วันที่ 4 พฤษภาคม 2025

โฆษกดีอีเอสยืนยันเบอร์มือถือที่ผูกพร้อมเพย์ ไม่มีใครล่วงรู้ยอดเงินในบัญชีได้

People Unity News : โฆษกดีอีเอสเตือนอย่าหลงเชื่อหากผู้อื่นรู้เบอร์มือถือที่ผูกพร้อมเพย์ ทำให้รู้ยอดเงินในธนาคารได้แจงธนาคารและบริษัทที่ดูแลระบบกลางไม่สามารถนำข้อมูลลูกค้ามาเปิดเผย หรือขายต่อข้อมูลได้ เพราะมีกฎหมายควบคุม

29 ส.ค.64 นางสาวนพวรรณ หัวใจมั่น โฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมือง (ดีอีเอส) กล่าวว่า ตามที่มีการแชร์ข้อความเตือนในสื่อต่างๆ เกี่ยวกับประเด็นเรื่อง หากผู้อื่นรู้เบอร์มือถือที่ผูกพร้อมเพย์ ทำให้รู้ยอดเงินในธนาคารได้ ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กระทรวงการคลัง พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ และชี้แจงว่าข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นความจริง เนื่องจากธนาคารและบริษัทที่ดูแลระบบกลาง ไม่สามารถนำข้อมูลลูกค้ามาเปิดเผย หรือขายต่อข้อมูลได้ เพราะมีกฎหมายรองรับอยู่ คือ พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ร.บ.ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์และ พ.ร.ฎ.ควบคุมดูแลธุรกิจบริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์

นอกจากนั้นมีประกาศคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ที่กำหนดในเรื่องการรักษาความมั่นคงปลอดภัยและการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งผู้ให้บริการพร้อมเพย์ทั้งธนาคารพาณิชย์ และผู้ให้บริการระบบกลางพร้อมเพย์ต้องปฏิบัติตาม อีกทั้งธนาคารพาณิชย์และบริษัทที่ดูแลระบบกลาง เป็นระบบปิดที่มีการดูแลรักษาความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล ISO 27001 คนภายนอกไม่สามารถต่อเข้ากับระบบพร้อมเพย์ผ่านช่องทางอินเทอร์เน็ตทั่วไปได้ รวมถึงการดูแลระบบสารสนเทศ (IT) ในเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยมาตรฐานความถูกต้อง ความพร้อมใช้ของระบบการดูแลการเข้าถึงข้อมูล การสำรองข้อมูล และการมีแผนรองรับกรณีฉุกเฉิน

ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่งหรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.bot.or.th หรือโทร. 02 2835353

Advertising

ศบค.ปลดล็อกให้นั่งทานอาหารในร้านเปิดโล่งได้ร้อยละ 75 ร้านปรับอากาศร้อยละ 50 เริ่ม 1 ก.ย.นี้

People Unity News : ศบค. ปลดล็อกให้นั่งทานอาหารภายในร้านเปิดโล่งได้ร้อยละ 75 และร้านอาหารปรับอากาศ ร้อยละ 50 เริ่มนำร่อง 1 กันยายนนี้ ในพื้นที่ที่มีความพร้อม

วันนี้ (27 สิงหาคม 2564)  เวลา 09.30 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) ครั้งที่ 13/2564 ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ปลดล็อกให้นั่งทานอาหารได้ในร้านที่ไม่มีเครื่องปรับอากาศร้อยละ 75 และร้านอาหารปรับอากาศ  ให้นั่งรับประทานได้ร้อยละ 50  คงมาตรการ Curfew ในพื้นที่สีแดงเข้ม 29 จังหวัด  ทั้งนี้ นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ดังนี้

นายกรัฐมนตรีเสนอให้มีการปรับมุมมองและยุทธศาสตร์การบริหารสถานการณ์โควิด-19 โดยให้ประชาชนสามารถอยู่กับโรคได้อย่างปลอดภัย เพราะเชื่อว่าไวรัสโควิด-19 จะไม่หมดไปและจะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้น ศบค. จึงกำหนดเป้าหมาย ด้วยการควบคุมโรคให้สมดุลกับการดำรงชีวิตและสามารถทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลได้เริ่มดำเนินกิจกรรม โครงการแล้ว อาทิ Phuket Sandbox และ Samui Plus Model ซึ่งเป็นการทยอยเปิดกิจกรรมและในพื้นที่ที่มีความพร้อมตามเป้าหมายการเปิดประเทศอย่างเป็นขั้นตอน ภายใต้ความปลอดภัยด้านสาธารณสุข DMHTT และมาตรการ Universal Prevention นายกรัฐมนตรียังฝากกระทรวงพาณิชย์ติดตามความต้องการใช้ออกซิเจนทางการแพทย์ให้เพียงพอ พร้อมร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องป้องกันการลักลอบส่งออกถังออกซิเจนผิดกฎหมายด้วย

นายกรัฐมนตรียังได้มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งจัดหาวัคซีนโควิดสำหรับเด็กอายุ 12-18 ปี ซึ่งปลัดกระทรวงศึกษาธิการได้รายงานว่า ปัจจุบันมีการฉีดวัคซีนให้กับครูแล้วกว่า 573,656 คน และยังคงมีนักเรียนในระบบอีกประมาณ 4 ล้านคน  จากการประเมินของกระทรวงสาธารณสุขคาดว่า ภายในสิ้นปีนี้ ไทยจะได้รับวัคซีนรวมทุกประเภท 140 ล้านโดส ก็ขอให้เดินหน้าฉีดวัคซีนให้กับบุคลากรทางการศึกษา กลุ่มเสี่ยงและกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งชาวต่างประเทศที่อยู่ในประเทศไทย ให้เร็วที่สุดสอดคล้องกับจำนวนวัคซีนที่ไทยมีอยู่ รวมทั้งให้เร่งรัดการเข้าถึงการตรวจโควิด-19 ด้วย ATK ด้วย

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลพร้อมยกระดับงานวิจัยและพัฒนาวัคซีนไทย เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ด้านสาธารณสุข ครอบคลุมถึงการกระบวนการผลิต เพื่อให้ไทยสามารถพึ่งพาตนเองด้านวัคซีนในอนาคตได้ และจากที่ได้ติดตามการพัฒนา วัคซีน ChulaCov19 (จุฬา-คอฟ-19) ชนิด mRNA โดยคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งตั้งเป้าหมายขึ้นทะเบียนให้ใช้ได้ ในรูปแบบภาวะฉุกเฉินในช่วงเดือนเมษายน 2565 และวัคซีนใบยาที่ใช้เทคโนโลยีจากใบยาสูบ รัฐบาลพร้อมจัดสรรงบประมาณและเร่งรัดให้มีการเบิกจ่ายได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า ที่ประชุม ศบค. ได้คลายล็อกมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด สอดคล้องกับนายกรัฐมนตรีที่ห่วงใยการประกอบอาชีพของพี่น้องประชาชน โดยหวังให้ประชาชนสามารถดำเนินกิจการ/กิจกรรมทางได้ ด้วยการยกระดับมาตรการป้องกันควบคุมโควิด-19 สำหรับเปิดกิจการ/จัดกิจกรรมให้ปลอดภัย ลดผลกระทบด้านเศรษฐกิจ ภายใต้การยกระดับมาตรการป้องกัน Universal Prevention และ COVID Free Setting ในสถานที่เสี่ยงและกลุ่มเสี่ยง

ทั้งนี้ ที่ประชุม ศบค. ให้เปิดบริการในส่วนของร้านอาหาร  สำหรับร้านอาหารที่อยู่นอกอาคาร หรือในอาคารแต่ไม่มีเครื่องปรับอากาศ  โล่ง อากาศถ่ายเทดี  ให้นั่งรับประทานได้ร้อยละ 75  ร้านอาหารที่เป็นห้องที่มีเครื่องปรับอากาศ  ให้นั่งรับประทานได้ร้อยละ 50   ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ สามารถดำเนินการได้ทุกแผนก ถึงเวลา 20.00 น.   โดยกิจการกลุ่มที่ 1 ร้านเสริมสวย  ร้านตัดผม/แต่งผม ให้บริการเฉพาะรายไม่เกิน 1 ชั่วโมง ร้านนวด เปิดได้เฉพาะนวดเท้า คลินิกเสริมความงาม เปิดจำหน่ายสินค้าเท่านั้น ร้านอาหาร เปิดได้ตามเงื่อนไขของมาตรการร้านอาหารมีเครื่องปรับอากาศ  กิจการกลุ่มที่ 2  สถาบันกวดวิชา  โรงภาพยนตร์  สปา สวนสนุก สวนน้ำ ฟิตเนสห้องออกกำลังกาย สระว่ายน้ำ ห้องจัดประชุม/จัดเลี้ยง ยังไม่เปิดกิจการ

การใช้อาคารของสถานศึกษา สามารถใช้อาคารของสถานศึกษาได้ โดยผ่านความเห็นชอบของผู้แทนกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม  ในพื้นที่ร่วมกับคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด/กทม.  ในส่วนสนามกีฬาและสวนสาธารณะ เปิดถึงเวลา 20.00 น.  โดยสามารถใช้สนามกีฬาและสวนสาธารณะ ประเภทกลางแจ้ง อากาศถ่ายเทสะดวก ไม่มีระบบปรับอากาศ เพื่อเล่น ซ้อม หรือแข่งขันกีฬาได้แบบไม่มีผู้ชม จำกัดจำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรมและไม่ให้มีการรวมกลุ่มกัน สามารถเปิดใช้สนามกีฬาทุกประเภทสำหรับการฝึกซ้อมของนักกีฬาทีมชาติไทย แบบไม่มีผู้ชม และผู้จัดการแข่งขัน ต้องดำเนินตามมาตรการป้องกันควบคุมโรคที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด

ทั้งนี้ ก่อนปิดประชุม นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวให้กำลังใจทุกคนว่า “ขอให้เราต้องมีจิตใจที่ยิ่งใหญ่  เพื่อร่วมมือกันทำงานเพื่อคนไทย และคงต้องร่วมกันทำในยุคนี้ รัฐบาลชุดนี้ด้วย” นายธนกร กล่าว

Advertising

“บิ๊กตู่” สั่งให้ดำเนินคดี ผกก.โจ้ ถึงที่สุด พร้อมสั่งทุกหน่วยงานกำจัดเจ้าหน้าที่มีพฤติกรรมเลวร้าย

People Unity News : นายกรัฐมนตรี สั่งการให้ดำเนินการตามกฎหมายจนถึงที่สุดกรณี “ผกก.โจ้”

25 ส.ค. 64 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งการให้ดำเนินการตามกฎหมายจนถึงที่สุดกรณีกรณี พ.ต.อ. ธิติสรรค์ อุทธนผล ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองนครสวรรค์ พร้อมเจ้าหน้าที่รวม 7 คน ได้กระทำการข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบทำให้ผู้อื่นเสียหาย ร่วมกันข่มขืนใจให้ผู้อื่นกระทำการใด และร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยทรมาน หรือกระทำทารุณโหดร้าย

โดยให้ทุกหน่วยงานกำจัดเจ้าหน้าที่ที่มีพฤติกรรมเลวร้าย ทุจริตในหน้าที่ ออกจากหน่วยงานตามกฎหมาย การกระทำใดที่มีผลกระทบต่อสังคมและประชาชน ต้องกำจัดออกไป เพื่อไม่ให้บุคคลนั้นมีโอกาสเติบโต ใช้ตำแหน่งหน้าที่สร้างความเสียหายต่อส่วนรวม

Advertising

ศบค.เตรียมลุยตรวจเชิงรุกตลาดสด ตลาดนัด ชุมชนโดยรอบตลาดในพื้นที่สีแดงเข้ม 29 จังหวัด

People Unity News : ศบค.เตรียมพิจารณามาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในตลาด ตรวจเชิงรุกผู้ค้า ลูกจ้าง และชุมชนโดยรอบตลาดพื้นที่สีแดงเข้ม คาดดำเนินการ 3 ระยะครอบคลุมเป้าหมาย 2 แสนคน ตรวจ 4 รอบ รวมทั้งใช้ ATK 8.5 แสนชุด รับสนับสนุนจาก สปสช.

23 ส.ค. 64  น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากที่กระทรวงสาธารณสุขได้ติดตามข้อมูลผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั่วประเทศ ได้พบว่าในส่วนของพื้นที่สีแดงเข้มโดยเฉพาะกรุงเทพฯและปริมณฑลได้พบผู้ติดเชื้อที่เชื่อมโยงกับตลาดสด และตลาดนัด โดยพบว่า ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. -10 ส.ค. พบการติดเชื้อใน 23 จังหวัด ในตลาด 132 แห่ง ผู้ติดเชื้อรวม 14,678 คน

กระทรวงสาธารณสุขจึงได้จัดทำมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในตลาด ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธาน จะได้พิจารณาเพื่อดำเนินการต่อไป

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในตลาด จะประกอบด้วยมาตรการ 3 ส่วน ได้แก่ มาตรการป้องกันคน ป้องกันสถานที่ (ตลาด) และ จัดการระบบเฝ้าระวังควบคุมโรค ซึ่งในส่วนการป้องกันคนนั้นจะมีตรวจคัดกรองเชิงรุกด้วยชุดตรวจ ATK ในกลุ่มเป้าหมายได้แก่ผู้ค้า ลูกจ้าง แรงงานที่เดินทางเข้าออก ผู้อยู่อาศัยที่ประกอบธุรกิจอยู่โดยรอบ และมีการสุ่มตรวจผู้ซื้อที่เดินทางเข้าไปใช้บริการในตลาด

ดำเนินการในจังหวัดพื้นที่สีแดงเข้มทั้ง 29 จังหวัด โดยแบ่งดำเนินการเป็น 3 ระยะ ระยะที่1 ดำเนินการใน 9 จังหวัดสีแดงเข้ม ได้แก่ กรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ ราชบุรี ชลบุรี นครราชสีมา สงขลา และสระแก้ว เป้าหมายที่ตลาดค้าส่งและตลาดขนาดใหญ่ (500แผงขึ้นไป) ตลาดที่มีความเสี่ยงสูง มีชุมชนรอบตลาด  รวม 27 แห่ง  ระยะที่ 2 ดำเนินการตรวจในพื้นที่ตลาดทุกขนาด ในจังหวัดสีแดงเข้ม 16 จังหวัด ครอบคลุมตลาด 117 แห่ง  และระยะที่ 3 ดำเนินการครอบคลุมตลาดทุกขนาด ในพื้นที่สีแดงเข้มทั้ง 29 จังหวัด  รวมตลาด 683 แห่ง

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า การประเมินเบื้องต้นคาดว่าจะดำเนินการตรวจครอบคลุมเป้าหมาย 202,010 คน ตรวจทุกสัปดาห์เป็นเวลา 4 สัปดาห์ ใช้ชุดตรวจ ATK 808,040 ชุด มีการสำรองสำหรับกรณีตรวจเชิงรุกอีก 41,960 ชุด รวมใช้ชุดตรวจ ATK ตามมาตรการนี้รวม 850,000 ชุด ซึ่งจะขอรับการสนับสนุนชุดตรวจจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ต่อไป

นอกจากดำเนินการตรวจเชิงรุกแล้ว ตามมาตรการนี้จะมีการให้วัคซีนแก่ผู้เกี่ยวข้องในตลาดตามลำดับความเสี่ยง รวมถึงดำเนินมาตรการอื่นควบคู่ เช่น การมีแผนเผชิญเหตุ การจัดเตรียมโรงพยาบาลสนามหรือสถานที่แยกกัก เพื่อรองรับกรณีผู้ติดเชื้อหรือพบผู้มีผลตรวจ ATK เป็นบวก

Advertising

แนะฉีดวัคซีนเด็กอายุ 12-18 ปีที่มีโรคประจําตัวเสี่ยงติดโควิดในจังหวัดควบคุมสูงสุดและเข้มงวด

People Unity News : แนะผู้ปกครองในจังหวัดควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ที่มีเด็กอายุ 12-18 ปี มีโรคประจําตัวเสี่ยงอาการรุนแรงหากติดโรคโควิด-19 ให้รีบพาเด็กไปรับวัคซีน

17 ส.ค.64 นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทย ยังคงมีแนวโน้มการติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้น เฉพาะกลุ่มเด็กและวัยรุ่นอายุ 12-18 ปี พบติดเชื้อรายใหม่ในสัปดาห์แรกเดือนสิงหาคม 7,787 คน และมีจำนวนการติดเชื้อรายใหม่ในสัปดาห์ที่ 2 เพิ่มขึ้นเป็น 8,733 คน คิดเป็นร้อยละ 12 ซึ่งจากข้อมูลดังกล่าวกลุ่มวัยเรียนวัยรุ่น จึงเป็นกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังการติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มมากขึ้น ล่าสุดราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยมีคำแนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ในเด็กและวัยรุ่นอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไปที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคโควิด-19 ในจังหวัดควบคุมสูงสุดและเข้มงวด กลุ่มผู้ป่วยเด็กที่มีโรคประจําตัวที่มีความเสี่ยงของโรคโควิด-19 ที่รุนแรง ได้แก่ โรคอ้วน โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็งและภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ โรคเบาหวาน และกลุ่มโรคพันธุกรรมรวมทั้งกลุ่มอาการดาวน์ เด็กที่มีภาวะบกพร่องทางระบบประสาทอย่างรุนแรง เด็กที่มีพัฒนาการช้า แต่ยังไม่แนะนำเรื่องการฉีดวัคซีนสำหรับเด็กทั่วไปที่แข็งแรงดีจนกว่าจะมีวัคซีนที่มากขึ้น

จากข้อมูลทะเบียนราษฎร์ประเทศไทยมีเด็กและวัยรุ่นอายุ 12-18 ปี 5,196,248 คน พบติดเชื้อโควิด-19 ตั้งแต่ 1 เมษายน–14 สิงหาคม 2564 จำนวน 41,832 คน คิดเป็นร้อยละ 0.8 ในจำนวนนี้เสียชีวิต 8 คน ทั้งหมดเป็นกลุ่มเด็กป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น พิการทางสมอง มะเร็ง และหัวใจ เป็นต้น

พ่อแม่ ผู้ปกครองที่ดูแลเด็กและวัยรุ่นอายุ 12-18 ปี ที่เป็น 7 กลุ่มโรคเสี่ยง และมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อได้ง่าย สามารถให้เด็กเข้ารับบริการฉีดวัคซีนตามที่ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยแนะนำได้ โดยสอบถามและประสานนัดหมายกับสถานพยาบาลหรือโรงพยาบาลที่ประกาศให้บริการ

Advertising

 

ธอส.มอบเงินรางวัลพิเศษแก่น้องเทนนิส 3 ล้านบาท โค้ชเช น้องจูเนียร์ คนละ 5 แสน

People Unity News : ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ในฐานะผู้สนับสนุนหลักของสมาคมกีฬาเทควันโดแห่งประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2549 ให้การต้อนรับและจัดพิธีมอบเงินรางวัลพิเศษรวม 4 ล้านบาท ให้แก่ “น้องเทนนิส” พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ นักกีฬาเทควันโดทีมชาติไทย เจ้าของเหรียญทองในการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ โตเกียว 2020 จำนวน 3 ล้านบาท “น้องจูเนียร์” และโค้ชเช ยอง ซอก อีกรายละ 500,000 บาท ขอบคุณในความมุ่งมั่นทุ่มเท จนนำมาซึ่งความสุขและความภาคภูมิใจของคนไทยทั้งประเทศ

นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ตามที่ “น้องเทนนิส” เรืออากาศตรีหญิงพาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ นักกีฬาเทควันโดทีมชาติไทย สามารถคว้าเหรียญทองจากการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ โตเกียว 2020 ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยถือเป็นเหรียญทองแห่งความสุขและความภาคภูมิใจหนึ่งเดียวของประเทศไทยที่ได้จากการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในครั้งนี้ นับเป็นเหรียญทองเหรียญที่ 10 ในประวัติศาสตร์ของประเทศไทยจากการเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเกมส์ และเป็นเหรียญทองเหรียญแรกที่ได้จากการแข่งขันกีฬาเทควันโดอีกด้วย

ในวันนี้ (16 สิงหาคม 2564) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ในฐานะผู้สนับสนุนหลักของสมาคมกีฬาเทควันโดแห่งประเทศไทย มาตั้งแต่ปี 2549 จนถึงปัจจุบัน จึงได้มอบเงินรางวัลพิเศษรวม 4,000,000 บาท ให้แก่นักกีฬาและผู้ฝึกสอน ที่มุ่งมั่นทุ่มเทฝึกซ้อมอย่างหนักจนนำมาซึ่งความสำเร็จได้ในที่สุด โดยมี นายยุทธนา หยิมการุณ อธิบดีกรมธนารักษ์ ในฐานะประธานกรรมการ ธอส. พร้อมด้วยคณะกรรมการ ธอส. ประกอบด้วย นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะประธานกรรมการกิจการสัมพันธ์ ดร.กิริฎา เภาพิจิตร ในฐานะประธานกรรมการกำกับดูแลกิจการที่ดีและความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (CG&CSR) ดร.กริชผกา บุญเฟื่อ ในฐานะประธานกรรมการกำหนดกลยุทธ์และนโยบายทางด้าน IT และนวัตกรรม และนายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ พร้อมด้วยคณะผู้บริหารระดับสูงของธนาคารร่วมในพิธี โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1.มอบเงินรางวัลพิเศษ จำนวน 3,000,000 บาท ให้แก่ “น้องเทนนิส” เรืออากาศตรีหญิง พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ นักกีฬาเทควันโดทีมชาติไทย เจ้าของเหรียญทองโอลิมปิกเกมส์ โตเกียว 2020 รุ่นน้ำหนักไม่เกิน 49 กก. หญิง

2.มอบเงินรางวัลพิเศษ จำนวน 500,000 บาท ให้แก่ “น้องจูเนียร์” นายรามณรงค์ เสวกวิหารี นักกีฬาเทควันโดทีมชาติไทย รุ่นน้ำหนักไม่เกิน 58 กก. ชาย

3.มอบเงินรางวัลพิเศษ จำนวน 500,000 บาท ให้แก่ “โค้ชเช” ชเว ย็อง-ซ็อก หัวหน้าผู้ฝึกสอนนักกีฬาเทควันโดทีมชาติไทย

โดยหลังจากรับมอบเงินรางวัลแล้ว ทั้ง 3 คน ยังได้นำเงินรางวัลที่ได้รับในครั้งนี้ แบ่งไปเก็บออมกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ ด้วยการซื้อสลากออมทรัพย์ ธอส. ชุดเกล็ดดาว หน่วยละ 5,000 บาท โดยน้องเทนนิสซื้อสลากจำนวน 200 หน่วย หรือมูลค่า 1 ล้านบาท ขณะที่โค้ชเช และน้องจูเนียร์ ซื้อสลากคนละจำนวน 20 หน่วย หรือ​ 100,000 บาท ซึ่งทุกหน่วยจะได้สิทธิ์ลุ้นเงินรางวัลสูงสุดมูลค่า 1 ล้านบาท/หมวด พร้อมด้วยรางวัลอื่นๆ รวมถึงรางวัลเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัว รางวัลเลขสลับเลขท้าย 2 ตัวและ 3 ตัว ลุ้นรางวัลได้ต่อเนื่องนาน 24 เดือน และยังได้รับผลตอบแทนหน้าสลาก 0.40% ต่อปี นอกจากนี้ดอกเบี้ยและเงินรางวัลยังได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอีกด้วย

“ธอส. ในฐานะผู้สนับสนุนหลักของสมาคมกีฬาเทควันโดแห่งประเทศไทย มาตั้งแต่ปี 2549 จนถึงปัจจุบัน ได้ให้การสนับสนุนปีละ 17 ล้านบาท รวมแล้วกว่า 260 ล้านบาท รู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สมาคมกีฬาเทควันโดแห่งประเทศไทยพัฒนาวงการกีฬาเทควันโดให้โดดเด่น และสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยในเวทีการแข่งขันระดับโลกมากกว่า 160 รายการ รวมถึงการคว้าเหรียญทองจากการแข่งขันเทควันโด ในการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ โตเกียว 2020 มาได้สำเร็จในครั้งนี้ ถือเป็นการทำให้คนไทยมีความสุขท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในขณะนี้ และ ธอส. ยืนยันว่าพร้อมให้การสนับสนุนสมาคมกีฬาเทควันโดแห่งประเทศไทยในการพัฒนาวงการกีฬาเทควันโดต่อไป เพื่อนำความภาคภูมิใจให้กับคนไทยให้ได้อย่างต่อเนื่อง” นายฉัตรชัย กล่าว

นอกจากการสนับสนุนทางด้านกีฬาให้กับสมาคมกีฬาเทควันโดแห่งประเทศไทยแล้ว ธอส. ยังคงมุ่งมั่นตามภารกิจหลักในการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยแก่ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและปานกลางให้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ตลอดระยะเวลาเกือบ 68 ปี ธนาคารสร้างโอกาสให้คนไทยได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองมาแล้วมากกว่า 3.7 ล้านครอบครัว ควบคู่ไปกับการดำเนินงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม หรือ CSR ของธนาคาร ทั้งทางด้านที่อยู่อาศัย การศึกษา สังคมและสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมสถาบันพระมหากษัตริย์/ศาสนา/ศิลปวัฒนธรรม

Advertising

ดีอีเอส เตือนข่าวปลอม! วัคซีน Pfizer มีส่วนผสมของแม่เหล็ก ทำให้มีผลต่อร่างกายในอีก 1-2 ปี

People Unity News : ดีอีเอส เตือนข่าวปลอม อย่าแชร์! วัคซีน Pfizer มีส่วนผสมของแม่เหล็ก ทำให้มีผลกระทบต่อร่างกายในอีก 1-2 ปี ย้ำวัคซีนไฟเซอร์โควิด-19 ไม่มีส่วนผสมที่เป็นโลหะเป็นส่วนประกอบหรือสารออกฤทธิ์ และวัคซีนไม่สามารถทำให้เกิดการตอบสนองทางแม่เหล็กเมื่อฉีดเข้าไปตามที่กล่าวอ้างได้

นางสาวนพวรรณ หัวใจมั่น โฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมือง (ดีอีเอส) กล่าวว่า  ตามที่มีการนำเสนอข้อมูลข่าวสารถึงประเด็นเรื่อง วัคซีน Pfizer มีส่วนผสมของแม่เหล็ก ทำให้มีผลกระทบต่อร่างกายในอีก 1-2 ปี ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยบริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จํากัด พบว่าข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลเท็จในกรณีการเผยแพร่ข้อมูลโดยระบุว่า วัตถุดิบที่ใช้ผลิตวัคซีนที่ห้ามใช้ในคน แต่นำไปใช้ผลิตในวัคซีน Pfizer, Moderna ดร.ที่ทำงานวิจัย ขอร้องห้ามฉีดเพราะมีส่วนผสมของแม่เหล็ก อาจมีผลกระทบต่อร่างกายในอีก 1-2 ปี ภายหน้านั้น ทางบริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จํากัด ได้ชี้แจงว่าวัคซีนไฟเซอร์โควิด-19 ไม่มีส่วนผสมที่เป็นโลหะเป็นส่วนประกอบหรือสารออกฤทธิ์ และวัคซีนไม่สามารถทำให้เกิดการตอบสนองทางแม่เหล็กเมื่อฉีดเข้าไปตามที่กล่าวอ้างได้

ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อ และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากบริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จํากัด สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.pfizer.co.th หรือแหล่งข่าวจากกระทรวงสาธารณสุข หรือจนกว่าจะตรวจสอบความถูกต้องให้ชัดเจนเสียก่อน เพื่อมิให้เกิดความสับสนและตื่นตระหนกในสังคม เพราะในปัจจุบันนี้มีข่าวปลอมในลักษณะนี้เกิดขึ้นทุกวัน การกระทำของผู้ที่ผลิตข่าวปลอมและผู้ที่เผยแพร่ เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์มาตรา 14(2),(5) มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หรือกฎหมายอื่นๆที่เกี่ยวข้อง โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ที่ผลิตข่าวปลอมและผู้ที่เผยแพร่ทุกรายอย่างเด็ดขาดจริงจังและต่อเนื่องต่อไป

นอกจากนี้ หากพี่น้องประชาชนพบเบาะแสการกระทำความผิด สามารถแจ้งผ่าน 4 ช่องทาง ได้แก่ เว็บไซต์https://www.antifakenewscenter.com , เฟซบุ๊ก ANTI-FAKE NEWS CENTER , ทวิตเตอร์ @AFNCThailand , ไลน์@antifakenewscenter และช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วน GCC 1111 ต่อ 87 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

Advertising

ธนาคารรัฐออกประกาศแจ้งเวลาให้บริการหลัง ศบค. มีมติให้ 10 จังหวัดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด

People Unity News : สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ ออกประกาศมาตรการรองรับการให้บริการลูกค้า ขานรับแผนการยกระดับมาตรการป้องกันโควิด-19 ของ ศบค.

10 ก.ค.64 ตามที่การประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2564 ได้มีมติ เห็นชอบให้ยกระดับมาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด-19 สำหรับ 10 จังหวัดในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร ปัตตานี นราธิวาส ยะลา สงขลา โดยจำกัดการเคลื่อนย้ายและการรวมกลุ่มของบุคคลขั้นสูงสุด รวมถึงกำหนดเวลาการออกนอกเคหะสถาน เพื่อให้สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ให้เท่าทันต่อสถานการณ์นั้น

สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ (สงร.) และธนาคารสมาชิกทุกแห่ง ประกอบด้วย ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) พร้อมที่จะให้บริการลูกค้าประชาชนอย่างต่อเนื่องภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยในส่วนของการให้บริการ ณ ที่ทำการสาขาทุกแห่งของธนาคารนั้น ยืนยันว่า ยังให้ความสำคัญกับมาตรการรองรับการให้บริการแก่ลูกค้า ตามแนวทางของกระทรวงสาธารณสุข และหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ดังนี้

1.ธนาคารอาจพิจารณาปิดให้บริการสาขาบางแห่งตามความจำเป็น โดยเฉพาะในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดทั้ง 10 จังหวัด  เป็นการชั่วคราว ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรสาคร นครปฐม สมุทรปราการ สงขลา ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส ซึ่งลูกค้าสามารถตรวจสอบสาขาที่ปิดให้บริการชั่วคราวได้ตามประกาศที่ทาง website ของแต่ละธนาคาร

2.กำหนดเวลาเปิดทำการสาขาทั้งประเทศ ตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2564 ดังนี้

สาขาในห้าง/สาขาที่เปิดให้บริการไม่เกิน 17.00 น. จะยังคงเปิดให้บริการเวลาไม่เกิน 17.00 น.

สาขาอื่นๆ เปิดให้บริการเวลาไม่เกิน 15.30 น.

สาขาใน 3 จังหวัดภาคใต้ ประกอบด้วย ยะลา นราธิวาส และปัตตานี เปิดให้บริการเวลาไม่เกินเวลา 15.00 น.

จำกัดช่องให้บริการและจำนวนลูกค้าในสาขา เพื่อเว้นระยะห่างทางสังคม และลดความแออัด

กรณีสาขามีพนักงานหรือลูกค้าติดเชื้อ ให้ปฏิบัติ ดังนี้

ให้แต่ละธนาคารปิดบริการสาขาที่มีผู้ติดเชื่อเป็นการชั่วคราว เพื่อทำความสะอาด/ฆ่าเชื้อ และกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งเมื่อดำเนินการเสร็จ

พนักงานที่สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วย ให้ตรวจหาเชื้อ/และกักตัวเองในที่พักทันที ตามระยะเวลาที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด

จัดให้มีพนักงานปฏิบัติงานทดแทน และต้องเป็นพนักงานที่ไม่เกี่ยวข้องหรือสัมผัสเชื้อ

ทั้งนี้ มาตรการรองรับการให้บริการลูกค้าในที่ทำการสาขา จัดทำขึ้นเพื่อความปลอดภัยของลูกค้าและพนักงาน รองรับความต้องการของลูกค้าที่ประสงค์เข้ามาทำธุรกรรมสำคัญต่างๆ ที่สาขาของธนาคาร อาทิ การฝาก/ถอน/โอนเงิน ชำระสินเชื่อ หรือค่าบริการต่างๆ ธุรกรรมด้านสินเชื่อ และการทำนิติกรรม ขณะเดียวกันลูกค้ายังสามารถใช้บริการสำคัญของธนาคารเพิ่มเติมที่ตู้อิเล็กทรอนิกส์ เช่น ตู้ ATM ซึ่งธนาคารทุกแห่งได้เตรียมสำรองธนบัตรไว้อย่างเพียงพอ รวมถึงการให้บริการผ่าน Application Mobile Banking ของแต่ละธนาคาร เพื่อลดการเดินทาง ลดความเสี่ยง และการสัมผัสธนบัตร เพื่อให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ต่อไป

อย่างไรก็ตาม มาตรการที่สถาบันการเงินของรัฐ และธนาคารสมาชิกทุกแห่งมีออกมาในขณะนี้นั้น เป็นเพียงมาตรการเบื้องต้นที่จะช่วยดูแลลูกค้าประชาชนให้ได้รับความสะดวกในการใช้บริการอย่างเต็มที่ โดยจากนี้ไปธนาคารสมาชิกแต่ละแห่ง พร้อมจะมีมาตรการที่เข้มข้นมากขึ้น เพื่อดูแลให้ลูกค้าประชาชนได้รับความปลอดภัยและสะดวกสบายใจการใช้บริการทางการเงินกับธนาคารทุกแห่งให้มากที่สุดต่อไป

Advertising

 

“ประยุทธ์” ดีใจแอสตร้าเซนเนก้าส่งมอบวัคซีนให้รัฐบาลไทย สั่งปูพรมฉีดให้ประชาชนตั้งแต่ 7 มิ.ย.

People Unity News : “ประยุทธ์” ยินดี แอสตร้าเซนเนก้าส่งมอบวัคซีนโควิด-19 ให้รัฐบาลไทย พร้อมกระจายวัคซีนทั่วประเทศ ยืนยันระดมฉีดวัคซีนแบบปูพรมให้ประชาชนตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 64 นี้เป็นต้นไป

วันนี้ (4 มิถุนายน 2564) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่วันนี้รัฐบาลไทยได้รับมอบวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าที่ผลิตในประเทศไทยจาก บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด และเป็นไปตามที่รัฐบาลได้ประกาศไว้ ซึ่งนายกรัฐมนตรียืนยันว่ารัฐบาลมีความเชื่อมั่นที่จะดำเนินตามภารกิจในการจัดสรรวัคซีน และเร่งฉีดวัคซีนให้ประชาชนครบถ้วนตามที่ได้จัดให้เป็นวาระแห่งชาติ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการระดมฉีดวัคซีนทุกจุดทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เพื่อให้วัคซีนเข้าถึงประชาชนที่พร้อมฉีด เกิดภูมิคุ้มกันโรคในระดับประเทศ ซึ่งจะช่วยลดความรุนแรงและการเสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด-19 และช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กลับคืนสู่สภาวะปกติได้โดยเร็ว

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ข้อมูลว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินการตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี ที่ให้เร่งทำความเข้าใจ และสร้างความมั่นใจแก่ประชาชนว่า จากนี้ไปไทยจะมีวัคซีนเพียงพอที่จะฉีดให้ประชาชนตามที่ได้วางแผนไว้ โดยจะกระจายวัคซีนให้สอดคล้องกับจำนวนที่ได้รับการส่งมอบอย่างทันท่วงที โดยคำนึงถึงสถานการณ์เร่งด่วนที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต และสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่ และพิจารณาให้มีการกระจายวัคซีนอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ทั้งนี้ จากการเตรียมความพร้อมในช่วงที่ผ่านมา ทำให้หน่วยงานต่างๆ ทั้งในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขและกรุงเทพมหานคร มีศักยภาพการฉีดวัคซีนให้ประชาชนได้ประมาณ 860,000 คนต่อวัน โดยในกรุงเทพฯ มีจุดฉีดวัคซีนมากกว่า 150 แห่ง และใน 76 จังหวัดมีจุดฉีดวัคซีนมากกว่า 1,475 แห่งทั่วประเทศ

“ยืนยันว่า ไทยจะมีวัคซีนที่สามารถฉีดปูพรมให้ประชาชนได้ตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2564 ตามวาระแห่งชาติที่นายกรัฐมนตรีได้ประกาศไว้ ซึ่งจะได้กระจายวัคซีนไปตามจังหวัดต่างๆโดยเร็วที่สุด โดยผู้ที่ลงทะเบียนผ่านหมอพร้อม จะได้ฉีดวัคซีนอย่างแน่นอน” นายอนุชากล่าว

Advertising

กระทรวงการคลังเตือนประชาชนระวังข่าวปลอมเกี่ยวกับโครงการเราชนะ โครงการคนละครึ่ง

People Unity News : โฆษกกระทรวงการคลัง ขอให้ประชาชนติดตามข่าวสารของโครงการให้ความช่วยเหลือประชาชนภายใต้ความรับผิดชอบของกระทรวงการคลัง จากช่องทางการสื่อสารที่เป็นทางการของทางราชการ

31 พ.ค.64 นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง ขอเตือนให้ประชาชนได้ระมัดระวังข่าวปลอมที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับโครงการให้ความช่วยเหลือประชาชนของรัฐบาลที่อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของกระทรวงการคลัง เช่น โครงการเราชนะ โครงการคนละครึ่ง เป็นต้น ในลักษณะข้อความสั้น (SMS) หรือข้อมูลที่มีการส่งต่อผ่านสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ที่อาจคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง หรืออาจสร้างความสับสนแก่ประชาชน โดยโฆษกกระทรวงการคลังขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสารของโครงการให้ความช่วยเหลือประชาชนภายใต้ความรับผิดชอบของกระทรวงการคลัง จากช่องทางการสื่อสารที่เป็นทางการของกระทรวงการคลัง ได้แก่ www.เราชนะ .com www.mof.go.th www.fpo.go.th Facebook Fanpage “สถานีข่าวกระทรวงการคลัง” และ Facebook Fanpage  “สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง: Fiscal Policy Office”

นอกจากนี้ โฆษกกระทรวงการคลังได้แถลงเพิ่มเติมถึงความคืบหน้าของโครงการเราชนะ ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2564 ดังนี้

1) ประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13.7 ล้านคน ได้มีการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 96,377 ล้านบาท

2) ประชาชนกลุ่มที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในโครงการเราเที่ยวด้วยกันและคนละครึ่ง และกลุ่มประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนทางเว็บไซต์ www.เราชนะ .com ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติแล้ว จำนวน 17.0 ล้านคน และมีการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 139,974 ล้านบาท

3) ประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติแล้ว จำนวน 2.4  ล้านคน มียอดใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2564 เป็นต้นมา จำนวน 19,165 ล้านบาท

ทำให้มีมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยแล้วกว่า 255,516 ล้านบาท ซึ่งเป็นการใช้จ่ายผ่านผู้ประกอบการร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ร้านค้าคนละครึ่งที่ตกลงยินยอมเข้าร่วมโครงการฯ รวมถึงผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ จำนวนทั้งสิ้นมากกว่า 1.3 ล้านกิจการ

Advertising

Verified by ExactMetrics