วันที่ 18 กรกฎาคม 2025

ธนารักษ์-ทบ.ลงนามสร้าง “สวนป่าเบญจกิติ” ปรับภูมิทัศน์-เพิ่มพื้นที่สีเขียว-สร้างหอชมเมือง

People Unity News : “คลัง” กดปุ่มพัฒนาระยะแรกโครงการจัดสร้าง “สวนป่าเบญจกิติ” มอบกองทัพบกเข้าก่อสร้าง พ.ย.นี้ พร้อมเฉลิมพระเกียรติวันแม่ปี 64

“คลัง” ไฟเขียว กรมธนารักษ์-กองทัพบก ลงนามข้อตกลงโครงการจัดสร้าง “สวนป่าเบญจกิติ” มั่นใจ “เฟสแรก” ลุยปรับภูมิทัศน์-เพิ่มพื้นที่สีเขียวเต็มพื้นที่ ก่อสร้างระยะแรกแล้วเสร็จ เพื่อเตรียมการ จัดงานเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในวันที่ 12 สิงหาคม 2564

นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดสร้างสวนป่า “เบญจกิติ” ครั้งที่ 1/2563  ว่า ทางกรมธนารักษ์ได้รายงานความคืบหน้าการสร้างสวนป่าเบญจกิติ ในพื้นที่โรงงานยาสูบ ของการยาสูบแห่งประเทศไทย ภายหลังการส่งมอบพื้นที่ 259 ไร่เป็นที่เรียบร้อย  โดยงบประมาณในการก่อสร้างกว่า 652 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2565  โดยเตรียมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการดำเนินงานในวันที่ 26 ตุลาคม 2563 เพื่อดำเนินการก่อสร้างในโครงการทั้งหมด

สำหรับแผนการพัฒนาโครงการแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ โดยระยะ1 เริ่มเดือนพฤศจิกายนนี้ เพื่อดำเนินการปรับปรุงภูมิทัศน์ให้เป็นไปตามแนวทางการออกแบบทั้งหมด และปลูกต้นไม้เพิ่มในพื้นที่สีเขียว  คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายนปี 2564  เพื่อให้มีช่วงเวลาสำหรับเตรียมจัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในวันที่ 12 สิงหาคม 2564 ส่วนระยะ 2 ทางกองทัพบกจะเข้าไปก่อสร้างในส่วนของอาคารและพิพิธภัณฑ์ต่างๆ คาดว่าจะใช้ระยะเวลาในการดำเนินงานแล้วเสร็จและเปิดให้บริการประชาชนเข้าชมได้ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2565

“ผมได้ย้ำให้ผู้ออกแบบดูเรื่องหอชมเมือง เพราะมีความจำเป็นมาก เนื่องจากจะเป็น Destination ของกรุงเทพฯ โดยให้เตรียมกำหนดพื้นที่ที่มีความเหมาะสมไว้ก่อน ส่วนเรื่องงบประมาณทางรัฐบาลจะมาดูอีกครั้ง นอกจากนี้ได้กำชับให้กรมธนารักษ์ และหน่วยงานที่รับผิดชอบ หาแนวทางในการนำระบบโซลาร์เซลล์มาติดตั้งในพื้นที่สวนป่าโดยเฉพาะการผลิตพลังงานกังหันน้ำชัยพัฒนาเพื่อบำบัดน้ำเสีย จะมีการติดตั้งไว้ในบึงบริเวณพื้นที่โครงการ ขณะที่ระบบไฟฟ้าที่ใช้ส่องสว่างภายในสวนทั้งหมดจะมีการใช้ระบบโซลาร์เซลล์ด้วยเช่นกัน ถือเป็นการช่วยรักษาระบบนิเวศที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นายสันติ กล่าว

Advertising 

เปิดแล้ว ระบบน้ำบาดาลใหญ่ที่สุดของไทย ผลงานกระทรวงทรัพยากรฯ แก้ภัยแล้ง

People Unity News : พล.อ.ประวิตร  มอบระบบน้ำบาดาลใหญ่ที่สุดของไทย ผลงานกระทรวงทรัพยากรฯ แก้ภัยแล้งชัยนาทอย่างยั่งยืน

21 ตุลาคม 2563 เวลา​ 09.​00 น.​ นายวราวุธ​ ศิลปอาชา​ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ (รมว.ทส.)​ พร้อมด้วย นายจตุพร​ บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้การต้อนรับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในโอกาสเดินทางมาเป็นประธานมอบโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลขนาดใหญ่ริมแม่น้ำ หรือที่เรียกว่า Riverbank Filtration (RBF) ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งแรกของประเทศไทย ให้กับเทศบาลตำบลหาดท่าเสา อ.เมือง จ.ชัยนาท เพื่อบริหารจัดการแก้ไขปัญหาภัยแล้งด้านการอุปโภคบริโภคและการเกษตรในพื้นที่ จ.ชัยนาท ต่อไป

นายวราวุธกล่าวว่า “โครงการ RBF แห่งนี้สามารถผลิตน้ำได้ถึง 4,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน เป็นน้ำคุณภาพดีที่ผ่านการกรองโดยกระบวนการทางธรรมชาติ และสามารถนำมาใช้ได้โดยไม่กระทบต่อน้ำผิวดิน สามารถช่วยเหลือประชาชนให้มีน้ำอุปโภคบริโภค รวมถึงใช้ทางการเกษตรได้กว่า 8 หมู่บ้าน จำนวน 1,484 ครัวเรือน หรือประชาชนกว่า 5,000 คน ซึ่ง จ.ชัยนาท เป็น 1 ใน 3 พื้นที่ต้นแบบ ในการกักเก็บน้ำฝนไว้ใช้ และบริหารจัดการน้ำใต้ดินควบคู่ไปกับน้ำผิวดิน โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะเร่งพัฒนาขยายโครงการ RBF ไปยังพื้นที่ที่ประสบภัยแล้งทั่วประเทศต่อไปในอนาคต”

โอกาสนี้ รองนายก ได้กล่าวว่า “รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับปัญหาภัยแล้งทั่วประเทศเป็นอย่างมาก เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีที่ทำกินที่ดีขึ้น และได้เร่งแก้ปัญหาด้านน้ำอย่างเป็นระบบเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาภัยแล้งซ้ำอีกในปีต่อไป”

ทั้งนี้ โครงการ RBF ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา มีเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่ที่สุดถึง 60 ซม. มีหอถังเหล็กส่งน้ำระยะไกลสูง 40 เมตร นอกจากนี้ พบว่า ยังมีปริมาณน้ำที่พัฒนาได้อีกกว่า 1.4 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ในการช่วยเหลือประชาชนได้มากถึง 8,000 คน โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะเร่งดำเนินการต่อไปในอนาคต

Advertising 

ครม. เห็นชอบให้มีการเลือกตั้ง อบจ. 76 จังหวัด ให้ กกต.กำหนดวันเลือกตั้งภายใน 60 วัน

People Unity News : ครม. เห็นชอบให้มีการเลือกตั้ง อบจ. 76 จังหวัด

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผย คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้มีการเลือกตั้ง สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) 76 จังหวัด โดยให้ กกต. เป็นผู้กำหนดวันเลือกตั้งตามความเหมาะสม หลังจากที่ได้รับแจ้งจาก ครม. ภายใน 60 วัน

ปัจจุบันสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา ได้ครบวาระการดำรงตำแหน่งทั่วประเทศแล้ว ในเดือนพฤษภาคม 2561 แต่ยังคงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่เกี่ยวข้อง

ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้ประชุมหารือร่วมกันเพื่อเตรียมความพร้อมในการเลือกตั้ง

ความพร้อมของกระทรวงมหาดไทย

1) ข้อมูลจำนวนราษฎรที่ใช้ในการแบ่งเขตเลือกตั้งสำนักทะเบียนกลาง กรมการปกครอง ได้ประกาศจำนวนราษฎรทั่วราชอาณาจักรตามหลักฐานการทะเบียนราษฎร

2) การรวมหมู่บ้านเป็นเขตเลือกตั้งสำหรับการเลือกตั้งขององค์การบริหารส่วนตำบล กรณีหมู่บ้านใดในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลมีราษฎรตามหลักฐานการทะเบียนไม่ถึง 25 คน ให้รวมหมู่บ้านนั้นกับหมู่บ้านที่มีพื้นที่ติดต่อกัน ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว

3) การเตรียมความพร้อมด้านงบประมาณค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทยได้แจ้งจังหวัดกำชับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเตรียมการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2564 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นไว้เป็นการล่วงหน้า โดยเฉพาะการจัดเตรียมงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อรองรับการจัดการเลือกตั้งภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ตั้งงบประมาณสำหรับการเลือกตั้งขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ไว้พร้อมแล้ว

ความพร้อมของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง

1) ออกระเบียบและประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้งแล้ว

2) ดำเนินการแบ่งเขตเลือกตั้งขององค์การบริหารส่วนจังหวัดครบทุกแห่งและประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว

3) ดำเนินการสรรหาคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นครบทุกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้ว

4) ดำเนินการอบรมผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัด ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องในระดับจังหวัดและระดับอำเภอ จำนวน 10,749 คน ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้วในเดือนกันยายน 2563

สำหรับการอบรมคณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง จะดำเนินการเมื่อมีการประกาศให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

Advertising  

“นฤมล” บุกเหนือสุดแดนอีสาน สร้างแรงงานภาคเกษตร พัฒนาเศรษฐกิจประเทศ

People Unity News : นฤมล บุกเหนือสุดแดนอีสาน สร้างแรงงานภาคเกษตร พัฒนาเศรษฐกิจประเทศ

วันที่ 3 ตุลาคม 2563 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่จังหวัดบึงกาฬเพื่อพบปะเกษตรกรและร่วมมอบเอกสารสิทธิให้ประชาชนเข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01) ประชุมหารือเพื่อแก้ปัญหาเกี่ยวกับเกษตรกร หลังจากนั้นได้เยี่ยมชมกิจกรรมแรงงานสัญจร บริการพี่น้องประชนของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดบึงกาฬ 5 หน่วยงาน ซึ่งเป็นการประชาสัมพันธ์และให้บริการภารกิจของกระทรวงแรงงานที่เกี่ยวข้องกับแรงงานภาคการเกษตร ณ ชุมนุมสหกรณ์กองทุนสวนยางจังหวัดบังกาฬ จำกัด ตำบลท่าสะอาด อำเภอเซกา จังหวัดบึงกาฬ

ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวว่า ตามนโยบายของรัฐบาล โดยการนำของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องการให้กระทรวงแรงงานขับเคลื่อนภารกิจเพื่อให้แรงงานไทยมีงานทำ โดยพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน เพื่อเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพ จึงมอบหมายกรมพัฒนาฝีมือแรงงานเร่งพัฒนาทักษะกำลังแรงงานของประเทศ ภายใต้แนวคิด “สร้าง ยก ให้ รวมไทยสร้างชาติ” โดยจะเดินหน้าสร้างแรงงานภาคการเกษตรให้เป็นแรงงานคุณภาพ ยกระดับฝีมือให้มีทักษะที่หลากหลาย สามารถประยุกต์ใช้ในการประกอบอาชีพได้ในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงให้โอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้มากขึ้น ซึ่งกระทรวงแรงงานมีภารกิจในด้านการจัดหางาน การพัฒนาทักษะฝีมือ การคุ้มครองสวัสดิการแก่ผู้ทำงานในระบบและนอกระบบ โดยเฉพาะกลุ่มภาคการเกษตร จะผลักดันให้ได้รับความช่วยเหลือด้านสิทธิประโยชน์ประกันสังคม ซึ่งกระทรวงแรงงานมีหน่วยงานทุกจังหวัด เพื่อบริการประชาชนให้ได้รับบริการอย่างทั่วถึง ซึ่งการลงพื้นที่ในครั้งนี้ ต้องการรับฟังปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะจากภาคประชาชนที่ต้องการให้กระทรวงแรงงานดำเนินการภายใต้ภารกิจของกระทรวง เพื่อมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ โดยเฉพาะการพัฒนายกระดับการผลิตและการแปรรูปยางพาราและเกษตรกรรมด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยี ให้ได้มาตรฐานสากล เพื่อการส่งออกสู่ประเทศเพื่อนบ้านในอนุภาคลุ่มน้ำโขง การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก การค้าชายแดน  ตลอดจนการท่องเที่ยววิถีชีวิตลุ่มน้ำโขง

รมช. แรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า ภารกิจของกระทรวงแรงงานที่ให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชน จะเกิดผลสําเร็จได้ต้องอาศัยฟันเฟืองกลไกที่สําคัญในพื้นที่ในระดับหมู่บ้าน คือ อาสาสมัครแรงงาน ซึ่งเป็นผู้แทนกระทรวงแรงงานในพื้นที่และเป็นผู้ที่สมัครใจทํางานให้กับกระทรวงแรงงาน เพื่อให้เกิดสันติสุขด้านแรงงานแก่ผู้ใช้แรงงาน นายจ้าง ลูกจ้าง และประชาชนทั่วไป ทําหน้าที่เพื่อเป็นสื่อกลางในการประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารด้านแรงงานให้กับประชาชนในพื้นที่ได้รับทราบกันอย่างทั่วถึงและติดต่อประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ใช้แรงงานที่ประสบปัญหาความเดือดร้อน จึงขอชื่นชมและขอขอบคุณอาสาสมัครแรงงานทุกท่าน

กิจกรรมแรงงานสัญจรบริการพี่น้องประชาชน ประกอบด้วย โครงการแรงงานสัญจรพบประชาชนพื้นที่จังหวัดบึงกาฬ ให้ความรู้แก่อาสาสมัครแรงงานและเครือข่ายด้านแรงงาน จำนวน 70 คน เพื่อนำนโยบายและภารกิจของกระทรวงแรงงานไปสู่การปฏิบัติ และจัดกิจกรรมการให้บริการการรับเรื่องราวร้องทุกข์ร้องเรียน กิจกรรมการรับสมัครงาน แนะแนวอาชีพ และประชาสัมพันธ์มาตรการสนับสนุนการจ้างงานผู้สำเร็จการศึกษาใหม่ โครงการ Co-Payment (จ้างงานเด็กจบใหม่) “รัฐช่วยเสริม เอกชนช่วยสร้าง” โดยสำนักงานจัดหางานจังหวัดบึงกาฬ การสาธิตการใช้โซลาเซลล์ เพื่อการประกอบอาชีพ Smart Farmer และการมอบป้ายศูนย์ทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติให้แก่วิทยาลัยเทคโนโลยีเอ็น-เทค อินเตอร์เนชั่นแนล บึงกาฬ โดยสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานบึงกาฬ การให้คำปรึกษาแนะนำ การรับคำร้องทุกข์ร้องเรียน เกี่ยวกับสภาพการจ้างแรงงานทั้งในระบบและนอกระบบ และให้คำปรึกษา แนะนำเกี่ยวกับกฎหมายความปลอดภัยในการทำงาน โดยสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดบึงกาฬ และการให้ความรู้ในเรื่องสิทธิประโยชน์กับผู้ประกันตน การรณรงค์ส่งเสริมการสมัครเป็นผู้ประกันตน และบริการรับสมัครผู้ประกันตน มาตรา 40 โดยสำนักงานประกันสังคมจังหวัดบึงกาฬ

“เมื่อวานนี้ได้มีโอกาสเจอคุณนา กลุ่มแรงงานนอกระบบหลังจากที่ถูกบริษัทเลิกจ้าง ซึ่งได้เข้าฝึกอบรมหลักสูตรช่างเย็บผ้ากับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และได้กู้ยืมเงินจากธนาคารออมสินที่ค้ำประกันโดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) จำนวน 50,000 บาท เพื่อนำไปซื้อจักรเย็บผ้าและวัสดุอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง จนปัจจุบันสามารถสร้างอาชีพใหม่ รับจ้างตัดชุดได้ราคาชุดละ 3,600 บาท และมีการจ้างตัดชุดเป็นจำนวนมาก จึงเป็นสิ่งที่การันตีได้ว่าแรงงานกลุ่มนี้สามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่ มีอาชีพและรายได้ที่ยั่งยืน”  รมช. แรงงาน กล่าวในท้ายสุด

Advertising

“บิ๊กตู่” กำชับสถานศึกษาระมัดระวังการลงโทษเด็กนักเรียน ไม่ให้ใช้ความรุนแรง

People Unity News : นายกรัฐมนตรีกำชับสถานศึกษาระมัดระวังการลงโทษเด็กนักเรียน การรับน้อง ไม่ให้ใช้ความรุนแรงหรือกลั่นแกล้งโดยเด็ดขาด

วันนี้ (29 ก.ย. 63) เวลา 13.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตอบคำถามสื่อมวลชนถึงการเคลื่อนไหวชุมนุมว่า ขอให้อยู่ภายใต้กฎหมายและไม่ทำลายทรัพย์สินทางราชการ พร้อมกำชับให้หน่วยงานภาครัฐระมัดระวังในการปฏิบัติต่อประชาชน ทั้งนี้ รัฐบาลเปิดพื้นที่ให้ประชาชนให้แสดงความคิดเห็น แต่ขอความร่วมมือไม่เผยแพร่ข้อมูลเท็จ เพื่อลดแรงกดดันและความรุนแรงในสังคม พร้อมขอบคุณสื่อมวลชนที่เผยแพร่ข้อเท็จจริงให้ประชาชนได้ทราบ

นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่อพิจารณาญัตติร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งที่ประชุมรัฐสภามีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะกรรมาธิการศึกษาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นเวลา 30 วัน เพื่อให้เกิดการพิจารณาร่วมกันของ 2 สภา ซึ่งต้องติดตามความคิดเห็นของ กมธ. ต่อไป โดยนายกรัฐมนตรียืนยันไม่มีอำนาจในการกำกับทั้ง 2 ฝ่าย เพราะสมาชิกรัฐสภาทุกท่านมีอิสระในการแสดงความคิดเห็น เพียงขอให้ยึดถือผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นหลัก

ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีฝากถึงบุคลากรทางการศึกษารวมทั้งสถาบันการศึกษาทุกระดับ ให้ระมัดระวังการลงโทษเด็กนักเรียน และการรับน้อง ต้องไม่ใช้ความรุนแรงหรือออกกำลังกายอย่างหักโหมโดยเด็ดขาด รวมถึงไม่ให้กลั่นแกล้งกัน (bully) ในสถานศึกษา โดยได้กำชับกระทรวงศึกษาธิการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สถาบันการศึกษาต่างๆ ให้ดูแลความเรียบร้อย แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะปัจจุบัน โซเชียลมีเดียช่วยเผยแพร่ข้อมูล ทำให้สื่อสารออกไปอย่างรวดเร็ว อาจนำไปสู่การรวมกลุ่มของผู้ที่ไม่พอใจและเกิดการเรียกร้องได้

Advertising

“ประยุทธ์” บอกนิสิต/นักศึกษารัฐบาลส่งเสริมการจ้างงานนิสิต/นักศึกษาจบใหม่

People Unity News : นายกรัฐมนตรีส่งเสริมการจ้างงานนิสิต/นักศึกษาจบใหม่

22 กันยายน 2563 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร่วมประชาสัมพันธ์การจัดงาน JOB EXPO THAILAND 2020 จัดโดยกระทรวงแรงงาน โดยมีนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ร่วมด้วย ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมกลุ่มตัวแทนนิสิตนักศึกษา นำนายกรัฐมนตรีชมนิทรรศการประชาสัมพันธ์การจัดงาน JOB EXPO THAILAND 2020 ส่งเสริมการจ้างงานให้แก่นิสิต นักศึกษา จบใหม่และประชาชนทุกกลุ่ม ทุกช่วงวัย ภายใต้มาตรการเพื่อช่วยบรรเทาค่าใช้จ่ายของนายจ้างและสถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 หรือ Co-Payment โดยนายกรัฐมนตรีชมการสาธิตวิธีการใช้แพลตฟอร์ม “ไทยมีงานทำ” สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการหาลูกจ้าง และสำหรับผู้ว่างงานที่ต้องการสมัครงาน โอกาสนี้ นางสาวรุจิกร ศรีงาม ตัวแทนนิสิต นักศึกษา จากมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลในการจัดงาน JOB EXPO THAILAND 2020 โดยเฉพาะกลุ่มนิสิต นักศึกษา จบใหม่ ตั้งแต่ระดับปริญญาตรี ปวช. และ ปวส. ให้เข้าถึงโอกาสในการมีงานทำ สร้างรายได้ ได้ทำงานที่เหมาะสมกับความรู้ ความสามารถ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีย้ำว่ารัฐบาลเล็งเห็นปัญหาการว่างงานของนิสิต นักศึกษาจบใหม่ที่กำลังเข้าสู่ตลาดแรงงาน รวมทั้งต้องการเปิดโอกาสให้กับประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงแหล่งงานด้วย ซึ่งต้องขอขอบคุณทุกหน่วยงาน ส่วนราชการ ทั้งภาครัฐและเอกชน ที่ให้ความร่วมมือช่วยรัฐบาลส่งเสริมการจ้างงานในครั้งนี้ ทั้งนี้ งาน JOB EXPO THAILAND 2020 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 – 28 ก.ย. 63 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุม ไบเทค บางนา (Hall EH 98 – 99)

Advertising

 

“ประยุทธ์” กำชับติดตาม บอส อยู่วิทยา กลับมาสู่กระบวนการพิจาณาคดีในไทย

People Unity News : นายกรัฐมนตรีกำชับติดตาม บอส อยู่วิทยา กลับมาสู่กระบวนการพิจาณาคดีในไทย พร้อมขอบคุณทุกฝ่ายที่ทำให้การชุมนุมที่ผ่านมาเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

22 กันยายน 2563 เวลา 13.20 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เผยถึงความคืบหน้าการดำเนินคดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส  โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยจะประสานกับตำรวจสากลออกประกาศหมายแดง เพื่อติดตามตัวกลับมาสู่กระบวนการพิจาณาคดีทางกฎหมายที่ประเทศไทยต่อไป ซึ่งนายกรัฐมนตรีกำชับให้ทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการและขอให้ติดตามความคืบหน้าจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐด้วย

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีขอบคุณทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องที่ดูแลความเรียบร้อยในการชุมนุมที่ผ่านมา ซึ่งตนได้กำชับเจ้าหน้าให้ที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความอดทนและเสียสละ ไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนโดยรวม ยืนยันว่า รัฐบาลยินดีรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พร้อมขอให้ทุกฝ่ายใช้หลักการและเหตุผลในการพูดคุยเจรจา สร้างการเรียนรู้ให้มากขึ้น เพื่อให้ประเทศไทยสามารถก้าวต่อไปได้

Advertising

กรมบัญชีกลางชี้แจงกรณีจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ-เบี้ยความพิการล่าช้า

People Unity News : กรมบัญชีกลางชี้แจงกรณีข้อวิจารณ์การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ-เบี้ยความพิการล่าช้า

ตามที่ประธานชมรมพัฒนาชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (แห่งประเทศไทย) เผยผ่านเพจ “ชมรมพัฒนาชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” กรณีการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยความพิการประจำเดือน ก.ย.2563 ที่เลื่อนการโอนเงินจากวันที่ 10 ก.ย. เป็นภายในเดือน ก.ย.2563

นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตามที่นายชัชวาลย์ วงศ์สวรรค์ ประธานชมรมพัฒนาชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (แห่งประเทศไทย) เปิดเผยผ่านเพจ “ชมรมพัฒนาชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” กรณีการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยความพิการประจำเดือน ก.ย. 2563 ที่เลื่อนการโอนเงินจากวันที่ 10 ก.ย. เป็นภายในเดือน ก.ย.2563 ว่า หากกรมบัญชีกลางไม่มีความพร้อมในการดำเนินการเรื่องดังกล่าวก็ไม่ควรโยนความผิดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) พร้อมเสนอให้โอนหน้าที่จ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยความพิการกลับมาที่กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทยเหมือนเดิม นอกจากนี้ยังตั้งข้อสังเกตว่าเหตุใดกรมบัญชีกลางไม่โอนเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยความพิการให้ผู้มีสิทธิ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ กรมบัญชีกลางเคยระบุว่าหากงบประมาณไม่เพียงพอ จะนำเงินทดรองราชการที่มีวงเงิน 1,500 ล้านบาท มาสำรองจ่ายเบี้ยยังชีพทั้ง 2 ส่วนได้ทันที จากนั้นจึงไปเรียกเก็บคืนจากกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ทำให้มีคำถามว่าเงินทดรองราชการ 1,500 ล้านบาท หายไปไหน นั้น

“กรมบัญชีกลางขอชี้แจงว่า กรมบัญชีกลางและกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) ได้กำหนดปฏิทินการทำงานสำหรับการจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยความพิการ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 โดยกำหนดระยะเวลาในการดำเนินการร่วมกันในแต่ละเดือน เพื่อให้สามารถจ่ายเงินให้แก่ผู้มีสิทธิตามวันที่กำหนด ซึ่งการดำเนินการโอนเงินให้ผู้มีสิทธิแต่ละเดือนนั้น จะจัดสรรให้องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) และเทศบาล จำนวน 7,774 แห่ง (ไม่รวม อบจ.) ตามจำนวนที่ต้องจ่ายเงินให้แก่ผู้มีสิทธิครบทุกแห่ง ในการเบิกเงินแต่ละครั้ง ตามปฏิทินการทำงานข้างต้น ซึ่งตามขั้นตอนการดำเนินการ กรมบัญชีกลางจะต้องตรวจสอบงบประมาณ เพื่อเบิกจ่ายให้ผู้มีสิทธิตามปฏิทินการจ่าย และเมื่อตรวจสอบงบประมาณในเดือนกันยายน 2563 พบว่าไม่เพียงพอ สถ.จึงต้องจัดสรรเพิ่ม แต่เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงงบประมาณของ สถ. ต้องดำเนินการตามกระบวนการบริหารงบประมาณ ทำให้ระยะเวลาการจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยความพิการคลาดเคลื่อนไปจากปฏิทินการทำงาน” อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว

อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวเพิ่มเติมว่า “กรณีวงเงิน 1,500 ล้านบาท ที่ยังไม่ได้มีการใช้ เนื่องจาก สถ.ได้ดำเนินกระบวนการโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณเพียงพอเเล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินทดรองราชการ สำหรับแนวทางการแก้ไขกรณีดังกล่าว ขอความร่วมมือให้พิจารณาจัดสรรงบประมาณในแต่ละปีให้มีความครอบคลุม เพื่อจะจ่ายให้แก่ผู้มีสิทธิ อย่างถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนและระยะเวลาตามที่กำหนดไว้”

Advertising

 

โฆษกรัฐบาลยืนยันจ่ายเบี้ยผู้พิการและผู้สูงอายุ พร้อมกับพัฒนาระบบ E-Payment

People Unity News : โฆษกรัฐบาลยืนยันเดินหน้าจ่ายเบี้ยผู้พิการและผู้สูงอายุ พร้อมพัฒนาระบบ E-Payment เพื่อผู้มีสิทธิได้รับเงินโดยตรง

14 ก.ย. 63 เวลา 13.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าว ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงการจ่ายเบี้ยคนพิการและเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ยืนยันว่า ทั้งกรมบัญชีกลาง สำนักงบประมาณ กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้ดำเนินการจัดสรรงบประมาณสำหรับจ่ายเบี้ยคนพิการและเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุอย่างต่อเนื่อง หลังจากได้มีการปรับปรุงตัวเลขจากเดิมที่ตั้งเบิกจ่ายไว้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2562 พบว่า จำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น 184,538 ราย จำนวนผู้พิการเพิ่มขึ้น 265,608 ราย ประกอบกับการพัฒนาการโอนตรงด้วยระบบ E-Payment เพื่อเป็นการจ่ายเบี้ยสู่บัญชีธนาคารของคนพิการและผู้สูงอายุโดยตรง ซึ่งมีสูงถึงร้อยละ 80 ส่วนที่เหลือร้อยละ 20 ซึ่งเป็นผู้ที่ไม่ได้ลงทะเบียนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะทำหน้าที่จ่ายเบี้ยเป็นเงินสด

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียืนยันว่า หลังจากการปรับปรุงระบบจากนี้ไปการชำระเงินให้กับผู้มีสิทธิจะมีความคล่องตัวเพิ่มมากขึ้น เพราะเมื่อผู้สูงอายุหรือผู้พิการได้ขึ้นทะเบียนแล้ว จะได้รับเบี้ยยังชีพในเดือนถัดไปทันทีโดยไม่ต้องรอการประกาศสิทธิ์เหมือนในอดีต สำหรับงวดเดือนกันยายนนี้  ให้กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นได้อนุมัติงบเหลือจ่าย เพื่อนำไปจ่ายเบี้ยคนพิการและเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุทันที จำนวน 2,400 ล้านบาท แบ่งเป็นเบี้ยคนพิการ 700 ล้านบาทและเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 1,700 ล้านบาทที่มีการแบ่งจ่ายแบบขั้นบันไดตามช่วงอายุ

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมถึงความล่าช้าในการใช้จ่ายงบประมาณประจำปี พ.ศ.2564 ตามร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของผู้สภาผู้แทนราษฎร ในวาระที่ 2 และ 3 ในช่วงสัปดาห์นี้ ซึ่งอาจมีความล่าช้าไม่เกิน 1 อาทิตย์ และสำนักงบประมาณจะนำเรื่องดังกล่าวแจ้งให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีรับทราบ เนื่องจากต้องมีการใช้งบประมาณประจำปี 2563 ไปพลางก่อน

ในตอนท้าย โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีชี้แจงผลการวิจัยว่าจะมีจำนวนผู้ตกงานในภาคธุรกิจการท่องเที่ยว ธุรกิจค้าปลีก/ค้าส่ง ซึ่งข้อมูลดังกล่าวเป็นการทำวิจัยตั้งแต่เดือนเมษายน ซึ่งไม่ใช่ข้อมูลล่าสุดและเป็นเพียงการนำตัวเลขจากสถิติมาคาดคะเนสถานการณ์เศรษฐกิจ หากนำมาอ้างอิงอาจคลาดเคลื่อนและผิดพลาดได้ ซึ่งรัฐบาลได้จัดเตรียมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งการกระตุ้นการท่องเที่ยว ที่รัฐบาลสนับสนุนภาคธุรกิจโรงแรมและสายการบิน มาตรการส่งเสริมการจ้างงานสำหรับบัณฑิตจบใหม่ตั้งแต่ระดับปริญญาตรี ปวช. และ ปวส. กว่า 260,000 ตำแหน่ง โดยรัฐบาลจะสนับสนุนผู้ประกอบการในการจ่ายเงินเดือนร้อยละ 50 รวมถึง ศบศ.จะมีการพิจารณามาตรการต่างๆในอนาคต อาทิ สนับสนุน Soft Loan หรือกระตุ้นการใช้จ่ายในร้านค้าปลีกขนาดย่อย เพื่อนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป

Advertising

นายกฯแจงสภางบกลาง 5-6 แสนล้านเอาไปใช้อะไรบ้าง?

People Unity News : นายกรัฐมนตรีแจงปัญหาเศรษฐกิจเป็นปัญหาที่ทั่วโลกเผชิญไม่ใช่เฉพาะไทย ย้ำการใช้จ่ายงบกลาง มีแผนงานโครงการชัดเจน ผ่านการตรวจสอบและมติคณะรัฐมนตรี

8 ก.ย.63 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ระหว่างการพิจารณาญัตติเปิดอภิปราย ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา ว่า การเชิญมหาเศรษฐีในประเทศไทยให้มาร่วมช่วยเหลือประเทศไทย โดยเฉพาะช่วยลูกจ้างและประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ยืนยันว่าไม่มีการร้องขอผลประโยชน์ระหว่างกันทั้งสิ้น

นายกรัฐมนตรียังชี้แจงถึงหมวดค่าใช้จ่ายงบประมาณปี 2563 หรืองบกลาง จำนวนประมาณ 5 – 6 แสนล้านบาทนั้น ประกอบด้วย 1) เป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเสด็จพระราชดำเนินส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นจำนวนที่น้อยมาก 2) ค่าใช้จ่ายเงินชดใช้เงินทดลองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน 3) ค่าใช้จ่ายโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ 4) ค่าใช้ในการรักษาพยาบาลข้าราชการ ลูกจ้าง และพนังงานของรัฐ  5) เงินชดเชยค่างานก่อสร้าง 6) เงินช่วยเหลือข้าราชการ ลูกจ้าง และพนักงานของรัฐ 7) เงินเบี้ยหวัด บำเหน็จบำนาญ 8) เงินเลื่อนเงินเดือนและเงินปรับวุฒิข้าราชการ 9) เงินสมทบของลูกจ้างประจำ 10) เงินสำรองเงินสมทบและเงินชดเชยของข้าราชการ 11) เงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินที่จำเป็น มีวงเงินเพียง 96,000 ล้านบาทเท่านั้น และในวงเงินดังกล่าวทุกอย่างต้องได้รับการตรวจสอบและเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อน และต้องมีแผนงานโครงการที่ชัดเจน

นายกรัฐมนตรีชี้แจงว่า ขออย่านำเงินทุกอย่างมาปนกัน โดยเงินที่กู้มาทั้งหมดจริงๆ คือ 1 ล้านล้านบาท ซึ่งอยู่ภายใต้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) กู้เงิน ทุกอย่าง ส่วนเงิน 9 แสนล้านบาทเป็นเงินในประเทศที่สมาคมธนาคารร่วมมือกันเพื่อนำเงินดังกล่าวมาบริหารตรงนี้ โดยเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท นำไปใช้จ่ายตามกรอบที่วางไว้ ได้แก่ 1) เงิน 45,000 ล้านบาทใช้เรื่องด้านสาธารณสุข การแก้ปัญหาโควิด-19 การเตรียมการรับมือการระบาดของโควิด-19 รอบที่ 2 งบวิจัยและพัฒนาที่จำเป็นต้องร่วมมือกับต่างประเทศเรื่องวัคซีนซึ่งได้ร่วมมือกับต่างประเทศในหลายมิติ โดยระยะแรกไทยต้องการวัคซีน 20 ล้านโดส รวมถึงบางส่วนก็นำไปดูแลอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ด้วย ขณะนี้ได้ใช้จ่ายเงินดังกล่าวไปน้อยมาก

2) เงิน 550,000 ล้านบาท ซึ่งสมาชิกฯระบุระว่าทำไมไม่จ่ายเงินคนละ 5,000 บาท 12 เดือน จากคนทั้งหมดประมาณ 33 ล้านคน นายกรัฐมนตรีแจงว่าหากทำเช่นนั้นจะได้ต้องใช้เงินถึง 1,980,000 ล้านบาท แต่ระยะเวลา 3 เดือนรัฐบาลใช้เงินดังกล่าวอยู่ในกรอบไปเพียง 550,000 ล้านบาทเท่านั้น และเหลืออีกจำนวนหนึ่งที่จะต้องจ่ายให้กับคนที่ยังไม่ได้ซึ่งก็จะทยอยดำเนินการต่อไป และ3) งบประมาณใช้จ่ายในการฟื้นฟู จำนวน 400,000 ล้านบาท ซึ่งอีกหลายอย่างที่จะต้องแก้ไข ทั้งเรื่องของการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ผู้ประกอบการรายน้อย ผู้ประการที่ไม่ได้ทำธุรกรรมผ่านธนาคาร รัฐบาลกำลังพิจารณามาตรการอยู่ ทุกอย่างมีการคิดอย่างรอบคอบ

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังชี้ให้เห็นตัวเลขของประเทศคู่ค้าสำคัญของประเทศไทย ได้แก่ จีนขยายตัวร้อยละ 3.2 จากตัวเลขประมาณ 10.2 ลดลงมาจากก่อนหน้า -6.8 เวียดนามขยายตัวเหลือร้อยละ 0.36 สหราชอาณาจักรหดตัวที่ร้อยละ -21.7 มาเลเซียหดตัวร้อยละ 17.1 สิงคโปร์หดตัวร้อยละ 13.2 อินโดนีเซียหดตัวร้อยละ 5.3  ยูโรโซนลดลงติดลบถึง 15% สหรัฐอเมริกาหดตัว 9.5 ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ญี่ปุ่นไตรมาสที่ 2 ปี 63 หดตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่ร้อยละ 9.9 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนของปีที่แล้วซึ่งหดตัวเพียงแค่ -1.8 สถานการณ์เศรษฐกิจที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาที่ต้องเผชิญหน้ากันทั่วโลก ขณะที่ไทยมีศักยภาพโดยเฉพาะเรื่องพืชเกษตรและพันธุ์ข้าว ซึ่งรัฐบาลกำลังสนับสนุนการเกษตรสมัยใหม่ให้ข้าวไทยสามารถแข่งขันได้ ทั้งนี้ ขอยืนยันรัฐบาลพยายามประคับประคองเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างเต็มที่เพื่อให้ฟื้นฟู และให้มีการจ้างงาน ป้องกันการเลิกจ้างงาน ยืนยันว่าใช้เงินงบประมาณเป็นไปตามหลักการที่กำหนด รัฐบาลมีที่ปรึกษาและคณะทำงานที่มีความรู้ความสามารถที่จะทำงานไปสู่การปฏิบัติ

Advertising

Verified by ExactMetrics