วันที่ 1 พฤษภาคม 2025

รัฐบาลเอาจริงสั่งจับหนัก ยาเสพติดรูปแบบใหม่ มาพร้อมบุหรี่ไฟฟ้า “พอตเค” ใช้ยาเคผสม คนสูบถึงตาย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 19 มกราคม 2568 รัฐบาลเอาจริงสั่งจับหนักหลังยาเสพติดรูปแบบใหม่ มาพร้อมบุหรี่ไฟฟ้า “พอตเค” ใช้ยาเคผสมในน้ำยา เผยคนสูบมีสิทธิ์ตาย คนขายติดคุกแน่นอน

วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม 2568 เวลา 10.30 น. นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า  รัฐบาลได้สั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานทางปกครอง และกระทรวงสาธารณสุข ให้ความสำคัญต่อการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด เพื่อให้ประเทศมีความมั่นคงปลอดภัยจากยาเสพติด โดยได้รับรายงานว่า ปัจจุบันมียาเสพติดแฝงเข้ามาในรูปแบบ “หัวน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าผสมยาเค” หรือ ที่เรียกกันว่า “พอตเค” ซึ่งขณะนี้กำลังเป็นที่ระบาดหนักในกลุ่มนักเที่ยวกลางคืน

ทั้งนี้ “เคตามีน” เป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ผู้เสพมีโทษ ทั้งจำคุกและปรับ ส่วนโทษของผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาตมีโทษจำคุกสูงถึง 7 ปี และโทษปรับไม่เกิน 7 แสน กรณีเป็นการกระทำเพื่อการค้าหรือการก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน มีโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 15 ปี และโทษปรับอาจสูงถึง 1.5 ล้านบาท โดยยาเคตามีน (ketamine) หรือ “ยาเค” เป็นยาควบคุม เป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ในประเภท 2 โดยเคตามีนจะถูกใช้ในทางการแพทย์ แต่ในปัจจุบันมีการลักลอบนำยาเคตามีนไปใช้ในทางที่ผิดเพื่อหวังฤทธิ์ในการหลอนประสาท โดยผ่านวิธีการสูดดม หรือสูบควัน ทั้งนี้ หากใช้เคตามีนติดต่อกันเป็นเวลานานจะทำให้เกิดการติดยาทั้งทางร่างกาย และจิตใจ ซึ่งทำให้เกิดโรคจิตได้ (psychosis) นอกจากนี้ การใช้เคตามีนที่มีปริมาณที่สูง ทำให้ร่างกายเกิดการอาเจียน ชัก สมองและกล้ามเนื้อขาดออกซิเจนได้ ซึ่งในบางรายถึงขั้นก่อให้เกิดการเสียชีวิต

นโยบายปราบปรามยาเสพติด เป็นนโยบายหลักของรัฐบาล การนำเคตามีนไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมาย รัฐบาลพร้อมทุกภาคส่วนได้เดินหน้าปราบยาเสพติดทุกประเภท และร่วมกันป้องกัน แก้ไข หยุดยั้งการลักลอบผลิต นำเข้า หรือจำหน่าย และการปราบปรามการแพร่ระบาดของ “หัวน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าผสมยาเค” หรือ “พอตเค”

ทั้งนี้ หากพบเห็นการลักลอบนำยาดังกล่าวไปใช้ในทางที่ผิด สามารถแจ้งความได้ที่สถานีตำรวจทั่วประเทศหรือสายด่วน อย. 1556 กด 3 หรือโทร 0 2590 7343 หรือผ่าน Facebook : FDA Thai”

Advertisement

 

รัฐบาลโดย ก.เกษตรฯ เตรียมรับซื้อปลาหมอคางดำ 600,000 กก. เริ่มเดือน ก.พ. นำแปรรูปเป็นน้ำหมักชีวภาพใช้กับสวนยาง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 19 มกราคม 2568 รัฐบาลเดินหน้าแก้ไขปัญหาปลาหมอคางดำระบาด ตั้งเป้ารับซื้อ 600,000 กก. เริ่มต้นเดือน ก.พ. นำแปรรูปเป็นน้ำหมักชีวภาพใช้ในการเกษตร

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งแก้ไขปัญหาปลาหมอคางดำที่ยังคงมีการแพร่ระบาด ผ่านมาตรการเชิงรุก ตามข้อสั่งการของ ศ.ดร. นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งได้มอบหมายให้การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ร่วมกับกรมประมงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมหารือกำหนดแนวทางการรับซื้อ รวมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์ และหลักปฏิบัติของการเข้าร่วมโครงการรับซื้อปลาหมอคางดำ พร้อมกำชับให้ทุกหน่วยงานภายใต้กำกับเร่งประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจแก่ประชาชน ทั้งนี้  ได้กำหนดให้มีการประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดปลาหมอคางดำครั้งที่ 1/2568 ในวันที่ 22 มกราคม 2568 นี้

นายอนุกูล กล่าวว่า  การยางแห่งประเทศไทยจะดำเนินการมาตรการเชิงรุก รับซื้อปลาหมอคางดำภายใต้โครงการผลิตน้ำหมักชีวภาพเพื่อเกษตรกรชาวสวนยาง ต่อเนื่องเป็นเฟส 2 โดยใช้งบประมาณเงินทุนหมุนเวียนจากทุน กยท. มาตรา 13 แผนปฏิบัติการดำเนินงานด้านธุรกิจ เป็นเงินจำนวน 12 ล้านบาท ซึ่งจะสามารถรับซื้อปลาหมอคางดำได้ 600,000 กิโลกรัม โดย กยท. จะรับซื้อปลาหมอคางดำในราคา 15 บาท/กิโลกรัม (จ่ายให้กับชาวประมงหรือผู้จับปลามาขาย)  ส่วนค่าขนส่งและค่าบริหารจัดการรวบรวมจ่าย 5 บาท/กิโลกรัม  (จ่ายให้กับผู้รวบรวมหรือแพปลาที่ขึ้นทะเบียนกับกรมประมงและสหกรณ์ประมงที่เข้าร่วมโครงการฯ โดยจะต้องนำส่งปลาให้ถึงโรงงานที่ กยท. ว่าจ้างในพื้นที่ จ.กาญจนบุรี) ทั้งนี้ กยท. เร่งดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อให้สามารถรับซื้อปลาหมอคางดำได้เร็วที่สุด ซึ่งคาดว่าเริ่มรับซื้อได้ต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้

นายอนุกูล กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา การยางแห่งประเทศไทย กระทรวงเกษตรฯ ได้ดำเนินการรับซื้อปลาหมอคางดำ เพื่อนำมาผลิตเป็นน้ำหมักชีวภาพในเฟสแรก (1-24 สิงหาคม 2567) สามารถช่วยลดปริมาณปลาหมอคางดำจากระบบนิเวศน์ถึง 581.44 ตัน (581,436.50 กก.) และสามารถผลิตน้ำหมักชีวภาพปลาหมอคางดำ ทั้งหมด 930,298.40 ลิตร โดย กยท. จัดสรรน้ำหมักชีวภาพปลาหมอคางดำให้กลุ่มเกษตรกรชาวสวนยางที่อยู่ในโครงการสนับสนุนแปลงใหญ่ยางพาราทั่วประเทศ ทั้งสิ้น 353 แปลง ให้เกษตรกร และสมาชิก จำนวน 14,552 ราย ซึ่งพบว่าชาวสวนยางที่นำน้ำหมักชีวภาพไปฉีดพ่น สามารถช่วยให้การเจริญเติบโตของต้นยางดี สามารถกรีดยางได้ง่ายขึ้น เนื่องจากผิวหน้ายางนิ่ม และมีปริมาณน้ำยางไหลเพิ่มขึ้น ช่วยเกษตรกรได้รับผลผลิตยางเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ มีเกษตรกรนำไปใช้ในสวนทุเรียน ทำให้ต้นทุเรียนที่เสียหายจากน้ำท่วมฟื้นคืนกลับมาแข็งอย่างรวดเร็ว

“รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจต่อปัญหาการแพร่ระบาดปลาหมอคางดำ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่พบการแพร่ระบาดได้ดำเนินการผ่านมาตรการต่างๆ เกิดผลเป็นรูปธรรม สามารถช่วยบรรเทาให้วิกฤตการระบาดของปลาหมอคางดำในประเทศไทยดีขึ้นและจะขับเคลื่อนการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน” นายอนุกูล ย้ำ

Advertisement

รัฐบาลจัด “ห้องเรียนปลอดฝุ่น” ลดผลกระทบ PM 2.5 ให้ รร.เปิด – ปิด ตามเห็นสมควร

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 18 มกราคม 2568 รัฐบาลจัด “ห้องเรียนปลอดฝุ่น” ลดผลกระทบ PM 2.5 ให้น้องๆนักเรียน มอบโรงเรียนขับเคลื่อนแผนการเรียนการสอน เปิด – ปิด ตามเห็นสมควร ย้ำความปลอดภัยเด็กนักเรียนเป็นสำคัญ

วันนี้ (18 มกราคม 2568) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลห่วงใยความปลอดภัยของเด็กและเยาวชน นักเรียน  ครู และบุคลากรทางการศึกษา เนื่องด้วยในช่วงนี้ประเทศไทยพบกับการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิและสภาพอากาศที่หนาวเย็นที่สุดในรอบหลายปี ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้เรียน ครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยเฉพาะสิ่งที่ตามมาในช่วงหน้าหนาวของทุกปีคือการเผชิญกับปัญหาฝุ่น PM2.5 ซึ่งมีสาเหตุเกิดจาก “การล้อมเกาะของอากาศ” ทำให้ฝุ่นและมลพิษที่สะสมอยู่ในอากาศไม่สามารถกระจายออกไปได้และอยู่ในพื้นที่จุดนั้นเป็นเวลานานปริมาณฝุ่นในอากาศจึงสูงขึ้น ซึ่งการเผชิญปัญหาฝุ่น PM2.5 นั้นได้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยเฉพาะกลุ่มผู้เรียนที่เปราะบางต่อการเจ็บป่วยและโรคทางเดินหายใจ  ทำให้เด็กมีอาการแสบแน่นจมูก แสบตา ตาแดง มีไข้ ตัวร้อน หากทิ้งอาการเหล่านี้ไว้นานเด็กจะนอนกรน หลับไม่ลึก สมองขาดออกซิเจนทำให้ง่วง ความจำไม่ดี ส่งผลต่อการเรียน สมาธิสั้น มีพัฒนาการช้าหรือร้ายแรงสุดคือเสียหายถาวร

นายคารม กล่าวว่า เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยในการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5  รัฐบาลได้เน้นย้ำให้มีการหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งที่เด็กต้องเผชิญกับฝุ่นและควันพิษโดยตรง เช่น การเข้าแถวหน้าเสาธงตอนเช้า การออกกำลังกายในที่โล่งแจ้ง กิจกรรมวิชาลูกเสือ โดยควรให้เด็กอยู่ภายในอาคารให้มากที่สุด หรือหากมีความจำเป็นควรสวมหน้ากาก และซึ่งหากค่าฝุ่นสูงจนถึงขั้นวิกฤติให้สถานศึกษาพิจารณา เปิด – ปิดการเรียนการสอนตามที่เห็นสมควร ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ฝุ่นในพื้นที่เพราะมีความเข้มข้นของปริมาณค่าฝุ่นไม่เท่ากัน โดยหากพื้นที่ใดอยู่ในระดับที่เป็นอันตรายอาจต้องมีการปรับเปลี่ยนการเรียนการสอน จากการเรียนในรูปแบบ On –site ตามปกติที่โรงเรียน ให้เปลี่ยนเป็นการนำส่งเอกสารแบบ On–hand ที่บ้านนักเรียน ผ่านการเรียนการสอนในรูปแบบการเรียน Online หรือเรียนแบบผสมผสานหลายรูปแบบแล้วแต่การวางมาตรการของสถานศึกษา เพื่อหลีกเลี่ยงการให้เด็กต้องอยู่กลางแจ้งในสภาพอากาศที่มีมลพิษสูง

นายคารม กล่าวต่อไปว่า และเพื่อให้มาตรการดังกล่าวมีความครอบคลุมและเหมาะสมตามพื้นที่ ขอให้โรงเรียนได้มีการเตรียมมาตรการ “ห้องเรียนปลอดฝุ่น” โดยให้ดำเนินการวางแผนทั้งในด้านระบบการกรองอากาศที่ได้มาตรฐาน มีห้องที่ปิดมิดชิด พร้อมด้วยการเสริมความปลอดภัยให้ห้องเรียนด้วยการใช้พัดลมดูดอากาศ ฉีดละอองน้ำจับฝุ่น เปิดช่องระบายให้อากาศถ่ายเทเล็ก ๆ เพื่อให้ฝุ่นเข้าได้น้อยที่สุด และรวมถึงมีการสื่อสารสร้างการรับรู้ให้ผู้เรียนตระหนักถึงปัญหาฝุ่นพิษ พร้อมวางแนวทางการป้องกันและติดตามผลกระทบด้านสุขภาพ เพื่อให้เด็กสามารถใช้ชีวิตในช่วงวิกฤตและเรียนรู้ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“ปัจจุบันสถานการณ์ปัญหาฝุ่น PM2.5 ได้สร้างผลกระทบอย่างเป็นวงกว้างต่อสุขภาพของผู้เรียน ครูและบุคลากรทางการศึกษา รัฐบาลวางมาตรการป้องกันดูแล โดยการมอบอำนาจให้โรงเรียนทั่วประเทศได้สามารถตัดสินใจได้อย่างอิสระ ในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการเรียนการสอน ให้มีความเหมาะสมตามแต่ละพื้นที่ ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะเป็นส่วนช่วยสำคัญที่จะทำให้โรงเรียนได้สามารถดูแลนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นายคารม กล่าว

Advertisement

กรมอุตุฯ ระบุช่วงหนาวเย็นที่สุดผ่านพ้นไปแล้ว แต่จะเย็นต่อเนื่องถึง 20 ม.ค. เผยฤดูร้อนปีนี้ไม่ร้อนเท่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากลานีญา

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 15 มกราคม 2568 อากาศหนาวต่อเนื่องถึง 20 ม.ค. ฤดูร้อนนี้ร้อนน้อยกว่าปีที่แล้ว กรมอุตุนิยมวิทยา ระบุช่วงอากาศหนาวเย็นที่สุดของประเทศไทยผ่านพ้นไปแล้ว แต่จะยังคงเย็นต่อเนื่องถึงวันที่ 20 ม.ค. จากนั้นจะค่อยๆ อุ่นขึ้น แล้วเข้าสู่ฤดูร้อนกลางเดือน ก.พ. โดยฤดูร้อนปีนี้จะไม่ร้อนเท่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากอยู่ในสภาวะลานีญากำลังอ่อน ทำให้มีความชื้น และจะมีฝนตกลงมาคลายความร้อนเป็นระยะ ๆ

นายสมควร ต้นจาน ผู้อำนวยการกองพยากรณ์อากาศ กรมอุตุนิยมวิทยา กล่าวว่า มวลอากาศเย็นกำลังแรงที่แผ่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนมีกำลังอ่อนลง โดยช่วงที่หนาวเย็นที่สุดผ่านพ้นไปแล้ว วันที่อากาศหนาวเย็นที่สุดคือ วันที่ 13 ม.ค.68 ระยะ 2 – 3 วันที่ผ่านมา ซึ่งอากาศหนาวเย็น โดยหนาวถึงหนาวจัดบริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน เป็นสภาพอากาศที่หนาวที่สุดในรอบ 2 – 5 ปี

ในช่วงวันที่ 16 – 20 มกราคม 2568 บริเวณความกดอากาศสูง หรือมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงระลอกใหม่จากประเทศจีนจะแผ่เสริมเข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ภาคใต้ตอนบน และทะเลจีนใต้ จะทำให้อุณหภูมิลดลงอีกครั้งกับมีลมแรง ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนจะได้สัมผัสกับความหนาวเย็นต่อเนื่อง แต่จะไม่หนาวถึงหนาวจัดเหมือนกับช่วงวันที่ 12 – 13 มกราคม ส่วนภาคกลาง กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก อากาศจะเย็นในตอนเช้า จนถึงประมาณวันที่ 20 มกราคม จากนั้นจะค่อยๆ อุ่นขึ้น แล้วเข้าสู่ฤดูร้อนกลางเดือนกุมภาพันธ์ตามปกติ

ปัจจุบันปรากฏการณ์เอนโซอยู่ในสภาวะลานีญากำลังอ่อน โดยในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่เข้าสู่ฤดูร้อนจะยังคงเป็นลานีญาและเข้าสู่สภาวะเป็นกลางประมาณกลางเดือนมีนาคมถึงต้นเมษายน คาดว่าฤดูร้อนปีนี้อุณหภูมิจะไม่สูงเท่ากับปีที่ผ่านมา โดยฤดูร้อนปี 2567 อยู่ในสภาวะเอลนีโญ ทำให้ปีนี้มีความชื้นมากกว่า

ในเดือนมีนาคมและเมษายนปีนี้ซึ่งปกติเป็นช่วงที่ร้อนที่สุด อาจมีวันที่ร้อนถึงร้อนจัด บางพื้นที่ที่อุณหภูมิจะสูงกว่า 40 องศาเซลเซียส แต่คาดว่าจะไม่ร้อนต่อเนื่องหลายวันและอาจมีฝนตกลงมาคลายความร้อนได้บ้าง ดังนั้นจึงถือว่าในปี 2568 เป็นปีที่ฝนมาเร็ว คาดว่าจะเข้าสู่ฤดูฝนประมาณกลางเดือนพฤษภาคมตามปกติและการกระจายตัวของฝนในต้นฤดูจะกระจายได้ดี แต่การประเมินฝนตลอดฤดูว่า จะฝนมากหรือน้อยนั้น ต้องติดตามในช่วงใกล้ฤดูฝนอีกครั้งเนื่องจากปรากฏการณ์เอนโซจะประเมินทุก 3 เดือน

นายสมควร กล่าวว่า ตั้งแต่ 15 ม.ค. ภาคใต้ฝั่งอ่าวไทยต้องเตรียมรับสถานการณ์ฝนเนื่องจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามันจะมีกำลังแรงขึ้น จึงทำให้ภาคใต้ฝนฟ้าคะนอง โดยภาคใต้ตอนล่างต้องระวังฝนตกหนักบางแห่ง

นอกจากนี้ยังต้องระวังคลื่นลมที่มีกำลังแรงขึ้นทั้งบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามัน โดยอ่าวไทยมีคลื่นสูง 2 – 3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ส่วนทะเลอันดามันมีคลื่นสูง 1 – 2 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร และบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร เรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง ประชาชนที่อยู่ตามแนวชายฝั่งต้องระวังอันตรายจากคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่งตั้งแต่วันที่ 16 – 18 มกราคมนี้

Advertisement

กต. เตือนอย่าหลงเชื่อมิจฉาชีพอ้างโทรจากสถานทูตหลอกโอนเงิน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 10 มกราคม 2568 กระทรวงการต่างประเทศ – กต. ย้ำเตือนคนไทยในยุโรป อย่าหลงเชื่อมิจฉาชีพอ้างโทรจากสถานทูตหลอกโอนเงิน พร้อมเตือนคนไทยที่จะไปทำงานในตะวันออกกลางระวังถูกหลอกไปขายบริการ

นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า ขณะนี้ กระทรวงการต่างประเทศ ได้รับรายงานว่า มีการหลอกลวงคนไทยในยุโรปหลายประเทศ อาทิ ฝรั่งเศส สเปน เยอรมนี และเนเธอร์แลนด์ ซึ่งหลายกรณีมิจฉาชีพใช้อุบายในการขอข้อมูลส่วนบุคคลว่า เป็นเจ้าหน้าที่จากสถานเอกอัครราชทูต หรือในบางกรณีได้มีการปลอมแปลงหมายเลขโทรศัพท์ของสถานเอกอัครราชทูต เพื่อหลอกลวงให้โอนเงิน

นอกจากนั้น ยังมีรายงานว่า มีกลุ่มคนไทยถูกชักชวน และหลอกลวงผ่านสื่อออนไลน์ ให้ไปทำงานในพื้นที่ตะวันออกกลางจำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือ UAE และประเทศโอมาน เพื่อเป็นพนักงานนวดไทย หรือนวดสปา โดยอ้างว่า สามารถเข้าประเทศได้ง่าย ผ่านมาตรการยกเว้นการตรวจลงตรา หรือ ฟรีวีซ่า หรือการขอวีซ่าท่องเที่ยวได้สะดวก และมีสวัสดิการการทำงานที่ดีเกินจริง เช่น มีการออกค่าใช้จ่ายในการดำเนินการต่าง ๆ ให้ล่วงหน้า แต่เมื่อไปถึงสถานที่ทำงานจะพบว่า เป็นร้านนวดที่แอบแฝงการขายบริการทางเพศ และจะถูกบังคับให้ขายบริการอย่างหนัก ถูกโกงค่าแรง และอาจถูกขายไปยังสถานบริการอื่น ๆ ต่อเป็นทอด ๆ ได้

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ จึงขอให้ผู้ที่ประสงค์จะไปทำงานในต่างประเทศ ตรวจสอบ ความน่าเชื่อถือและเงื่อนไขของงานที่จะไปทำอย่างรอบคอบและระมัดระวัง เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์ พร้อมย้ำว่า สถานเอกอัครราชทูตไทยทุกแห่ง ไม่มีนโยบายเป็นตัวกลางรับฝากเอกสารจากหน่วยงานใด ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงจะไม่ติดต่อชุมชนไทยเพื่อขอเอกสารส่วนตัว หรือขอให้ทำธุรกรรมด้านการเงินใด ๆ ทั้งสิ้น

Advertisement

10-13 ม.ค. เหนือ-อีสาน ลดฮวบ 5-7 องศาฯ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 9 มกราคม 2568 กรมอุตุฯ ออกประกาศเตือนอากาศหนาวเย็นบริเวณประเทศไทย วันที่ 10-13 ม.ค.นี้ เหนือ-อีสาน เย็นลง 5-7 องศาฯ ส่วน กทม.-ปริมณฑล อุณหภูมิลดลง 3-5 องศาฯ

ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา เรื่อง อากาศหนาวเย็นบริเวณประเทศไทย และคลื่นลมแรงบริเวณอ่าวไทยรวมทั้งทะเลอันดามัน มีผลกระทบตั้งแต่วันที่ 10-13 มกราคม 2568 ฉบับที่ 3 (3/2568)

ในช่วงวันที่ 10-13 ม.ค. 68 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังแรงอีกระลอกจากประเทศจีนจะแผ่เสริมลงมาปกคลุมประเทศไทยและทะเลจีนใต้ ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวจะมีอุณหภูมิลดลงกับมีลมแรง โดยภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะมีอุณหภูมิลดลง 5-7 องศาเซลเซียส ส่วนภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออกและภาคใต้ตอนบน จะมีอุณหภูมิลดลง 3-5 องศาเซลเซียส ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวดูแลรักษาสุขภาพ เนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นลง รวมถึงให้ระวังอันตรายจากอัคคีภัยที่อาจจะเกิดขึ้นเนื่องจากสภาพอากาศแห้งและลมแรง

สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้จะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณตอนล่างของภาค ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันจะมีกำลังแรง โดยอ่าวไทยมีคลื่นสูง 2-4 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 4 เมตร ส่วนทะเลอันดามันทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 2-3 เมตรและบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ขอให้ประชาชนบริเวณภาคใต้ฝั่งตะวันออกระวังอันตรายจากคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่ง ชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง สำหรับเรือเล็กบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันควรงดออกจากฝั่งในช่วงวันที่ 10-13 ม.ค. 68

Advertisement

 

ด่วน รัฐบาลคุมเข้ม “แม่สอด” จ.ตาก เฝ้าระวังอหิวาฯ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 2 มกราคม 2568 รัฐบาลคุมเข้ม “แม่สอด” จ.ตาก เฝ้าระวังอหิวาฯ “ศศิกานต์” ย้ำ กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ วาง 6 มาตรการเข้ม ขอผู้ประกอบการเข้มงวดความสะอาดตามหลักสุขาภิบาล

วันนี้ (2 มกราคม 2568) นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากกรณีพบผู้ป่วย ติดเชื้อ “อหิวาตกโรค” ในพื้นที่เขตเทศบาลแม่สอด จังหวัดตาก รัฐบาลโดยสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดตาก กระทรวงสาธารณสุข เปิดศูนย์ปฏิบัติการฯ เฝ้าระวังและควบคุมโรคอย่างใกล้ชิด ล่าสุดสถานการณ์ผู้ป่วยในพื้นที่สามารถควบคุมได้เป็นอย่างดีแล้ว ปัจจุบันมีผู้ป่วยสะสม 4 ราย แบ่งเป็นชาวต่างชาติ 2 ราย คนไทย 2 และมีผู้ป่วยที่ติดเชื้อไม่มีอาการ 3 ราย ซึ่งผู้ป่วยทั้งหมดได้รับการรักษาจนหายดีแล้ว และไม่มีผู้เสียชีวิตจากสถานการณ์ดังกล่าว

นางสาวศศิกานต์  กล่าวว่า แม้ว่าสถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดตากจะอยู่ในการควบคุมแล้ว แต่ยังต้องมีการเฝ้าระวังป้องกันอหิวาตกโรคอย่างต่อเนื่อง โดย WHO “องค์การอนามัยโลก” ได้มีการประกาศ “อหิวาตกโรค” ถือเป็นภาวะฉุกเฉินใหญ่ หลังพบมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นในหลายประเทศ ทั้งนี้ เพื่อให้มีความตระหนักและร่วมกันป้องกันการแพร่ระบาดและติดต่อของโรค โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงจังหวัดตาก ที่มีพื้นที่อยู่ติดชายแดน ชเวโก๊กโก่ ประเทศเมียนมา กระทรวงสาธารณสุข ได้กำหนดมาตรการเพื่อป้องกันโรค ดังนี้

1.เจ้าของตลาดทุกประเภททุกแห่ง ให้ล้างตลาด ห้องสุขา ตามหลักการสุขาภิบาล รวมทั้งให้มีการฆ่าเชื้อทุกวัน และให้เจ้าของประกอบการร้านอาหาร เครื่องดื่ม รถเข็น หาบเร่ แผงลอยทุกชนิดดำเนินการตามหลักการสุขาภิบาล ปฏิบัติตามสุขลักษณะของสถานที่จำหน่ายอาหาร รวมถึงผู้สัมผัสอาหารทุกคน 2.หน่วยงานราชการ โรงเรียน ศาสนสถาน องค์กร เอกชน ผู้รับผิดชอบห้องสุขาสาธารณะ ให้ล้างทำความสะอาดห้องสุขาตามหลักการสุขาภิบาล รวมทั้งให้มีการฆ่าเชื้อทุกวัน 3.หน่วยงาน องค์กร เอกชน ผู้รับผิดชอบระบบประปา ให้ปรับปรุงคุณภาพน้ำประปาตามมาตรฐาน โดยกำหนดให้มีค่าคลอรีนอิสระคงเหลือในน้ำต้นท่อจ่ายไม่น้อยกว่า 1.0 มิลลิกรัมต่อลิตร (ppm) ปลายท่อจ่าย ไม่น้อยกว่า 0.5 มิลลิกรัมต่อลิตร (ppm) 4.ให้ผู้ที่เป็นหรือมีเหตุอันสมควรสงสัยติดเชื้ออหิวาตกโรค มารับการตรวจคัดกรองหรือรักษา จนกว่าจะพ้นระยะติดต่อของโรค 5.ให้เจ้าของ ผู้ครอบครอง หรือผู้พักอาศัยในบ้าน โรงเรือน สถานที่ เช่น ร้านอาหารและเครื่องดื่ม สถานที่ผลิตน้ำดื่ม/น้ำแข็ง ที่มีอหิวาตกโรคเกิดขึ้นหรือมีเหตุว่าปนเปื้อนเชื้อ ให้ความร่วมมือกับเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อในการตรวจคัดกรองโรคและกำจัดเชื้อ หรือทำลายเชื้อ และ 6.ขอความร่วมมือหน่วยงานราชการ นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชน และเครือข่ายภาคประชาชน สื่อสารข้อมูลความรู้การป้องกัน การปฏิบัติตัว ให้กับประชาชนในพื้นที่ โดยเน้นการประชาสัมพันธ์ทุกช่องทาง

“รัฐบาลห่วงใยสุขภาพประชาชน ขอให้ประชาชนดูแลตัวเอง แนะนำให้ล้างมืออย่างสม่ำเสมอและขอให้ยึดหลัก “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ” และขอให้ผู้ประกอบการอาหารมีความเข้มงวดในเรื่องของความสะอาดและสุขอนามัยในการนำวัตถุดิบที่นำมาปรุงสุก” นางสาวศศิกานต์ กล่าว

Advertisement

เตือนระวัง “มิจฉาชีพ” แฝงตัวช่วงปีใหม่ หลอกชวนบริจาค ทำบุญ จัดงานเลี้ยง ซื้อของขวัญ โหลดสติกเกอร์

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 31 ธันวาคม 2567 รัฐบาลเตือนระวัง “มิจฉาชีพ” แฝงตัวหลอกให้กดโหลดลิ้งก์ฟรี อาจสูญเงินหมดบัญชี

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ย้ำเตือนประชาชนช่วงเทศกาลวันหยุดปีใหม่ขอให้ระมัดระวังมิจฉาชีพแฝงตัว เข้ามาฉวยโอกาสหลอกลวงในรูปแบบต่าง ๆ ทำให้สูญเสียเงิน โดยพฤติกรรมที่มิจฉาชีพมักใช้ 5 การหลอกลวงหลักๆ ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ดังนี้

1.หลอกว่าโหลดสติกเกอร์เทศกาลปีใหม่ฟรี! โดยมิจฉาชีพเชิญชวนให้โหลดสติกเกอร์ แต่แฝงตัวส่งลิงก์ปลอมให้โหลด อาจมีการหลอกลวงให้ผู้ใช้ไลน์ใส่ชื่อ และรหัสการเข้าใช้ไลน์ รวมถึงข้อมูลส่วนตัว ซึ่งอาจจะเป็นช่องทางให้มิจฉาชีพนำชื่อและรหัสการใช้งานของท่านไปทำธุรกรรมต่าง ๆ หรืออาจมีการสวมสิทธิเพื่อกระทำผิดได้

2.หลอกรับบริจาค ทำบุญ ในช่วงเทศกาลปีใหม่ หลายคนต้องการทำบุญเพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคลกับชีวิต มิจฉาชีพจะมีการประกาศเชิญชวนให้ร่วมทำบุญ โดยอ้างบุคคลหรือกิจกรรมต่าง ๆ จึงควรตรวจสอบรายละเอียดกิจกรรมที่จะร่วมทำบุญว่าเป็นความจริงหรือไม่ อย่างไร ก่อนจะร่วมบริจาค โดยจำไว้ให้ขึ้นใจว่า “มีสติ” ก่อนโอนเงินทุกครั้ง

3.หลอกให้จัดงานเลี้ยงผ่านการใช้บริการทางออนไลน์ โดยคนร้ายจะมีพฤติกรรมแอบอ้างกับเจ้าของร้านค้าว่า จะจัดงานเลี้ยงโดยให้ส่งของต่าง ๆ ไปไว้ตามสถานที่จัดงาน เมื่อทางร้านค้าส่งของไปที่นัดหมายแล้วคนร้ายจะแอบขนของหลบหนีไป หรือคนร้ายแอบอ้างกับผู้ที่ต้องการจะจัดงานเลี้ยงว่า สามารถสั่งอาหารผ่านทางออนไลน์ได้ในราคาถูกกว่า ส่งผลให้ผู้ที่จะจัดงานเลี้ยงหลงเชื่อยอมจ่ายเงินค่าอาหารให้คนร้าย แต่เมื่อถึงวันจัดเลี้ยงไม่มีการส่งอาหารมาให้แต่อย่างใด

4.หลอกให้ซื้อของขวัญผ่านร้านค้าออนไลน์ จ่ายเงินแล้วไม่ได้ของ หรือสินค้าไม่ตรงปก หรือไม่มีคุณภาพ ถ้าไม่อยากตกเป็นเหยื่อ ต้องเลือกดูสินค้าและสังเกตราคาก่อนเข้าร่วมโปรโมชันให้ดี รวมทั้งเปรียบเทียบราคาสินค้าชนิดเดียวกันจากหลายร้านค้าเพื่อให้ได้สินค้าในราคาที่คุ้มค่าที่สุด

5.หลอกชวนเล่นการพนันออนไลน์ ลงทุนออนไลน์ มิจฉาชีพจะแอบแฝงหลอกเอาข้อมูลไปใช้ในทางผิดกฎหมาย หรือหลอกล่อให้เสียเงินจนหมดตัว อย่าหลงเชื่อ

“ขอให้ระวังกลโกงจากมิจฉาชีพในช่วงเทศกาลปีใหม่ อย่าคลิก อย่าโหลดข้อความจากบุคคลที่ไม่รู้จัก และอย่าให้ข้อมูลส่วนตัว อย่าเชื่อคำชักชวน คำกล่าวอ้าง รวมถึงโฆษณาชวนเชื่อที่ได้รับผลตอบแทนสูงๆ ขอเน้นย้ำของฟรีไม่มีในโลก” นายคารม ระบุ

Advertisement

เตือนอย่าเชื่อข่าวปลอม ย้ำ ปปง. มีเฟซบุ๊กเดียว

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 18 ธันวาคม 2567 ทำเนียบ – รองโฆษกรัฐบาล เตือน ปชช. อย่าเชื่อข่าวปลอม ย้ำ ปปง. มีเฟซบุ๊กเดียวไม่เคยเปิดเพจอื่นเพื่อรับคำร้อง-ลงทะเบียนรับเงินคืนช่วยเหลือผู้เสียหายทุกกรณี

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอม จากกรณีที่มีการเผยแพร่ข้อความระบุว่า “ ปปง. ร่วมกับ สอท. เปิดให้ผู้เสียหายคดีฉ้อโกงออนไลน์ลงทะเบียนขอรับเงินคืน เพียง 3 ขั้นตอน ผ่านเพจ Maintain security online” จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ

นายคารม กล่าวว่า สำนักงาน ปปง. ไม่เคยเปิดเพจเฟซบุ๊กอื่นเพื่อรับคำร้องหรือช่วยเหลือผู้เสียหายทุกกรณี อีกทั้งเพจเฟซบุ๊กดังกล่าวเป็นเพจปลอมที่มีการนำสัญลักษณ์ของสำนักงาน ปปง. มาใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต โดยใช้รูปแบบและเนื้อหาตามเพจจริงของสำนักงาน ปปง. ซึ่งสำนักงาน ปปง. มีเพจเฟซบุ๊กเดียวชื่อ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน – ปปง. โดยมีสัญลักษณ์ ติ๊กถูกสีฟ้า (Meta Verified) อยู่ด้านหลังชื่อเพจ ซึ่งผ่านการยืนยันตัวตนเรียบร้อยแล้ว

“เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สามารถติดตามข้อมูลได้ที่เว็บไซต์ https://www.amlo.go.th/index.php/th/ หรือ โทร. 02-219-3600” นายคารม ระบุ

Advertisement

เตือนภัยบุหรี่ไฟฟ้า พบสารก่อมะเร็ง อย่าหลงเชื่อค่านิยมผิดๆ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 14 ธันวาคม 2567 “อนุกูล” เตือนภัยบุหรี่ไฟฟ้า พบน้ำยาดองศพ สารก่อมะเร็ง แนะผู้ปกครองสอดส่องพฤติกรรมบุตรหลาน ย้ำเตือนเด็กและเยาวชนอย่าหลงเชื่อค่านิยมผิด ๆ

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เตือนภัยกลุ่มเด็กและเยาวชน ซึ่งปัจจุบันพบว่ากลุ่มเด็กและเยาวชนเริ่มสูบบุหรี่ไฟฟ้ากันมากขึ้น เนื่องจากรู้เท่าไม่ถึงการณ์กับภัยอันตรายที่แฝงมากับผลิตภัณฑ์ ซึ่งมีการเติมสารปรุงแต่งกลิ่นและรสที่มีส่วนประกอบจากสารพิษและสารเสพติดที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สารฟอร์มาลดีไฮด์ (Formaldehyde) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “น้ำยาดองศพ” ซึ่งเป็นสารเคมีอันตรายที่ปล่อยออกมาในระหว่างการใช้บุหรี่ไฟฟ้า ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของผู้สูบและผู้ได้รับละอองไอจากบุหรี่ไฟฟ้า

นายอนุกูล กล่าวว่า จากข้อมูลพบเยาวชนไทยอายุระหว่าง 6 – 30 ปีมีพฤติกรรมการสูบบุหรี่ไฟฟ้า 18.6% เมื่อจำแนกตามเพศ พบว่า เพศชายสูบบุหรี่ไฟฟ้าสูงที่สุด 21.49% รองลงมา LGBTQ+ 19.73% และเพศหญิง 16.22% เมื่อสอบถามเกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจของเยาวชน พบว่ามีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า คือ เข้าใจว่าการสูบบุหรี่ไฟฟ้า ทำให้สามารถเลิกบุหรี่มวนได้ 61.23% เข้าใจว่านิโคตินส่งผลดีต่อร่างกาย 51.19% เข้าใจว่าน้ำยาของบุหรี่ไฟฟ้าไม่มีส่วนผสมของนิโคติน 26.28% เข้าใจว่าบุหรี่ไฟฟ้าไม่ใช่สิ่งผิดกฎหมาย 23.28% และเข้าใจว่าควันบุหรี่ไฟฟ้าไม่มีอันตราย 12.53% นอกจากนี้เยาวชนยังมีความเชื่อว่าบุหรี่ไฟฟ้า/พอต อันตรายน้อยกว่าบุหรี่มวน 50.2% อีกด้วย

“จากผลการศึกษาวิจัยของมหาวิทยาลัยมินนิโซตา สหรัฐอเมริกา พบสารฟอร์มาลดีไฮด์ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง (Carcinogen) ในน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า โดยสารฟอร์มาลดีไฮด์สามารถแทรกซึมลึกเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง เสี่ยงเกิดมะเร็ง รวมถึงเสี่ยงเกิดการระคายเคืองต่อดวงตาและผิวหนังได้ แนะนำผู้ปกครองสอดส่องดูแลพฤติกรรมบุตรหลาน ให้รู้ถึงภัยอันตราย อย่าหลงเชื่อค่านิยมที่ผิด ๆ ในกลุ่มวัยรุ่นหากต้องการคำปรึกษาสามารถสอบถามข้อมูลเลิกบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าได้ที่สถานพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขใกล้บ้าน” นายอนุกูล ระบุ

Advertisement

Verified by ExactMetrics