วันที่ 2 พฤษภาคม 2025

‘กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง’ เปิดจองซื้อ 16 – 20 ก.ย.นี้ จัดสรรแบบ Small Lot First ชูผลตอบแทนขั้นต่ำ 3.0% ขั้นสูงไม่เกิน 9.0% ต่อปี คงที่ 10 ปี

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 10 กันยายน 2567 ‘กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง’ พร้อมเสนอขายหน่วยลงทุนประเภท ก. แก่ผู้ลงทุนทั่วไป มูลค่ารวม 1 แสน – 1.5 แสนล้านบาท ผู้ลงทุนรายย่อยในประเทศ จองซื้อ 16 – 20 ก.ย.นี้ จัดสรรแบบ Small Lot First ชูผลตอบแทนขั้นต่ำ 3.0% และขั้นสูงไม่เกิน 9.0% ต่อปี คงที่ 10 ปี

“กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง” พร้อมเสนอขายหน่วยลงทุนประเภท ก. แก่ผู้ลงทุนทั่วไป มูลค่ารวม 1 แสน – 1.5 แสนล้านบาท ชูอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำ 3.0% ต่อปี และขั้นสูงไม่เกิน 9.0% ต่อปี คงที่ตลอด 10 ปี พร้อมเปิดให้ผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นผู้ลงทุนรายย่อยในประเทศจองซื้อวันที่ 16 – 20ก.ย.นี้ ที่ราคาหน่วยละ 10 บาท เริ่มต้นที่ 1,000 หน่วย หรือเท่ากับ 10,000 บาท เสนอขายผ่านบริษัทจัดการ และธนาคาร 6 แห่ง ผู้ลงทุนรายย่อยได้รับการจัดสรรด้วยวิธีSmall Lot First เพื่อกระจายหน่วยลงทุนอย่างเท่าเทียมและคาดว่าจะนำหน่วยลงทุนประเภท ก. เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในเดือนตุลาคมนี้

นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะบริษัทจัดการกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง เปิดเผยว่า “กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง” จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2546 ตามมติคณะรัฐมนตรี โดยเป็นกองทุนรวมปิดมีขนาด 100,000 ล้านบาท วัตถุประสงค์เพื่อบริหารจัดการหลักทรัพย์ที่รัฐถือครองอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด สร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืนในระยะยาวและมั่นคง โดยลงทุนในกิจการที่มีความจำเป็นและเป็นประโยชน์ต่อประเทศในเชิงเศรษฐกิจ และต้องการการส่งเสริมจากภาครัฐ  ตลอดจนส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนาตลาดทุนของประเทศ และเพิ่มทางเลือกในการออมและการลงทุนให้แก่ประชาชน จากนั้นในปี 2556 บริษัทจัดการได้รับซื้อคืนหน่วยลงทุนประเภท ก. ทั้งหมด และได้แปรสภาพกองทุนเป็นกองทุนรวมเปิด คงเหลือเฉพาะผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ข. ได้แก่ กระทรวงการคลังและนักลงทุนภาครัฐ ล่าสุด ณ วันที่ 6 กันยายน 2567 กองทุนฯ มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวม (NAV) 353,596 ล้านบาท และปัจจุบันพร้อมเสนอขายหน่วยลงทุนประเภท ก. แก่ผู้ลงทุนทั่วไป มูลค่ารวม 100,000 – 150,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ นับจากปี 2557 – 2566 กองทุนฯ ได้รับเงินปันผลจากหลักทรัพย์ที่ลงทุนอย่างสม่ำเสมอเฉลี่ยปีละ 12,278 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเงินปันผลรับต่อมูลค่าทรัพย์สินสุทธิเฉลี่ยร้อยละ 3.75 ซึ่งเพียงพอที่จะจ่ายผลตอบแทนขั้นต่ำต่อปีแก่ผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. นอกจากนี้ กองทุนฯ มีฐานะทางการเงินที่มั่นคง โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567 กองทุนฯ มีกำไรสะสม ประมาณ 142,739 ล้านบาท

กองทุนฯ มีนโยบายการลงทุนในหลักทรัพย์ต่าง ๆ รวมถึงการบริหารทั้งแบบเชิงรุก (Active Investment) และแบบเชิงรับ (Passive Investment) ส่วนใหญ่ลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และจะเน้นลงทุนในหุ้นบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีความมั่นคงในระยะยาว ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และมีการกำกับดูแลกิจการที่ดี อาทิ บริษัทที่อยู่ใน SET100 ที่ได้รับคะแนน SET ESG Ratings ระดับ A ขึ้นไป หรือบริษัทนอก SET100 ที่ได้รับคะแนน SET ESG Ratings ที่สูงกว่า เป็นต้น นอกจากนี้ อาจพิจารณาลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ที่มีอัตราผลตอบแทนดีหรือมีแนวโน้มเติบโตสูง มีสภาพคล่องและมีการกำกับดูแลกิจการที่ดี

นายวราห์ สุจริตกุล ประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ฟินันซ่า จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง กล่าวว่า เงินที่ได้จากการเสนอขายหน่วยลงทุนประเภท ก. ส่วนใหญ่จะนำไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนของกองทุนฯ แต่ละปี จะจ่ายให้ผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. ในรูปแบบเงินปันผลตามผลตอบแทนที่เกิดขึ้นจริงของกองทุนฯ ในอัตราไม่ต่ำกว่า 3% ต่อปี แต่ไม่เกินกว่า 9% ต่อปีโดยผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. จะได้รับเงินปันผลอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง คำนวณจากมูลค่าที่ตราไว้ (Par) ของหน่วยลงทุนประเภท ก. ที่ 10 บาทต่อหน่วย ซึ่งไม่ใช่การรับประกันหรือค้ำประกันผลตอบแทน แต่เป็นกลไกคุ้มครองผลตอบแทนของกองทุนฯ ทำให้ผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. จะได้รับเงินปันผลก่อนผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ข. จากนั้นผลตอบแทนส่วนที่เหลือจะเป็นของหน่วยลงทุนประเภท ข.

ทั้งนี้ ผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. มีสิทธิได้รับคืนเงินลงทุนตามแนวทางการชำระคืนเงินลงทุนแบบ Waterfall ซึ่งผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. จะได้รับคืนเงินลงทุนก่อนผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ข. ที่มูลค่าเงินลงทุนเริ่มต้นที่ 10 บาทต่อหน่วย อย่างไรก็ตาม กลไกดังกล่าวไม่ใช่การรับประกันหรือค้ำประกันว่า ผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. จะได้รับเงินลงทุนเท่ากับมูลค่าเงินลงทุนเริ่มต้น โดยในกรณีที่ NAV รวมของกองทุนฯ ณ วันครบกำหนดระยะเวลาการลงทุนเบื้องต้น (10 ปี) ต่ำกว่ามูลค่าเงินลงทุนเริ่มต้นของหน่วยลงทุนประเภท ก. ผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. อาจได้รับคืนเงินลงทุนน้อยกว่ามูลค่าเงินลงทุนเริ่มต้นได้

ทั้งนี้ เมื่อครบระยะเวลาการลงทุนเบื้องต้น 10 ปี หากกองทุนฯ จะระดมทุนต่อ จะให้สิทธิผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก.ขยายระยะเวลาการลงทุน หรือขายคืนหน่วยลงทุน (redeem) ตามแนวทางที่กำหนด อย่างไรก็ตาม หากกองทุนฯ ไม่ประสงค์จะระดมทุนต่อ บริษัทจัดการจะรับซื้อคืนหรือไถ่ถอนหน่วยลงทุนประเภท ก. ทั้งหมดโดยอัตโนมัติ

ทั้งนี้ กองทุนฯ มีกลไกการบริหารความเสี่ยง จากการกำหนดอัตราส่วนมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของทั้งกองทุนฯ ต่อเงินลงทุนของหน่วยลงทุนประเภท ก. (Asset Coverage Ratio “ACR”) โดยจากข้อมูล NAV รวมของกองทุนฯ ณ วันที่ 6 กันยายน 2567 และในกรณีที่เสนอขายหน่วยลงทุนประเภท ก. เป็นมูลค่ารวม 150,000 ล้านบาท ACR จะอยู่ที่ประมาณ 3.36 เท่า ซึ่งกรณีที่ ACR ลดลงต่ำกว่า 2 เท่า ติดต่อกัน 5 วันทำการ บริษัทจัดการจะเพิ่มสัดส่วนของสินทรัพย์สภาพคล่อง หรือกันส่วนสำรองเพื่อการจ่ายเงินปันผลให้เพียงพอต่อการจ่ายผลตอบแทนขั้นต่ำแก่ผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. ได้เป็นระยะเวลาประมาณ 2 ปี และกรณี ACR ลดลงต่ำกว่า 1.5 เท่า ติดต่อกัน 5 วันทำการบริษัทจัดการอาจพิจารณาเปลี่ยนสินทรัพย์ลงทุนให้เป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่อง จำนวนไม่น้อยกว่าเงินลงทุนเริ่มต้นของหน่วยลงทุนประเภท ก. ภายในระยะเวลา 90 วัน และเก็บไว้เป็นเงินสำรองตามมาตรการชำระคืนเงินลงทุนของหน่วยลงทุนประเภท ก. โดยจะทยอยเปลี่ยนสินทรัพย์เพื่อผลประโยชน์ของผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. หรือรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติจากผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก.ทั้งหมดหรือบางส่วน

ดังนั้น จึงเสมือนว่าผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. ได้รับความคุ้มครองจากกลไกการบริหารความเสี่ยงก่อนผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ข. และเพื่อตอบแทนการให้ความคุ้มครองตามกลไกบริหารความเสี่ยงดังกล่าว ผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ข. จะได้รับเงินปันผล หรือมีสิทธิขายคืนหน่วยลงทุนตลอดอายุโครงการ จาก NAV ข. ส่วนที่เกินจากNAV เริ่มต้นของหน่วยลงทุนประเภท ข. ที่ 300,000 ล้านบาท

นายธนโชติ รุ่งสิทธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) ในฐานะบริษัทจัดการกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง กล่าวว่า กองทุนฯ จะเสนอขายหน่วยลงทุนประเภท ก. แก่ผู้ลงทุนทั่วไป ที่ราคาเสนอขาย 10 บาทต่อหน่วย รวมมูลค่าประมาณ 1 แสน – 1.5 แสนล้านบาท โดยแบ่งผู้ลงทุนเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 ผู้ลงทุนรายย่อยในประเทศ จะต้องเป็นบุคคลธรรมดาสัญชาติไทยที่มีถิ่นที่อยู่ในไทยและมีอายุไม่น้อยกว่า 20 ปีบริบูรณ์ เป็นนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย หรือกองทุนส่วนบุคคลของผู้ลงทุนรายย่อยดังกล่าว เบื้องต้นได้กำหนดสัดส่วนการเสนอขายหน่วยลงทุนประเภท ก. แก่ผู้ลงทุนกลุ่มนี้ 3 – 5 หมื่นล้านบาท และ กลุ่มที่ 2 ผู้ลงทุนสถาบันและนิติบุคคลเฉพาะกลุ่ม อีกประมาณ 1 แสน – 1.2 แสนล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทจัดการและผู้จัดจำหน่ายหน่วยลงทุนมีสิทธิเปลี่ยนแปลงจำนวนหน่วยลงทุนที่เสนอขายต่อผู้ลงทุนแต่ละประเภท และอาจพิจารณาเพิ่มหรือลดสัดส่วนการเสนอขายหน่วยลงทุนแก่ผู้ลงทุนแต่ละประเภท (Claw back / Claw forward) หรือเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดสรรหน่วยลงทุนตามความเหมาะสม

ปัจจุบันกองทุนฯ ได้รับอนุมัติการแก้ไขเพิ่มเติมโครงการจากผู้ถือหน่วยลงทุนเป็นที่เรียบร้อย และได้ยื่นหนังสือชี้ชวนฉบับปรับปรุงเพื่อเสนอขายหน่วยลงทุนต่อสำนักงาน ก.ล.ต. และเผยแพร่หนังสือชี้ชวนแก่ผู้ลงทุนทั่วไปแล้วพร้อมเปิดให้ผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นผู้ลงทุนรายย่อยจองซื้อวันที่ 16 – 20 กันยายน 2567จองซื้อขั้นต่ำ 1,000 หน่วย หรือ 10,000 บาท และเพิ่มขึ้นครั้งละ 100 หน่วย หรือ 1,000 บาท ณ สำนักงาน สาขาและ/หรือ ช่องทางออนไลน์ (เฉพาะรายที่เปิดจองซื้อทางออนไลน์) ของบริษัทจัดการและผู้สนับสนุนการขายหน่วยลงทุน รวม 8 ราย ได้แก่ 1) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกรุงไทย จำกัด (มหาชน) 2) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) 3) ธนาคารกรุงเทพจำกัด (มหาชน) 4) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) 5) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) 6) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) 7) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และ8) ธนาคารออมสิน โดยจะจัดสรรด้วยวิธี Small Lot First ซึ่งผู้จองซื้อทุกรายจะมีโอกาสในการได้รับจัดสรรหน่วยลงทุนเท่ากัน

ในการจองซื้อ ผู้จองซื้อจะต้องชำระค่าหน่วยลงทุนครั้งเดียวเต็มตามจำนวนที่จองซื้อ ที่ราคา 10 บาทต่อ 1 หน่วย โดยผู้จองซื้อที่ได้รับจัดสรรหน่วยลงทุน ไม่ครบตามจำนวนที่จองซื้อ จะได้รับเงินคืนภายใน 7 วันทำการหลังสิ้นสุดการจองซื้อของผู้ลงทุนทุกประเภท สามารถติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนและใบจองซื้อได้ที่บริษัทจัดการและผู้สนับสนุนการขายหน่วยลงทุนทุกราย โดยหน่วยลงทุนที่ได้รับการจัดสรรจะเป็นรูปแบบไร้ใบหน่วย (Scripless) ซึ่งสามารถเลือกรับหน่วยลงทุนเข้าบัญชีหลักทรัพย์ของตนเอง หรือฝากหน่วยลงทุนไว้กับนายทะเบียนในบัญชีผู้ออกหลักทรัพย์ (บัญชี600) ก็ได้ อย่างไรก็ตาม หากฝากหน่วยลงทุนเข้าบัญชี 600 จะไม่สามารถซื้อขายหน่วยลงทุนได้ทันวันแรกที่หน่วยลงทุนเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ และหากผู้ลงทุนที่ฝากหน่วยลงทุนเข้าบัญชี 600 ต้องการซื้อหรือขายหน่วยลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ผู้ลงทุนจำเป็นต้องเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์กับบริษัทหลักทรัพย์ก่อน และทำการโอนหน่วยลงทุนจากบัญชี 600 (ตามขั้นตอนและวิธีการที่กำหนด) เข้าบัญชีหลักทรัพย์ของตน เพื่อทำการซื้อหรือขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่อไป นอกจากนี้ ผู้จองซื้อสามารถแจ้งขอออกใบหน่วยลงทุนได้ ภายหลังหน่วยลงทุนเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ และได้ฝากหน่วยลงทุนตามจำนวนที่ได้รับจัดสรรเข้าบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของตนเอง หรือบัญชี 600 แล้ว โดยจะเสียค่าธรรมเนียมตามที่บริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ TSD กำหนด

ทั้งนี้ ภายหลังจากที่หน่วยลงทุนประเภท ก. เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว ผู้ลงทุน ผู้สนใจลงทุน และผู้ถือหน่วยลงทุน สามารถซื้อขายหน่วยลงทุนประเภท ก. ผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ทุกวันทำการของตลาดหลักทรัพย์ฯ และสามารถโอนหน่วยลงทุนประเภท ก. ได้อย่างเสรี โดยราคาหน่วยลงทุนประเภท ก. ในตลาดรองจะเป็นไปตามกลไกของราคาตลาด ซึ่งอาจแตกต่างจากมูลค่าที่ตราไว้ ราคาเสนอขาย หรือมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของหน่วยลงทุนประเภท ก.

“เชื่อว่าการเสนอขายหน่วยลงทุนประเภท ก. ของกองทุนฯจะได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนทั่วไป ที่ต้องการได้รับผลตอบแทนมั่นคงในระยะยาว ในรูปแบบเงินปันผลตามเงื่อนไขที่กำหนดจากหลักทรัพย์ที่เข้าลงทุน” นายธนโชติกล่าว

คำเตือน: การลงทุนในกองทุนฯ มีความเสี่ยง และผู้จองซื้อควรศึกษาข้อมูลในหนังสือชี้ชวนอย่างรอบคอบ และทำความเข้าใจลักษณะของสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน กองทุนฯ มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจบริษัทจัดการ ผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ กองทุนฯ นี้ ไม่ใช่กองทุนรวมมีประกันเงินลงทุนและผลตอบแทน กองทุนฯ ไม่มีนโยบายนำเสนอการลงทุนผ่านการส่งลิงก์ส่วนตัวใดๆ กรุณาติดตามช่องทางการจองซื้ออย่างเป็นทางการจากกองทุนฯ เท่านั้น

Advertisement

“พีระพันธ์ุ” โพสต์ กม.คุมราคาน้ำมันฉบับใหม่ ให้ผู้ค้าปรับราคาได้เดือนละครั้ง กันขึ้น-ลงตามใจชอบ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 10 กันยายน 2567 “พีระพันธ์ุ” โพสต์ กม.คุมราคาน้ำมันฉบับใหม่ ให้ผู้ค้าปรับราคาได้เดือนละครั้ง กันขึ้น-ลงตามใจชอบ

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน โพสต์เฟสบุ๊กส่วนตัว เผยความคืบหน้ากฎหมายด้านพลังงานฉบับใหม่ ให้ผู้ค้าปรับราคาได้เดือนละครั้ง กันขึ้น-ลงตามใจชอบ โดยระบุว่า สวัสดีครับ ผมขออนุญาตเรียนถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับกฎหมายด้านพลังงานฉบับใหม่ให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบ ล่าสุดวันนี้ ผมได้เรียกประชุมผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและด้านพลังงาน เพื่อตรวจทานรายละเอียดของกฎหมายกำกับดูแลการประกอบกิจการค้าน้ำมันที่ผมได้ยกร่างขึ้นมาในเบื้องต้นทั้งหมด 180 มาตรา โดยกฎหมายฉบับนี้จะกำหนดให้การปรับราคาน้ำมันทำได้เดือนละหนึ่งครั้ง ไม่ใช่ปรับทุกวัน และให้ปรับราคาได้ตามความเป็นจริงของต้นทุนน้ำมัน โดยจะนำระบบ Cost Plus ซึ่งหมายถึงระบบที่คิดราคาตามต้นทุนที่แท้จริง เข้าใช้แทนระบบอ้างอิงราคาน้ำมันต่างประเทศ และจะกำกับดูแลไปถึงเรื่องของการจำหน่ายก๊าซหุงต้มด้วย

ในกฎหมายฉบับนี้ยังจะเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการขนส่ง ผู้ให้บริการสาธารณะกุศล รวมไปถึงสหกรณ์การเกษตร การประมง สามารถจัดหาน้ำมันมาใช้ได้เอง เพราะถือเป็นการค้าเสรีอย่างแท้จริง ประชาชนต้องมีสิทธิเสรีในการหาพลังงานของตัวเอง ถ้าหากผู้ประกอบการสามารถจัดหาน้ำมันมาใช้เองได้ในราคาที่ถูกกว่าราคาจำหน่ายหน้าปั๊ม ก็สามารถดำเนินการได้ตามหลักเกณฑ์ของกฎหมาย และเมื่อภาระต้นทุนน้ำมันของผู้ประกอบการลดลงแล้ว ก็จะอ้างต้นทุนค่าขนส่งแพงไม่ได้ และจะนำไปสู่การปรับลดราคาสินค้าตามมาด้วย ซึ่งจะเป็นการลดภาระของประชาชนในอีกทางหนึ่ง

ผมใช้เวลาร่างกฎหมายฉบับนี้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 หลังจากที่ได้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับต้นทุนราคาน้ำมันที่กำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันต้องแจ้งเป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปี และคาดว่าการตรวจสอบร่างกฎหมายนี้จะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ได้ภายในปีนี้ พร้อม ๆ กับกฎหมายกํากับดูแลการติดตั้งระบบไฟฟ้าโซลาร์บนหลังคาบ้าน และขอให้เชื่อมั่นว่า ผมจะเร่งผลักดันกฎหมายทั้งสองฉบับนี้ รวมทั้งกฎหมายด้านพลังงานอื่น ๆ ให้มีผลบังคับใช้โดยเร็วที่สุดเพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชน และเพื่อให้การ “รื้อ ลด ปลด สร้าง” ระบบพลังงานไทย เพื่อความมั่นคง เป็นธรรม และยั่งยืน เกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรมครับ

Advertisement

ก.พาณิชย์ บุกตลาดสหรัฐฯ ต่อยอดสินค้าแบรนด์ไทย จัดงานกลางไทม์สแควร์ ขยายโอกาสการค้า พร้อมจับมือห้างดัง H Mart

New York, USA - May 11, 2013: Times Square with tourists. Iconified as "The Crossroads of the World" it's the brightly illuminated hub of the Broadway Theater District.

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 2 กันยายน 2567 สหรัฐ – ปลัดพาณิชย์ นำทีมเยือนนครนิวยอร์ก สหรัฐฯ ขยายตลาดการค้าให้ผู้ประกอบการไทย นำรายได้เข้าประเทศ เตรียมจัดกิจกรรมผ่านกลยุทธ์การตลาดรูปแบบใหม่ ทั้งจับมือห้างชื่อดัง H Mart จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายผ่านช่องทางออนไลน์ สำรวจลู่ทางขายสินค้าไทยเข้าห้าง Trader Joe’s เปิดลานกลางไทม์สแควร์ จัด Ignite Thailand Festival นำสินค้า-อาหารไทย โชว์ชาวโลก พร้อมเชฟชื่อดัง สาธิตทำอาหารโดยใช้ข้าวไทย ปรับสู่เมนูสากล

นายวิทยากร มณีเนตร ผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะโฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 30 สิงหาคม–6 กันยายน 2567 นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ มีกำหนดนำคณะผู้บริหารระดับสูงกระทรวงพาณิชย์ เดินทางเยือนนครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อหาลู่ทางในการขยายตลาดการค้าให้กับผู้ประกอบการไทย ตามนโยบายของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในการผลักดันสินค้าแบรนด์ไทยไปยังต่างประเทศ โดยมีกิจกรรมที่จะดำเนินการผ่านกลยุทธ์การตลาดรูปแบบใหม่ เพื่อสร้างโอกาสให้กับสินค้าไทย และสร้างการรับรู้สินค้าไทยในตลาดสหรัฐฯ และกระตุ้นให้มีการนำเข้าสินค้าจากไทยเพิ่มขึ้น นำรายได้เข้าประเทศมากขึ้น

สำหรับการเดินทางครั้งนี้ นายวุฒิไกร มีกำหนดเข้าร่วมการจัดกิจกรรม Instore Promotion ร่วมกับห้าง H Mart สาขา Long Island City โดย H Mart เป็นห้างค้าปลีกที่จัดจำหน่ายสินค้า Asian grocery รายใหญ่ในสหรัฐฯ มีสาขากว่า 80 สาขาทั่วประเทศ มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่รัฐ New Jersey มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการขายสินค้าไทยในห้างค้าปลีก H Mart ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ โดยเฉพาะด้านออนไลน์ จะเป็นการเปิด Thai Section ในแพลตฟอร์มดังกล่าวครั้งแรก การสร้างการรับรู้และความตระหนักรู้เกี่ยวกับสินค้าแบรนด์ไทยในตลาดสหรัฐฯ เสริมสร้างและยกระดับภาพลักษณ์สินค้าไทยในกลุ่มผู้บริโภคสหรัฐฯ

นอกจากนี้ จะไปสำรวจและหาโอกาสในการขยายตลาดสินค้าไทยในห้าง Trader Joe’s ซึ่งเป็นห้างค้าปลีกชั้นนำในสหรัฐฯ ที่มีสาขากว่า 570 สาขาทั่วประเทศ มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่รัฐ California ส่วนใหญ่ขายสินค้า House brand ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว หลากหลาย นำเข้าจากหลายประเทศ และวางขายภายใต้แบรนด์ Trader Joe’s กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นผู้บริโภคชาวอเมริกันรุ่นใหม่ ซึ่งปัจจุบัน สินค้าไทยมีวางจำหน่ายแล้ว และได้รับความนิยมอย่างมาก คือ ขนมครก โมจิชาไทย ผักและผลไม้อบแห้ง โดยจะแสวงหาลู่ทางการขยายตลาดสินค้าไทยให้ได้เพิ่มมากขึ้น

ขณะเดียวกัน เตรียมดำเนินกิจกรรมส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ยกระดับภาพลักษณ์สินค้าไทยในรูปแบบใหม่ ณ Times Square โดยการจัดงาน Ignite Thailand Festival : Think Thailand, Next Level มีการจัดแสดงคูหาสินค้าไทย 10–15 แบรนด์ รวม 19 คูหา ประกอบด้วยสินค้าอาหาร อาทิ มาม่า ซีอิ๊วขาวตราเด็กสมบูรณ์ กะทิชาวเกาะ และอำพลฟู้ดส์ ไอศกรีมที่ทำจากผลไม้แช่แข็ง สินค้าแฟชัน 2 แบรนด์ คือ Future treasure และ Nakamol และยังมีคูหาร้านอาหารไทยที่ได้รับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT คูหาแพลตฟอร์ม Amazon.com คูหาแสดงศิลปวัฒนธรรมไทย 2 คูหา คือ เพนท์ร่ม และคูหาถ่ายภาพชุดไทย คูหาทีมประเทศไทย 1 คูหา และมีกิจกรรมการถ่ายภาพกับขบวนรถ Pedi Cab 10 คัน ถ่ายภาพกับ Billboard ซึ่งจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและตอกย้ำภาพลักษณ์ประเทศไทยในฐานะผู้ผลิตและผู้ส่งออกสินค้าคุณภาพ ส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ยกระดับภาพลักษณ์สินค้าไทย รวมถึงตราสัญลักษณ์ Thai SELECT

ส่วนกิจกรรมอื่น ๆ จะเดินทางไปเยี่ยมชม Amazon Fulfillment Center เพื่อศึกษาแนวทางการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการบริหารจัดการระบบคลังสินค้า เรียนรู้แนวโน้มและโอกาสการขยายตลาดสินค้าไทยผ่านช่องทางการค้าออนไลน์ และเข้าร่วมกิจกรรมประชาสัมพันธ์สร้างภาพลักษณ์ข้าวไทย โดยจะมีการสาธิตการทำอาหารที่ใช้ข้าวไทย โดย Celebrity Chef ชื่อดัง Cédric Vongerichten ลูกชายของ Jean George ที่เป็นหนึ่งในเชฟที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก เจ้าของสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงในนิวยอร์ก Tin Building by Jean-Georges พร้อมเชิญ Influencers เข้าร่วม ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมงานได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมและชิมเมนูข้าวไทย เพื่อให้เกิดทัศนคติเชิงบวกต่อข้าวไทยและประเทศไทย ซึ่งจะเป็นการสร้างการรับรู้และตระหนักรู้เกี่ยวกับข้าวไทย และประชาสัมพันธ์ข้าวไทยและอาหารไทยให้เป็นที่รู้จักในหมู่ผู้บริโภคสหรัฐฯ ได้เพิ่มขึ้น

Advertisement

กอช. เดินหน้า “สลากเกษียณ” ออกทุกวันศุกร์ รางวัลที่ 1 จำนวน 1 ล้านบาท แนะรีบสมัครสมาชิก กอช.เพื่อได้สิทธิ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 26 สิงหาคม 2567 สกลนคร วานนี้ (25 ส.ค.) กอช. – สศค. – สำนักงานสลากฯ ลุยสัญจร สกลนคร เดินหน้า “สลากเกษียณ” หนุนรายย่อยออมเงินระยะยาว พร้อมลุ้นเงินล้านทุกศุกร์

กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) จัดโครงการ “สลากเกษียณ สัญจรทั่วไทย โดย กอช.” เป็นครั้งที่ 3 ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งได้รับเกียรติจาก นายราชันย์ ซุ้นหั้ว รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธี โดยมีนายชูศักดิ์ รู้ยิ่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร กล่าวให้การต้อนรับ ภายในงานจัดเสวนาหัวข้อ “สลากเกษียณ วิชั่นใหม่ การออม รับสังคมสูงวัย” นำโดย นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม กรรมการกองทุนการออมแห่งชาติและประธานอนุกรรมการส่งเสริมการออมและสมาชิกสัมพันธ์ น.ส.จารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ นายทวีป วุฒิบาทุกาจิตต์ รองผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล และนายณัฏฐวุฒิ ธรรมศิริ ผู้อำนวยการกองนโยบายการออมและการลงทุน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง

นายบุญธรรม กล่าวว่า สลากเกษียณมีแนวคิดมาจากสิ่งที่คนไทยชื่นชอบ อย่างการลุ้นโชค และการเผชิญกับความท้าทายของสังคมสูงวัย ทำให้หลายคนมีเงินเก็บที่ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตในวัยเกษียณ รัฐบาลต้องแบกรับภาระงบประมาณผู้สูงอายุกว่า 8 หมื่นล้านบาทต่อปี และมีแนวโน้มสูงขึ้น เพราะหากต้องการเพิ่มเงินให้ผู้สูงอายุ ในระดับที่เพียงพองบประมาณ จะต้องเพิ่มขึ้นถึง 4-5 แสนล้านบาทต่อปี ซึ่งไม่สามารถทำได้ จึงต้องอาศัยกลไกที่กระตุ้นให้คนไทยเริ่มเก็บออมตั้งแต่อายุยังน้อย มาทำให้เกิดประโยชน์ และเกิดการออมเพื่อการเกษียณอย่างยั่งยืน โดยที่สลากเกษียณ ซื้อแล้วเงินไม่หาย เงินที่ซื้อจะเปลี่ยนเป็นเงินออม แถมยังได้ลุ้นรางวัลเงินล้าน ทุกวันศุกร์ หากถูกรางวัล ก็สามารถรับเงินได้ทันที แต่เพื่อป้องกันความเหลื่อมล้ำ ไม่ให้ผู้ที่มีรายได้สูงกว้านซื้อ จึงได้จำกัดให้ซื้อได้ไม่เกินเดือนละ 3,000 บาทต่อคน

นายณัฏฐวุฒิ กล่าวว่า จากข้อมูลปี 2566 ที่ผ่านมา ภาครัฐใช้งบประมาณร้อยละ 15 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ในการดูแลหลักประกันรายได้ของประชาชน ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า จากปี 2556 ที่มีสัดส่วนร้อยละ 9.77 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ทำให้ต้องมีการเตรียมความพร้อม และบริหารการจัดเก็บรายได้และการใช้จ่าย เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการคลังของภาครัฐในระยะยาว โดยสลากเกษียณ เป็นการสนับสนุนให้ประชาชน มีส่วนร่วมในการออมเงิน ที่จะสร้างความมั่นคงด้านรายได้เมื่อชราภาพ และลดภาระงบประมาณในระยะยาว ซึ่งงบประมาณจำนวน 780 ล้านบาทต่อปีที่รัฐจัดสรรเป็นเงินรางวัล จะสามารถเพิ่มเงินออม เพื่อการเกษียณของแรงงานนอกระบบทั้งระบบ ได้ถึงปีละ 1.3 หมื่นล้านบาท

ด้าน น.ส.จารุลักษณ์ กล่าวว่า กอช. เป็นกองทุนภาคสมัครใจ ที่รัฐจัดให้กับแรงงานนอกระบบ นักเรียน นักศึกษา ชาวไร่ ชาวนา ที่มีอายุตั้งแต่ 15-60 ปี และไม่มีสวัสดิการอื่นรองรับ สามารถออมเงินได้ตามความสมัครใจ ขั้นต่ำ 50 บาท สูงสุด 30,000 บาทต่อปี และรัฐสมทบสูงสุด 100% แต่ไม่เกิน 1,800 บาทต่อปี ปัจจุบัน กอช. มีสมาชิกทั้งสิ้น 2.6 ล้านคน นโยบายนี้จะมาช่วยกระตุ้นให้เกิดการออมที่มากขึ้นเบื้องต้นได้กำหนดเกณฑ์ผู้มีสิทธิซื้อสลากไว้ 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.สมาชิก กอช. 2.ผู้ประกันตนมาตรา 40 และ 3.แรงงานนอกระบบ และขอแนะนำให้ท่านที่มีสิทธิสมัครสมาชิก กอช. สามารถสมัครได้เลยและเมื่อสลากเกษียณเริ่มจำหน่าย ก็จะซื้อได้ในทันที และยังได้รับเงินสองทางเมื่อเกษียณอายุอีกด้วย คาดว่านโยบายนี้จะสามารถเพิ่มจำนวนสมาชิกได้กว่า 5 ล้านคน ภายใน 3 ปี

น.ส.จารุลักษณ์ กล่าวอีกว่า สลากเกษียณ มี 2 รางวัล รางวัลที่ 1 จำนวน 1 ล้านบาท 5 รางวัล และรางวัลที่ 2 จำนวน 1,000 บาท 10,000 รางวัล จำหน่ายผ่านแอปพลิเคชัน กอช. และประกาศผลรางวัลทุกวันศุกร์ เวลา 17.00 น. โดยผู้ถูกรางวัลจะได้รับเงินไม่เกินวันถัดไป และถอนเงินรางวัลได้ทันที ส่วนคนที่ไม่ถูกรางวัล เงินที่ซื้อสลากจะถูกเก็บเป็นเงินสะสม ถอนคืนได้เมื่ออายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ ในรูปแบบเงินบำเหน็จ และเงินที่ฝากไว้ จะถูกนำไปลงทุน เพื่อสร้างผลตอบแทนซึ่งสลากออมทรัพย์ฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาแก้กฎหมาย พ.ร.บ. กอช. คาดว่าจะสามารถดำเนินโครงการนี้ ไตรมาส 1 ของปี 2568

ขณะที่นายทวีป กล่าวว่า สำนักงานสลากฯ ได้ออกแบบเกมให้มีความน่าสนใจ เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายได้สร้างวินัยการออม โดยรางวัลที่ 1 และ 2 จะใช้สถานที่ และอุปกรณ์ที่เป็นมาตรฐานเดียวกันกับการออกสลากกินแบ่งฯโดยยึดกระบวนการออกรางวัลของสำนักงานสลากฯ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 9001:2015 ในส่วนของกรรมการ ที่จะมาร่วมเป็นสักขีพยาน มี 3 ท่าน ได้แก่ 1.ประธานกรรมการการออกรางวัล เชิญผู้แทนกระทรวงการคลัง หรือผู้บริหาร กอช. 2.กรรมการที่เป็นผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานสลากฯ และ 3.กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภายนอก และถ่ายทอดสดการออกผลรางวัล ผ่านทางโซเชียลมีเดียของ กอช. และสำนักงานสลากฯ

Advertisement

คนไทย 63.6 % มีความสุขค่อนข้างน้อย เมื่อนึกถึงเงินในกระเป๋า

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์  : 25 สิงหาคม 2567 ซูเปอร์โพล เผยผลสำรวจ “รอยต่อรัฐบาล” ชี้ คนไทย 63.6 % มีความสุขค่อนข้างน้อยเมื่อนึกถึงเงินในกระเป๋า หวัง รัฐบาลใหม่ฟื้นฟูเศรษฐกิจ

สำนักวิจัยซูเปอร์โพล เสนอผลสำรวจเรื่อง “รอยต่อรัฐบาล” กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ ดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) รวมจำนวนตัวอย่างในการวิเคราะห์ทางสถิติทั้งสิ้น จำนวนทั้งสิ้น 1,131 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 22 – 24 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา

พบว่าเมื่อถามถึงความสุขต่อเงินในกระเป๋าวันนี้ พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 63.6 มีความสุขค่อนข้างน้อย ถึง ไม่มีเลย เมื่อนึกถึงเงินในกระเป๋าวันนี้ ในขณะที่ ร้อยละ 36.4 มีความสุขค่อนข้างมาก ถึง มากที่สุด และเมื่อสอบถามความคาดหวังของประชาชนต่อรัฐบาลใหม่ที่จะทำให้เงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้น พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 55.4 ไม่คาดหวัง ในขณะที่ ร้อยละ 44.6 คาดหวัง

ที่น่าสนใจคือ เมื่อสอบถามความพอใจของประชาชนต่อ ผลงานรัฐบาลเก่า ก่อนเข้า ยุครัฐบาลใหม่ พบว่า ผลงานอันดับแรกของรัฐบาลเก่า ได้แก่ ซอฟต์พาวเวอร์ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ นำโดย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ร้อยละ 46.5 ผลงานอันดับสอง ได้แก่ การจัดระเบียบสังคม นำโดย กระทรวงมหาดไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล ร้อยละ42.8 ผลงานอันดับสาม ได้แก่ การคมนาคม โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง ยุครัฐบาล ลุงตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ร้อยละ 33.7 ผลงานอันดับสี่ ได้แก่ การศึกษา ผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล กระทรวงศึกษา พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ ร้อยละ 32.8 และผลงานอันดับห้า ได้แก่ การศึกษามหาวิทยาลัยทันยุคสมัย ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กระทรวงการอุดมศึกษา  นางสาว ศุภมาส  อิศรภักดี ร้อยละ 26.7 แต่ที่น่าเป็นห่วง คือ ความกังวลของประชาชนต่อความขัดแย้งทางการเมือง พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 64.4 กังวล ในขณะที่ร้อยละ 35.6 ไม่กังวล

รายงานของซูเปอร์โพล ชี้ให้เห็นข้อมูลสำคัญหลายประการ โดยเฉพาะความคาดหวังและความพึงพอใจต่อรัฐบาลปัจจุบันและรัฐบาลใหม่ การมองหาความคิดเห็นของประชาชนจากทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศและการใช้ทั้งวิธีการวิจัยเชิงปริมาณและคุณภาพช่วยให้ได้ข้อมูลที่ครอบคลุมสาระสำคัญ โดยพบว่า ความกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการเมืองที่สูงถึงร้อยละ 64.4 สะท้อนให้เห็นถึงความไม่มั่นคงในแวดวงการเมืองที่อาจมีผลต่อเสถียรภาพในระยะยาวของประเทศ ความไม่มั่นใจในการจัดการประเด็นเหล่านี้อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นในรัฐบาลและการลงทุนจากภายนอก

รายงานของซูเปอร์โพลยังระบุด้วยว่า ผลงานของรัฐบาลที่ผ่านมาที่ถูกประชาชนให้คะแนนสูงเช่นการฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วยซอฟต์พาวเวอร์และการจัดระเบียบสังคมของกระทรวงมหาดไทยรวมถึงการพัฒนาการศึกษาด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนต้องการเห็นการปฏิรูปในหลายด้านที่มีผลต่อชีวิตประจำวันของประชาชน โดยการวิเคราะห์ผลการสำรวจเหล่านี้สามารถช่วยให้รัฐบาลใหม่มีข้อมูลเพื่อกำหนดนโยบายและโปรแกรมที่ตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ดียิ่งขึ้น และสร้างความเชื่อมั่นและความมั่นคงทางการเมืองในระยะยาว

สำหรับข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและพรรคร่วมรัฐบาล

1.เสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เนื่องจากมีประชาชนจำนวนมากที่รู้สึกไม่มีความสุขกับเงินในกระเป๋า รัฐบาลควรจัดทำและประกาศนโยบายที่ชัดเจนเพื่อเพิ่มรายได้และลดค่าใช้จ่ายของประชาชน เช่น การลดภาษีหรือการสนับสนุนต้นทุนการผลิต และการทำให้นโยบายซอฟต์พาวเวอร์เกิดผลสำเร็จ ขยายวงกว้างต่อเนื่อง

2.เพิ่มความโปร่งใสและรับฟังความเห็น เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นในรัฐบาลและลดความกังวลทางการเมือง ควรมีช่องทางสำหรับประชาชนในการแสดงความคิดเห็นและเข้าถึงข้อมูลการทำงานของรัฐบาลได้อย่างเสรี

3.ส่งเสริมนวัตกรรมและการพัฒนาทักษะ รัฐบาลควรสนับสนุนการศึกษาและการพัฒนาทักษะในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีดิจิทัลและ ปัญญาประดิษฐ์ AI เพื่อให้ประชาชนมีความสามารถในการแข่งขันและเตรียมพร้อมสำหรับตลาดแรงงานในอนาคต

4.จัดการกับความขัดแย้งทางการเมือง จำเป็นต้องมีกระบวนการที่ชัดเจนในการจัดการกับความขัดแย้งทางการเมือง โดยอาจรวมถึงการส่งเสริมการเจรจาและสันติภาพผ่านการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน

การดำเนินการตามข้อเสนอแนะเหล่านี้จะช่วยสร้างความมั่นคงในระยะยาวให้กับรัฐบาลและสังคมไทย พร้อมทั้งเพิ่มความพึงพอใจและลดความกังวลในหมู่ประชาชน

Advertisement

ประธานหอการค้าไทย เผยหารือนายกฯ ราบรื่น พร้อมตอบรับหลายเรื่อง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 23 สิงหาคม 2567 ตึกชินวัตร 3 – ประธานหอการค้าไทย เผยหารือนายกฯ ราบรื่น พร้อมตอบรับหลายเรื่อง ผลักดันพัฒนาเศรษฐกิจ สนับสนุนแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ จากทั้งกลุ่มเปราะบางและกลุ่มที่มีกำลังซื้อ

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยหลังร่วมประชุมกับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี วันนี้ถึงการหารือมาตการในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ว่าจะมีการแบ่งออกเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ซึ่งได้มีการเสนอว่าจะมีการช่วยเหลือประชาชนที่ต้องแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มด้วยกัน โดยมีกลุ่มเปราะบาง ที่จะต้องเป็นการมอบเงินให้ทันที โดยใช้ช่องทางของรัฐบาลที่มีอยู่ ในขณะที่กลุ่มที่ 2 คือกลุ่มที่พอมีกำลังซื้อ โครงการคูณ 2 ก็เสนอโครงการแบบคูณ 2 เช่นว่าถ้าคนกลุ่มนี้ใช้เงิน 100 บาท ก็จะได้เงินเพิ่มอีก 100 บาทจากรัฐบาลที่สนับสนุน สำหรับกลุ่มที่ 3 คือ กลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง ก็จะดึงเงินจากในกระเป๋าของกลุ่มที่ 3 และสามารถลดหย่อนภาษีได้จากการซื้อ เพิ่งจะทำให้เงินเข้าสู่ระบบได้อย่างรวดเร็ว

สำหรับในส่วนประเด็นการลดค่าใช้จ่าย เรื่องค่าไฟฟ้าทั้งเรื่องค่าไฟฟ้า หรือสินค้าประเภทที่มีความจำเป็นมาก และเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน ก็จะดูว่าส่วนไหนที่จะสามารถตรึงราคาได้ ส่วนเรื่องหนี้สินพบว่าขณะนี้ประชาชนมีหนี้สินค่อนข้างมาก โดยจะต้องมีการช่วยประชาชนลดปัญหาหนี้ลง รวมถึงการลดดอกเบี้ยต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ

สำหรับในส่วนของสินค้าราคาถูกที่เข้ามาตีตลาดในประเทศไทย ทำให้ SME เดือดร้อน จะต้องมีมาตรการในการศึกษาว่าสินค้าประเภทไหน ที่จะต้องดำเนินตอบโต้การทุ่มตลาด แต่ยืนยันว่าไม่ได้กีดกันแต่เพื่อสร้างความเป็นธรรมในเรื่องของการค้าการขาย นอกจากนี้ยังได้มีการหารือกับ นายกรัฐมนตรี เรื่องของกลยุทธ์ในการวางแผนระยะยาว ที่มองว่าประเทศไทยจำเป็นที่จะต้องใช้เทคโนโลยีอุตสาหกรรมไฮเทคให้เร็วที่สุด

ทั้งนี้เรื่องต่างๆ ที่ได้มีการหารือวันนี้นายกรัฐมนตรีก็ได้ตอบรับในทุกเรื่อง และแสดงถึงความตั้งใจที่จะเข้ามาทำงานและจับมือกับภาคเอกชนเพื่อสร้างความเชื่อมั่น และอีกประการคือการวางแผนที่จะวางกลยุทธ์ให้เศรษฐกิจเติบโตไปได้ ขณะที่ในส่วนของนโยบายดิจิทัล วอลเล็ต ขอให้รอฟังแถลงการณ์จากทางรัฐบาลว่าจะมีมาตรดารอย่างไร แต่ในส่วนของหอการค้าเห็นด้วยกับการแจกเป็นเงินสดให้กับกลุ่มเปราะบางเป็นจำนวนเงิน 5,000 บาท ก่อนในเบื้องต้นดังที่หารือกันในวันนี้

ขณะที่ นายญนน์ โภคทรัพย์ รองประธานหอการค้าไทย กล่าวว่า การหารือครั้งนี้เป็นนิมิตหมายที่ดี เพราะรัฐบาลและเอกชนแบ่งแยกกันไม่ได้ สร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ ถือว่าทั้งรัฐบาลและเอกชนมีเป้าหมายเดียวกัน ขณะที่มาตรการต่างๆ ทั้งการรองรับนักท่องเที่ยว ภาษี และการจัดการสิ่งแวดล้อม ก็มีความชัดเจนมากขึ้น

ด้าน นายกฤษณะ วจีไกรลาส กรรมการเลขาธิการหอการค้าไทย กล่าวเสริมว่า นายกฯมีความสนใจอยากทำงานกับคนรุ่นใหม่ ซึ่งทางหอการค้ามีกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่กว่า 7,000 คนทั่วประเทศจะมาช่วยขับเคลื่อนเรื่องซอฟต์ เพาเวอร์ และขยายผลไปยังต่างประเทศ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวพร้อมยกระดับ เมืองท่องเที่ยวต่างๆให้มีความเข้มแข็งสร้างรายได้ให้กับประเทศต่อไป

Advertisement

นายกฯ มุ่งยกระดับแอปฯ “ทางรัฐ” สู่การเป็น Super App รองรับเศรษฐกิจดิจิทัล และ E-Government

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 30 กรกฎาคม 2567 นายกฯ มุ่งยกระดับแอปฯ “ทางรัฐ” สู่การเป็น Super App พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัล และ E-Government ประชาชนเข้าถึงบริการภาครัฐอย่างทันสมัย สะดวก ครอบคลุม ปลอดภัย และตรวจสอบได้

วันที่ 30 กรกฎาคม 2567 นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มุ่งวางโครงสร้างพื้นฐานเพื่อนำไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัลและ E-Government วางนโยบายพัฒนาแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” สำหรับลงทะเบียนรับสิทธิในโครงการ “ดิจิทัลวอลเล็ต” 10,000 บาท ของรัฐบาล ไปสู่การสร้าง “Super App” ยกระดับเป็นศูนย์กลางในการให้ประชาชนทุกช่วงวัยสามารถติดต่อขอรับบริการจากภาครัฐผ่านแอปพลิเคชันนี้ได้อย่างครอบคลุมตลอด 24 ชั่วโมง

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลโดยสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ DGA ได้ตั้งเป้าหมายในการพัฒนาแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” ซึ่งปัจจุบันมีบริการภาครัฐกว่า 152 บริการ ก้าวไปสู่การเป็น “Super App” ที่ครอบคลุมการติดต่อและรับบริการจากภาครัฐแบบครบวงจร และสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนคนไทยทุกคน ตามแนวความคิด E-Government ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงภาครัฐผ่านช่องทางที่ง่าย จบ ครบทุกช่วงวัย โดยประชาชนสามารถขอรับบริการได้แบบออนไลน์ทั้งหมด ลดค่าใช้จ่าย การเตรียมเอกสาร และประหยัดเวลาในการติดต่อหน่วยงานราชการ

รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับความปลอดภัยในการใช้แอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” โดยการนำระบบ Blockchain มาใช้เพิ่มความโปร่งใสในการทำธุรกรรม ต้องมีการยืนยันตัวตนบนแอปพลิเคชันด้วยมาตรฐานการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล รวมถึงมีการเชื่อมข้อมูลของแต่ละหน่วยงาน ทำให้สามารถตรวจจับผู้ที่ดำเนินธุรกรรมอย่างผิดกฎหมาย หรือใช้ไม่ตรงวัตถุประสงค์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ แอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” ยังถูกออกแบบมาให้มีการใช้จ่ายระหว่างประชาชนกับร้านค้าแบบพบหน้า และต้องซื้อสินค้าจากร้านค้าในอำเภอเดียวกันกับชื่อที่อยู่ในทะเบียนบ้าน หากไม่เป็นไปตามเงื่อนไขจะทำให้การใช้จ่ายนั้นไม่ผ่าน ทำให้ต้องมีการตรวจสอบ 3 ด้าน ได้แก่ 1) ที่อยู่ของร้านค้าตามที่ลงทะเบียนโครงการฯ 2) ที่อยู่ของประชาชนตามทะเบียนบ้านในขณะที่ ลงทะเบียนโครงการฯ และ 3) พิกัดที่อยู่ของประชาชนในขณะที่ใช้จ่ายกับร้านค้าต้องอยู่ในเขตอำเภอเดียวกัน การชำระเงินจึงจะสมบูรณ์ อย่างไรก็ดี ผู้ที่ชื่อที่อยู่ในทะเบียนบ้านกับที่อยู่จริง ณ ปัจจุบัน ไม่ตรงกัน กระทรวงการคลังเปิดโอกาสให้สามารถย้ายที่อยู่ในทะเบียนบ้านได้ โดยให้ย้ายทะเบียนบ้าน ที่อำเภอ หรือสำนักงานเขต ให้เสร็จสิ้นก่อนทำการลงทะเบียนสมัคร Digital Wallet 1 วัน เช่น หากวางแผนจะลงทะเบียนสมัคร Digital Wallet ในวันที่ 1 กันยายน 2567 ให้ย้ายทะเบียนบ้านให้เสร็จภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2567

“นายกรัฐมนตรีมุ่งหวังให้โครงการ Digital Wallet วางรากฐานระบบเศรษฐกิจดิจิทัล และ E-Government ให้ประเทศ ประชาชนเข้าถึงบริการภาครัฐผ่านระบบดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ ยกระดับต่อยอดพัฒนาให้แอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” ไปสู่การเป็น “Super App” ซึ่งนอกจากจะมีการเชื่อมโยงข้อมูลของประชาชนถึง 40-50 ล้านนคนแล้ว ยังวางเป้าหมายยกระดับการให้บริการแก่ประชาชนคนไทยทุกคนและทุกช่วงวัย ให้สามารถรับบริการจากหน่วยงานรัฐได้อย่างสะดวก ครอบคลุม ปลอดภัย และตรวจสอบได้” นายชัย กล่าว

Advertisement

นายกฯ ประกาศลุยต่อภาคบริการ-การท่องเที่ยวของไทย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 26 กรกฎาคม 2567 “นายกฯ เศรษฐา” ประกาศลุยต่อภาคบริการและการท่องเที่ยวของไทย หลังยอดนักท่องเที่ยวเข้าไทยกว่า 20 ล้านคน สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เชื่อยังไปได้อีก

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความเผยนักท่องเที่ยวที่เข้าไทยจนถึงปัจจุบัน 20 กว่าล้านคน สูงขึ้นกว่า 34% เมื่อเทียบกับปีก่อน นี่ไม่ใช่โชคดี แต่ต้องขอบคุณทุกๆ คน ทุกภาคส่วนที่ช่วยกันทำงานอย่างหนัก ทั้งเปิดวีซ่าเพิ่ม เพิ่มเที่ยวบิน การขยายไปสู่ Aviation Hub การพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยว

นายกฯ ระบุภาคบริการเองก็ปรับตัวรับนักท่องเที่ยวกันเป็นอย่างมาก พร้อมรอยยิ้มและนิสัยของเจ้าบ้านคนไทยทุกคนที่รับนักท่องเที่ยว เรายังไปต่อได้อีก ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าจะฟื้นตัวได้ดีกว่าที่คาดไว้ ซึ่งที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวเข้าไทยกว่า 6.4 ล้านคน เข้ามาในช่วงเดียวกัน ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 50% ในช่วงปีก่อน ลุยกันต่อกับภาคบริการและการท่องเที่ยวของไทย

Advertisement

รัฐบาลประเมินยอดนักท่องเที่ยวไทยช่วงวันหยุดยาวเดือน ก.ค. 67 มากกว่า 5 ล้านคน-ครั้ง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 25 กรกฎาคม 2567 โฆษกรัฐบาลเผยประเมินยอดนักท่องเที่ยวไทยช่วงวันหยุดยาวเดือนกรกฎาคม 2567 มากกว่า 5 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้หมุนเวียนทางเศรษฐกิจกว่า 1.8 หมื่นล้านบาท พร้อมจัดกิจกรรมท่องเที่ยวต่อเนื่อง ส่งเสริมเมืองน่าเที่ยวใน 5 ภูมิภาคทั่วประเทศ

วันนี้ (25 กรกฎาคม 2567) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศช่วงวันหยุดยาว ขานรับแนวนโยบายของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กระตุ้นตลาดการท่องเที่ยวไทย โดยล่าสุดการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์ว่า ตลอดเดือนกรกฎาคม 2567 ซึ่งมีวันหยุดยาวต่อเนื่องจะเอื้อต่อจำนวนนักท่องเที่ยวชาวไทยรวมกันมากกว่า 5 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้หมุนเวียนถึง 18,360 ล้านบาท โดยพบจำนวนผู้เดินทางฯ มากที่สุดคือ ภาคกลาง 1,174,060 คน-ครั้ง รองลงมาคือ กรุงเทพมหานคร 947,810 คน-ครั้ง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 931,950 คน-ครั้ง ขณะที่ภูมิภาคที่สร้างรายได้มากที่สุด คือ กรุงเทพมหานคร 4,781ล้านบาท รองลงมาคือ ภาคตะวันออก 4,061 ล้านบาท และภาคใต้ 3,017 ล้านบาท

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ซึ่งข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับผลการสำรวจแผนการเดินทางไปต่างจังหวัดในช่วงวันหยุด/เทศกาลในไตรมาส 3/2567 จากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งระบุว่า คนไทยส่วนใหญ่วางแผนเดินทางท่องเที่ยวใกล้ ๆ ภายในจังหวัดตัวเองและจังหวัดใกล้เคียง โดยจำแนกเป็น 1) วันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา: มีการวางแผนเดินทางท่องเที่ยวในจังหวัดตัวเอง 34 % ไปจังหวัดใกล้เคียงทั้งพักค้างและไม่พักค้างคืน 14% และเดินทางข้ามภาค 25% และ 2) วันเฉลิมพระชนมพรรษาฯ: วางแผนเดินทางท่องเที่ยวในจังหวัดตัวเอง 29% ไปจังหวัดใกล้เคียงทั้งพักค้างและไม่พักค้างคืน 10% และเดินทางข้ามภาค 16%

โดยจากแนวโน้มการเดินทางท่องเที่ยวดังกล่าว รัฐบาลโดย ททท. ได้บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดกิจกรรมสร้างแรงจูงใจให้เกิดการท่องเที่ยวในพื้นที่เมืองน่าเที่ยว 5 ภูมิภาคให้ต่อเนื่องตลอดเดือนกรกฎาคม – กันยายน 2567 ทั่วประเทศ ดังนี้

ภาคเหนือ : แคมเปญเหนือความคาดหมายในจังหวัดแพร่ น่าน พิษณุโลก และนครสวรรค์, แคมเปญแอ่วเหนือให้ฉ่ำและเที่ยวเสริมบุญทั่วภาคเหนือ ใน 17 จังหวัดภาคเหนือ, 365 วัน แห่งการเดินทางของคนรักกาแฟ, งานคาราวานรถยนต์เยือนเมืองลับแล จ.อุตรดิตถ์ 9 – 12 สิงหาคม 2567, AMAZING MUAY THAI EXPERIENCE จ.อุตรดิตถ์ 16 – 18 สิงหาคม 2567, Amazing Northern Retreat Month ตลอดเดือนสิงหาคม 2567, รถม้าคาร์นิวัลนครลำปาง จ.ลำปาง 9 – 12 สิงหาคม 2567, Amazing Nan Marathon 2024 จ.น่าน 25 สิงหาคม 2567, Chiang Rai Fashion to the World 30 สิงหาคม – 1 กันยายน 2567 และ VIJITR 5 ภาค @พิษณุโลก 7 – 15 กันยายน 2567

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : แซ่บหลายรัน จ.มหาสารคาม 3 สิงหาคม 2567, เทศกาล Coffee fest @Loei #2 จ.เลย 10 – 11 สิงหาคม 2567, B-Quik Thailand Super Series 2024 สนามที่ 4 จ.บุรีรัมย์ 23 – 25 สิงหาคม 2567, Lighting of Isan สีสันแห่งอีสาน จ.ร้อยเอ็ด มหาสารคาม กาฬสินธุ์ 1 – 8 กันยายน 2567, กิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว “อีสานไปไสกะแซ่บ”, Isan สะบัดผ้า : เปลี่ยนทุกท่วงท่า ให้อีสานเป็น “Runway” และ ฮักอีสาน…เมืองน่าเที่ยว

ภาคกลาง : 117 เกจิอาจารย์สังขารเหนือกาลเวลา, มหัศจรรย์แสงเหนือ @ เพชรบุรี กาญจนบุรี, WHY Festival Carnival Charity จ.ราชบุรี 3 สิงหาคม 2567, วิ่งในวรรณคดีซีรีส์รามเกียรติ จ.ราชบุรี 24 – 25 สิงหาคม 2567 จ.ลพบุรี 7 – 8 กันยายน 2567 และ จ.สมุทรสงคราม 21 – 22 กันยายน 2567, ไหว้พระริมน้ำให้ฉ่ำบุญ ” สิงหาพาแม่ล่องเรือทำบุญ” จ.ปทุมธานี 18 สิงหาคม 2567, กอล์ฟยกก๊วน กินกันยกแก๊งค์ จ.ปทุมธานี 1 – 31 สิงหาคม 2567, Amphawa Food Experience 2 ” Night at The Museum” อุทยาน ร.2 จ.สมุทรสงคราม 23 – 25 สิงหาคม 2567 และ AMAZING MUAY THAI EXPERIENCE จ.ลพบุรี 13 – 15 กันยายน 2567

ภาคตะวันออก : กิจกรรม “Happy Weekday Trips จันทร์ถึงศุกร์ เที่ยวให้ฉ่ำ จัดทริปให้สุข”จัดทำโปรโมชั่น ที่พักวันธรรมดาในราคาพิเศษ พร้อมรับ Voucher เติมน้ำมัน 500 บาท เมื่อซื้อแพคเกจขั้นต่ำ 5,000 บาทขึ้นไป ตั้งแต่วันนี้ – 15 กันยายน 2567, กิจกรรมฝนนี้…เที่ยวที่ภาคตะวันออก ร่วมกับภาคเอกชนจัดทำโปรโมชั่นส่วนลดพิเศษห้องพักโรงแรม สำหรับการเข้าพัก 2 คืนต่อเนื่องในชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราดตั้งแต่วันนี้ – 15 กันยายน 2567, กิจกรรม Amazing Outdoor Fest 2024 จ.นครนายก 10 – 11 สิงหาคม 2567, Sakaeo Craft Coffee & Friend #2″ จ.สระแก้ว 11 – 12 สิงหาคม 2567 และ Prachinburi Night At The Museum Ep.2 จ.ปราจีนบุรี 6 – 8 กันยายน 2567

ภาคใต้ : Creative Nakhon Festival จ.นครศรีธรรมราช 25 – 28 กรกฎาคม 2567, Satun Halal Street 2024 จ.สตูล 2 – 4 สิงหาคม 2567, Yala Marathon 4 สิงหาคม 2567, ระนองมหานครน้ำแร่ จ.ระนอง 10 – 11 สิงหาคม 2567, เดิน วิ่ง ท้าฝน เมืองฝน 8 จ.ระนอง 11 สิงหาคม 2567, สตูล ชิลล์ Eat Art 16 – 18 สิงหาคม 2567, Bala Trail จ.นราธิวาส 17 – 18 สิงหาคม 2567, Southern Bliss Fest จ. ชุมพร 23-25 สิงหาคม 2567 และจ.นครศรีธรรมราช 30 สิงหาคม – 1 กันยายน 2567, เสน่ห์ ปัตตานี “เมืองงามสามวัฒนธรรม” 28 สิงหาคม – 5 กันยายน 2567 และ Pattani Decode 2024 24 สิงหาคม – 1 กันยายน 2567

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดตามได้ที่เพจเฟซบุ๊กข่าวสารท่องเที่ยว ททท.https://www.facebook.com/thaitourismnews/ หรือโทรสอบถาม TAT Call Center 1672 เพื่อนร่วมทาง (ตลอด 24 ชั่วโมง) รวมทั้งผ่านแอปพลิเคชันไลน์ @tatcontactcenter (https://bit.ly/34lbUjn)

“นายกรัฐมนตรีสนับสนุนการจัดกิจกรรมท่องเที่ยวไทยสร้างบรรยากาศ เพื่อให้สามารถเที่ยวไทยได้ตลอดปี เชื่อมั่นว่าผลสะท้อนจากการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศตลอดช่วงเดือนกรกฎาคมนี้ ส่งเสริมทิศทางที่ดีในการต่อยอดเพื่อกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวไทย และเพื่อเตรียมความพร้อมสู่ปี 2568 ซึ่งจะเป็นปีแห่งการส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย Amazing Thailand Grand Tourism Year โดยเฉพาะการนำเสนอเส้นทางการท่องเที่ยวที่กระจายไปสู่เมืองน่าเที่ยวในภูมิภาคต่าง ๆ คู่ขนานกับการจัดอีเวนต์ ต่อยอดกระจายรายได้ทางเศรษฐกิจให้กับชุมชนท้องถิ่นทั่วประเทศ” นายชัย กล่าว

Advertisement

รัฐบาลวางแผนตลาดท่องเที่ยวไทย ตั้งเป้าปี 2568 เป็น “Thailand Grand Tourism Year”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 10 กรกฎาคม 2567 รัฐบาลส่งเสริมบรรยากาศการท่องเที่ยวให้คึกคักช่วง Green Season จัดกิจกรรม Amazing Beach Life Festival ใน 4 พื้นที่ Beach Life ระยอง – พังงา – ภูเก็ต – สงขลา พร้อมวางแผนตลาดท่องเที่ยวไทย ตั้งเป้าปี 2568 เป็น “Thailand Grand Tourism Year” สร้างประสบการณ์ – ตอบโจทย์ Customer Journey – สร้างความประทับใจทุก Touch Point การเดินทาง

วันนี้ (10 กรกฎาคม 2567) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมุ่งขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวไทยให้ต่อเนื่องอย่างมีกลยุทธ์ ขานรับนโยบาย IGNITE THAILAND’S TOURISM ของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กระตุ้นการท่องเที่ยวไทยในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว หรือ Green Season เปิดตัวโครงการ Amazing Beach Life Festival งานเทศกาลดนตรี กีฬา และศิลปะริมชายหาด จัดเต็มใน 4 พื้นที่ Beach Life (ระยอง – พังงา – ภูเก็ต – สงขลา) ส่งมอบประสบการณ์การท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสตลอดทั้งปี โดยคาดว่าสามารถสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวที่ 3.5 ล้านล้านบาท พร้อมหารือร่วมกับทุกหน่วยงาน วางยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวไทย ท่องเที่ยวสู่ปี 2568 ให้เป็น “Thailand Grand Tourism Year” ยกระดับไทยเป็นจุดหมายปลายทางระดับโลก

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า โครงการ Amazing Beach Life Festival เป็นกิจกรรมที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับภาครัฐและภาคเอกชนจัดขึ้น โดยนำเสนอกิจกรรมในรูปแบบ Beach Life และ Recreation Festival แบ่งตามอัตลักษณ์ของ 4 พื้นที่การท่องเที่ยวทางทะเล ได้แก่ ระยอง พังงา ภูเก็ต และ สงขลา โดยนำความหลากหลายของกิจกรรม Beach Life อาทิ เทศกาลดนตรี กีฬา และศิลปะริมชายหาด ที่อยู่ในกระแสความสนใจของนักท่องเที่ยวมารวบรวมไว้ในงาน ควบคู่กับการให้ความสำคัญกับความยั่งยืน (Sustainability) ผ่านการจัดตกแต่งพื้นที่ด้วยวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อส่งมอบประสบการณ์การท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัส เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า “เมืองไทยมีดี เที่ยวได้ทั้งปี เที่ยวได้ทุก Season” ดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวศักยภาพสูง มีกำลังซื้อสูง และมีพฤติกรรมรักสิ่งแวดล้อม ให้เกิดความต้องการเดินทางมาท่องเที่ยวในพื้นที่ เพื่อนำไปสู่การสร้างรายได้ให้กับธุรกิจท้องถิ่น และชุมชนในพื้นที่ชายฝั่งของแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยวต่อไป

สำหรับกิจกรรม Amazing Beach Life Festival กำหนดจัดขึ้นใน 4 พื้นที่ ตั้งแต่เวลา 16.00 – 22.30 น.ได้แก่

  1. จังหวัดระยอง Tropical Beach นำเสนอสีสันความสดใส กับระยองเมืองอาหาร และแหล่งผลไม้ภาคตะวันออก วันที่ 12 – 14 กรกฎาคม 2567 ณ หาดแหลมเจริญ
  2. จังหวัดพังงา Beach Rhythms นำเสนอความสนุกกับบรรยากาศปาร์ตี้ และความสุขของทะเลฝั่งอันดามัน วันที่ 26 – 28 กรกฎาคม 2567 ณ ชายหาดจังหวัดพังงา
  3. จังหวัดภูเก็ต Neon Waves ความสนุกสนานยามค่ำคืนเมืองป่าตอง พร้อมสีสันจากแสงนีออน สะท้อนลงผิวน้ำทะเลตอนกลางคืน วันที่ 2 – 4 สิงหาคม 2567 ณ หาดป่าตอง
  4. จังหวัดสงขลา Art Paradise นำเสนอกลิ่นอายเมืองเก่าแบบฉบับสงขลา เนรมิตชายหาดให้เต็มไปด้วยสีสันแห่งศิลปะ วันที่ 9 – 11 สิงหาคม 2567 ณ หาดชลาทัศน์

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมงาน Amazing Beach Life Festival ได้ฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook Page : Amazing Beach Life Festival https://www.facebook.com/profile.php?id=61561623323114 หรือ โทร. 1672 Travel Buddy

พร้อมกันนี้ การประชุมบูรณาการแผนปฏิบัติการ ททท. (Tourism Authority of Thailand Action Plan 2025 : TATAP 2025) ได้ตั้งเป้าหมายให้ปี 2568 เป็น “Thailand Grand Tourism Year” นำเสนอแนวคิดเสน่ห์ไทย สร้างภาพลักษณ์การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยจะเน้นการท่องเที่ยวไทยที่สามารถสร้างประสบการณ์ทรงคุณค่า ตอบโจทย์ทุก Customer Journey อย่างครอบคลุม สร้างความประทับใจให้เกิดขึ้นในทุก Touch Point ของการเดินทาง เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถบอกต่อความทรงจำที่มีคุณค่าและเกิดการเดินทางซ้ำ พร้อมส่งเสริมการเดินทางของนักท่องเที่ยว จากเมืองหลัก สู่เมืองน่าเที่ยว นอกจากนี้ จะมีการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับ Thailand Grand Tourism Year ได้แก่ 1) Grand Festival จัดกิจกรรมใหญ่ตลอดทั้งปี เพื่อดึงนักท่องเที่ยว พร้อมอำนวยความสะดวกในการเดินทาง 2) Grand Exclusive Experience นำเสนอประสบการณ์ใหม่ที่พิเศษสุด Grand Privilege อาทิ การชอปปิง แพ็คเกจทัวร์ บัตรโดยสารเครื่องบิน 3) Grand Invitation การเชิญบุคคลระดับโลกมาท่องเที่ยวและแชร์ประสบการณ์ และ 4) Grand Opening Celebration ซึ่งจะเปิดตัว Thailand Grand Tourism Year อย่างยิ่งใหญ่ที่งาน ITB Berlin 2025 (Internationale Tourismus Borse 2025) มหกรรมส่งเสริมการขายทางการท่องเที่ยวที่ใหญ่และสำคัญที่สุดของโลก วันที่ 4 – 6 มีนาคม 2568 ณ กรุงเบอร์ลิน สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี

“นายกรัฐมนตรีสนับสนุนการส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยอย่างมียุทธศาสตร์ ผ่านความร่วมมือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ตลอดจนพันธมิตรจากทุกภาคส่วนทั้งในและต่างประเทศ เพื่อส่งเสริมการเที่ยวไทยได้ตลอดทั้งปี พร้อมเชื่อมั่นว่าการวางกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับพื้นที่การท่องเที่ยวและความต้องการของนักท่องเที่ยว จะมีนัยสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดให้ปี 2568 เป็น “Thailand Grand Tourism Year” ถือเป็นการผลักดันการท่องเที่ยวตามแผนงาน ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยที่มีคุณภาพอย่างเป็นรูปธรรม” นายชัย กล่าว

Advertisement

Verified by ExactMetrics