วันที่ 1 พฤษภาคม 2025

นายกฯ เผย ครม.อนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 13 มกราคม 2568 นายกฯ เผย ครม.อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. …. พร้อมเห็นชอบร่างความตกลงการค้าเสรีระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (EFTA)

วันนี้ (13 มกราคม 2568) เวลา 11.40 น. ณ บริเวณโถงกลาง ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยมีสาระเป็นการกำหนดให้มีกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร เช่น กำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจรและคณะกรรมการบริหารจัดตั้งสำนักงานกำกับการประกอบสถานบันเทิงครบวงจร รวมถึงการกำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนในเรื่องของการอนุญาตให้ประกอบสถานบันเทิงครบวงจร สำหรับร่าง พรบ. ดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการท่องเที่ยวและส่งเสริมการลงทุนในประเทศตลอดจนแก้ปัญหาเรื่องการพนันที่ผิดกฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบัน รวมทั้งจะทำให้เกิดผลดีต่อสังคมในอนาคตในภาพรวม นี้เป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนเรื่องของการท่องเที่ยวยั่งยืนหรือเป็น Man-made Destination ที่รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อสภา ทั้งนี้ ในส่วนของรายละเอียดทางกระทรวงการคลังจะนำเสนอต่อไป

นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างความตกลงการค้าเสรีระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรปหรือเอฟตา (European Free Trade Association: EFTA) ที่ประกอบไปด้วยประเทศสวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ ไอแลนด์และลิกเตนสไตน์ โดยจะมีการลงนาม FTA ระหว่างการประชุม World Economic Forum (WEF) ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในสัปดาห์หน้า

Advertisement

เลขาฯ กฤษฎีกา ยันในที่ประชุม ครม. ไม่ได้เห็นแย้ง เห็นต่าง ร่าง พ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ เพียงแต่มีข้อสังเกตนำไปปรับแก้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 13 มกราคม 2568 เลขาฯ กฤษฎีกา ยืนยันในที่ประชุม ครม. (ร่าง) พ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ไม่ได้เห็นแย้งหรือเห็นต่าง เป็นเพียงข้อสังเกตที่สามารถนำไปปรับแก้เพิ่มเติมในกฤษฎีกา เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลได้ ชี้ยังมีขั้นตอนในรัฐสภาหลังรับหลักการและพิจารณารายมาตราไปจนถึงวุฒิสภาอีก ขณะที่ประชุม ครม. วันนี้ ผ่าน ร่างฯ รัฐบาลย้ำไม่ได้เน้นกาสิโน แต่เน้นการสร้างแมนเมดเดสติเนชั่น หรือสถานที่ท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น

วันจันทร์ที่ 13 มกราคม 2568 เวลา 12.30 น. นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้ชี้แจงในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีว่า ร่าง พ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์นั้น กฤษฎีกาไม่ได้เห็นแย้งหรือไม่เห็นด้วย เป็นเพียงข้อสังเกตที่ต้องนำเรียน ครม. และจะสามารถนำไปปรับแก้เพิ่มเติมในกฤษฎีกา เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการสร้างแมนเมดเดสติเนชั่น หรือสถานที่ท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้นมา ตามนโยบายที่รัฐบาลแถลงไว้ต่อรัฐสภา

ขณะที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายพิชัย ชุณหวชิร ได้เสนอให้ ครม. พิจารณาเห็นชอบตามมติ คกก. และที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบในหลักการต่อร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ….  ของกระทรวงการคลัง ซึ่งมีสาระสำคัญ เป็นการกำหนดให้มี กฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร เช่น กำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร และคณะกรรมการบริหาร จัดตั้งสำนักงานกำกับการประกอบสถานบันเทิงครบวงจร และกำหนดหลักเกณฑ์การอนุญาตให้ประกอบสถานบันเทิงครบวงจร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและกำกับดูแลเพื่อให้เกิดธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรที่ได้มาตรฐาน เพื่อรองรับการท่องเที่ยวและส่งเสริมการลงทุนในประเทศ อันจะก่อให้เกิดผลดีต่อสังคมในภาพรวมและเป็นการสนับสนุนให้เกิดการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน และขอให้นำความเห็นและข้อสังเกตของที่ประชุมที่เน้นให้ความสำคัญกับการกำหนดโครงสร้างของกฎหมายให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของนโยบายรัฐบาล การสร้างความชัดเจนในการกำกับดูแลและการป้องกันผลกระทบเชิงลบด้านสังคม เช่น การกำหนดพื้นที่สถานที่ตั้งให้มีความเหมาะสม การกำหนดผู้รักษาการร่วมตาม ร่างพระราชบัญญัติฯ เพื่อให้เกิดการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ให้ข้อสังเกตว่า เรื่องนี้ก็ได้ผ่าน คกก.กลั่นกรองของรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม และให้ความเห็นมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งขอให้นำไปพิจารณาในการออก พ.ร.บ. และให้พิจารณาต้นแบบในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกที่ทำศูนย์กลางท่องเที่ยวและเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ในรูปแบบนี้จนประสบผลสำเร็จ ทั้งในมิติสังคมและทุก ๆ ด้านที่เกี่ยวข้องมาเป็นข้อศึกษา เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่ของประเทศไทยที่ต้องอธิบายให้ประชาชนทราบถึงผลดีที่คณะกรรมการศึกษามาว่ามีผลดีมากกว่า

นายจิรายุ กล่าวต่อไปว่า ที่ประชุมได้แสดงความคิดเห็นโดยระบุว่า สัดส่วนของกาสิโนมีเพียงแค่ 10% เท่านั้น ที่เหลือก็จะเป็นเอ็นเตอร์เทนเมนต์และศูนย์ท่องเที่ยวและบันเทิงครบวงจรที่จะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เป็นจำนวนมาก เช่น การจัดการประชุม การจัดนิทรรศการระดับโลก การจัดคอนเสิร์ตหรือสถานที่ท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น สวนน้ำสวนสนุกในรูปแบบสมัยใหม่ และถือว่าประเทศไทยถึงเวลาที่จะต้องยอมรับความจริงหรือยังว่า วันนี้มีแหล่งการพนันทั้งบนดินและใต้ดินทั้งในประเทศและรอบ ๆ ประเทศ ซึ่งโครงการนี้จะเน้นไปที่ การสร้างเม็ดเงินจากธุรกิจการท่องเที่ยวให้กับประเทศ

จากนั้นที่ประชุม ครม. ได้อนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ….. ตามที่ ก.คลัง เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้นำความเห็นและข้อสังเกตของ คกก.กลั่นกรองฯ คณะที่ 5 รวมทั้งความเห็นไปประกอบการพิจารณา จากนั้นรัฐบาลจะนำเสนอร่าง พ.ร.บ.ฯ ฉบับนี้ ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในวาระที่ 1 เพื่อรับหลักการ และวาระ 2 การตั้งแปรญัตติ และตั้งกรรมาธิการเพื่อพิจารณารายมาตราและจะเข้าสู่วาระที่ 3 เพื่อลงมติผ่าน พ.ร.บ. จากนั้นจะส่งต่อไปยังสมาชิกวุฒิสภาเพื่อพิจารณาอีกครั้ง

Advertisement

กกต.เปิดตัว “หมูเด้ง” เชิญชวนประชาชนไปใช้สิทธิเลือกตั้ง อบจ.

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 8 มกราคม 2568 กกต.จัดกิจกรรม kick off เปิดตัว “หมูเด้ง” เชิญชวนประชาชนไปใช้สิทธิเลือกตั้ง อบจ. ภายใต้แนวคิด “สร้างสรรค์ประเทศไทย พร้อมใจไปเลือกตั้ง” ด้าน “อิทธพร” ให้ความมั่นใจพร้อมจัดการเลือกตั้งอย่างสุจริต

นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. เปิดกิจกรรม kick off การเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด “สร้างสรรค์ประเทศไทย พร้อมใจไปเลือกตั้ง” เพื่อสร้างการรับรู้และกระตุ้นให้ประชาชนตื่นตัวเข้ามามีส่วนร่วมในการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รวมถึงให้เข้าใจเกี่ยวกับที่มาขั้นตอนและกระบวนการเลือกตั้งเพื่อให้ประชาชนเข้าใจบทบาทความสัมพันธ์ของการเลือก อบจ. ที่จะมีขึ้นในวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้ ตั้งแต่เวลา 8.00-17.00 น. โดยมีผู้แทนกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารสำนักงาน กกต. และสำนักงาน กกต. ประจำจังหวัด ในพื้นที่ภาคกลางและภาคตะวันออก 26 จังหวัด ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดพื้นที่ภาคกลาง และภาคตะวันออก 26 จังหวัด นักศึกษาหลักสูตร พตส. และผู้แทนศูนย์ส่งเสริมประชาธิปไตยเข้าร่วมกิจกรรม

นายอิทธิพร กล่าวว่า กิจกรรม kick off การเลือกตั้ง อบจ. นับเป็นก้าวสำคัญอีกก้าวที่จะช่วยสร้างความเข้าใจและส่งเสริมความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อให้การเลือกตั้งซึ่งจะมีขึ้นในวันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นไปด้วยความสุจริต เที่ยงธรรมและชอบด้วยกฎหมาย ถือเป็นกระบวนการสำคัญเป็นการเสริมสร้างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้มแข็ง โดยประชาชนในพื้นที่สามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการเลือกตั้งท้องถิ่น เพื่อพัฒนาท้องถิ่นของตนเองให้มีความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน

“กกต.ในฐานะองค์กรจัดการเลือกตั้งขอยืนยันต่อผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งและประชาชน ให้มั่นใจว่า กกต. สำนักงาน กกต.และภาคีเครือข่ายที่จัดการเลือกตั้งทุกภาคส่วนพร้อมแล้วที่จะเดินหน้าทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นไปโดยสุจริต เที่ยงธรรมและชอบด้วยกฎหมาย อีกทั้งจะอำนวยความสะดวกในการออกไปใช้สิทธิ์ให้แก่ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทุกคนอย่างเท่าเทียม” นายอิทธิพร กล่าว

ประธาน กกต. ยังกล่าวเชิญชวนประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทุกคน เตรียมพร้อมและศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการเลือกตั้ง และเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการเลือกตั้งสมาชิกสภา อบจ. และนายก อบจ. ในครั้งนี้ ขณะที่ กกต.ได้ปรับปรุงแอปพลิเคชัน Smart Vote ช่วยให้สามารถศึกษา ค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับการเลือกตั้งได้อย่างครบถ้วน สะดวกและรวดเร็ว เพื่อสร้างความพร้อมให้กับตัวเอง ในการออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งอย่างมีคุณภาพ และเพื่อทำให้ทุกเสียงได้พัฒนาประเทศไทยให้รุ่งเรืองสืบไป เหมือนชื่อกิจกรรมในวันนี้ “สร้างสรรค์ประเทศไทย พร้อมใจไปเลือกตั้ง”

จากนั้น ประธาน กกต.และ กกต. เปิดตัวสื่อประชาสัมพันธ์การเลือกตั้ง อบจ. มาสคอต “หมูเด้ง” รวมถึงการเลือกตั้งท้องถิ่นอื่นที่จะเกิดขึ้น เพื่อเชิญชวนประชาชนออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งให้มาก

Advertisement

มหาดไทยปรับโครงสร้างบริหารจังหวัดทั่วประเทศ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 31 ธันวาคม 2567 มหาดไทยปรับโครงสร้างบริหารจังหวัดทั่วประเทศ รับนโยบาย “อนุทิน” ปี 68 บำบัดทุกข์ บำรุงสุขประชาชนครบทุกด้าน ความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม เพิ่มความสะดวกลดเหลื่อมล้ำงานบริการ

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขานุการ รมว.มหาดไทย และ โฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ปี 2568 ที่กำลังจะมาถึงเป็นอีกปีที่มีความท้าทาย การเปลี่ยนแปลง ทั้งมิติของสังคม เศรษฐกิจ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย จึงได้ให้นโยบายกับส่วนราชการ หน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทยต้องปรับตัวให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลง สามารถเป็นที่พึ่งบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ประชาชนตามภารกิจของกระทรวงมหาดไทยได้ในทุกสถานการณ์

เพื่อรับกับนโยบายรองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย จัดโครงสร้างการบริหารงานราชการภูมิภาค คือ จังหวัด และอำเภอ ให้ความสำคัญกับการจัดวางภารกิจให้สามารถขับเคลื่อนการบำบัดทุกข์ บำรุงสุขประชาชนครอบคลุมทุกด้าน เจ้าหน้าที่ลดการเป็นนักปกครองไปสู่การเป็นนักบริหาร เนื่องจากปัจจุบันประชาชนไม่ได้ต้องการนักปกครอง แต่ต้องการเห็นผู้บริหาร และต้องการเข้าไปมีส่วนร่วมในเรื่องที่มีผลกระทบ มีผลได้ มีผลเสียกับตนเอง

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า โครงสร้างการบริหารราชการส่วนภูมิภาคใหม่นี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดจะเป็นผู้ดูภาพรวมการบริหารงานของจังหวัด รู้ทุกเรื่องในพื้นที่จังหวัด และมีผู้ว่าราชการจังหวัดด้านต่างๆ ประกอบด้วย

1) รองผู้ว่าราชการจังหวัด ฝ่ายมันคง รับผิดชอบ งานจัดระเบียบสังคม ปราบปรามผู้มีอิทธิพล การ กระทำผิดกฎหมายที่เป็นภัยสังคม หนี้นอกระบบ และ ปราปปรามอาเสพติดโดยเฉพาะยาเสพติด เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ และมนุษยชาติ ทำลายสุขภาพ ก่อปัญหาสังคม และทำลายระบบเศรษฐกิจ

2) รองผู้ว่าราชการจังหวัด ฝ่ายเศรษฐกิจ ทำหน้าที่แก้ปัญหาความยากจน ให้ประชาชน ต้องเป็นนักบริหาร สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ และ สร้างโอกาสให้แก่ประชาชน ความยากจน คือ ปัญหาที่บั่นทอนศักยภาพและการพัฒนาของประชาชน และประเทศ

3) รองผู้ว่าราชการจังหวัด ฝ่ายบริหาร รับผิดชอบงานบริการประชาชน ต้องนำเทคโนโลยี มาใช้ ลดความเหลื่อมล้ำ ทำให้ประชาชนทุนทุกคนได้รับความสะดวก สบาย กับการใช้บริการ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย อย่างเท่าเทียมกัน และ 4) รองผู้ว่าราชการจังหวัด ฝ่ายสังคม รับผิดชอบการสร้างชุมชนเข้มแข็ง ปลูกจิตสำนึกคนไทย หัวใจรักชาติ สร้างความสามัคคีในชุมชน รักท้องถิ่น ปกป้องชุมชน ให้พ้นจากภัยอันตรายทั้งภัยจากการกระทำของมนุษย์ และภัยธรรมชาติ ต้องเป็นผู้นำการรวมพลังพัฒนาชุมชน ท้องถิ่น จังหวัด และประเทศ

“โครงสร้างการบริหารของจังหวัด ลักษณะนี้ จะถ่ายทอดลงไปเป็นโครงสร้างการบริหารระดับอำเภอ ในแนวทางเดียวกัน เกิดผลการขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงมหาดไทย ไปสู่ทุกชุมชน ทุกหมู่บ้าน ของประเทศไทย ซึ่งนายอนุทินเชื่อว่าเวลาอีก 2 ปี เศษของรัฐบาล ถ้ากระทรวงมหาดไทย ขับเคลื่อนไปในแนวทางนี้ได้ การบำบัดทุกข์ บำรุงสุขจะเกิดขึ้นทั่วประเทศและคนไทย สังคมไทย จะมีความสุขมากขึ้น ความทุกข์ลดลง ตามพันธกิจของกระทรวงมหาดไทย” น.ส.ไตรศุลี กล่าว

Advertisement

โอนเงินช่วยเหลือน้ำท่วมแล้วกว่า 1,500 ล้านบาท

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 28 ธันวาคม 2567 ความคืบหน้ายอดเงินช่วยเหลือน้ำท่วม 9,000 บาท โอนแล้วกว่า 1,500 ล้านบาท

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ความคืบหน้ากรณีที่ ครม. มีมติเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2567 ให้จ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2567 ครัวเรือนละ 9,000 บาท โดยมอบหมายให้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ดำเนินการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัย จำนวน 16 จังหวัด ล่าสุด (ณ วันที่ 27 ธันวาคม 2567 เวลา 16:30 น.) มีจำนวนผู้ลงทะเบียนยื่นคำร้องแล้ว 1,054,484 ครัวเรือน ธนาคารออมสินโอนเงินช่วยเหลือแล้ว 3 ครั้ง รวม 166,795 ครัวเรือน จำนวนเงิน 1,501,155,000 บาท และอยู่ระหว่างรอโอนครั้งที่ 4 อีก 94 ครัวเรือน

“รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายภูมิธรรม เวชยชัย ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศปช.) ได้กำชับให้หน่วยงานในพื้นที่ 16 จังหวัด เร่งสำรวจและทำความเข้าใจ พร้อมตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้อง รวมทั้งประชาสัมพันธ์สื่อสารถึงประชาชนที่จะได้รับเงินเยียวยาสามารถลงทะเบียนได้ถึงวันที่ 15 มกราคม 2568 ส่วนประชาชนที่ลงทะเบียนแล้วสามารถติดตามสถานะเงินเยียวยาน้ำท่วมได้ที่เว็บไซต์ www.flood67.disaster.go.th” นางสาวศศิกานต์ กล่าว

Advertisement

 

มอบรางวัลรัฐบาลดิจิทัล ประจำปี 2567

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 27 ธันวาคม 2567 รองนายกฯ “ประเสริฐ” มอบรางวัลรัฐบาลดิจิทัล ประจำปี 2567 เชิดชูหน่วยงานภาครัฐที่มีความพร้อมในการพัฒนาด้านรัฐบาลดิจิทัล ขอให้พัฒนาองค์กรรองรับการเปลี่ยนแปลงสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล

วันนี้ (27 ธันวาคม 2567) เวลา 10.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มอบหมายนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานในงานมอบนโยบายและทิศทางการขับเคลื่อนรัฐบาลดิจิทัล และมอบรางวัลรัฐบาลดิจิทัล ประจำปี 2567 (DG Awards 2024)  แก่หน่วยงานภาครัฐที่มีการยกระดับองค์กรสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล ซึ่งจัดโดยสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ DGA เพื่อเป็นผลสะท้อนการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงความสำเร็จของหน่วยงานรัฐทั่วประเทศ  โดยมี ดร.ณหทัย ทิวไผ่งาม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายฉัตริน จันทร์หอม รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ นางไอรดา เหลืองวิไล รองผู้อำนวยการ  รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล  คณะกรรมการพิจารณารางวัลรัฐบาลดิจิทัล ผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐเข้าร่วมงาน

โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้มอบรางวัลรัฐบาลดิจิทัลหน่วยงานระดับกรมที่ให้บริการเป็นหลัก ได้แก่  สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และรางวัลผู้นำองค์กรดิจิทัลดีเด่น ได้แก่ นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการ รักษาการแทนเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และรางวัลอื่น ๆ  พร้อมกล่าวชื่นชมและมอบนโยบายแก่หน่วยงานที่ได้รับรางวัลว่า ขอให้ความมุ่งมั่นตั้งใจพัฒนาองค์กรให้พร้อมเข้าสู่ยุคดิจิทัล ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบัน รัฐบาลต้องการให้ประเทศไทยก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ด้วยนโยบายรัฐบาลดิจิทัล ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญต่อการบริหารงานและการให้บริการที่ตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างทันสถานการณ์  ในนามของรัฐบาลภายใต้การนำของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีความมุ่งมั่นให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ความมั่นคงด้วยรัฐบาลดิจิทัล ที่มีบทบาทสำคัญในการนำเทคโนโลยีมาเพิ่มประสิทธิภาพและตอบสนองความต้องการของประชาชน ผ่านยุทธศาสตร์ที่มีความสำคัญ ได้แก่ 1) การขับเคลื่อนขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในการเข้าสู่ยุคดิจิทัล 2) การสร้างความมั่นใจในการใช้เทคโนโลยีว่าหากมีการเปลี่ยนแปลงแล้วหน่วยงานต่าง ๆ ยังคงได้รับความมั่นคง 3) การพัฒนาบุคลากรภาคดิจิทัล

รองนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า เป้าหมายสำคัญของรัฐบาล คือ การปรับปรุงบริการออนไลน์ภาครัฐ เพื่อให้การติดต่อกับภาครัฐเป็นเรื่องง่าย ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญ การเข้าถึงสวัสดิการและบริการสาธารณะ หรือการสมัครใบอนุญาตต่าง ๆ พร้อมทั้งสร้างความมั่นใจต่อผู้รับบริการว่าขั้นตอนต่าง ๆ การให้บริการครอบคลุมพื้นที่ต่าง ๆ อย่างทั่วถึง นอกจากนี้การอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน ด้วยการบูรณาการข้อมูลประชาชนให้เป็นภาพเดียว หรือ Single View of Citizen เพื่อให้หน่วยงานของรัฐบาลสามารถมีความเข้าใจที่สมบูรณ์เกี่ยวกับการปฏิสัมพันธ์และธุรกรรมระหว่างประชาชนกับหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งแนวคิดนี้จะส่งเสริมการให้บริการที่มีประสิทธิภาพ ลดความซ้ำซ้อน และเสริมสร้างประสบการณ์ที่ดีในการใช้บริการภาครัฐของประชาชน ภายใต้แนวคิดนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีข้อมูลที่มีคุณภาพและถูกต้อง ข้อมูลจะต้องเชื่อมโยงกันระหว่างหน่วยงาน สร้างระบบและมาตรฐานที่สามารถทำงานร่วมกันได้ รวมถึงการรักษาความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว การป้องกันรักษาข้อมูลส่วนบุคคลและการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ตามมาตรฐานสากล

รองนายกรัฐมนตรียืนยันว่า รัฐบาลมุ่งมั่นในการปฏิรูประบบราชการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเปลี่ยนผ่านราชการไทยไปสู่ราชการทันสมัยในระบบดิจิทัล ดังนี้ 1) ส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพบุคลากรภาครัฐ  2) สร้างความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ส่งเสริมการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ 3) มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน และ 4) กระจายอำนาจสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคประชาชน ซึ่งรัฐบาลเชื่อมั่นว่าการผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัลจะช่วยเตรียมความพร้อมในการรับมือกับความท้าทายในอนาคต โดยในด้านเศรษฐกิจรัฐบาลดิจิทัลจะสนับสนุนธุรกิจและอุตสาหกรรมให้มีประสิทธิภาพและเข้าถึงตลาดโลกได้มากขึ้น รวมถึงการส่งเสริมการพัฒนาทักษะดิจิทัลของประชาชน เพื่อเพิ่มศักยภาพให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงบริการสาธารณะได้อย่างเท่าเทียมไม่ว่าจะอยู่ที่ใด และลดความเหลื่อมล้ำในสังคมอีกด้วย

รองนายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณทุกหน่วยงานที่ให้ความสำคัญในการพัฒนาหน่วยงานของตนเองให้เป็นหน่วยงานดิจิทัล และขอให้นำผลการสำรวจและข้อเสนอแนะที่ DGA ส่งกลับไปยังหน่วยงานของตนไปปรับใช้ให้เหมาะสม ซึ่งเป็นการยกระดับและขับเคลื่อนรัฐบาลดิจิทัลทั้งในระดับหน่วยงานและระดับประเทศ เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านสู่รัฐบาลดิจิทัลไม่เป็นเพียงแค่นโยบายเท่านั้น ทุกคนต้องร่วมกันใช้โอกาสจากความพร้อมของเทคโนโลยีในปัจจุบัน เพื่อสร้างรัฐบาลดิจิทัลที่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน และนำพาประเทศไปสู่ความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน

Advertisement

ศปช. แจ้งผู้ประสบภัย 16 จว. เร่งยื่นรับเงินเยียวยาน้ำท่วมได้ถึง 15 ม.ค. 68

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 26 ธันวาคม 2567 ศปช. แจ้งผู้ประสบภัย 16 จว. เร่งยื่นรับเงินเยียวยาน้ำท่วมได้ถึง 15 ม.ค. 68 คาดฝนส่งท้ายปี 27-28 ธ.ค. มาเร็ว-ไปเร็ว

วันนี้ (26 ธันวาคม 2567) นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุม ศปช. รับทราบการเร่งรัดเยียวยาจำนวน 9,000 บาท ให้ถึงมือประชาชนโดยเร็ว กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ส่งหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัด ทั้ง 16 จังหวัด เพื่อกำชับหน่วยงานในพื้นที่ตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้อง รวมทั้งประชาสัมพันธ์สื่อสารถึงประชาชนที่จะได้รับเงินเยียวยาสามารถลงทะเบียนได้ถึงวันที่ 15 มกราคม 2568 เท่านั้น

“ศปช. เน้นย้ำ 16 จังหวัด ประสานหน่วยงานที่รับผิดชอบตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบ ไม่ให้มีการลงทะเบียนขอรับความช่วยเหลือซ้ำซ้อน โดยผู้ที่จะได้รับเงินจะต้องเข้าเงื่อนไข ดังนี้ อยู่ในพื้นที่ จ.ชัยนาท บุรีรัมย์ สมุทรสาคร และสิงห์บุรี ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในห้วงวันที่ 20 พ.ค. – 2 พ.ย. 67 และพื้นที่ 12 จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ จ.กระบี่ ชุมพร นครศรีธรรมราช นราธิวาส ปัตตานี ประจวบคีรีขันธ์ ตรัง พัทลุง ยะลา สงขลา สตูล และสุราษฎร์ธานี ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในห้วงวันที่ 3 พ.ย. 67 เป็นต้นไปเท่านั้น และได้รับผลกระทบจากอุทกภัยสองกรณี คือ 1.ที่อยู่อาศัยประจำถูกน้ำท่วมไม่เกิน 7 วัน และมีทรัพย์สินเสียหาย และ 2.ที่อยู่อาศัยประจำถูกน้ำท่วมเกิน 7 วัน ในกรณีที่ถูกน้ำท่วมหลายครั้งจะได้รับความช่วยเหลือเพียงครั้งเดียว”

รองโฆษกฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้สถานการณ์อุทกภัยคลี่คลายเกือบทั้งหมด เหลือเพียง 1 จังหวัด ได้แก่ จ.นครศรีธรรมราช (อ.ปากพนัง พระพรหม เฉลิมพระเกียรติ เชียรใหญ่ และชะอวด) โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ระดมกำลังติดตั้งเครื่องสูบน้ำและเครื่องผลักดันน้ำออกจากพื้นที่อย่างต่อเนื่อง

ส่วนแนวโน้มฝนที่จะตกในพื้นที่ภาคใต้ วันที่ 27 – 28 ธ.ค. นี้  จะมีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่ง ในพื้นที่ จ.ชุมพร ระนอง  สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ส่วนในวันที่ 29 ธ.ค.ฝนจะตกหนักในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่างได้แก่ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส โดยฝนจะมาเร็วไปเร็ว ไม่เหมือนครั้งที่ผ่านมา

“ขอให้ประชาชนในภาคใต้ตอนล่างยังคงต้องเฝ้าระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม” รองโฆษกฯ ศศิกานต์ กล่าว

Advertisement

นายกฯ คิกออฟ “30 บาท รักษาทุกที่” ครอบคลุมทั่วไทย ให้บริการเต็มรูปแบบ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไป

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 25 ธันวาคม 2567 คนไทยต้องสุขภาพดีถ้วนหน้า นายกรัฐมนตรี คิกออฟ “30 บาท รักษาทุกที่” ครอบคลุมทั่วไทย ให้บริการเต็มรูปแบบ ชูทำสำเร็จตามเป้าหมาย 1 ปี เดินหน้าดูแลสุขภาพคนไทย ประกาศปฏิรูประบบสาธารณสุขไทยครั้งใหญ่ ดึง Digital Healthcare ตอบสนองการใช้ชีวิต

วันนี้ (25 ธันวาคม 2567)  เวลา 10.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงาน “Kick off 30 บาท รักษาทุกที่ เพื่อคนไทย สุขภาพดีถ้วนหน้า ระยะที่ 4 ครอบคลุมทั่วประเทศ 1 มกราคม 2568” โดยมีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข  นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ในฐานะเลขานุการคณะกรรมพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติ พร้อมด้วยนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ คณะกรรมการและผู้บริหาร สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข สภาวิชาชีพทางการแพทย์และสาธารณสุข หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญดังนี้

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า วันนี้ 30 บาทรักษาทุกที่ได้เดินทางมาระยะที่ 4 ตั้งแต่ต้นปี 2567 ได้เริ่มระยะที่ 1 ใน 4 จังหวัดนำร่อง  ซึ่งรัฐบาลจะพยายามเปิดครบทั่วทุกจังหวัดให้ได้เร็วที่สุด เพื่อลดปัญหาภาระของประชาชน วันนี้ เปิดตัวระยะที่ 4 ประชาชนจะได้ใช้บริการ 30 บาทรักษาทุกที่อย่างเต็มรูปแบบทั่วทุกจังหวัดในประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไป รัฐบาลทำได้สำเร็จตามเป้าหมายใน 1 ปี เปิดครบทุกเฟส  เท่ากับใช้เวลาประมาณ 2 ทศวรรษ จากการพัฒนานโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคมาสู่นโยบาย 30 บาท รักษาทุกที่ ปัจจุบันเทคโนโลยีมีความทันสมัยมากขึ้น และเข้ามามีบทบาทอย่างมาก รวมทั้ง  Digital Transformation หรือการเปลี่ยนผ่านระบบสุขภาพสู่ระบบดิจิทัล จากประชาชนที่เคยต่อคิวนาน ๆ ก็สามารถจองบริการผ่านแอปพลิเคชันได้ ไม่ต้องต่อคิวโรงพยาบาลเสียเวลาเป็นวัน หรือเสียเวลาทำกิน ช่วยแบ่งเบาภาระประชาชนต่อไปในวันข้างหน้า

นายกรัฐมนตรียังกล่าวต่อว่า วันนี้ 30 บาทรักษาทุกที่ได้เชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพของประชาชนแล้ว 100% ประชาชนทุกคนมี Health ID ประจำตัว ได้รับบริการรักษาพยาบาลที่สะดวกรวดเร็วขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมาสนับสนุนการให้บริการแก่ประชาชน กลายเป็นใบส่งตัวในรูปแบบดิจิทัล การแจ้งเตือนนัดหมอผ่านไลน์ การหาหมอผ่านออนไลน์  หรือมีการสมัครงานเป็นไรเดอร์ส่งยา เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่มีรายได้เสริม รวมถึงการเจาะเลือดที่บ้านสำหรับผู้ป่วยติดเตียง รวมถึงเครื่องล้างไตอัตโนมัติสำหรับผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ให้ยืมใช้ที่บ้าน เป็นการสาธารณสุขเชิงรุกมากขึ้น  ประชาชนที่นอนติดเตียงได้รับการรักษาที่บ้านได้มากขึ้น รวมทั้ง “ตู้ห่วงใย” ซึ่งเป็นตู้ tele med ที่ให้บริการการแพทย์ทางไกลผ่านการปรึกษาหมอออนไลน์ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้ง่ายขึ้นและสะดวกยิ่งขึ้นในทุกพื้นที่ การเปิดให้ร้านยาและคลินิกเอกชนเข้ามาร่วมเป็นหน่วยบริการหน่วยปฐมภูมิเพื่อดูแลประชาชนมากขึ้น เพิ่มความสะดวก ลดการเดินทาง ลดระยะรอคอยและลดความแออัดในโรงพยาบาล เพิ่มทางเลือกใหม่ให้ประชาชนในการรับบริการใกล้บ้านมากขึ้น ทั้งนี้ ประชาชนที่ไม่เคยใช้สิทธิ 30 บาทมาก่อน มาใช้ 30 บาทรักษาทุกที่ มีจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 80,000 คน

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ปี 2568 นี้ รัฐบาลมีแนวทางการพัฒนาระบบสาธารณสุข 6 ด้าน ดังนี้ 1) การพัฒนาระบบบริการสุขภาพผู้สูงอายุ การดูแลผู้ป่วยติดเตียง  จัดตั้งสถานชีวาภิบาลทั่วประเทศ 2) สร้าง Care Giver หรือนักบริบาลผู้สูงอายุ 15,000 ตำแหน่งทั่วประเทศ ซึ่งจะทำให้เกิดการจ้างงานในชุมชน โดยจะเน้นกลุ่มที่เป็นนักศึกษาจบใหม่ และผู้สูงอายุหลังเกษียณเพื่อให้มีงานทำ หารายได้เพิ่มให้กับครอบครัว 3) การดูแลสุขภาพของประชาชนด้วยการคัดกรองเร็ว รู้เร็ว รักษาง่าย ปัจจุบันมีชุดตรวจคัดกรองด้วยตนเองที่ประชาชนใช้แค่บัตรประชาชนไปขอรับได้ที่ร้านยา คือ ชุดตรวจมะเร็งปากมดลูก ชุดตรวจการติดเชื้อเอชไอวี ชุดตรวจพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี ในปีนี้จะเพิ่มชุดตรวจไมโครอัลบูมินในปัสสาวะ ป้องกันโรคไตเสื่อมจากเบาหวาน 4) การดูแลสุขภาพจิตของคนไทย ด้วยบริการจิตเวชครบวงจรตั้งแต่การป้องกัน รักษา และการให้คำปรึกษา บำบัด ทั้งศูนย์ให้ปรึกษาทางจิตเวช และการรับการปรึกษาทางสุขภาพจิตผ่านแอปพลิเคชัน 5)  การบำบัดฟื้นฟูผู้ป่วยติดสารเสพติดกลับสู่สังคม 6) ขับเคลื่อน 50 โรงพยาบาล 50 เขต เพื่อคนกรุงเทพฯ มีโรงพยาบาลใกล้บ้านเป็นที่พึ่ง พร้อมกันนี้ รัฐบาลพร้อมที่จะดูแลประชาชนทุกจังหวัดทั่วประเทศ ให้อยู่ในระบบสาธารณสุขที่สะดวก รวดเร็วให้กับคนไทยทั้งประเทศ

ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวอวยพรให้ทุกคนมีสุขภาพที่แข็งแรง ทุกอย่างเริ่มต้นที่ตัวเราสุขภาพดี เราก็จะมีแรงทำงาน มีแรงพัฒนาตนเอง  และครอบครัวไปถึงบริษัทและประเทศต่อไป ขอให้ทุกคนในปีใหม่นี้แข็งแรงสดใสและมีความสุขทั้งสุขกาย สบายใจ ขอให้ปีหน้าเป็นปีแห่งโอกาส และเป็นปีที่ขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จ

จากนั้น นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขร่วมเปิดกล่องของขวัญ ”30 บาทรักษาทุกที่ 77 จังหวัด” เพื่อมอบเป็นของขวัญแก่ประชาชนทั่วประเทศ โดยเริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไป

Advertisement

“รณรงค์ พูลพิพัฒน์“ นั่งเลขาฯ สคบ.คนใหม่

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 17 ธันวาคม 2567 ทำเนียบ – ครม.เคาะ “รณรงค์ พูลพิพัฒน์“ นั่งเลขาฯ สคบ.คนใหม่ พร้อมให้ “ภูมิธรรม” นั่งรองประธาน คกก.นโยบายตำรวจ

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี พิจารณาอนุมัติรับโอน นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์ ให้ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่างลง

นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ดำรงตำแหน่งรองประธานกรรมการ ในคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ เพิ่มอีก 1 ตำแหน่ง

ที่ประชุม ครม.ยังเห็นชอบแต่งตั้ง นายปารเมศ โพธารากุล เป็น ข้าราชการการเมือง ตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (น.ส.ซาบีดา ไทยเศรษฐ์)

Advertisement

 

ศาล ปค.สูงสุด ตีตกคำขอ “บิ๊กโจ๊ก” ให้สั่งชะลอคำสั่งออกราชการ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 16 ธันวาคม 2567 ศาลปกครองสูงสุด ยืนยันชัดตีตกคำขอ “บิ๊กโจ๊ก” ที่ให้สั่งชะลอคำสั่งออกจากราชการไว้ก่อน ชี้ยังไม่พบคำสั่งมีปัญหาความไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งในคดีหมายเลขดำที่ ฟ.117/2567 ระหว่าง พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยื่นฟ้องผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ 1 คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ ที่ 2 นายกรัฐมนตรี ที่ 3 ผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งผู้ฟ้องคดีมีคำขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ให้ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการไว้ก่อน คำวินิจฉัยยกอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 และประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องให้ข้าราชการตำรวจพ้นจากตำแหน่ง และผู้ฟ้องคดีมีคำขอให้ศาลมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่งตามปกครองที่ให้ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการไว้ก่อน คำวินิจฉัยยกอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 และประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องให้ข้าราชการตำรวจพ้นจากตำแหน่ง

ศาลปกครองสูงสุด โดยที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด พิจารณาแล้วเห็นว่า การที่ศาลจะมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามกฎ หรือคำสั่งทางปกครองจะต้องเข้าเงื่อนไขสามประการประกอบกัน สำหรับเงื่อนไขประการที่หนึ่ง ว่าคำสั่งน่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ให้ผู้ฟ้องคดีมาปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี มิใช่เป็นการแต่งตั้งข้าราชการซึ่งสังกัดกระทรวง ทบวง กรมหนึ่ง ไปดำรงตำแหน่งอีกกระทรวง ทบวง กรมหนึ่ง ผู้ฟ้องคดีจึงยังมีสถานะเป็นข้าราชการตำรวจและดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติตามเดิม ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จึงเป็นผู้บังคับบัญชาของผู้ฟ้องคดี เมื่อผู้ฟ้องคดีมีกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามที่คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนได้ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนและศาลอาญาได้ออกหมายจับผู้ฟ้องคดี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จึงเป็นผู้บังคับบัญชาผู้มีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนผู้ฟ้องคดี และมีอำนาจออกคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการไว้ก่อน และยังไม่ปรากฏปัญหาเกี่ยวกับความไม่ชอบด้วยกฎหมายในประการอื่น การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีคำสั่งดังกล่าวจึงไม่น่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย

เมื่อวินิจฉัยเงื่อนไขที่ว่า คำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่เป็นเหตุแห่งการฟ้องคดีไม่น่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่ครบองค์ประกอบในการที่ศาลจะมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่งทางปกครองตามคำขอของผู้ฟ้องคดี กรณีจึงไม่จำต้องพิจารณาเงื่อนไขประการที่สอง ที่ว่าการให้คำสั่งดังกล่าวมีใช้ผลเฉพาะต่อไปจะทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงที่ยากแก่การเยียวยาแก้ไขในภายหลังหรือไม่

และเงื่อนไขประการที่สาม ที่ว่าการทุเลาการบังคับตามคำสั่งดังกล่าวจะเป็นอุปสรรคแก่การบริหารงานของรัฐ หรือแก่บริการสาธารณะหรือไม่อีก จึงไม่มีเหตุผลเพียงพอที่ศาลจะมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ให้ผู้ฟ้องคดีออกราชการไว้ก่อน และประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องให้ข้าราชการตำรวจพ้นจากตำแหน่ง ศาลปกครองสูงสุดจึงมีคำสั่งยกคำขอทุเลาการบังคับตามคำสั่งทางปกครองตามคำขอของผู้ฟ้องคดี

Advertisement

Verified by ExactMetrics