วันที่ 2 พฤษภาคม 2025

รู้ยัง รัฐบาลจ่ายเงินอุดหนุนบุตร เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เบี้ยผู้พิการ ทุกวันที่ 10 ของเดือน เริ่ม 10 ก.ค. 67

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 10 กรกฎาคม 2567 นายกฯ ชื่นชมความสำเร็จนโยบาย เยียวยากลุ่มเปราะบาง ยึดหลักเกณฑ์จ่ายเงินเข้าบัญชีทุกวันที่ 10 ของเดือน เริ่มวันนี้ 10 กรกฎาคม 2567

วันนี้  10 กรกฎาคม 2567  นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีชื่นชมความสำเร็จของรัฐบาล ที่ให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือเยียวยา กลุ่มเปราะบางทุกกลุ่ม ทั้งเงินอุดหนุนบุตร เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ และเบี้ยผู้พิการ โดยรัฐบาลยังคงหลักเกณฑ์จ่ายเงินเข้าบัญชีทุกวันที่ 10 ของเดือน เริ่มวันแรกพุธที่ 10 กรกฎาคม 2567

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการดูแลวิถีชีวิตประชาชน เพื่อความเท่าเทียมของทุกกลุ่ม  เพื่อปรับปรุงระบบสวัสดิการและพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน โดยกรมบัญชีกลางและกระทรวงพัฒนาสังคมเพื่อความมั่นคงของมนุษย์ จะโอนเงินช่วยเหลือเยียวยากลุ่มเปราะบาง ที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังนี้

โครงการเงินอุดหนุนบุตร

– โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด หรือเงินอุดหนุนบุตร ช่วยเหลือกลุ่มเด็กแรกเกิด-อายุ 6 ขวบ รับเงินอุดหนุนจำนวน 600 บาท สมาชิกครัวเรือนมีรายได้เฉลี่ยไม่เกิน 100,000 บาท/คน/ปี

เด็กที่เกิดเดือนกรกฎาคม 2561 จะหมดสิทธิ์รับเงินช่วยเหลือเยียวยา และเด็กที่เกิดสิงหาคม 2561 จะได้รับเงินช่วยเหลือเยียวยาเป็นก้อนสุดท้าย เนื่องจากมีอายุครบ 6 ขวบตามเงื่อนไข

ผู้ปกครองที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนสามารถยื่นคำร้องในพื้นที่ที่เด็กแรกเกิดและผู้ปกครองอาศัยอยู่จริง ที่สำนักงานเขต ศาลาว่าการเมืองพัทยา และองค์การบริหารส่วนตำบลหรือเทศบาล

โดยต้องลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน “เงินเด็ก”

ผู้ปกครองต้องพิสูจน์และยืนยันตัวตนผ่าน แอปพลิเคชัน ThaID ของกรมการปกครองก่อน เมื่อตรวจสอบสิทธิผ่านแล้ว จะได้รับเงินมีผล ตั้งแต่เดือนที่ลงทะเบียนรับเงิน

เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ

– เดือนกรกฎาคม 2567 จะจ่ายแบบขั้นบันได ผู้สูงอายุอายุ 60-69 ปี รับเบี้ยยังชีพจำนวน 600 บาท ผู้สูงอายุอายุ 70-79 ปี 700 บาท ผู้สูงอายุอายุ 80-89 ปี 800 บาท และผู้สูงอายุอายุ 90 ปีขึ้นไป 1,000 บาท

สำหรับเบี้ยผู้พิการตามเกณฑ์อายุ

– โดยผู้พิการที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป 800 บาท และผู้พิการที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี รับเบี้ยยังชีพจำนวน 1,000 บาท

ทั้งนี้ สามารถตรวจสอบเงินอุดหนุนบุตร เบี้ยผู้สูงอายุ เบี้ยคนพิการ ได้ผ่านแอปพลิเคชัน ‘เงินเด็ก’ หรือ แอปพลิเคชัน ‘ทางรัฐ’ หรือ ทางบัญชีที่ได้แจ้งไว้ และสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเงินอุดหนุนบุตร ได้ที่ศูนย์ปฏิบัติการโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดกรมกิจการเด็กและเยาวชน โทร 08 2091 7245, 08 2037 9767, 08 3431 3533, 06 5731 3199 และศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง

“นายกรัฐมนตรี ต้องการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเปราะบาง โดยหวังว่าเงินช่วยเหลือเหล่านี้จะช่วยแบ่งเบาประชาชนได้บ้างไม่มากก็น้อย และขอให้ประชาชนทุกคนเชื่อมั่นว่าการดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนทุกคนในทุกมิติเป็นวัตถุประสงค์หลักในการทำงานของนายกรัฐมนตรี โดยรัฐบาลตั้งมั่นที่จะช่วยเหลือดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้มีวิถีชีวิตที่ดีขึ้น” นายชัย กล่าว

Advertisement

เผยสถิติ ต.ค.66 – พ.ค.67 เพียง 8 เดือน มีผู้โดยสารใช้สนามบินในไทย 81.05 ล้านคน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 7 กรกฎาคม 2567 นายกฯ มุ่งมั่นขับเคลื่อนไทยสู่การเป็น Aviation Hub ภูมิภาค เผยสถิติตุลาคม 2566 – พฤษภาคม 2567 เพียง 8 เดือน มีผู้โดยสารใช้บริการสนามบินในไทย 81.05 ล้านคน คมนาคมตั้งเป้าผลักดันสนามบินไทยติดอันดับ 1 ใน 20 สนามบินระดับโลกในปี 2572

วันนี้ (7 ก.ค. 67) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มุ่งพัฒนาศักยภาพท่าอากาศยานของไทย ยกระดับมาตรฐาน การให้บริการ และความปลอดภัยด้านการขนส่งทางอากาศตามมาตรฐานสากล เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมการบินของไทยสู่เป้าหมายการเป็นศูนย์กลางการบิน (Aviation Hub) ของภูมิภาค พร้อมสั่งการกระทรวงคมนาคมจัดทำแผนการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ รองรับการเติบโตด้านคมนาคมทางอากาศ เพิ่มเที่ยวบินอย่างเต็มศักยภาพตามวิสัยทัศน์นายกรัฐมนตรี

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีระบุว่า นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ขานรับนโยบายตามวิสัยทัศน์ของนายกรัฐมนตรี จัดทำแผนดำเนินงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพรองรับการเติบโตด้านการคมนาคมทางอากาศของไทยในทุกมิติ มั่นใจว่าด้วยความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง ไทยจะดำเนินการตามมาตรฐานการบินขององค์การบริหารการบินแห่งสหรัฐอเมริกา (FAA CAT1) สามารถเปิดให้บริการ เพิ่มเที่ยวบิน หรือเพิ่มจุดบินใหม่ๆ ในสหรัฐอเมริกา และประเทศอื่นๆ ที่ใช้มาตรฐานด้านการบินของ FAA

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวด้วยว่า ด้วยศักยภาพ ทรัพยากร และความพร้อมของประเทศ กระทรวงคมนาคมได้เดินหน้าแผนขยายขีดความสามารถท่าอากาศยาน พร้อมพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว โดยสามารถผลักดันท่าอากาศยานสุวรรณภูมิให้ติด 1 ใน 58 สนามบินที่ดีที่สุดในโลก (World’s Best Airport) ประจำปี 2567 ขยับขึ้น 10 อันดับ จากอันดับที่ 68 ประจำปี 2566 ขณะที่ท่าอากาศยานดอนเมืองติดอันดับ 1 ใน 10 สนามบินโลว์คอสต์ที่ดีที่สุดในโลก (World’s Best Low-Cost Airline Terminals) ประจำปี 2567 และอยู่ระหว่างการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเพื่อเพิ่มพื้นที่รองรับผู้โดยสารอีก 81,000 ตารางเมตร และเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดให้บริการทางวิ่งเส้นที่ 3 ในช่วงเดือนกันยายน 2567 เพื่อรองรับเที่ยวบินเป็น 94 เที่ยวบินต่อชั่วโมงจาก 68 เที่ยวบินต่อชั่วโมง

อนึ่ง ภายในปี 2572 ได้ตั้งเป้าหมายผลักดันท่าอากาศยานของไทยติดอันดับ 1 ใน 20 สนามบินของโลก สามารถรองรับผู้โดยสารประมาณ 170 ล้านคน และเที่ยวบินประมาณ 1 ล้านเที่ยวบิน และในปี 2577 สามารถรองรับผู้โดยสารประมาณ 210 ล้านคน และเที่ยวบินประมาณ 1.2 ล้านเที่ยวบิน

ข้อมูลจากกระทรวงคมนาคม ยังชี้ให้เห็นว่า สถิติตัวเลขผู้โดยสารระหว่างเดือนตุลาคม 2566 – พฤษภาคม 2567 มีผู้โดยสารใช้บริการเดินทางเข้า-ออกท่าอากาศยานของประเทศไทยรวม 81.05 ล้านคน ฟื้นตัวร้อยละ 83.4 เมื่อเทียบกับช่วงปี 2562 ก่อนเกิดสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 แบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 48.95 ล้านคน และผู้โดยสารภายในประเทศ 32.09 ล้านคน มีเที่ยวบินรวม 490,970 เที่ยวบิน ฟื้นตัวร้อยละ 80.9 เมื่อเทียบกับช่วงปี 2562 แบ่งเป็นเที่ยวบินระหว่างประเทศ 274,410 เที่ยวบิน และเที่ยวบินภายในประเทศ 216,560 เที่ยวบิน

“นายกรัฐมนตรีมุ่งมั่นพัฒนาท่าอากาศยานไทยตามวิสัยทัศน์ Aviation Hub ยกระดับศักยภาพท่าอากาศยานไทยเพื่อความสะดวกของผู้ใช้บริการ เดินหน้าบูรณาการความร่วมมือของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการบินขยายขีดความสามารถท่าอากาศยานไทยตั้งเป้าให้ติดระดับท่าอากาศยานระดับโลก ให้สามารถรองรับเที่ยวบินและผู้โดยสารจากทั่วทุกมุมโลก เพื่อผลักดันไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการบินระดับโลก ตอบโจทย์ทุกวัตถุประสงค์การเดินทาง เชื่อมั่นสามารถเพิ่มเม็ดเงินเข้าไทย ขยายโอกาสประเทศ” นายชัย กล่าว

Advertisment

ข่าวดี!! ออมสิน เปิดตัว MyMo Secure Plus – แอปธนาคารแรกที่มาพร้อมโหมดปลอดมิจฉาชีพ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 5 กรกฎาคม 2567 ออมสิน เปิดตัว MyMo Secure Plus – แอปธนาคารแรกที่มาพร้อมโหมดปลอดมิจฉาชีพ ให้ลูกค้าทำธุรกรรมจำเป็นได้ปลอดภัยกว่า ใช้งานง่าย พร้อมให้บริการบนแอป MyMo แล้ว

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า จากปัญหาภัยทุจริตทางการเงินที่มีประชาชนได้รับความเสียหายจากการถูกมิจฉาชีพหลอกให้ติดตั้งแอปพลิเคชันและถูกดูดเงินออกจากบัญชีธนาคาร ทำให้ต้องสูญเสียทรัพย์โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แม้ธนาคารและหน่วยงานต่าง ๆ ได้มีการเตือนภัยประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น เพื่อช่วยลูกค้าประชาชนลดความเสี่ยงจากการถูกหลอกลวงเมื่อทำธุรกรรมผ่านบริการทางการเงินดิจิทัล ธนาคารออมสินจึงได้ยกระดับความปลอดภัยของบริการ Mobile Banking โดยการเพิ่มโหมดบริการ MyMo Secure+ ที่จำกัดการทำธุรกรรมเฉพาะบัญชีของตนเองเท่านั้น กรณีมือถือโดนแฮก หรือโดนควบคุมมือถือผ่านรีโมท มิจฉาชีพก็จะไม่สามารถโอนเงินของเราไปยังบัญชีอื่น หรือบัญชีบุคคลที่ 3 ได้ ถือเป็นการจำกัดความเสียหายที่จะเกิดขึ้น ซึ่งธนาคารออมสินเป็นธนาคารแรกที่ริเริ่มติดตั้งโหมดปลอดมิจฉาชีพสำหรับให้บริการลูกค้าบนแอปพลิเคชัน

MyMo Secure+ หรือ MyMo Secure Plus เป็นโหมดบริการบนแอป MyMo ที่ให้ลูกค้าสามารถเลือกใช้บริการได้ง่าย ๆ และปลอดภัยมากขึ้น เหมาะสำหรับลูกค้ากลุ่มเปราะบางที่อาจตกเป็นเหยื่อภัยทางการเงินได้ง่าย อาทิ ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่ไม่รู้เท่าทันมิจฉาชีพ โดยเมื่อลูกค้าเปลี่ยนมาใช้โหมดบริการ MyMo Secure+ จะสามารถใช้บริการที่เน้นการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านบัญชีของตนเองเท่านั้น โดยจำกัดการทำรายการเฉพาะเท่าที่จำเป็น เช่น การโอนเงินไปยังบัญชีตนเองภายในธนาคาร การโอนเงินไปบัญชีต่างธนาคารที่ได้ลงทะเบียนไว้ บัญชีสินเชื่อของตนเอง การชำระค่าสาธารณูปโภค รวมถึงจำกัดวงเงินในการทำธุรกรรมบัญชีตนเองต่างธนาคาร ไม่เกิน 100,000 บาทต่อวัน หรือถอนเงินไม่เกิน 5,000 บาทต่อวัน เป็นต้น โดยลูกค้าเดิมที่ใช้แอป MyMo อยู่แล้ว สามารถเปลี่ยนโหมดเป็น MyMo Secure+ ได้ด้วยตนเองโดยกดที่ปุ่ม MyMo Secure+ มุมขวาบน หรือจากแบนเนอร์หน้าโฮม หรือจากแถบตั้งค่า และเมื่อกดสมัครใช้งานแล้ว จะต้องยอมรับข้อกำหนดและเงื่อนไขการให้บริการ หรือการเปลี่ยนโหมด และมีการยืนยันตัวตนด้วยการสแกนใบหน้า จึงสมัครใช้บริการสำเร็จ กรณีลูกค้าต้องการเปลี่ยนกลับไปใช้แอป MyMo รูปแบบทั่วไป สามารถติดต่อแจ้งความประสงค์ได้ที่ธนาคารออมสินทุกสาขา

อนึ่ง การยกระดับแอป MyMo ให้มีโหมดความปลอดภัย เป็นการดำเนินงานโดยสอดคล้องกับมาตรการธนาคารแห่งประเทศไทยที่มีการยกระดับมาตรการจัดการภัยทุจริตทางการเงิน โดยขอความร่วมมือธนาคารต่าง ๆ ในการป้องกันความเสียหาย และมีผลิตภัณฑ์หรือบริการเพิ่มเติมเพื่อดูแลธุรกรรมของลูกค้าให้ปลอดภัยขึ้น เพื่อป้องกันความเสี่ยงและลดปัญหาการถูกหลอกลวงออนไลน์ โดยธนาคารออมสิน ได้ให้ความสำคัญในมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยของระบบการให้บริการที่ถือเป็นหัวใจหลักของการให้บริการ Mobile Banking มาอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับการรับรองตามมาตรฐานสากล ด้านการบริหารจัดการความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ ISO/IEC 27001 ในเวอร์ชัน ISO/IEC 27001:2022 (Information Security Management System : ISMS) ตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบัน

Advertisment

บีโอไอเผย 5 ข้อได้เปรียบไทย ดึงลงทุน Data Center และ Cloud Service

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 1 กรกฎาคม 2567 บีโอไอ เผยบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี เร่งแผนลงทุน Data Center และ Cloud Service ชู 5 จุดแข็ง ดันไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญเชื่อมต่อภูมิภาค ยกระดับสู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลในอาเซียน โชว์ยอดส่งเสริมลงทุนกิจการ Data Center และ Cloud Service รวม 37 โครงการ มูลค่าลงทุนกว่า 98,000 ล้านบาท พร้อมรองรับธุรกิจบริการด้านดิจิทัลและ AI ที่มีแนวโน้มขยายตัวสูง

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมายที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ในการลงทุน Data Center และ Cloud Service เพื่อรองรับการขยายตัวของปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI และบริการด้านดิจิทัลต่าง ๆ ที่กำลังเติบโตสูงในภูมิภาค เนื่องจากมีข้อได้เปรียบอย่างน้อย 5 ด้าน คือ

(1) ทำเลที่ตั้งอยู่ในจุดศูนย์กลางที่สามารถเชื่อมต่อกับประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะศักยภาพในการเป็น Connecting Hub สำหรับกลุ่มประเทศ CLMVT ที่มีประชากรรวมกันกว่า 250 ล้านคน

(2) มีความมั่นคง ปลอดภัยสูง มีความเสี่ยงต่อภัยธรรมชาติต่ำ Data Center เป็นธุรกิจที่ต้องการความมั่นคงสูง เพราะต้องรักษาข้อมูลสำคัญของลูกค้าในปริมาณมหาศาล ซึ่งประเทศไทยได้เปรียบในเรื่องนี้ เนื่องจากไม่มีแผ่นดินไหว ไต้ฝุ่น หรือภัยพิบัติรุนแรง อีกทั้งไทยมีความเป็นกลางไม่ใช่ประเทศคู่ขัดแย้งในเวทีระหว่างประเทศ

นอกจากนี้ ยังมีกฎระเบียบด้านดิจิทัลที่มีมาตรฐานสากล เช่น กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) และกฎหมายการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (Cyber Security Act) ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน

(3) โครงสร้างพื้นฐานมีคุณภาพสูง ทั้งระบบไฟฟ้าที่มีความเสถียร และมีศักยภาพในการจัดหาพลังงานสะอาด ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญของการลงทุน Data Center อีกทั้งมีโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงติด 1 ใน 10 ของโลก และเครือข่าย 5G ที่ครอบคลุมพื้นที่มากที่สุดในอาเซียน สามารถรองรับการส่งข้อมูลได้ในปริมาณสูง

(4) ตลาดในประเทศขยายตัวสูง ทั้งดีมานด์จากการยกระดับองค์กรต่าง ๆ ไปสู่ยุคดิจิทัล (Digital Transformation) การกำหนดนโยบาย Cloud First Policy ของรัฐบาล สัดส่วนการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตอยู่ในระดับสูงถึงร้อยละ 88 ของประชากร มีผู้ใช้งาน Social Media กว่าร้อยละ 70 ของประชากร และประชาชนมีทักษะในการทำธุรกรรมการเงินผ่านระบบดิจิทัล เช่น PromptPay, Mobile Banking, e-Payment รวมทั้งการใช้แอปพลิเคชันเพื่อรับสิทธิตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา

(5) สิทธิประโยชน์ที่จูงใจจากบีโอไอ ทั้งการยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์ การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล การอนุญาตให้ถือครองที่ดินเพื่อประกอบกิจการที่ได้รับการส่งเสริม การอำนวยความสะดวกด้านวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน การลดหย่อนภาษีเงินได้สำหรับบุคลากรทักษะสูง การบริการข้อมูลและช่วยจัดหาสถานที่ตั้งโครงการ การช่วยประสานงานในการขอใบอนุญาตจากหน่วยงานต่าง ๆ รวมถึงมาตรการช่วยบรรเทาผลกระทบจากกติกาภาษีใหม่ (Global Minimum Tax) ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยที่บริษัทเทคโนโลยีระดับโลกให้ความสำคัญ

ปัจจุบันมีโครงการ Data Center และ Cloud Service ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ รวม 37 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 98,539 ล้านบาท ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ ชลบุรี และระยอง โดยมีบริษัทชั้นนำระดับโลกได้เข้ามาลงทุนจัดตั้ง Data Center ในประเทศไทยแล้วหลายราย อาทิ Amazon Web Service (AWS) ที่ประกาศลงทุน Data Center ในไทยกว่า 2 แสนล้านบาท ภายในปี 2580 โดยในเฟสแรก ได้ลงทุนสร้าง Data Center แล้ว 3 แห่ง เงินลงทุนกว่า 25,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีโครงการ NextDC จากออสเตรเลีย ลงทุน 13,700 ล้านบาท STT GDC จากสิงคโปร์ ลงทุน 4,500 ล้านบาท Evolution Data Center จากสิงคโปร์ ลงทุน 4,000 ล้านบาท Supernap (Switch) จากสหรัฐอเมริกา ลงทุน 3,000 ล้านบาท Telehouse จากญี่ปุ่น ลงทุน 2,700 ล้านบาท One Asia จากฮ่องกง ลงทุน 2,000 ล้านบาท รวมทั้ง Google และ Microsoft ผู้ให้บริการระดับโลก ได้ประกาศแผนลงทุน Data Center ในประเทศไทยแล้ว โดยอยู่ระหว่างพิจารณารายละเอียดร่วมกับบีโอไอและทีมงานของนายกรัฐมนตรี

สำหรับธุรกิจการให้บริการคลาวด์ (Cloud Service) มีบริษัทชั้นนำที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก บีโอไอ เช่น Alibaba Cloud ลงทุนกว่า 4,000 ล้านบาท และ Huawei Technologies ลงทุนกว่า 3,000 ล้านบาท นอกจากบริษัทชั้นนำจากต่างประเทศแล้ว ยังมีผู้ประกอบการไทยที่มีศักยภาพสูงอีกหลายรายที่ลงทุนในธุรกิจ Data Center และ Cloud Service ด้วย เช่น บริษัท ทรู อินเทอร์เน็ต ดาต้า เซ็นเตอร์, บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย และบริษัท GSA ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่าง Gulf, Singtel และ AIS

นอกจากธุรกิจ Data Center และ Cloud Service แล้ว บีโอไอยังส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมดิจิทัลอย่างครบวงจร ทั้งการพัฒนาซอฟต์แวร์ แพลตฟอร์มเพื่อให้บริการดิจิทัล ดิจิทัลคอนเทนต์ และกิจการสนับสนุนระบบนิเวศด้านดิจิทัล เช่น กิจการ Innovation Park, กิจการ Maker Space หรือ Fabrication Lab และกิจการพัฒนาพื้นที่และระบบเมืองอัจฉริยะ (Smart City) โดยที่ผ่านมา มีการปรับปรุงหลักเกณฑ์การส่งเสริมให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ และเอื้อต่อการลงทุนในธุรกิจดิจิทัลที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

“กิจการ Data Center และ Cloud Service ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของโลกยุคใหม่การตัดสินใจเข้ามาลงทุนในไทยของผู้ให้บริการระดับ Hyperscale อย่าง AWS, Google, Microsoft รวมทั้งบริษัทเทคโนโลยี ชั้นนำจากหลายประเทศ สะท้อนให้เห็นว่าไทยเป็นประเทศที่เหมาะสมในการประกอบธุรกิจดิจิทัล ทั้งในแง่สภาพแวดล้อม โครงสร้างพื้นฐาน คุณภาพของบุคลากร และมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ ประโยชน์ของโครงการลงทุนเหล่านี้ จะช่วยสร้างงานทักษะสูง ทั้งทางตรงและทางอ้อมในสายงานด้านโทรคมนาคม สาธารณูปโภค ธุรกิจ ให้คำปรึกษา และธุรกิจที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ อีกทั้งช่วยให้ผู้ประกอบการไทยมีโอกาสเข้าถึงบริการ Cloud ที่มีคุณภาพสูง และเทคโนโลยีดิจิทัลอื่น ๆ ได้ง่ายขึ้น ช่วยเร่งกระบวนการ Digital Transformation สนับสนุนการพัฒนาธุรกิจที่จำเป็นต้องใช้ความเร็วสูงในการรับ-ส่งข้อมูลขนาดใหญ่ รวมทั้งต่อยอดให้ไทยก้าวสู่ การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลของภูมิภาค” นายนฤตม์ กล่าว

Advertisment

นายกฯ ขอบคุณ “ลิซ่า” เลือกเยาวราช ถ่าย MV ชี้เป็นพื้นที่มีศักยภาพ ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มาก

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 30 มิถุนายน 2567 สุรินทร์ – นายกฯ ขอบคุณ “ลิซ่า” คำนึงถึงประเทศบ้านเกิด เลือกเยาวราช เป็นฉากใน MV ROCKSTAR ชี้เป็นพื้นที่มีศักยภาพ ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มาก เน้นย้ำมาตรฐานความสะอาด ปลอดภัย เชื่อไม่กระทบไทย หลัง บ.ทัวร์หลายประเทศ เริ่มล้มละลาย

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีลิซ่า ลลิษา มโนบาล นักร้องสาวชื่อดัง ออกมิวสิควิดีโอเพลง ROCKSTAR เมื่อวานนี้ โดยมีภาพของเยาวราช เป็นหนึ่งในสถานที่ถ่ายทำ ซึ่งรัฐบาลจะนำไปพัฒนาพื้นที่ อย่างไรบ้างเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว ว่าเมื่อคืนก็ได้ฟังที่ลิซ่าให้ให้สัมภาษณ์ ว่าเขาเองก็อยากจะทำมิวสิควิดีโอ และก็ได้เสนอที่เยาวราชขึ้นมา ก็ต้องขอขอบคุณตรงนี้ ว่าได้คำนึงถึงประเทศบ้านเกิดเมืองนอน ขณะที่เยาวราชก็มีศักยภาพสูง มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวต่อปีเยอะมาก และก็ไม่ใช่แค่เยาวราชอย่างเดียว ยังมีทั้งถนนทรงวาด ไปตลอดจนพื้นที่บริเวณนั้น รวมไปถึงภูเขาทอง ก็มีศักยภาพที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ดีมาก

แต่เหนือสิ่งอื่นใดความปลอดภัยและระบบสาธารณสุขยังมีความจำเป็น ซึ่งต้องขอบคุณผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่ทำงานร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาในการลงพื้นที่ไปดูเรื่องความสะอาด สุขอนามัย ทั้งหมด

“อย่างที่ลิซ่ามาโปรโมทอย่างนี้ มียอดวิวหลายสิบล้าน นักท่องเที่ยวก็มาอย่างแน่นอน มาแล้วก็ต้องไม่ผิดหวัง พร้อมเน้นย้ำเรื่องมาตรฐานความสะอาดและความปลอดภัย “ นายเศรษฐา กล่าว

เมื่อถามต่อถึงภาคการท่องเที่ยวที่ขณะนี้มีทัวร์หลายประเทศล้มละลาย จะส่งผลกระทบต่อเป้าที่วางไว้หรือไม่ นายกรัฐมนตรีมองว่า ช่วงที่เกิดโควิดมา 2-3 ปีที่ผ่านมานั้น คนที่มีความแข็งแรงน้อยก็ไม่สามารถที่จะอยู่ได้ แต่คนที่แข็งแรงก็สามารถจะไปต่อได้ ซึ่งมีล้มก็ต้องมีลุกขึ้นมาใหม่ แต่ยืนยันว่าตอนนี้ตัวเลขชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาก็เป็นที่น่าพอใจ ซึ่งก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร และก็จะมีการเปิดตลาดใหม่ๆ โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา อย่างเช่นประเทศที่ลงท้ายด้วยคำว่าสถานทั้งหลาย ซึ่งตอนนี้เป็นช่วงหน้าร้อนของภูมิภาคตะวันออกกลาง กระทรวงการท่องเที่ยวก็จะไปโปรโมทให้เยอะขึ้น

ขณะที่อินเดียก็มีการยกเลิกวีซ่าให้เราแล้ว ก็น่าจะดีขึ้น ตนจะไปเยือนอินเดียในช่วงเดือนสิงหาคม ก็จะมีการพูดคุยในเรื่องของการบิน ที่จะเอาสายการบินของเขาเข้ามาให้มากขึ้น นักท่องเที่ยวจะได้เข้ามาได้มากขึ้น ซึ่งปัญหาใหญ่ขณะนี้คือการที่ไฟลต์เข้ามาไม่พอ

Advertisment

นายกฯ เชื่อมั่นศักยภาพ Soft Power ไทย ผ่านการจัดงาน THACCA SPLASH – Soft Power Forum 2024

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 27 มิถุนายน 2567 นายกฯ เชื่อมั่นศักยภาพ Soft Power ไทยพร้อมโชว์สู่สายตานานาชาติ ผ่านการจัดงาน THACCA SPLASH – Soft Power Forum 2024 ครั้งแรกในไทย

เริ่มแล้ววันพรุ่งนี้ วันที่ 28 – 30 มิ.ย. 2567 นี้ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ผู้สนใจเข้าร่วมงานฟรีตลอดงาน! ไม่มีค่าใช้จ่าย โดยงานนี้จะจุดประกายต่อยอดไอเดียสู่ประชาชน ส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการ สร้างความร่วมมือและโอกาสทางเศรษฐกิจในระดับสากล

วันที่ 27 มิถุนายน 2567 นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เชื่อมั่นในศักยภาพของ Soft Power ไทย และเดินหน้าขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง สนับสนุนโอกาสที่รัฐบาลโดยคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ จัดการประชุมนานาชาติด้าน Soft Power อย่างเป็นทางการครั้งแรก ผ่านงาน “THACCA SPLASH : Soft Power Forum 2024” ระหว่างวันที่ 28 – 30 มิถุนายน 2567 นี้ เวลา 10.00 – 19.00 น. ณ ฮอลล์ 1-2 ชั้น G ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC) โดยประชาชนที่สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย พร้อมเปิดเวทีสัมมนา แลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญระดับโลก ตลอดจนจัดแสดงนิทรรศการและกิจกรรม เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ 11 สาขาของไทย

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ภายในงาน THACCA SPLASH : Soft Power Forum 2024 ผู้เข้าร่วมงานจะได้พบกับ 48 ผู้เชี่ยวชาญระดับโลกจากหลากหลายสาขา บนเวที “Vision Stage” โดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานกล่าวปาฐกถาเปิดงานในวันที่ 28 มิถุนายน 2567 ภายใต้หัวข้อ ยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์ ตลอดจนผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่าง ๆ ที่จะร่วมเวทีสัมมนา แบ่งปันวิสัยทัศน์ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อสร้างแรงแรงบันดาลใจ สร้างโอกาสทางธุรกิจ ตลอด 3 วัน

โดยงานดังกล่าวจะนำเสนออุตสาหกรรมสร้างสรรค์ 11 สาขาของไทย ประกอบด้วยสาขา เทศกาล การท่องเที่ยว อาหาร การออกแบบ ศิลปะ ภาพยนตร์และละคร/ซีรีส์ ดนตรี หนังสือ เกม แฟชั่น และกีฬา ผ่าน 7 โซนนิทรรศการและกิจกรรม ได้แก่ 1) SPLASH Visionary Zone 4 เวทีสัมมนาแสดงศักยภาพและแลกเปลี่ยนทัศนคติ จากผู้เชี่ยวชาญระดับโลก 2) THACCA Pavilion – นิทรรศการบอกเล่าทุกความฝัน ทุกเป้าหมาย และนโยบายที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศด้วย Soft Power 3) 11 Industries Pavilion – นิทรรศการจาก 11 อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ 4) International Pavilion – นิทรรศการนานาชาติ นำเสนอโอกาสและความสำเร็จของนโยบายด้านวัฒนธรรมสร้างสรรค์จากประเทศต่าง ๆ เช่น เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และอิตาลี 5) SPLASH Masterclass – ห้องเรียน Reskill Upskill สำหรับทุกๆ คนที่มองหาโอกาสในชีวิต 6) กิจกรรม Hackathon – สนามประลองไอเดีย และ 7) SPLASH Activation Lounge – พื้นที่สำหรับการสร้างความร่วมมือ และการจับคู่ค้าทางธุรกิจ (Business Matching)

รวมทั้งยังมีไฮไลต์ของงานใน 4 สาขาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของไทย อาทิ – อุตสาหกรรมเฟสติวัล : จัดแสดงรถแห่เทียนพรรษาขนาดยาวกว่า 12 เมตร สูงถึง 4.5 เมตร จาก อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี รังสรรค์จากช่างไทยมากฝีมือกว่า 30 ชีวิต สะท้อนความประณีตและความยิ่งใหญ่ของฝีมือช่างไทย

– อุตสาหกรรมศิลปะ : จัดแสดงผลงานศิลปะของศิลปินชื่อดังตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ผ่านมุมมอง “Discovery Thailand’s Hidden Talents” อาทิ อ.ประเทือง เอมเจริญ, อ.ถวัลย์ ดัชนี, อ.จักรพันธุ์ โปษยกฤต, อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ และนิสา ศรีคำดี ผู้สร้างสรรค์ “Cry Baby”

– อุตสาหกรรมกีฬา : จัดเวทีมวย การแสดงแม่ไม้มวยไทย จัดโชว์สินค้ามวยไทย พบกับ เพชรจีจ้า “The Queen” ลูกเจ้าพ่อโรงต้ม โดยผู้ที่มาร่วมงานสามารถฝึกมวยเบื้องต้นได้และมีครูมวยมาให้คำแนะนำ

– อุตสาหกรรมอาหาร : จัดนิทรรศการในหัวข้อ “Discover New Flavors of Thailand” เปิดประสบการณ์ของอาหารไทย อาทิ อาหารชาววัง อาหารประจำภาค Street Food และ Future Food รวมทั้งนิทรรศการโครงการ “หนึ่งหมู่บ้าน หนึ่งเชฟอาหารไทย” โดยเชฟชุมพล แจ้งไพร โดยเป็นหนึ่งในหลักสูตร OFOS (One Family One Soft Power) จะเปิดให้ผู้ที่สนใจลงทะเบียนโครงการในงาน

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมงานได้ที่ https://general.icv-allservice.com ฟรีตลอดงาน ไม่เสียค่าใช้จ่าย รวมทั้งสามารถติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ผ่านเว็บไซต์ https://www.thacca.go.th/splash/ เพจเฟสบุ๊ก https://www.facebook.com/thaccaofficial และทาง X (ทวิตเตอร์) @thaccaofficial

“รัฐบาลเชิญชวนประชาชนและผู้สนใจร่วมงาน THACCA Soft Power Forum 2024 ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปีนี้ นอกจากจะเป็นการจัดงานรูปแบบใหม่ เท่าทันกระแสความนิยมของประชาชนแล้ว ยังเป็นงานที่มีประโยชน์โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ที่มองหาประกายความคิดเพื่อจุดมีให้ไฟในการทำงานอีกครั้ง ทั้งนี้ มีผู้เชี่ยวชาญระดับโลกจากหลากหลายอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ที่จะมาแบ่งปันวิสัยทัศน์ เช่น ธนินทร์ เจียรวนนท์, พิชัย จิราธิวัฒน์, Soohyun Kim,  Stewart Moore และ Jayne Estéve Curé เป็นต้น รวมถึง การจัดแสดงผลงานศิลปะจากศิลปินชื่อดัง เช่น นิสา ศรีคำดี ผู้สร้างผลงาน “Cry Baby” ที่กำลังเป็นที่นิยมทั่วโลก พร้อมด้วยนิทรรศการ การแสดง และกิจกรรมอีกมากมาย เพื่อให้ผู้เข้าร่วมงานได้ค้นหาประสบการณ์ จุดประกายความคิด สร้างแรงบันดาลใจ นำประสบการณ์จากงานนี้ไปต่อยอดความคิด” นายชัย กล่าว

อนึ่ง ผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่าง ๆ ที่จะร่วมเวทีสัมมนา บนเวที “Vision Stage” อาทิ แพทองธาร ชินวัตร – กรรมการพัฒนาซอฟพาวเวอร์แห่งชาติ, ธนินทร์ เจียรวนนท์ – ประธานอาวุโส บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด, พิชัย จิราธิวัฒน์ – กรรมการบริหาร กลุ่มเซ็นทรัล, Soohyun Kim – ผู้อำนวยการสำนักงานยูเนสโกส่วนภูมิภาค กรุงเทพฯ, Magdalena Florek – กรรมการสมาคมการสร้างอัตลักษณ์เชิงพื้นที่นานาชาติ ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์, Martin Boudreau – President and CEO, 44 Productions, ดวงขวัญ สินสัตยกูล – ผู้จัดการประจำตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ฮ่องกง และไต้หวัน บริษัท Airbnb, Tonya Nelson – Excutive Director of Enterprise and Innovation, Arts Council England, Jayne Estève Curé – Creative Fashion Luxury & Business Consultancy, Derek Hsu – President, 88rising, อดุลญา ฮุนตระกูล – ผู้อำนวยการหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร และอุเทน บุญอรณะ – เจ้าของนามปากกา “รังสิมันต์” อายุรแพทย์ระบบประสาทและสมอง นักเขียนนิยายที่ได้รับการแปลไปแล้วกว่า 5 ภาษา

นอกจากนั้น ยังมีผู้เชี่ยวชาญที่ประสบความสำเร็จในแวดวงอุตสาหกรรมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ เป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่กำลังมาแรง ทั้งการออกแบบ นักเขียน เกม ดนตรี ภาพยนต์ ละคร ซีรีย์ และศิลปะ บนเวที “Pathway Stage” ที่จะแนะนำเทคนิค และประสบการณ์สู่ความสำเร็จในอาชีพ  อาทิ พัทน์ ภัทรนุธาพร – MIT Media Lab, Yee Ler Lau – Associate Director for Global Public Affairs, Tencent, ชนิดา คล้ายพันธ์ – Head of Public Policy, TikTok Thailand, Ruben Hattari – Director of Public Policy, South East Asia, Netflix, รัญชน์คณุตม์ นาคะเสถียร – ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ เกมส์ และอีสปอร์ต (eFootball League Thailand) รวมทั้ง “Performance Stage” เวทีของคนรุ่นใหม่ให้ได้แสดงความสามารถ อาทิ การแสดง Contemporary Dance “ร่างทอง”, คุณเหมียว (Yaongyi) นักเขียนจากเรื่อง “ความลับของนางฟ้า (True Beauty), K-Pop Dance Mini Workshop โดยคิม ฮยอนอี และ “Podcast Studio” เวที Podcast เจาะลึกมุมมองแนวคิดของผู้เชี่ยวชาญระดับโลกที่จะจุดประกายความคิดให้กับผู้เข้าร่วมงาน

Advertisment

รัฐบาลปลื้ม 5 เดือนแรก ต่างชาติลงทุนในไทยเพิ่ม 16% ส่วนลงทุนใน EEC เพิ่ม 106%

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 27 มิถุนายน 2567 รัฐบาลปลื้ม 5 เดือนแรกปี 67 ต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น 16% นำเงินเข้า 71,702 ล้านบาท เพิ่ม 58% ส่วนการลงทุนใน EEC เพิ่ม 106% มูลค่าลงทุน 18,224 ล้านบาท เพิ่ม 93%

วันนี้  27 มิถุนายน 2567 นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า  ในช่วง 5 เดือนของปี 2567 (ม.ค.-พ.ค.) มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในไทย ภายใต้ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 จำนวน 317 ราย เพิ่มขึ้น 16% เป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จำนวน 85 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) จำนวน 232 ราย มีเม็ดเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 71,702 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 58%

นายคารม กล่าวว่า ชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุน 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.ญี่ปุ่น จำนวน 84 ราย คิดเป็น 26% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุนรวม 40,214 ล้านบาท 2.สิงคโปร์ จำนวน 51 ราย คิดเป็น 16% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย มีเงินลงทุน 5,189 ล้านบาท 3.สหรัฐฯ จำนวน 50 ราย คิดเป็น 16% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติ มีเงินลงทุน 1,196 ล้านบาท 4.จีน จำนวน 38 ราย คิดเป็น 12% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติ มีเงินลงทุน 5,485 ล้านบาท และ 5.ฮ่องกง จำนวน 28 ราย คิดเป็น 9% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย มีเงินลงทุน 12,048 ล้านบาท

“สำหรับการลงทุนในพื้นที่ EEC ของนักลงทุนชาวต่างชาติในช่วง 5 เดือนของปี 2567 มีชาวต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 99 ราย คิดเป็น 31% ของจำนวนนักลงทุนต่างชาติในไทย เพิ่มขึ้น 106% และมีมูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 18,224 ล้านบาท คิดเป็น 25% ของเงินลงทุนทั้งหมด เพิ่มขึ้น 93% โดยเป็นนักลงทุนจากญี่ปุ่น 31 ราย ลงทุน 3,523 ล้านบาท จีน 19 ราย ลงทุน 1,803 ล้านบาท ฮ่องกง 11 ราย ลงทุน 5,005 ล้านบาท และประเทศอื่น ๆ 38 ราย ลงทุน 7,893 ล้านบาท” นายคารม ระบุ

Advertisment

รัฐบาลแจ้งข่าวดี เปิดรับสมัครคนหางานเพื่อไปทำงานภาคประมงตามฤดูกาล

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 21 มิถุนายน 2567 “คารม” แจ้งข่าวดี เปิดรับสมัครคนหางานเพื่อไปทำงานภาคประมงตามฤดูกาล ตำแหน่งเพาะเลี้ยงสาหร่ายทะเล รายได้ 5.7 หมื่นบาท สัญญา 5 เดือน ทำงานดีต่อสัญญา 3 เดือน สมัครด่วนภายใน 21 มิ.ย นี้ ที่เว็บไซต์ toea.doe.go.th

วันนี้  21 มิถุนายน 2567  นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แจ้งข่าวดี โอกาสมาถึงแล้ว สำหรับแรงงานไทยที่ต้องการทำงานภาคประมงตามฤดูกาล ด้วยวีซ่า E – 8 ไม่ต้องทดสอบทักษะภาษาเกาหลี อำเภอวันโด จังหวัดชอลลานัม สาธารณรัฐเกาหลี  แจ้งความต้องการรับสมัครคนหางานไทยเพื่อไปทำงานภาคประมงตามฤดูกาลในอำเภอวันโด ตำแหน่งการเพาะเลี้ยงสาหร่ายทะเล จำนวน 37 อัตรา เงินเดือน 2,176,720 วอนต่อเดือน หรือประมาณ 57,900 บาท (อัตราแลกเปลี่ยนเงินวันที่ 14 มิถุนายน 2567)  มีระยะเวลาการจ้างงาน 5 เดือน และสามารถขยายระยะเวลาเพิ่มได้อีก 3 เดือน ผู้สนใจสามารถสมัครทางเว็บไซต์ toea.doe.go.th โดยลงทะเบียนระบบอิเล็กทรอนิกส์การบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ กรอกข้อมูลเพื่อลงทะเบียนคนหางาน และดำเนินการสมัครไปทำงาน โดยเลือกหัวข้อ “สมัครไปทำงานโดยรัฐ” และเลือกรายการ “การรับสมัครคนหางานเพื่อไปทำงานภาคประมงตามฤดูกาลในอำเภอวันโด จังหวัดชอลลานัม สาธารณรัฐเกาหลี” ภายในวันที่ 21 มิถุนายน 2567 ตลอด 24 ชั่วโมง

สำหรับคุณสมบัติคนหางานเพื่อไปทำงานภาคประมงตามฤดูกาลในอำเภอวันโด จังหวัดชอลลานัม สาธารณรัฐเกาหลี มีดังนี้

  1. อายุ 25 -50 ปีบริบูรณ์
  2. เป็นแรงงานประมงชาวไทยที่อาศัยอยู่ในจังหวัดสตูล หรือจังหวัดสงขลา หรือจังหวัดอื่น ซึ่งมีประสบการณ์ทำงานด้านการประมงไม่น้อยกว่า 1 ปี โดยจะพิจารณาคัดเลือกจากผู้สมัครที่อยู่ในจังหวัดสตูล หรือจังหวัดสงขลา ก่อนตามความต้องการของนายจ้างในสาธารณรัฐเกาหลี และจึงคัดเลือกจากผู้สมัครที่อาศัยในจังหวัดอื่นต่อไป
  3. ร่างกายสมบูรณ์ สุขภาพแข็งแรง ไม่เป็นโรคที่อาจจะเป็นอุปสรรคต่อการทำงาน
  4. ไม่เป็นบุคคลที่เป็นโรคติดต่อ เช่น วัณโรค ซิฟิลิส และอื่นๆ และไม่เป็นผู้ติดยาเสพติด
  5. ไม่เป็นบุคคลที่มีประวัติอาชญากรรม มีประวัติพำนักผิดกฎหมายในสาธารณรัฐเกาหลีหรือบุคคลที่ถูกห้ามไม่ให้เดินทางเข้าสาธารณรัฐเกาหลี

“การรับสมัครในครั้งนี้เป็นการดำเนินการเพื่อจัดส่งคนหางานไปทำงานต่างประเทศ โดยวิธีรัฐจัดส่ง ผู้สมัครไม่ต้องเสียค่าสอบภาษาเกาหลี ค่าใช้จ่ายในการสมัคร หรือค่าบริการใด ๆ ทั้งสิ้น ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกให้ไปทำงานจ่ายเพียงค่าใช้จ่ายที่จำเป็น ได้แก่ ค่าทำหนังสือเดินทาง (กรณียังไม่มี) ค่าตรวจสุขภาพและตรวจสารเสพติด ค่าตรวจประวัติอาชญากรรม ค่าโดยสารเครื่องบินไป-กลับ ค่าประกันการเดินทาง และค่าสมัครสมาชิกกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงาน รวมค่าใช้จ่ายประมาณ 35,000 บาท ทั้งนี้ หากมีผู้แอบอ้างว่าสามารถช่วยเหลือในการจัดหาและส่งแรงงานภาคเกษตรหรือประมงตามฤดูกาลไปทำงานในสาธารณรัฐเกาหลีใด้ โปรดอย่าหลงเชื่อ ขอให้แจ้งและตรวจสอบข้อมูลกับกรมการจัดหางานก่อน หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือที่กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ ทางโทรศัพท์หมายเลข 02 245 1034 หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694” นายคารม กล่าว

Advertisment

สรรพากรยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ค่าชดเชยที่ลูกจ้างได้รับจากนายจ้างกรณีถูกเลิกจ้าง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 20 มิถุนายน 2567 คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2567 อนุมัติหลักการการปรับปรุงการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับค่าชดเชยที่ลูกจ้างได้รับจากนายจ้างกรณีถูกเลิกจ้าง เพื่อช่วยเหลือลูกจ้างที่เดือดร้อนจากการถูกเลิกจ้างให้ได้รับการบรรเทาภาระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

ดร.กุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “กระทรวงการคลังโดยกรมสรรพากรตระหนักถึงภาระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของเงินค่าชดเชยที่ลูกจ้างได้รับจากนายจ้างกรณีถูกเลิกจ้าง จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ….) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร เพื่อปรับปรุงการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับค่าชดเชยที่ลูกจ้างได้รับจากนายจ้างกรณีถูกเลิกจ้าง ให้สอดคล้องกันกับกฎหมายคุ้มครองแรงงานและสถานการณ์ปัจจุบันมากขึ้น โดยมีรายละเอียดดังนี้

1.กำหนดให้ค่าชดเชยที่ลูกจ้างได้รับตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน หรือตามกฎหมายว่าด้วยแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ แต่ไม่รวมถึงค่าชดเชยที่ได้รับเพราะเหตุเกษียณอายุหรือสิ้นสุดสัญญาจ้าง ทั้งนี้ เฉพาะส่วนที่ไม่เกินค่าจ้างของการทำงาน 400 วันสุดท้าย แต่ไม่เกิน 600,000 บาท ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เพิ่มจากเดิมที่ค่าชดเชยส่วนที่ไม่เกินค่าจ้างของงการทำงาน 300 วันสุดท้าย และไม่เกิน 300,000 บาท ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

2.ให้ใช้บังคับสำหรับเงินได้พึงประเมินที่ได้รับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 เป็นต้นไป

อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “เมื่อกฎกระทรวงฯ มีผลใช้บังคับแล้ว หากผู้มีเงินได้ ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีและชำระภาษีสำหรับค่าชดเชยที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามกฎกระทรวงฯ นี้ไปแล้ว สามารถยื่นปรับปรุงแบบแสดงรายการภาษีเพื่อขอคืนภาษีได้ภายใน 3 ปีนับแต่วันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษีดังกล่าว”

หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161

Advertisment

​รัฐบาลเพิ่มโอกาส ปชช.มีรายได้จากการประกอบอาชีพ เชิญชวนอบรมออนไลน์ เรียนจบนำวุฒิบัตรไปสมัครงานได้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 15 มิถุนายน 2567 ​รัฐบาลมุ่งมั่นส่งเสริม เพิ่มโอกาสให้ประชาชนมีรายได้จากการประกอบอาชีพ เชิญชวนอบรมออนไลน์ผ่าน www.dsd.go.th เรียนจบนำวุฒิบัตรไปใช้ประกอบการสมัครงานได้

วันที่ 15 มิถุนายน 2567 นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลมุ่งมั่นส่งเสริม และเพิ่มโอกาสให้ประชาชนมีรายได้จากการประกอบอาชีพ รวมถึงพัฒนาทักษะที่จำเป็นในการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทักษะที่เหมาะสมกับการทำงานด้านนวัตกรรม เทคโนโลยี และอุตสาหกรรมอนาคต เพื่อเพิ่มรายได้มีการงานที่มั่นคงในอนาคต รัฐบาล โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน เล็งเห็นถึงความสำคัญต่อการประกอบอาชีพ ได้พัฒนาหลักสูตรการฝึกและเพิ่มช่องทางการฝึกอบรม online ตามนโยบายของรัฐบาล เน้นให้สามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา เปิดกว้างให้แรงงานทุกเพศทุกวัย ได้ความรู้มีทักษะเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานมากยิ่งขึ้น

นายคารม กล่าวว่า ปัจจุบันมีผู้ผ่านการฝึกผ่านระบบ online แล้ว จำนวน 62,765 คน และมีผู้เข้าชมหลักสูตรการฝึกอบรมถึง 2,546,380 คน ทั้งนี้ เพื่อตอบรับกระแสความต้องการของแรงงาน กรมพัฒนาฝีมืองแรงงานได้ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน จัดทำหลักสูตรใหม่ ๆ ขึ้น โดยได้บรรจุไว้ในเว็บไซต์ของกรมฯ เพิ่มอีก 5 หลักสูตรเพื่อบริการประชาชน ได้แก่ (1) หลักสูตร Generative AI สำหรับหรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว (2) หลักสูตรเทคนิคการขยายธุรกิจและสร้างรายได้บน Meta แพลตฟอร์ม (3) หลักสูตร e- Commerce และพลเมืองดิจิทัล (4) หลักสูตรการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้วย Generative AI และ (5) หลักสูตร Basic Network     ซึ่งจะมีการพัฒนาและบรรจุหลักสูตรใหม่ที่สอดคล้องกับสถานการณ์และเทคโนโลยีปัจจุบัน เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง

“ปัจจุบันกำลังแรงงานและประชาชนทั่วไปต่างให้ความสำคัญกับทักษะดิจิทัลมากขึ้น เพื่อใช้ในการทำงานหรือดำเนินชีวิตประจำวัน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน ได้ดำเนินการพัฒนาทักษะดิจิทัล โดยจัดฝึกอบรมรูปแบบออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ของกรม www.dsd.go.th เมนู DSD Online Training สามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา ฟรี ตามแนวคิด “เปิดกว้าง สร้างโอกาส ต่อยอดอย่างยั่งยืน” และเมื่อสอบผ่านจะได้รับวุฒิบัตร สามารถนำไปใช้ประกอบการสมัครงานได้ เชิญชวนผู้สนใจเข้ารับการพัฒนาทักษะดิจิทัล หรือหากเคยผ่านฝึกอบรมแล้วแต่ต้องการฝึกอบรมในหลักสูตรอื่นก็สามารถดำเนินการได้เช่นกัน เพียง Click www.dsd.go.th เมนู DSD Online Training หรือโทรสอบถามรายละเอียดได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 4” นายคารม กล่าว

Advertisement

Verified by ExactMetrics