วันที่ 1 พฤษภาคม 2025

รัฐบาลเตือนผู้กู้ยืม กยศ.หากไม่ชำระคืนตามกำหนด เกิดดอกเบี้ย เบี้ยปรับ รวมถึงถูกฟ้อง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 12 ธันวาคม 2567 รัฐบาลเตือนผู้กู้ยืม กยศ.หากไม่ชำระเงินคืนตามกำหนดจะทำให้เกิดภาระดอกเบี้ยและเสียเบี้ยปรับจากการผิดนัดชำระหนี้ รวมถึงถูกฟ้องร้องบังคับคดีตามกฎหมาย ย้ำผู้กู้ยืมต้องมีคุณธรรม มีความรับผิดชอบ

วันนี้ (12 ธันวาคม 2567) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า  จากกรณีที่มีผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์อ้างตัวว่าเป็นผู้กู้ยืมเงิน กยศ. ได้โพสต์รีวิว การบิดหนี้ กยศ. โดยชักชวนผู้กู้ยืมท่านอื่นให้ไม่ชำระหนี้คืน นั้น ขอย้ำเตือนว่า การชักชวนหรือสนับสนุนให้ผู้อื่นหลีกเลี่ยงการชำระหนี้หรือโอนทรัพย์สินเพื่อหลีกเลี่ยงการบังคับชำระหนี้ ถือเป็นการกระทำที่ขาดความรับผิดชอบและผิดกฎหมาย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อนักเรียน นักศึกษารุ่นน้องที่ต้องการความช่วยเหลือจาก กยศ. ได้ในอนาคต

นายคารม กล่าวว่า กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เป็นหน่วยงานของรัฐ มีวัตถุประสงค์ให้กู้ยืมเงินเพื่อการศึกษา เพื่อเพิ่มโอกาสทางการศึกษาและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ โดยใช้เงินจากงบประมาณแผ่นดินและเงินที่ได้รับชำระหนี้ของผู้กู้ยืมรุ่นพี่กลับมาเป็นทุนหมุนเวียนเพื่อนำไปสร้างโอกาสทางการศึกษาให้แก่ผู้กู้ยืมรุ่นน้อง โดย กยศ. มุ่งหวังที่จะช่วยเหลือผู้ที่ต้องการศึกษาต่อสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่มีดอกเบี้ยต่ำ เพียงร้อยละ 1 ต่อปี มีระยะเวลาผ่อนชำระนานถึง 15 ปี และมีเงื่อนไขการผ่อนชำระหนี้ที่ยืดหยุ่น ดังนั้น การชำระหนี้จึงเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบที่ผู้กู้ยืมทุกคนควรปฏิบัติเพื่อส่งต่อโอกาสทางการศึกษาให้แก่รุ่นน้องต่อไป

“หากผู้กู้ยืมไม่ชำระเงินคืนตามกำหนดจะทำให้เกิดภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นและเกิดเบี้ยปรับจากการผิดนัดชำระหนี้ รวมถึงอาจถูกฟ้องร้องบังคับคดีตามกฎหมายอีกด้วย  ทั้งนี้ ผู้กู้ยืมคนใดประสบปัญหาทางการเงินและไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด ก็สามารถติดต่อกับ กยศ. เพื่อขอปรับโครงสร้างหนี้เพื่อขยายระยะเวลาการชำระหนี้ได้” นายคารม ระบุ

Advertisement

กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เตือน กลุ่มเสี่ยงต้องระวัง! เผย “นวดผ่อนคลาย” ต่างกับ “นวดรักษา”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 10 ธันวาคม 2567 รัฐบาลแนะข้อควรรู้ก่อนนวด กลุ่มเสี่ยงต้องระวัง! เผย “นวดผ่อนคลาย” ต่างกับ “นวดรักษา” ก่อนนวดต้องซักประวัติและควรรู้ข้อห้าม ข้อควรระวังก่อนนวด

วันนี้ (10 ธันวาคม 2567) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ระบุ การนวดไทยเป็นกระบวนการดูแลสุขภาพ ที่ต้องมีหลักการหรือองค์ความรู้ในการนวดตามแนวเส้นประธานสิบ ซึ่งจะช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย บรรเทาอาการปวดเมื่อย สำหรับการนวดไทย แบ่งออกเป็น 2 ระดับ คือ การนวดเพื่อผ่อนคลาย หรือนวดเพื่อสุขภาพ และ การนวดเพื่อการรักษา ประกอบด้วย 1. หลักสูตรนวดเพื่อสุขภาพ 150 ชั่วโมง กลุ่มนี้จะไม่มีการบิด ดัด เป็นการนวด คอ บ่า แขน ขา สะบักและหลัง วัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาอาการปวดเมื่อยและผ่อนคลายกล้ามเนื้อ 2. หลักสูตรการนวดเพื่อการรักษา เป็นหลักสูตรการเรียนตั้งแต่ 330 ชั่วโมง 372 ชั่วโมง 800 ชั่วโมง และ 1,300 ชั่วโมง เพื่อบำบัดรักษาแต่ละกลุ่มอาการ เช่น กลุ่มปวดกล้ามเนื้อ นิ้วล็อก หัวไหล่ติด เข่าเสื่อม อัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นต้น

ส่วนผู้ให้บริการด้านการนวดมี 3 ประเภท1) ให้บริการนวดเพื่อสุขภาพ (หมอนวด) เรียน 150 ชั่วโมง อยู่ในกำกับของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) และผ่านพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ปฏิบัติงานในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ  ร้านนวดเพื่อสุขภาพ และสปา 2) ผู้ช่วยแพทย์แผนไทย เรียนตั้งแต่ 330 ชั่วโมง 372 ชั่วโมง 800 ชั่วโมง และ 1,300 ชั่วโมง อยู่ในกำกับของสภาการแพทย์แผนไทย ปฏิบัติงานในโรงพยาบาล และคลินิก ทั้งภาครัฐและเอกชน 3) แพทย์แผนไทย/แพทย์แผนไทยประยุกต์ ที่มีใบประกอบวิชาชีพ จากสภาการแพทย์แผนไทย ปฏิบัติงานในโรงพยาบาล  และคลินิกทั้งภาครัฐและเอกชน

สำหรับข้อห้ามและข้อควรระวังในส่วนผู้ให้บริการ

ข้อห้าม ได้แก่ 1. ห้ามนวดบริเวณที่เป็นมะเร็ง 2. ผู้ที่มีไข้สูงเกิน 38.5 องศา 3.บริเวณที่มีอาการอักเสบ บวม แดง ร้อน 4. ผู้ที่มีภาวะการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ 5.กระดูกแตก หัก ปริ ร้าว ที่ยังไม่หายดี และ 6. โรคติดเชื้อทางผิวหนังทุกชนิด

ข้อควรระวัง   ได้แก่ 1. สตรีมีครรภ์ 2. ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง 3. ใส่อวัยวะเทียมหลังผ่าตัดกระดูก 4. ผู้ที่มีภาวะกระดูกพรุน กระดูกบาง และ 5. ผู้ที่เพิ่งรับประทานอาหารอิ่มใหม่ ๆ (ไม่เกิน 30 นาที)  และก่อนให้บริการนวดไทย

หากท่านใดมีข้อสงสัย หรือสนใจข้อมูลด้านการนวดไทย สามารถสอบถามได้ที่โรงพยาบาลของรัฐทั่วประเทศ หรือFACEBOOK  Line@ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก หรือโทร 02 149 5678 ได้ในเวลาราชการ

Advertisement

พยากรณ์อากาศวันนี้ ไทยตอนบนอากาศเย็นลง 1-3 องศาฯ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 9 ธันวาคม 2567 กรมอุตุฯ เผยมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางระลอกใหม่จากประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุมไทยตอนบน ทำให้อากาศเย็นลง กับมีลมแรง อุณหภูมิลดลง 1–3 องศาฯ

กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางระลอกใหม่จากประเทศจีนได้แผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน และทะเลจีนใต้ ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีอากาศเย็นลง กับมีลมแรง และอุณหภูมิจะลดลง 1–3 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดดอยและยอดภูมีอากาศหนาว ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เย็นลง รวมถึงระวังอันตรายจากอัคคีภัยที่อาจจะเกิดขึ้นเนื่องจากอากาศแห้งและลมแรง

สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้เริ่มมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้ตอนล่างมีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักไว้ด้วย ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังปานกลางถึงค่อนข้างแรง โดยอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร อ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือในบริเวณดังกล่าวเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย

ฝุ่นละอองในระยะนี้: ประเทศไทยตอนบนมีแนวโน้มของการสะสมฝุ่นละออง/หมอกควันที่ลดลง แต่ยังคงอยู่ในเกณฑ์ดีถึงปานกลาง เนื่องจากลมที่พัดปกคลุมมีกำลังแรงขึ้นและมีการระบายอากาศที่ดี

พยากรณ์อากาศรายภาค วันที่ 9 ธ.ค.67

กทม.-ปริมณฑล : เมฆบางส่วนกับมีลมแรง และอุณหภูมิจะลดลงอีกเล็กน้อย อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.

ภาคเหนือ : อากาศเย็นในตอนเช้า และอุณหภูมิจะลดลงอีกเล็กน้อย โดยมีฝนเล็กน้อยบางแห่งทางตอนบนของภาค อุณหภูมิต่ำสุด 19-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส บริเวณยอดดอยอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 8-15 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 5-15 กม./ชม.

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : อากาศเย็นในตอนเช้า กับมีลมแรง และอุณหภูมิจะลดลงอีกเล็กน้อย อุณหภูมิต่ำสุด 16-21 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-32 องศาเซลเซียส บริเวณยอดภูอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 9-15 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

ภาคกลาง : อากาศเย็นในตอนเช้ากับมีลมแรง และอุณหภูมิจะลดลงอีกเล็กน้อย อุณหภูมิต่ำสุด 21-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-32 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.

ภาคตะวันออก : เมฆบางส่วนกับมีลมแรง และอุณหภูมิจะลดลงอีกเล็กน้อย อุณหภูมิต่ำสุด 21-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 1-2 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) : มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดนครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-32 องศาเซลเซียส ตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชขึ้นมา : ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ตั้งแต่จังหวัดสงขลาลงไป : ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

ภาคใต้(ฝั่งตะวันตก) : มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 30 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดพังงา กระบี่ ตรัง และสตูล อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร, ห่างฝั่งคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

Advertisement

เปิดทดลองวิ่งมอเตอร์เวย์ M81 บางใหญ่-กาญจนบุรี ตลอดสาย 26 ธค.67 – 2 มค.68 เป็นของขวัญปีใหม่

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 29 พฤศจิกายน 2567 กรมทางหลวง เปิดทดลองวิ่งมอเตอร์เวย์ M81 บางใหญ่ – กาญจนบุรี ตลอดสาย ตั้งแต่วันที่ 26 ธันวาคม 2567 – 2 มกราคม 2568

นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม มั่นใจความพร้อมในการเปิดทดลองให้บริการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 81 สายบางใหญ่ – กาญจนบุรี (M81) ตลอดเส้นทางระยะทาง 96 กิโลเมตร ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 ระหว่างวันที่ 26 ธันวาคม 2567 – 2 มกราคม 2568 เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ 2568 แก่พี่น้องประชาชน

นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย กล่าวว่า ด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจของกรมทางหลวง (ทล.) ในการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน เชื่อมโยงเศรษฐกิจ และขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความเจริญรุ่งเรืองอย่างยั่งยืน ภายใต้นโยบาย “คมนาคมเพื่อโอกาสประเทศไทย” ของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ติดตามและเร่งรัดโครงการก่อสร้างมอเตอร์เวย์ M81 สายบางใหญ่ – กาญจนบุรี เพื่อเปิดให้ประชาชนได้ใช้บริการโดยเร็วที่สุด โดย ทล. ได้เปิดทดลองให้บริการมอเตอร์เวย์ M81 ช่วงด่านนครปฐมตะวันตก – ด่านกาญจนบุรี ระยะทาง 51 กิโลเมตร ช่วงสุดสัปดาห์ ตั้งแต่วันศุกร์ เวลา 15.00 น. ถึงวันอาทิตย์ เวลา 21.00 น. มาตั้งแต่วันที่ 26 เมษายน 2567 และล่าสุดได้ขยายเวลาเพิ่มจนถึงวันจันทร์ เวลา 12.00 น. เริ่มตั้งแต่วันที่ 18 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา ขณะนี้โครงการฯ มีความคืบหน้าเป็นอย่างมาก งานโยธาแล้วเสร็จกว่า 99% และงานติดตั้งระบบต่าง ๆ คืบหน้าไปกว่า 66% ดังนั้น เพื่อเป็นการมอบของขวัญปีใหม่ให้แก่คนไทย ทล. จึงได้เร่งรัดดำเนินการก่อสร้างงานโยธาในส่วนที่เหลือ ช่วงบางใหญ่ – นครปฐม อย่างเต็มที่ ซึ่งตามแผนจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ในเดือนมีนาคม 2568 ให้สามารถเปิดทดลองใช้งานได้ก่อนกำหนด โดยมั่นใจว่าจะมีความพร้อมสามารถเปิดทดลองให้บริการมอเตอร์เวย์ M81 จากบางใหญ่ – นครปฐม – กาญจนบุรี ตลอดเส้นทาง ทั้ง 2 ทิศทาง ระยะทาง 96 กิโลเมตร เพื่อระบายการจราจรช่วงวันหยุดเทศกาลปีใหม่ 2568 ระหว่างวันที่ 26 ธันวาคม 2567 – 2 มกราคม 2568 โดยเป็นการเปิดทดลองให้บริการฟรี ไม่เก็บค่าธรรมเนียม ผ่านทาง และเนื่องจากยังเป็นเส้นทางที่อยู่ระหว่างก่อสร้างไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์ จึงจะอนุญาตให้วิ่งได้เฉพาะรถยนต์ส่วนบุคคล 4 ล้อ เท่านั้น และจำกัดความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง สามารถผ่านเข้า – ออกได้ 6 จุด ได้แก่ ด่านบางใหญ่ ด่านนครปฐมตะวันออก ด่านนครปฐมตะวันตก ด่านท่ามะกา ด่านท่าม่วง และด่านกาญจนบุรี

นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย กล่าวเพิ่มเติมว่า มอเตอร์เวย์ M81 สายบางใหญ่ – กาญจนบุรีเปรียบเสมือนเส้นทางแห่งโอกาส เชื่อมโยงพื้นที่เศรษฐกิจ และพี่น้องประชาชนจะได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ของการเดินทางสู่ภาคตะวันตก ช่วยร่นระยะเวลาการเดินทางจากกรุงเทพฯ และปริมณฑลถึงกาญจนบุรี เหลือเพียงประมาณ 1 ชั่วโมง ส่งเสริมการท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจ อีกทั้งช่วยลดอุบัติเหตุด้วยระบบความปลอดภัยมาตรฐานสากล ซึ่ง ทล. มุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่ามอเตอร์เวย์ M81 จะเป็นอีกหนึ่งโครงข่ายคมนาคมที่สำคัญที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความเจริญรุ่งเรืองอย่างยั่งยืนต่อไป

Advertisement

บขส. จัดรถโดยสารกว่า 4,800 เที่ยว วิ่ง – เสริม 1,000 คัน ให้ประชาชนเดินทางช่วงปีใหม่

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 28 พฤศจิกายน 2567 บขส. จัดรถโดยสารกว่า 4,800 เที่ยววิ่ง – เที่ยวเสริม 1,000 คัน อำนวยความสะดวกประชาชนเดินทางช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 วันละ 120,000 คน

นายอรรถวิท รักจำรูญ กรรมการฯ รักษาการแทน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ได้จัดประชุมแผนปฏิบัติการเดินรถวันหยุดเทศกาลปีใหม่ 2568 เพื่อเตรียมความพร้อมอำนวยความสะดวกและความปลอดภัย รองรับการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 ระหว่างวันที่ 25 ธันวาคม 2567 – 3 มกราคม 2568 รวม 10 วัน ตามนโยบายกระทรวงคมนาคมที่ต้องการให้ประชาชนเดินทางได้อย่างราบรื่นและมีความสุข ภายใต้แนวคิด “I – SMART” “พัฒนาโครงข่ายและบริการระบบขนส่ง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต เสริมสร้างระบบเศรษฐกิจ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และตำรวจ เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 4 อาคารสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) หรือหมอชิต 2

สำหรับการเดินทางในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 บขส. คาดการณ์ว่าจะมีผู้โดยสารใช้บริการเพิ่มขึ้นจากเทศกาลปีใหม่ 2567 ประมาณ 5% โดยเที่ยวไประหว่างวันที่ 25 – 28 ธันวาคม 2567 คาดว่าจะมีผู้โดยสารเดินทางเฉลี่ยวันละ 75,000 – 100,000 คน และใช้บริการมากที่สุดวันที่ 27 ธันวาคม 2567 จำนวน 120,000 คน และการใช้รถโดยสาร (รถ บขส. รถร่วม รถตู้) เฉลี่ยวันละ 4,500 – 4,800 เที่ยว ส่วนเที่ยวกลับระหว่างวันที่ 1 – 3 มกราคม 2568 คาดว่ามีผู้โดยสารเดินทางเฉลี่ยวันละ 70,000 – 90,000 คน ใช้รถโดยสารเฉลี่ยวันละ 4,200 – 4,500 เที่ยว รวมทั้งประสาน ขสมก. จัดรถโดยสารเข้าจอดรับ – ส่งบริการประชาชน บริการแท็กซี่ ณ จุดจอดที่กำหนด และ บขส. ได้จัดรถ Shuttle Bus บริการฟรี เชื่อมต่อสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสหมอชิต เวลา 04.00 – 07.00 น. นอกจากนี้ ได้จัดเตรียมรถเสริมรถโดยสารไม่ประจำทาง (รถทะเบียน 30) จำนวน 1,000 คัน เพื่ออำนวยความสะดวกผู้โดยสารในการเดินทางให้เพียงพอต่อความต้องการและไม่มีผู้โดยสารตกค้าง

สำหรับผู้โดยสารที่จองตั๋วโดยสาร บขส. ล่วงหน้า ในเส้นทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก ตั้งแต่เที่ยวเวลา 18.00 น. เป็นต้นไป เดินทางวันที่ 25 – 28 ธันวาคม 2567 ให้ไปขึ้นรถที่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ประตู 2 โดยผู้โดยสารสามารถเดินทางมายังสถานีกลางฯ ได้ทั้งรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน รถไฟชานเมืองสายสีแดง รถเมล์ และรถแท็กซี่ เพื่อขึ้นรถ บขส. ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และลดความแออัดภายในสถานีขนส่งฯ ทั้งนี้ ในการเตรียมความพร้อมอำนวยความสะดวกในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 บขส. ได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ขบ. ในการตรวจความพร้อมรถโดยสารสาธารณะและพนักงานขับรถก่อนเดินทางทุกคันทุกคน ตาม Checklist และจุด Checking Point รฟท. และ ขสมก. จัดการเดินทางเชื่อมต่อรถไฟ รถทัวร์ รถเมล์ กองบังคับการตำรวจจราจร สถานีตำรวจนครบาลบางซื่อ ตลิ่งชัน และทองหล่อ สนับสนุนกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจอำนวยความสะดวกด้านการจราจร บริเวณโดยรอบสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพทั้ง 5 แห่ง ตั้งจุดตรวจวัดแอลกอฮอล์สารเสพติดของพนักงานขับรถก่อนปฏิบัติหน้าที่ และตรวจรถโดยสารบนทางหลวงสายหลัก

นอกจากนี้ ได้กำชับให้ฝ่ายธุรกิจเดินรถ บขส. และผู้ประกอบการรถร่วมฯ ดูแลมาตรการด้านความปลอดภัยของรถโดยสารและพนักงานขับรถอย่างเข้มงวด และเน้นย้ำให้มีการเตรียมความพร้อมก่อนการเดินทาง โดยตรวจเช็กรถโดยสารให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน ควบคุมความเร็วบนรถไม่เกิน 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง จัดพนักงานขับรถ 2 คน ในเส้นทางสายยาวที่ใช้เวลาเดินทางเกิน 4 ชั่วโมง และขอความร่วมมือผู้โดยสารคาดเข็มขัดนิรภัยตลอดการเดินทางด้วย ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยและเป็นระเบียบเรียบร้อย บขส. อนุญาตให้ผู้โดยสารที่มีตั๋วโดยสารเข้าพื้นที่ชานชาลาเท่านั้น รวมทั้งห้ามนำสิ่งของมีคมและสิ่งผิดกฎหมายขึ้นรถโดยสารเด็ดขาด โดย บขส. จะมีเจ้าหน้าที่คอยสอดส่องและมีเครื่องสแกนตรวจเช็กวัตถุต้องห้ามอีกทางหนึ่งด้วย

Advertisement

รัฐบาลแจ้งข่าวดี ปปง.เปิดให้ผู้เสียหายรายคดี ดิไอคอนกรุ๊ป ยื่นคำร้องขอรับคืนหรือชดใช้คืนทรัพย์สิน ถึง 17 ก.พ.นี้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 22 พฤศจิกายน 2567 รัฐบาลแจ้งข่าวดี ปปง.เปิดให้ผู้เสียหายรายคดี บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด กับพวก ยื่นคำร้องขอรับคืนหรือชดใช้คืนซึ่งทรัพย์สิน ให้แก่ผู้เสียหาย ตั้งแต่วันนี้ – 17 กุมภาพันธ์ 2568 ผ่าน 3 ช่องทาง

วันนี้ (22 พ.ย. 2567) นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แจ้งข่าวดี สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เปิดให้ผู้เสียหายรายคดี บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด กับพวก ยื่นคำร้องเพื่อขอรับคืนหรือชดใช้คืนซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดหรือชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายในความผิดมูลฐาน ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 โดยมีขั้นตอนและวิธีการยื่นคำร้องฯ ดังนี้

  1. ผู้มีสิทธิยื่นคำร้องฯ ต้องเป็น “ผู้เสียหาย” จากการกระทำความผิดมูลฐาน โดยมีเอกสารประกอบดังนี้

(1) สำเนาบัตรประชาชนของผู้เสียหาย

(2) หนังสือมอบอำนาจพร้อมติดอากรแสตมป์ 30 บาท(กรณียื่นแทนผู้อื่น) หมายเหตุ : 1 ฉบับ ต่อผู้เสียหาย 1 ราย

(3) สำเนาใบแจ้งความ (รายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี) หรือหลักฐานการร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน

(4) สำเนาหลักฐานหรือข้อมูลการเป็นสมาชิกในเครือข่ายสมาชิกบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด

(5) สำเนาหลักฐานการสั่งซื้อสินค้าและ/หรือหลักฐานการขายสินค้า พร้อมหลักฐานสินค้าคงเหลือ หรือหลักฐานการชำระเงินเข้าร่วมกิจกรรมหรือการชำระเงินค่าโฆษณาสินค้าผ่านช่องออนไลน์ (ยิง Ad) (ถ้ามี)

(6) สำเนารายการเดินบัญชีเงินฝากธนาคารที่เกี่ยวข้อง พร้อมสลิปการโอนเงินและ/หรือรับโอนเงิน ที่แสดงถึงมูลค่าความเสียหาย และการได้รับชดใช้คืน (พร้อมระบุรายการโอนหรือรับโอนเงินที่เกี่ยวกับคดีบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด)

(7) สำเนาคำให้การที่ให้ถ้อยคำต่อหน่วยงานที่มีอำนาจสอบสวน (ถ้ามี)

(8) สำเนาคำฟ้องต่อศาลทั้งในคดีแพ่งหรือคดีอาญา หรือสำเนาคำสั่งหรือคำพิพากษาของศาล (ถ้ามี) หรือสำเนาหลักฐานการเรียกร้องค่าเสียหายหรือเยียวยาความเสียหายตามกฎหมายอื่น

(9) สำเนาหรือเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการยื่นคำร้อง (ถ้ามี) เช่น หลักฐานการพูดคุยชักชวนผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันไลน์ ฯลฯ เป็นต้น

2.วิธีการยื่นคำร้องฯ

(1) ยื่นผ่านระบบคุ้มครองสิทธิผู้เสียหาย (ระบบอิเล็กทรอนิกส์) คดีรายบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด กับพวก ซึ่งปรากฏบนหน้าเว็บไซต์สำนักงาน ปปง. www.amlo.go.th

(2) ยื่นด้วยตนเอง ที่สำนักงาน ปปง. หรือสถานที่อื่นที่พนักงานเจ้าหน้าที่กำหนด

(3) ยื่นทางไปรษณีย์ลงทะเบียน (จ่าหน้าซองมาที่ สำนักงาน ปปง. เลขที่ 422 ถนนพญาไท แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330) โดยวงเล็บมุมซองว่า (“ส่งแบบคำร้องขอคุ้มครองสิทธิผู้เสียหายคดีรายบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด กับพวก”)

3.ระยะเวลาการยื่นแบบคำร้องฯ ตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายน 2567 ถึงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 ทั้งนี้ เฉพาะการยื่นด้วยตนเอง ตั้งแต่เวลา 08.30 – 16.30 น. (ยกเว้นวันหยุดราชการและวันหยุดนักขัตฤกษ์) ในกรณีที่ปรากฏในภายหลังพบว่า เอกสารหลักฐานไม่ครบถ้วน และพนักงานเจ้าหน้าที่แจ้งให้ส่งเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมแล้ว ผู้เสียหายจะต้องดำเนินการนำส่งเอกสารหลักฐานเพิ่มเติม ภายในระยะเวลาและช่องทางที่กำหนด

“ขอย้ำเตือนผู้เสียหายโปรดระวังมิจฉาชีพปลอมเป็นเจ้าหน้าที่สำนักงาน ปปง. อ้างว่าจะช่วยเหลือผู้เสียหายในการขอรับเงินคืนหรือหลอกให้กดลิงก์ลงทะเบียนทางช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ สำนักงาน ปปง. ไม่มีระบบการรับลงทะเบียน/รับคำร้อง เพื่อช่วยเหลือผู้เสียหายทางสื่อสังคมออนไลน์ทุกประเภท รวมทั้งไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมใด ๆ ในการยื่นคำร้อง โดยสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน ปปง. 1710 (ในวันและเวลาราชการ)” นายอนุกูล ย้ำ

Advertisement

กรมการจัดหางานยันไม่มีล็อกสเปกบริษัทประกันภัยรับประกันสุขภาพแรงงานต่างชาติ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 20 พฤศจิกายน 2567 กรมการจัดหางาน แจง ไม่ “ล็อกสเปก” บ.ทำประกันสุขภาพแรงงาน 4 สัญชาติ ยืนยันมีหลักเกณฑ์การกำหนดมาตรฐานบริษัทประกันภัยที่มั่นคง กำหนดระยะเวลาเหมาะสม

นายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีสื่อมวลชน นำเสนอข่าวถึงข้อกังวลเกี่ยวกับการ “ล็อกสเปก” ในการทำประกันสุขภาพสำหรับคนต่างชาติที่จะขอใบอนุญาตทำงานในประเทศไทยว่าอาจทำให้มีเพียง 2 – 3 บริษัทที่ได้รับประโยชน์ อีกทั้ง ยังกำหนดระยะเวลาให้ยื่นความจำนงเพื่อดำเนินการประกันสุขภาพคนต่างชาติเพียงวันเดียวเท่านั้น เกี่ยวกับเรื่องนี้ กรมการจัดหางาน ขอชี้แจงว่า การดำเนินการประกันสุขภาพแรงงานต่างชาติ ดังกล่าว กรมการจัดหางานดำเนินการตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2567 ที่กำหนดให้คนต่างชาติ สัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม ซื้อประกันสุขภาพกับโรงพยาบาลของรัฐหรือบริษัทประกันภัยตามกฎหมายว่าด้วยการประกันวินาศภัยที่มีสถานะมั่นคงตามหลักเกณฑ์ที่กรมการจัดหางานกำหนด ดังนั้น กรมการจัดหางานจึงได้ตั้งคณะทำงานเพื่อกำหนดมาตรฐานด้านความมั่นคงของบริษัทประกัน ซึ่งบริษัทประกันภัยทุกบริษัทที่ได้มาตรฐานตามกำหนด สามารถขอเข้าเชื่อมโยงระบบกับกรมการจัดหางานได้ ทั้งนี้ได้กำหนดระยะเวลาในการยื่น ตั้งแต่วันที่ 11 – 19 พฤศจิกายน 2567 จึงขอยืนยันไม่มีการล็อกสเปกบริษัทประกันภัยที่รับประกันสุขภาพให้กับแรงงานต่างชาติ เนื่องจากไม่ใช่การดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง กรมการจัดหางานเป็นเพียงผู้กำหนดหลักเกณฑ์ของบริษัทประกันตามกฎหมายว่าด้วยการประกันวินาศภัยฯ เท่านั้น นอกจากนี้กรมฯ จะประชาสัมพันธ์รายชื่อบริษัทประกันภัยทุกรายที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ให้บริษัทผู้ยื่นความจำนงทราบเพื่อความโปร่งใส

นายสมชาย กล่าวต่อว่า ทั้งนี้กรมการจัดหางานได้มีหนังสือแจ้งหลักเกณฑ์ฯ ให้บริษัทประกันภัยทราบโดยทั่วกันแล้ว สำหรับบริษัทที่มีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ กรมการจัดหางานจะทำการเชื่อมโยงข้อมูลการประกันสุขภาพ และประชาสัมพันธ์รายชื่อบริษัทให้นายจ้างและแรงงานต่างชาติที่ประสงค์จะซื้อประกันสุขภาพทราบต่อไป

Advertisement

กระทรวงวัฒนธรรมพร้อมอัญเชิญ พระเขี้ยวแก้ว จากจีนประดิษฐานในไทย 4 ธ.ค.67

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 18 พฤศจิกายน 2567 รมว. “สุดาวรรณ” เผย วธ.ร่วมสำนักนายกรัฐมนตรีเตรียมพร้อมอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) จากจีนมาประดิษฐานในไทย วันที่ 4 ธ.ค.67-14 ก.พ.68 เดินหน้าสร้างอาคารมณฑป ริ้วขบวนอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ 24 ขบวน ผู้เข้าร่วมกว่า 2,700 คน จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ กิจกรรมทางพุทธศาสนาในโอกาสวันสำคัญของไทย – จีน เชิญชวนพุทธศาสนิกชนเข้ากราบสักการะ ณ ท้องสนามหลวง

นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลไทยและรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนได้เห็นชอบร่วมกันให้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) จากวัดหลิงกวง กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน มาประดิษฐานที่กรุงเทพมหานครเป็นการชั่วคราว เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 และในโอกาสการครบรอบ 50 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย – จีน ในปีพ.ศ.2568 โดยเปิดให้ประชาชนสักการะระหว่างวันที่ 4 ธันวาคม 2567 – 14 กุมภาพันธ์ 2568 รวมเป็นเวลา 73 วัน ณ ท้องสนามหลวง และจะอัญเชิญกลับสาธารณรัฐประชาชนจีนในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568 นั้น ในส่วนของกระทรวงวัฒนธรรม(วธ.)ได้รับมอบหมายจากสำนักนายกรัฐมนตรีให้ดำเนินการเกี่ยวกับการก่อสร้างอาคารมณฑป การอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว)และจัดกิจกรรมต่างๆ ได้แก่ การออกแบบและจัดสร้างอาคารมณฑปสำหรับใช้เป็นสถานที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) โดยมีรูปแบบสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างศิลปะไทย – จีน ขณะนี้วธ.อยู่ระหว่างดำเนินการในเรื่องนี้

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ วธ.ร่วมกับหน่วยงานต่างๆจัดขบวนรถอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) ในวันที่ 4 ธันวาคม 2567 จากท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 มายังลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ หลังจากนั้นจัดริ้วขบวนอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) เพื่อเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 จากลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ไปยังท้องสนามหลวง จำนวน 24 ขบวน ผู้เข้าร่วมเดินริ้วขบวนจากหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ สำนักพระราชวัง กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร โรงเรียนจิตอาสา 904 สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย สมาคมอุปรากรจีนแห่งประเทศไทย ผู้แทน 5 ศาสนาทั้งพุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์-ฮินดูและซิกข์ พุทธศาสนิกชนและกลุ่มชาติพันธุ์ จำนวนทั้งหมดกว่า 2,700 คน ได้แก่ 1. ขบวนป้ายนำขบวน 2.ขบวนโคมไทย – จีน 3.ขบวนบายศรีภาคเหนือ 4. ขบวนบายศรีภาคใต้ 5. ขบวนแตรวง 6.ขบวนบายศรีภาคกลาง 7.ขบวนบายศรีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 8.ขบวนการแสดงอุปรากรจีน 9.ขบวนการแสดงกลุ่มชาติพันธุ์ 10. ขบวนการแสดงคณะผู้แทนสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย 11. ขบวนวงดุริยางค์ กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 12. ขบวนธงชาติไทย 13. ขบวนธงชาติสาธารณรัฐประชาชนจีน 14. ขบวนธงธรรมจักร 15. ขบวนธงฉัพพรรณรังสี 16.ขบวนโคมบัว 17. ริ้วขบวนอิสริยยศอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) 18.ขบวนรถพระพุทธรูป 19. ขบวนรถอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) 20. ขบวนรถเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 21. ขบวนคณะผู้บริหารและข้าราชการ กระทรวงวัฒนธรรม 22. ขบวนศาสนิกสัมพันธ์ 5 ศาสนา 23. ขบวนพุทธศาสนิกชนและ 24. ขบวน“จิตอาสา”

นางสาวสุดาวรรณ กล่าวด้วยว่า ขณะเดียวกันวธ.จะจัดกิจกรรมเนื่องในโอกาสสำคัญในห้วงระยะเวลาการประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) ณ ท้องสนามหลวง ได้แก่ พิธีเจริญพระพุทธมนต์รับพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) มาถึงประเทศไทย วันที่ 4 ธันวาคม 2567 ณ ห้องรับรอง ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 กิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี วันที่ 31 ธันวาคม 2567 ณ ท้องสนามหลวง กิจกรรมทำบุญตักบาตรวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2568 วันที่ 1 มกราคม 2568 ณ ท้องสนามหลวงกิจกรรมเนื่องในวันตรุษจีน วันที่ 29 มกราคม 2568 ณ ท้องสนามหลวง กิจกรรมเนื่องในวันมาฆบูชา วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2568 ณ ท้องสนามหลวง และพิธีเจริญพระพุทธมนต์ส่งพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) กลับสาธารณรัฐประชาชนจีน ณ ท้องสนามหลวง และห้องรับรอง ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6

วธ.ได้ร่วมกับสำนักนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานต่างๆดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อเตรียมความพร้อมในการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) มาประดิษฐานในไทย โอกาสในครั้งนี้จะช่วยสานต่อมิตรภาพอันยาวนานระหว่างไทยกับจีนให้มีความแน่นแฟ้นมากขึ้นผ่านความสัมพันธ์ทางพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมที่ผ่านมารัฐบาลทั้งสองประเทศให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างและต่อยอดความสัมพันธ์ทางพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมระหว่างกันมาโดยตลอดไม่ว่าจะเป็นนาฏศิลป์ ภาพยนตร์ จิตรกรรม ประติมากรรม มรดกภูมิปัญญาและพระพุทธศาสนา ขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนทั้งชาวไทยและชาวจีนในประเทศไทยเข้ากราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต

Advertisement

ด่วน ศปช.เตือน เตรียมรับมือฝนตกหนัก 9 จังหวัดภาคใต้ 20-26 พ.ย.นี้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 18 พฤศจิกายน 2567 ทำเนียบ – ผอ.ศปช. ย้ำทุกหน่วยเตรียมรับมือผลกระทบจากฝนตกหนักใน 9 จังหวัดภาคใต้ 20-26 พ.ย.นี้ ส่วนเงินเยียวยาน้ำท่วมถึงมือประชาชนแล้วกว่า 257,000 ครัวเรือน เป็นเงิน 2,321 ล้านบาท

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม หรือ ศปช. ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์น้ำและแจ้งเตือนประชาชนเตรียมรับมือล่วงหน้า หลังจากกรมอุตุนิยมวิทยา รายงานวันที่ 20-24 พ.ย.67 ภาคใต้มีฝนตกหนักถึงหนักมาก ที่จ.นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ต้องเฝ้าระวังฝนสะสม และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้ออกประกาศ ฉบับที่ 19/2567 แจ้งเตือนอาจเกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และเสี่ยงน้ำท่วมขังในเขตชุมชนเมืองที่เกิดน้ำท่วมขังในภาคใต้ วันที่ 20 – 26 พ.ย.นี้ ที่พื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ตรัง สตูล พัทลุง สงขลา ปัตตานี ทุกอำเภอของจ.ยะลา และนราธิวาส พร้อมเฝ้าระวังระดับน้ำเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน-ล้นตลิ่ง และท่วมขังในพื้นที่ลุ่มต่ำบริเวณแม่น้ำสายหลักและลำสาขา ส่วนพายุ “หม่านหยี่” (MAN-YI) กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ ศูนย์กลางอยู่ทะเลจีนใต้ตอนบน และจะอ่อนกำลังลง วันที่ 20-22 พ.ย.นี้ ย้ำไม่มีผลกระทบต่อประเทศไทย

“สัปดาห์นี้ ภาคเหนือฝนน้อยลง อุณหภูมิลดลงจากมวลอากาศเย็นระลอกใหม่ปกคลุม แต่ภาคใต้ตั้งแต่วันที่ 20 พ.ย. 67 ต้องรับมือฝนตกหนัก ผอ.ศปช. กำชับทุกหน่วย วางแผนการบริหารจัดการน้ำในแหล่งเก็บกักน้ำ ไม่ให้เกิดผลกระทบท้ายน้ำ เร่งระบาย-พร่องน้ำรองรับฝนที่คาดว่าจะตกหนัก โดยที่เขื่อนบางลาง จ.ยะลา ถือว่าบริหารจัดการได้ดี ทั้งนี้ หน่วยงานต่างๆ ได้เตรียมบุคลากร เครื่องจักร เครื่องมือ กำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ ลอกท่อระบายน้ำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ ที่สำคัญต้องประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนประชาชนให้ทราบล่วงหน้า แนะติดตามข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิด” น.ส.ศศิกานต์ กล่าว

สำหรับการจ่ายเงินเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย ตามมติ ครม. วันที่ 17 กันยายน 2567 และ 8 ตุลาคม 2567 ยังดำเนินการต่อเนื่อง จนถึงขณะนี้ ปภ. ได้ส่งข้อมูลให้ธนาคารออมสินโอนเงินผ่าน PromptPay ให้ผู้ประสบอุทกภัยครัวเรือนละ 9,000 บาท แล้ว 26 ครั้ง เงินถึงมือผู้ประสบภัยแล้ว 257,914 ครัวเรือน เป็นเงินรวม 2,321,174,000 บาท

Advertisement

เช้านี้ กทม. ค่าฝุ่น PM 2.5 เกินมาตรฐาน 54 พื้นที่

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 13 พฤศจิกายน 2567 กรุงเทพฯ เช้านี้ พบว่าค่าฝุ่น PM 2.5 เกินมาตรฐานอยู่ในระดับสีส้ม เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ จำนวน 54 พื้นที่ แนะสวมกากป้องกัน PM2.5 ทุกครั้งที่ออกนอกอาคาร

ศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานคร รายงานสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ของสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศของกรุงเทพมหานคร

13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 เวลา 07.00 น. ค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง ของฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) : ตรวจวัดได้ 31-52.2 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) พบว่าเกินมาตรฐานอยู่ในระดับสีส้ม 🟠 เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ (มาตรฐานไม่เกิน 37.5 มคก./ลบ.ม.) จำนวน 54 พื้นที่

1.เขตหนองแขม สามแยกข้างป้อมตำรวจ ถนนมาเจริญ เพชรเกษม 81 : มีค่าเท่ากับ 52.2 มคก./ลบ.ม.

2.เขตบางนา บริเวณหน้าห้าง สรรพสินค้าบิ๊กซี บางนา : มีค่าเท่ากับ 52.0 มคก./ลบ.ม.

3.เขตวังทองหลาง ด้านหน้าปั๊มน้ำมัน เอสโซ่ ซ.ลาดพร้าว 95 : มีค่าเท่ากับ 48.5 มคก./ลบ.ม.

4.เขตคลองสามวา ภายในสำนักงานเขตคลองสามวา : มีค่าเท่ากับ 48.2 มคก./ลบ.ม.

5.เขตประเวศ ด้านหน้าห้างสรรพสินค้าซีคอน สแควร์ : มีค่าเท่ากับ 47.4 มคก./ลบ.ม.

6.เขตธนบุรี ริมป้ายรถเมล์บริเวณแยกมไหศวรรย์ : มีค่าเท่ากับ 47.4 มคก./ลบ.ม.

7.เขตราษฎร์บูรณะ ภายในสำนักงานเขตราษฎร์บูรณะ : มีค่าเท่ากับ 47.2 มคก./ลบ.ม.

8.เขตสาทร สี่แยกหน้าสำนักงานเขตสาทร ซอย ถนนเซนต์หลุยส์ : มีค่าเท่ากับ 47.0 มคก./ลบ.ม.

9.เขตบางกอกใหญ่ บริเวณสี่แยกท่าพระ แขวงวัดท่าพระ : มีค่าเท่ากับ 46.5 มคก./ลบ.ม.

10.เขตบางขุนเทียน ภายในสำนักงานเขตบางขุนเทียน : มีค่าเท่ากับ 46.3 มคก./ลบ.ม.

ข้อแนะนำสุขภาพ

คุณภาพอากาศระดับสีส้ม: เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ

ประชาชนทั่วไป : ใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเอง เช่น หน้ากากป้องกัน PM2.5 ทุกครั้งที่ออกนอกอาคาร

จำกัดระยะเวลาในการทำกิจกรรมหรือการออกกำลังกายกลางแจ้งที่ใช้แรงมาก

ควรสังเกตอาการผิดปกติ เช่น ไอ หายใจลำบาก ระคายเคืองตา

ประชาชนกลุ่มเสี่ยง : ใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเอง เช่น หน้ากากป้องกัน PM2.5 ทุกครั้งที่ออกนอกอาคาร

เลี่ยงการทำกิจกรรมหรือการออกกำลังกายกลางแจ้งที่ใช้แรงมาก ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ หากมีอาการผิดปกติให้รีบไปพบแพทย์

ดัชนีคุณภาพอากาศของสถานีตรวจวัดของกรุงเทพมหานคร : ส่วนใหญ่อยู่ในระดับคุณภาพอากาศเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ🟠

ปัจจัยที่เกี่ยวข้อง (คาดการณ์แนวโน้มสภาพอากาศที่ส่งผลกระทบต่อฝุ่นPM2.5 โดยสภาพทางอุตุนิยมวิทยา) ในช่วงวันที่ 13 – 20 พ.ย. 67 การระบายอากาศอยู่ในเกณฑ์ “ไม่ดี-อ่อน” ขณะที่ชั้นบรรยากาศใกล้ผิวเริ่มมีลักษณะปิด ส่งผลให้ความเข้มข้นของฝุ่นละอองมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และคาดการณ์วันนี้ เมฆบางส่วนกับมีหมอกบางในตอนเช้า อุณหภูมิจะสูงขึ้นเล็กน้อย

จากการตรวจสอบข้อมูลจุดความร้อน (hotspot) ผ่านดาวเทียม จากหน่วยงาน NASA ไม่พบจุดความร้อนที่ดาวเทียมตรวจพบค่าความร้อนสูงผิดปกติจากค่าความร้อนบนผิวโลกบริเวณพื้นที่กรุงเทพมหานคร

สำนักสิ่งแวดล้อมได้ประสานแจ้งทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เพิ่มความเข้มงวดการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง เพื่อเป็นการบรรเทาความรุนแรงของสถานการณ์ฝุ่นละออง PM2.5 และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับสุขภาพอนามัยของประชาชน และขอเชิญชวนส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนและทุกภาคส่วน โดยช่วยกันปรับเปลี่ยน พฤติกรรมและลดกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดฝุ่นละออง เพื่อลดผลกระทบต่อสุขภาพ “5 วิธีลดฝุ่น คุณก็ทําได้” 1.หมั่นทําความสะอาดบ้านด้วยวิธีเช็ดฝุ่น 2.งดเผาขยะ งดจุดธูป 3.ปลูกต้นไม้ช่วยดูดซับมลพิษดักจับฝุ่นละออง 4.เดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ และ 5.ดับเครื่องยนต์ขณะจอดรถ ตรวจสภาพเครื่องยนต์ไม่ให้มีค่าควันดํา เกินมาตรฐาน

Advertisement

Verified by ExactMetrics