนาพลังงานทดแทน และการอพยพย้ายถิ่นฐานที่เน้นการอำนวยความสะดวก การส่งกลับโดยสมัครใจ ปลอดภัย และมีศักดิ์ศรี จึงเชื่อมั่นว่าไทยและนครรัฐวาติกันจะร่วมมือกันได้อย่างใกล้ชิดทั้งในกรอบทวิภาคีและระหว่างประเทศ

ในตอนท้าย นายกฯเชื่อมั่นว่าการเสด็จเยือนไทยครั้งนี้ ของสมเด็จพระสันตะปาปาฯ ยังความปลื้มปิติแก่คริสต์ศาสนิกชนชาวคาทอลิกในประเทศไทยที่มีจำนวนมากกว่า 380,000 คน และเป็นโอกาสให้ได้เข้าร่วมกิจกรรมและพิธีทางศาสนาที่สมเด็จพระสันตะปาปาฯ จะทรงเป็นประธาน ทั้งนี้ รัฐบาลและชาวไทยพร้อมถวายการต้อนรับสมเด็จพระสันตะปาปาฯ และคณะผู้ตามเสด็จอย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อให้การเสด็จเยือนประเทศไทยเป็นไปโดยราบรื่นตามที่มุ่งหมายไว้

โอกาสนี้ สมเด็จพระสันตะปาปาฯ ได้ประทานพระดำรัส ใจความสำคัญว่า ข้าพเจ้า ขอขอบคุณที่ท่านได้ให้โอกาสแก่ข้าพเจ้า ในการที่ได้มาอยู่ท่ามกลางท่านทั้งหลาย ทั้งยังได้ดำเนินการอำนวยความสะดวกแก่ข้าพเจ้าและคณะฯ เพื่อให้ได้มาเยือนผืนแผ่นดินไทย อันอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่หลากหลาย และยังเป็นประเทศที่ยังคงรักษามรดกทางจิตวิญญาณและวัฒนธรรม อันได้แก่ วัฒนธรรมการให้การต้อนรับ ซึ่งข้าพเจ้าได้ประสบด้วยตัวเอง และปรารถนาที่จะเป็นพยานยันยืนถึงสิ่งนี้ เพื่อเสริมสร้างความสามัคคีระหว่างประเทศและประชาชนทั่วโลก วันนี้ข้าพเจ้าจะได้รับพระมหากรุณาธิคุณ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 และสมเด็จพระบรมราชินี ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ เพื่อให้ข้าพเจ้ามีโอกาสได้เข้าเฝ้าฯ เพื่อกล่าวสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ที่ได้ทรงเชิญให้ข้าพเจ้ามาเยือนราชอาณาจักรไทย ข้าพเจ้าขอยืนยันอีกครั้งถึงความปรารถนาดีของข้าพเจ้าที่มีต่อราชอาณาจักรและต่อรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และขอแสดงความระลึกอย่างสูงต่อพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

ข้าพเจ้าขอแสดงความยินดีอย่างยิ่งที่ประเทศได้ผ่านการเลือกตั้ง อันเป็นก้าวสำคัญในการกลับมาสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตย ?เราทั้งหลายทราบดีแล้วว่า ปัญหาของโลกในปัจจุบันเป็นปัญหาที่มีผลกระทบต่อทุกส่วนของโลก เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อครอบครัวมนุษยชาติ และเรียกร้องให้มีความตั้งใจจริง ในการที่จะทำให้เกิดความยุติธรรมระหว่างประเทศ และความเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างประชาชนทุกหมู่เหล่า ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญยิ่งในการที่ประเทศไทยกำลังจะหมดวาระของการเป็นประธานของกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการร่วมแรงร่วมใจ ในการแก้ไขปัญหาที่ประชาชนในภูมิภาคนี้กำลังเผชิญ และยังเป็นหนทางในการที่จะนำไปสู่ความร่วมมือด้านการเมือง เศรษฐกิจ และ วัฒนธรรม

ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมอันดกดื่น เป็นประเทศพหุสังคมที่มีความหลากหลายอันเป็นเอกลักษณ์ เป็นประเทศที่ยอมรับถึงความสำคัญในการสร้างความสามัคคีและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ โดยแสดงความเคารพและยกย่องต่อวัฒนธรรม ศาสนา และความคิดเห็นที่แตกต่าง ปัจจุบันเป็นยุคของโลกาภิวัฒน์ ซึ่งบ่อยครั้งให้ความสำคัญต่อเศรษฐกิจ และการเงิน โดยมองข้ามมิติด้านจิตวิญญาณและความสวยงามในประชาชนของเรา ในทางกลับกัน ประสบการณ์ในการให้ความเคารพและยอมรับความแตกต่าง ได้ให้แรงบันดาลใจและแรงกระตุ้นสำหรับทุกคน ผู้มีความปรารถนาที่จะสร้างโลกที่แตกต่าง เพื่อมอบให้กับชนรุ่นต่อไป

ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจอย่างยิ่งต่อการจัดตั้งคณะกรรมการแห่งศูนย์จริยธรรมและสังคม ซึ่งได้เชิญผู้แทนจากศาสนาต่างๆ ในประเทศเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อรับฟังความคิดเห็นของเขาเหล่านี้ ในการที่จะรักษาความทรงจำทางจิตวิญญาณอันมีชีวิตของประชาชน ในแง่มุมมองนี้ ข้าพเจ้าจะได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เพื่อแสดงถึงความสำคัญและความเร่งด่วนในการสร้างมิตรภาพและการเสวนาระหว่างศาสนา อันจะนำมาซึ่งการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขของสังคม และการเสริมสร้างสังคมที่มีความเป็นธรรม รู้จักรับฟัง และไม่มีการแบ่งแยก ข้าพเจ้าขอยืนยันว่า ชาวคาทอลิกแม้ว่าเป็นเพียงกลุ่มเล็กๆ ในประเทศ จะพยายามอย่างเต็มความสามารถ ในการที่จะสนับสนุนอัตลักษณ์ของความเป็นไทย ซึ่งปรากฏในเพลงชาติของท่าน: “รักสามัคคี…รักสงบ…ไม่ขลาด…” และพวกเขาเหล่านี้ มีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะเผชิญหน้ากับทุกสิ่งที่ไม่ปฏิเสธ หรือบ่ายเบี่ยงเสียงเรียกร้องของพี่น้องชายหญิง ที่ปรารถนาจะหลุดพ้นจากความเป็นทาสของความยากจน ความรุนแรง และ ความอยุติธรรม ผืนแผ่นดินของท่านได้ชื่อว่าเป็นแผ่นดินไทย คือแผ่นดินแห่งอิสรภาพ เราทราบกันดีแล้วว่า อิสรภาพจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อเราสามารถที่จะเติมเต็มความรับผิดชอบที่เรามีต่อกันและกัน เพื่อเอาชนะความไม่เท่าเทียมทุกรูปแบบ เพราะฉะนั้น เป็นสิ่งที่จำเป็นที่จะต้องพยายามให้ประชาชนทุกคน ได้มีโอกาสเข้าถึงการศึกษา อาชีพการงาน และความช่วยเหลือด้านสุขภาพ เพื่อที่จะได้สามารถบรรลุถึงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่สมบูรณ์และยั่งยืน

ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ข้าพเจ้าขอกล่าวสั้นๆ เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของผู้ย้ายถิ่น ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ในปัจจุบัน ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การอพยพย้ายถิ่นฐาน แต่อยู่ที่สถานการณ์อันเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการอพยพย้ายถิ่น ซึ่งเป็นปัญหาทางด้านจริยธรรมที่สำคัญยิ่งในยุคสมัยของเรา เราไม่สามารถปฏิเสธวิกฤติการณ์ปัญหาผู้อพยพ วิกฤติการณ์นี้ไม่สามารถมองข้ามได้ ประเทศไทยเองเคยเป็นประเทศที่มีชื่อเสียงว่าเป็นประเทศที่ต้อนรับผู้อพยพ โดยเฉพาะบรรดาผู้ต้องหลบหนีอย่างน่าเศร้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ข้าพเจ้าขอวิงวอนให้ประชาคมระหว่างประเทศ ดำเนินการด้วยความรับผิดชอบในการแก้ไขปัญหาที่ผลักดันให้ประชาชนต้องหลบหนีออกจากประเทศของตน และส่งเสริมให้มีการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานที่ปลอดภัย มีการจัดการ และมีการควบคุม ข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ทุกประเทศจะจัดตั้งกลไกที่มีประสิทธิภาพ ในการปกป้องสิทธิและศักดิ์ศรีของบรรดาผู้ย้ายถิ่นและผู้อพยพ ผู้ซึ่งต้องเผชิญภยันตราย ความไม่แน่นอน และการถูกเอารัดเอาเปรียบ ในการที่เขาแสวงหาเสรีภาพและชีวิตที่มีศักดิ์ศรีสำหรับครอบครัวของตน พวกเขาเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงผู้อพยพ หากแต่ยังสะท้อนภาพลักษณ์ของสังคมของเราทุกคนด้วย

เรื่องนี้ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงบรรดาสตรีและเด็กในยุคของเรา ที่ต้องเผชิญกับ ความรุนแรง การถูกเอารัดเอาเปรียบ และการถูกบังคับให้ทำงานเยี่ยงทาสในหลากหลายรูปแบบ ข้าพเจ้าของชื่นชมรัฐบาลไทย รวมทั้งบุคคลและองค์กรที่ได้ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพื่อแก้ไขปัญหาอันน่าเศร้าใจและเปิดหนทางแห่งการดำเนินชีวิตที่มีศักดิ์ศรีแก่บุคคลเหล่านี้ ปีนี้เป็นปีแห่งการครบรอบ 30 ปี ของ “อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก” ซึ่งเป็นโอกาสดีสำหรับเราในการที่จะไตร่ตรองและดำเนินการด้วยความตั้งใจแน่วแน่ ความพากเพียรพยายาม และความเร่งด่วน เพื่อปกป้องชีวิต พัฒนาการด้านสังคม สติปัญญา โอกาสทางการศึกษา รวมทั้งการเติบโตทางด้านกายภาพ จิตใจ และจิตวิญญาณของบรรดาเยาวชน อนาคตของประชากรของเราขึ้นอยู่กับวิธีการที่เราจะสามารถรับประกันต่อเยาวชนของเราถึงการดำเนินชีวิตอย่างมีมีศักดิ์ศรีในอนาคต

ปัจจุบันนี้สิ่งที่สังคมของเราต้องการมากกว่ายุคสมัยใดๆ คือ ผู้ส่งเสริมให้เกิด “ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่” ชายและหญิงที่มีความตั้งใจจริงในการที่จะทำให้เกิดการพัฒนาแบบบูรณาการสำหรับประชากรในครอบครัวมนุษยชาติ ที่จะดำเนินชีวิตในความยุติธรรม ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และความสมัครสมานสามัคคีฉันพี่น้อง ท่านทั้งหลาย ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตน ในการที่จะพยายามให้ผลประโยชน์ร่วมกันไปทั่วถึงทุกหนแห่งของประเทศ นี่คือหนึ่งในภารกิจอันประเสริฐที่บุคคลๆหนึ่งสามารถทำได้ ด้วยความรู้สึกเช่นนี้ ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะให้ทุกท่านปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายของตนให้สำเร็จ และข้าพเจ้าวอนขอพระพรอันไพบูลย์จากพระเจ้า สำหรับประเทศ บรรดาผู้นำ และประชาชนชาวไทยทั้งมวล ข้าพเจ้าภาวนาวิงวอนขอให้พระเจ้าทรงนำท่านและครอบครัวของท่าน ในหนทางแห่งปัญญา ความยุติธรรม และสันติสุข

พล.อ.ประวิตรเร่งพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า

People Unity News :  พล.อ.ประวิตร เรียกประชุมคณะกรรมการเร่งขับเคลื่อน การอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า จ.ระยองและจ.สุรินทร์ รองรับการท่องเที่ยว พร้อมรณรงค์ประชาชนมีส่วนร่วมเพื่อความภาคภูมิใจร่วมกัน

วันที่ 21 พฤศจิกายน 2562 พล.ต.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษกรองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า ครั้งที่3/ 2562 ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล

ที่ประชุม ได้ปรึกษาหารือและเห็นชอบในหลักการโครงการก่อสร้างอุโมงค์ทางเดินลอดถนนหน้าพระลาน จ.น.2 แห่งๆที่1 ระยะทาง 96 เมตร พื้นที่รวม 6,280 ตารางเมตร แห่งที่2 ระยะทาง 37 เมตร พื้นที่รวม 434 ตารางเมตรและถนนมหาราช จ.น.1แห่ง มีระยะทาง 90 เมตร พื้นที่รวม 1,146 ตารางเมตร และเห็นชอบการปรับปรุงพื้นที่ของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ บริเวณถนนราชดำเนินกลางโดยปรับปรุงภาพลักษณ์สถาปัตยกรรมภายนอกอาคารนิทรรศน์รัตนโกสินทร์และอาคารเทเวศประกันภัย เพื่อเป็นต้นแบบก่อนและสวนนาคราภิรมย์ ให้ปรับปรุงพื้นที่และมีการใช้ประโยชน์แบบผสมผสานสอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ข้างเคียงและนักท่องเที่ยวพร้อมทั้งเห็นชอบโครงการจัดทำแผนแม่บทและผังแม่บทการอนุรักษ์และพัฒนาบริเวณเมืองเก่า(เมืองเก่าระยองและเมืองเก่าสุรินทร์) โดยให้จังหวัดจัดทำกรอบวิเคราะห์แผนแม่บทเมืองเก่า(แผนระดับที่3) เพื่อนำเสนอต่อสภาพัฒนาการฯและจัดทำรายละเอียดประกอบแผนงาน / โครงการตามแผนแม่บทเพื่อนำไปปฏิบัติในระดับพื้นที่ที่มีความสอดคล้องกับเมืองเก่าแต่ละเมืองต่อไป

พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวขอบคุณคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่าที่ทุ่มเทในการปฏิบัติหน้าที่ด้วยดี และขอให้เร่งขับเคลื่อน กำกับดูแลโครงการดังกล่าวพร้อมได้สั่งการ กทม.,จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามที่คณะกรรมการเห็นชอบแล้วให้เป็นไปตามแผนงานอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นรูปธรรมและต้องสร้างการรับรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยวได้มีส่วนร่วมโดยเห็นประโยชน์และเกิดความภาคภูมิใจร่วมกัน ควบคู่กันไปด้วย

เผย 3 ปัจจัยแผ่นดินไหวในลาว ส่งผลกระทบอาคารสูงกรุงเทพฯ

People Unity News :  ศ.ดร.อมร พิมานมาศ นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างไทยเผย 3 ปัจจัยแผ่นดินไหวระยะไกลเช่นลาว ส่งผลกระทบต่ออาคารสูงในกรุงเทพฯ

วันที่ 21 พฤศจิกายน 2562 จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 5.9 ริกเตอร์ ที่เกิดขึ้นที่ประเทศลาวเมื่อเช้าวันนี้(21พ.ย.) ทำให้อาคารสูงหลายแห่งใน กทม. ได้รับแรงสั่นสะเทือนนั้น ศ.ดร.อมร พิมานมาศ นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างไทย เปิดเผยว่า แผ่นดินไหวดังกล่าวเป็นแผ่นดินไหวระดับกลางและเป็นแผ่นดินไหวระยะไกลประมาณ 600-700 กม. แต่ก็ทำให้อาคารหลายแห่งใน กทม. ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว โดยมี 3 ปัจจัยที่แผ่นดินไหวมีผลกระทบต่ออาคารสูงใน ก.ท.ม. ที่ต้องระวัง

1.สภาพชั้นดินของ กทม. เป็นชั้นดินเหนียวอ่อน ดังนั้นแม้ว่าแผ่นดินไหวจะเกิดขึ้นจากระยะไกล แต่ด้วยสภาพชั้นดินของ กทม. จะขยายคลื่นแผ่นดินไหวให้แรงขึ้นได้อีก 3-4 เท่า จึงทำให้อาคารได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวดังกล่าว 2.อาคารสูง เช่น คอนโดมีเนียม อาคารสำนักงาน ที่มีความสูง 10 ชั้นมีค่าความถี่ธรรมชาติต่ำ ซึ่งเป็นค่าความถี่การสั่นของอาคารที่ใกล้เคียงกับการสั่นไหวของพื้นดิน ทำให้เกิดการสั่นเข้าจังหวะกันระหว่างพื้นดินและอาคาร ทำให้อาคารสูงมีการสั่นสะเทือนที่แรงกว่าอาคารทั่วไป

3.อาคารสูงหลายแห่งใน กทม. หากก่อสร้างก่อนปี 2550 มีแนวโน้มที่จะไม่ได้ออกแบบให้รองรับแผ่นดินไหว เนื่องจาก กฎกระทรวงกำหนดการรับน้ำหนักความต้านทานความคงทนของอาคารและพื้นดินที่รองรับรับอาคารในการต้านทานแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว เริ่มประกาศใช้บังคับตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา

จากปัจจัยทั้ง 3 นี้ทำให้อาคารสูงหลายแห่งมีการสั่นไหวที่รุนแรงกว่าปกติ ทั้งนี้ การสั่นไหวของอาคารใน กทม. เนื่องจากแผ่นดินไหวเคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งในอดีตเช่น ในปี พ.ศ. 2547 เกิดแผ่นดินไหวในมหาสมุทรอินเดียขนาด 9.3 ริกเตอร์ และในปี 2554 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.8 ริกเตอร์ในประเทศลาว

สำหรับแผ่นดินไหวที่อาจส่งผลกระทบต่ออาคารสูงใน กทม. อาจมาจาก 3 แหล่งได้แก่ 1. บริเวณรอยต่อของแผ่นเปลือกโลกในมหาสมุทรอินเดียมีระยะห่างจาก กทม.ประมาณ 1200 กม. 2. แผ่นดินไหวทางภาคเหนือและจากประเทศลาวมีระยะห่างจาก กทม. ประมาณ 600-700 กม. และ 3. แผ่นดินไหวที่มาจากทางภาคตะวันตกได้แก่ จ. กาญจนบุรี และจากประเทศพม่า มีระยะห่างจาก กทม. ประมาณ 300-400 กม.

ศ.ดร.อมร กล่าวด้วยว่า ไทยควรให้ความใส่ใจกับแผ่นดินไหวที่มาจากทิศตะวันตกและประเทศพม่าด้วย เนื่องจากมีรอยเลื่อนที่มีพลังคือ รอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ และ รอยเลื่อนเจดีย์สามองค์ นอกจากนี้ยังมีรอยเลื่อนสะแกงในประเทศพม่า ซึ่งอยู่ห่างในระยะประมาณ 400 กม. และอาจเกิดแผ่นดินไหวได้รุนแรงถึง 8.5 ริกเตอร์ หากเกิดขึ้นอาจส่งผลกระทบให้อาคารใน กทม. ได้รับความเสียหายได้

“สำหรับผลกระทบของแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในประเทศลาวในครั้งนี้นั้น คิดว่าอาจมีผลกระทบให้อาคารสั่นไหว แต่คงไม่กระทบต่อโครงสร้างมากนัก เนื่องจากเป็นเพียงแผ่นดินไหวระดับปานกลางและเกิดขึ้นค่อนข้างไกลจาก กทม. อย่างไรก็ตามแนะนำให้เจ้าของอาคารตรวจสอบอาคารของตนว่ามีรอยร้าวที่บริเวณใดบ้าง เช่น เสา คาน ผนังอาคาร เป็นเบื้องต้น และหากตรวจพบรอยร้าวก็ควรแจ้งวิศวกรเข้าตรวจสอบเหตุการณ์ด้วย”

“อนุดิษฐ์”ติง”บิ๊กตู่” ศก.ไทยแย่อย่าอ้างภาวะโลก เพื่อนบ้านตัวเลขดีกว่าเยอะ

People Unity News :  เลขาธิการพรรคเพื่อไทยเรียกร้อง พล.อ.ประยุทธ์หยุดใช้ประเทศเป็นหนูลองยาแก้เศรษฐกิจ หลังมาตรการแจกเงินส่อแววล้มเหลว จนทีมงานด้านเศรษฐกิจเริ่มแสดงอาการถอดใจ

วันที่ 21 พฤศจิกายน 2562 น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย แสดงความห่วงใยประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ หลังหน่วยงานด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลออกมาเปิดเผยตัวเลขที่ถดถอยลงในทุก ๆ ด้าน ขณะที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ และ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ทำได้เพียงขอร้องไม่ให้พูดเรื่องเศรษฐกิจแย่เพราะจะส่งผลต่อการแก้ปัญหาและขอให้เชื่อมั่นรัฐบาล

น.อ.อนุดิษฐ์เห็นว่า เป็นท่าทีที่ขาดความรับผิดชอบของผู้นำรัฐบาล เพราะการพูดในทำนอง ตัวเองแก้ไม่ได้ แต่กลับยังไปโทษคนอื่นว่าไม่ช่วย ทั้งที่หลายฝ่ายได้เตือนมาตลอดว่าแนวทางแก้เศรษฐกิจของรัฐบาลเดินมาผิดทาง โดยเฉพาะการใช้นโยบายแจกเงินเฉพาะหน้าให้ประชาชน ซึ่งไม่มีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวม แต่รัฐบาลก็ยังดึงดันใช้แนวทางนี้ จนกระทั่งตัวเลขด้านต่าง ๆ ออกมาประจานความล้มเหลวให้เห็น

“ประเทศไม่ใช่หนูลองยา ที่จะให้ผู้นำที่ขาดความรู้อย่าง พล.อ.ประยุทธ์มาทดลองแก้เศรษฐกิจ โดยเฉพาะการแจกเงินแบบคิดเอาเองว่าแจกแล้วทุกอย่างจะดีขึ้น แต่วิกฤติครั้งนี้รุนแรงมากกว่าที่คิด เพราะต่อเนื่องมาจากการรัฐประหารที่ต่างชาติไม่ยอมรับ จนกระทั่งมาเป็นนายกฯรอบ 2 ด้วยกลไกรัฐธรรมนูญที่ถูกออกแบบมาเพื่อสืบทอดอำนาจ ดังนั้นการจะให้ต่างชาติหรือคนส่วนใหญ่เชื่อมั่น จึงเป็นไปได้ยาก” น.อ.อนุดิษฐ์กล่าว

น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวอีกว่าที่ผ่านมารัฐบาลมักโทษไปที่ปัญหาเศรษฐกิจโลก แต่หากย้อนไปดูประเทศเพื่อนบ้าน ตัวเลขทางเศรษฐกิจของเขาดีกว่าของเรามาก เนื่องจากมีผู้นำที่ทำให้คนในชาติเชื่อมั่นได้ ต่างกับของไทยที่ผู้นำขาดวิสัยทัศน์ ทำให้ประชาชนอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกและขาดความเชื่อมั่นต่ออนาคตของประเทศ ทำให้พวกเขาเลือกที่จะไม่ใช่จ่ายหรือลงทุน เพราะเห็นฝีมือ พล.อ.ประยุทธ์มาแล้วกว่า 5 ปี ไม่ใช่ 4 เดือนอย่างที่ฝ่ายรัฐบาลพยายามกล่าวอ้าง

“พล.อ.ประยุทธ์ พูดถึงตัวเลขโรงงานที่ต้องปิดตัวลงกว่า 1,000 แห่งในยุคของตัวเอง แบบไม่รู้ร้อนรู้หนาว และใช้วิธีการแบบเดิม ๆ แก้ปัญหา นั่นคือสั่งให้รัฐมนตรีลงไปดูแล ขณะที่ตัวรัฐมนตรีเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะรัฐบาลไม่มีนโยบายร่วมกันที่ชัดเจน แม้กระทั่งค่าแรงขั้นต่ำที่หาเสียงเอาไว้ก็เบี้ยวผู้ใช้แรงงานหน้าตาเฉย สุดท้ายก็แก้ปัญหาแบบแก้ผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆ ด้วยการเดินตามก้นระบบราชการ” น.อ.อนุดิษฐ์กล่าว

น.อ.อนุดิษฐ์กล่าวต่ออีกว่าพล.อ.ประยุทธ์อาจอยู่ในอำนาจต่อไปได้เรื่อย ๆ ด้วยกลไกรัฐธรรมนูญที่พวกเขาช่วยกันออกแบบมา แต่หากอยู่แล้วไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้ประชาชนได้ ก็น่าสงสัยว่าจะอยากอยู่ต่อไปทำไม หากพล.อ.ประยุทธ์ยิ่งอยู่เศรษฐกิจยิ่งแย่ ขอถามว่าใครจะรับผิดชอบ กว่า 5 ปีแล้ว พวกเราจะปล่อยให้พล.อ.ประยุทธ์ใช้ประเทศเป็นหนูลองยาแก้เศรษฐกิจต่อไปอีกหรือ

“เจ้าคุณประสาร”แจงคณะอนุกมธ.พุทธและศาสนาอื่นยันไม่เกี่ยวข้องกับธรรมกาย

People Unity News :  “เจ้าคุณประสาร”แจงคณะอนุกมธ.พุทธและศาสนาอื่นยันไม่เกี่ยวข้องธรรมกาย เผยที่ประชุมมีมติรับศึกษาร่างพรบ.อุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ธนาคารพระพุทธศาสนา และแม่ชีไทย ตามที่เสนอ วอนฝ่ายกล่าวหาอย่ากล่าวโจมตีให้ร้ายเหตุมีอคติเข้าครอบงำ

เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2562 ที่ห้องประชุม 405 อาคารรัฐสภา (เกียกกาย) พระเมธีธรรมาจารย์ หรือเจ้าคุณประสาร รองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ในฐานะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาด้านพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆ สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า นางพรเพ็ญ บุญศิริวัฒนกุล ประธานคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาด้านพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆ ได้เรียกประชุมคณะอนุกรรมาธิการนัดแรก เริ่มประชุมที่ประชุมได้เสนอเชื่อและลงมติในการพิจารณาอนุกรรมาธิการเพื่อดำรงตำแหน่งที่ปรึกษา รองประธาน เลขานุการ และผู้ช่วยเลขานุการ

จากนั้นได้ศึกษาทำความเข้าใจในขอบเขตอำนาจ หน้าที่ของอนุกรรมาธิการเพื่อให้ตรงกับรัฐธรรมนูญ กฎหมายและอื่นๆเพื่อให้เข้าใจตรงกัน ในวาระพิจารณานั้นส่วนของอาตมาได้ขอให้คณะอนุกรรมาธิการขออำนาจจากกรรมาธิการชุดใหญ่เพื่อศึกษาและเสนอต่อกรรมาธิการใน 3 เรื่องคือ 1. ร่างพระราชบัญญัติอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา 2.ร่างพระราชบัญญัติธนาคารพระพุทธศาสนา และ 3.ร่างพระราชบัญญัติแม่ชีไทย ที่ประชุมมีมติรับไปดำเนินการทั้ง 3 เรื่องแต่ขอพิจารณาคราวละเรื่องเพื่อจะได้สำเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด

ก่อนหน้าเข้าสู่ระเบียบวาระ อาตมาได้ปรารภกับที่ประชุมว่า ก่อนมาประชุมมีสื่อมวลชนบางสำนักได้เสนอข่าวว่า มีอดีตเลขาธิการพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ได้กล่าวในทำนองว่าทำไมคณะอนุกรรมาธิการชุดนี้จึงแต่งตั้งบุคคลที่เป็นเครือข่ายวัดใหญ่วัดหนึ่งเข้าไปเป็นอนุกรรมาธิการด้วยโดยสื่อท่านนั้นก็พูดแสดงความเห็นทำนองว่ารวมเอาอาตมาเข้าไปในเครือข่ายนั้นด้วย รวมทั้งพูดว่าอาตมานั้นเคยลุกขึ้นถือดาบ รำดาบปกป้องอดีตเจ้าอาวาสวัดนั้นด้วย

อาตมาจึงยืนยันต่อคณะอนุกรรมาธิการว่า(เคยยืนยันกับสื่อมาแล้วหลายครั้ง) 1.ในชีวิตนี้ไม่เคยเข้าไปที่วัดดังกล่าว ไม่เคยเป็นมือปืนรับจ้าง ไม่เคยรับงานใครมาทำ ยืนยันชัดเจน ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นได้ทำงานเพื่อคณะสงฆ์และพระพุทธศาสนาโดยรวมตลอดมา 2. บุคคลที่อดีตเลขาธิการพรรคการเมืองและสื่อคนนั้นเจาะจงพูดถึงซึ่งเป็นอนุกรรมาธิการอยู่ด้วยนั้นอาตมาได้ยืนยันต่อคณะอนุกรรมาธิการว่าไม่คยรู้จักกัน ไม่เคยติดต่อกัน เคยพบครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 นอกจากนั้นในการประชุมนัดแรกนี้ยังตั้งป้ายให้อาตมานั่งติดกันอีก คงจะเป็นประเด็นได้อีกแน่นอน นี่คือคำปรารภของอาตมาในที่ประชุมคณะอนุกรรมาธิการนัดแรก เมื่อเลิกประชุมก็รับการถวายข้าวกล่องขึ้นไปฉันบนรถเพื่อกลับไปปฎิบัติหน้าที่ตามปกติ

ภายหลังระหว่างเดินทางกลับได้รับการติดต่อจากหลายคน หลายฝ่ายว่า มีอดีตเลขาธิการพรรคการเมืองพรรคหนึ่งท้วง (หรือจะเรียกอะไรก็ตาม) ว่าการแต่งตั้งให้อาตมาเป็นอนุกรรมาธิการฯนั้นผิดรัฐธรรมนูญ ไม่สามารถทำได้ พระสงฆ์เป็นอนุกรรมาธิการไม่ได้ ตอนนี้ฝ่ายที่รับผิดชอบก็เลยกำลังศึกษากันอยู่ว่าจะทำอย่างไร จะออกมาในรูปแบบใหน อย่างไร

พระเมธีธรรมาจารย์ กล่าวต่อว่า สำหรับอาตมานั้น ก่อนรับปากว่าจะไปนั่งทำหนัาที่ตรงนั้น ได้ศึกษารายละเอียดมาพอสมควร ทำการบ้านมาบ้างแล้ว และไปฟังจากนักกฎหมายหลายท่านในการประชุมวันแรก อาตมาขอสรุปประเด็นที่กำลังถูกบางท่าน บางคนตั้งข้อสังเกต ดังนี้

1.ผิดรัฐธรรมนูญหรือไม่
2. ผิดกฎหมายอื่นใดไหม
3. ผิดกฎหมายสงฆ์และกฎเกณฑ์ ระเบียบ คำสั่ง ประกาศ ข้อบังคับและอื่นๆของมหาเถรสมาคมหรือไม่
4.เป็นการนำพาพระหรือพระกระโจนลงไปเล่นการเมืองใหม
5.เหมาะสม สมควรหรือไม่
6. ผิดพระธรรมวินัยไหม

ขอชี้แจงรายละเอียด ดังนี้
1. ไม่ปรากฎในรัฐธรรมนูญว่าพระสงฆ์เป็นบุคคลตัองห้ามในการดำรงตำแหน่งดังกล่าว
2. ไม่ปรากฎว่ามีกฎหมายฉบับใดๆของไทยในการห้ามพระสงฆ์เข้าไปดำรงตำแหน่งในอนุกรรมาธิการโดยเฉพาะในอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาด้านพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆ
3.ไม่ปรากฎในกฎหมายสงฆ์และอื่นๆในการต้องห้ามในกรณีนี้
4. กรณีนี้ต้องพิจารณาให้รอบคอบ นี่เองที่อาตมาปรารภว่าได้ทำการบ้านมาบ้างแล้ว เราจะต้องแยกแยะเรื่องบ้านเมืองกับเรื่องการเมืองให้ออก บ้านเมืองคือส่วนรวมของประเทศชาติ ทุกคนต้องมีส่วนร่วมรวมทั้งพระสงฆ์ก็ไม่เว้น ส่วนการเมืองเรื่องอำนาจ การหาเสียง และผลประโยชน์อื่นใดนั้น จะรวมทั้งการชี้นำทางการเมืองด้วยแล้ว แน่นอนพระสงฆ์ไม่ควรยุ่งเกี่ยว ไม่ควรเกี่ยวข้อง

สำหรับในส่วนของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้บัญญัติไว้ชัดเจนในขอบข่ายอำนาจหน้าที่ของอนุกรรมาธิการ เพราะที่ผ่านมานั้นการตั้งคณะอนุฯมาหลายคณะ หลายชุดแล้วกลับกลายเป็นประเด็นทางการเมือง เป็นเครื่องมือทางการเมือง เช่น เรียกบุคคล องค์กร มาสอบ มาถาม มีการชี้ผิดชี้ถูกให้คุณให้โทษได้ เป็นต้น

รัฐธรรมนูญจึงกำหนดบทบาทของคณะอนุฯใหม่ไม่ให้มีอำนาจกระทำการแบบนั้นได้ เป็นเสมือนที่ปรึกษาทางวิชาการของกรรมาธิการชุดนั้นๆเท่านั้น ขอย้ำ คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาด้านพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆ เป็นเสมือนที่ปรึกษาด้านวิชาการแก่คณะกรรมาธิการชุดใหญ่เท่านั้น ไม่มีอำนาจ หน้าที่อะไรมากไปกว่านี้

ในคำสั่งแต่งตั้งนั้น ชัดเจนให้คณะอนุกรรมาธิการชุดนี้ มีหน้าที่และอำนาจ ดังนี้

1. พิจารณาศึกษาประเด็นปัญหาตามที่คณะกรรมาธิการมอบหมาย ในเรื่องเกี่ยวกับการอุปถัมภ์ทำนุบำรุงและคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆที่ทางราชการให้การรับรอง รวมทั้งสร้างศาสนสัมพันธ์เพื่อความสามัคคีและศาสนิกชนสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างสันติสุข

2. ให้คณะอนุกรรมาธิการรายงานผลการพิจารณาศึกษาต่อคณะกรรมาธิการทราบเป็นระยะ และจัดทำรายงานผลการพิจารณาศึกษาเสนอต่อคณะกรรมาธิการภายในระยะเวลาที่กำหนด

เหตุผลที่อาตมาได้อธิบายมาและยิ่งมาดูหน้าที่และอำนาจตามกรอบที่ได้รับมอบหมายแล้วก็จะมีแค่อย่างละข้อเท่านั้นเองสำหรับหน้าที่และอำนาจ และโดยเฉพาะข้อที่หนึ่งนั้นชัดเจนมาก ชัดเจนในภารกิจที่จะต้องทำ คือจะต้องปฎิบัติในสิ่งที่เป็นคุณต่อพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆ นี่เป็นประเด็นสำคัญที่จะต้องทำความเข้าใจให้ตรงกัน ให้เข้าใจเหมือนกันทุกฝ่าย รวมทั้งฝ่ายที่กำลังร้องอยู่ในขณะนี้ด้วย จึงอยากถามว่า นี่หรือการเมือง นี่ใช่ใหมพระเล่นการเมือง นี่ใช่ใหมพระทำผิดรัฐธรรมนูญและกฎหมายบ้านเมือง นี่ใช่ใหมพระทำตัวไม่เหมาะสม และถ้าหน้าที่และอำนาจที่ระบุไว้ในอนุกรรมาธิการชัดเจนขนาดนี้แล้วถ้าพระสงฆ์ซึ่งเป็นศากยบุตรยังไม่เหมาะในการไปทำหน้าที่ดังกล่าว ไม่ควรเป็นผู้แทนไปแสดงบทบาทนี้ ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร แล้วใครละที่มีคุณสมบัติเหมาะสมจะไปทำหน้าที่ ช่วยตอบทีการกล่าวอ้างการเมืองโดยไม่ศึกษารายละเอียดให้ชัดเจนถ่องแท้มันง่ายดีและโดยเฉพาะเรื่องมันเกี่ยวเนื่องกับสภาและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแล้วก็โยนเป็นการเมืองไปหมด แบบนี้ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมากการกล่าวโจมตีโดยการจับมัดรวมว่าเป็นเครือข่ายวัดโน้นวัดนี้ คนของคนโน้นคนนี้ถ้าไม่คำนึงถึงความถูกต้องและคุณธรรมแล้วก็สนุกปากดี

5. เหมาะสมหรือไม่ ตอบรวมแล้วในข้อที่ 4
6. พระพุทธองค์มีปณิธานส่วนพระองค์ว่า จะยังไม่ปรินิพพาน ถ้าสาวกของพระองค์ยังไม่ศึกษาพระพุทธศาสนาทั้งปริยัติและปฎิบัติแล้วนำไปสู่ปฎิเวธ เผยแผ่พระพุทธศาสนา และพิทักษ์ปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนา

“กรณีนี้เข้าข่ายพุทธปณิธานทั้งการเผยแผ่พระพุทธศาสนาและการอุปถัมภ์ พิทักษ์ ปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนา วันนี้อาตมาขอยืนยันว่า ไม่ยึดติด ไม่กังวล พร้อมจะลุกออกไป ไม่มีปัญหา อาตมาขอร้องเพียงว่า อย่ากล่าวโจมตี ให้ร้าย มุ่งทำลายเพราะมีอคติเข้าครอบงำ บ้านเมืองของเราต้องการความสามัคคี เพื่อเดินหน้าประเทศไปสู่การกินดีอยู่ดีของคนทั้งประเทศ ท่านทั้งหลายจะมีสติและพอกันได้หรือยังกับการเล่นการเมืองเพื่อมุ่งทำลายล้างคนที่เราไม่ชอบโดยไม่คำนึงถึงคุณธรรมใดๆ ทั้งสิ้น
พอได้แล้วโยม” พระเมธีธรรมาจารย์ ระบุ

Verified by ExactMetrics