วันที่ 24 เมษายน 2024

ธนาคารออมสินแจ้งสินเชื่อเสริมพลังฐานรากวงเงิน 10,000 ล้านบาท มีผู้ขอกู้เต็มวงเงินแล้ว

People Unity News : ธนาคารออมสินแจ้ง สินเชื่อเสริมพลังฐานรากวงเงิน 10,000 ล้านบาท มีผู้ยื่นขอกู้เต็มวงเงินแล้ว

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลมีความห่วงใยประชาชนที่เดือดร้อน จากผลกระทบของสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ โดยได้มอบหมายธนาคารออมสินให้การช่วยเหลือประชาชน ผ่านการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำด้วยเงื่อนไขผ่อนปรน ตามโครงการสินเชื่อเสริมพลังฐานราก วงเงินสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท เริ่มเปิดให้ลงทะเบียนยื่นขอสินเชื่อผ่านแอปพลิเคชัน MyMo ตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2564 ที่ผ่านมา ปัจจุบันวงเงินสินเชื่อเสริมพลังฯ ได้มีประชาชนยื่นขอกู้และได้รับอนุมัติเงินกู้จนเต็มวงเงิน และธนาคารได้ปิดระบบลงทะเบียนขอสินเชื่อผ่าน MyMo แล้ว

“นับตั้งแต่เริ่มเปิดให้ประชาชนยื่นขอสินเชื่อตามมาตรการเยียวยาจากการระบาดระลอกใหม่ เมื่อวันที่ 15 มกราคมที่ผ่านมา ธนาคารได้อนุมัติสินเชื่อและโอนเงินเข้าบัญชีผู้กู้ไปแล้วกว่า 4.4 แสนราย จำนวนเงินให้กู้กว่า 11,500 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นลูกค้าสินเชื่อเสริมพลังฐานรากกว่า 3 แสนราย (ให้กู้สูงสุดรายละ 50,000 บาท) และเป็นลูกค้าสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่าย หรือสินเชื่อฉุกเฉิน จำนวน 1.4 แสนราย (ให้กู้รายละ 10,000 บาท) ซึ่งมาตรการสินเชื่อผ่อนปรนเงื่อนไขครั้งนี้ ธนาคารพิจารณาจากประวัติเครดิตผู้กู้เป็นหลัก โดยได้รับความคุ้มครองการชดเชยความเสียหายบางส่วนจากรัฐบาล อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกของการนำร่องเปิดให้บริการอนุมัติสินเชื่อผ่านแอปพลิเคชัน MyMo เพื่อให้สามารถพิจารณาสินเชื่อได้เร็วโดยที่ลูกค้าไม่ต้องไปติดต่อที่สาขา สอดคล้องตามมาตรการป้องกันและควบคุมการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19” นายวิทัยกล่าว

ธนาคารฯหวังเป็นอย่างยิ่งว่า มาตรการสินเชื่อของธนาคารในครั้งนี้ จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนลงได้บ้างไม่มากก็น้อย และช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไปได้ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ ธนาคารออมสินขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่ยื่นกู้สินเชื่อ และขออภัยผู้กู้ที่ไม่ผ่านเกณฑ์พิจารณาประวัติเครดิตที่ไม่ได้รับอนุมัติสินเชื่อมา ณ โอกาสนี้

Advertising

“ประยุทธ์” สั่งจัดทำมาตรการเพิ่มเติมหรือยืดมาตรการเดิมเยียวยาเศรษฐกิจจากพิษโควิด 19

People Unity News : นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พิจารณาจัดทำมาตรการเพิ่มเติม หรือยืดระยะเวลามาตรการเดิม พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลมีงบประมาณเพียงพอเพื่อช่วยเหลือประชาชนกว่า 40 ล้านคนในทุกพื้นที่

5 ม.ค. 2564 เวลา 12.00 น. ณ โถงตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยมอบให้หมายให้รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พิจารณาจัดทำมาตรการเพิ่มเติม หรือยืดระยะเวลามาตรการเดิม พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลมีงบประมาณเพียงพอเพื่อช่วยเหลือประชาชนกว่า 40 ล้านคนในทุกพื้นที่ ในโอกาสนี้นายกรัฐมนตรีได้มีการขอความร่วมมือจากสมาคมโรงแรม ที่พักต่างๆ ในโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ไม่ให้มีการเก็บเงินมัดจำเมื่อมีการยกเลิกการจองห้องพัก พร้อมย้ำว่า “โครงการคนละครึ่ง” ไม่ต้องเสียภาษี เพื่อเป็นการผ่อนภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน

นายกรัฐมนตรีย้ำว่ามาตรการต่างๆ คำนึงถึงผลกระทบที่ตามมาทั้งสุขภาพและเศรษฐกิจ ทุกคนต้องร่วมมือกัน “รวมไทยสร้างชาติ ร่วมต้านโควิด-19” ให้ประเทศไทยมีความเข้มแข็ง มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เรียนรู้ที่จะอยู่กับโควิด-19 โดยทุกคนต้องระมัดระวังตัวเอง ซื่อสัตย์กับตัวเอง เข้าสู่การตรวจสอบคัดกรองโรค ไม่ปิดบังการเดินทางของตัวเองเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดในสถานที่อื่นเพิ่มเติม คำนึงถึงครอบครัวและสังคมส่วนรวม ที่สำคัญคือเจ้าหน้าที่ และบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติงานอย่างหนัก และต้องรับฟังปฏิบัติตามมาตรการของรัฐด้วย

Advertising

“ประยุทธ์” ประชุมเคาะกรอบงบประมาณปี 65 วงเงิน 3.1 ล้านๆบาท ดูแลกลุ่มเปราะบางต่อเนื่อง

People Unity News : ประยุทธ์ ประชุม 4 หน่วยงานเศรษฐกิจ เคาะกรอบงบประมาณปี 65 วงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท เตรียมนำเสนอ ครม. 5 ม.ค.64 ย้ำพิจารณางบรายจ่ายประจำให้ลดลงเหมาะสม โดยคงการจัดสรรงบดูแลกลุ่มเปราะบาง

23 ธ.ค.63 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า เมื่อเวลา 09.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมพิจารณากำหนดวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ร่วมกับ 4 หน่วยงานด้านเศรษฐกิจ ประกอบด้วย สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยมี นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม ภายหลังการประชุม นายเดชาภิวัฒน์ ณ สงขลา ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ได้แถลงผลการประชุมสรุปสาระสำคัญ ดังนี้

การประชุมร่วม 4 หน่วยงานในวันนี้เป็นไปตามกฎหมายวิธีการงบประมาณเพื่อกำหนดวงเงินงบประมาณในปี พ.ศ. 2565 ซึ่งที่ประชุมมีมติให้สำนักงบประมาณนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาวงเงินงบประมาณปี พ.ศ. 2565 ในวงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท โดยเป็นวงเงินที่ลดลงจากงบประมาณปี พ.ศ. 2564 จำนวน 185,900 ล้านบาทเศษ หรือลดลงร้อยละ 5.66 เป็นไปตามประมาณการด้านรายได้ที่กระทรวงการคลังประมาณการไว้ที่ 2.4 ล้านล้านบาท โดยจะเป็นการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุล 7 แสนล้านบาท ซึ่งมีสมมติฐานเศรษฐกิจและการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ สศช. และ ธปท. ได้นำเสนอต่อที่ประชุม ขณะที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2565 ข้อมูลจาก สศช. ได้ประมาณการว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 3.5 โดยในปี 2564 ได้กำหนดไว้ที่ร้อยละ 4 ส่วนอัตราเงินเฟ้อปี 2564 และปี 2565 อยู่ที่ร้อยละ 1.2 ขณะที่มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ปี 2565 อยู่ที่ 17.328 ล้านบาท  สำหรับงบลงทุนในปี 2565 จะลดลงจากปี 2564 ที่วงเงิน 649,000 ล้านบาท หรือร้อยละ 19 ของวงเงินงบประมาณ โดยในปี 2565 ได้ตั้งงบลงทุนเบื้องต้นไว้ที่ 620,000 ล้านบาท คงไว้ตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ ที่ร้อยละ 20 ซึ่งสำนักงบประมาณจะได้นำเสนอรายละเอียดอีกครั้งหลังจากนำผลการประชุมวันนี้เสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี วันที่ 5 มกราคม 2564

นายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายให้สำนักงบประมาณไปพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำให้ลดลงอย่างเหมาะสม โดยให้คงไว้สำหรับการดูแลงานประกันสังคม กองทุนหลักประกันสุขภาพฯ บัตรสวัสดิการต่างๆ รวมถึงกลุ่มเปราะบางทั้งหมด คนพิการ คนชรา เด็กเล็ก ตามนโยบายของรัฐบาล พร้อมกำชับให้จัดสรรงบประมาณสำหรับการเยียวยากลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง

สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำในปี 2564 ได้ตั้งไว้ที่ 2.537 ล้านล้านบาท หรือร้อยละ 77 ของวงเงินงบประมาณ ส่วนในปี 2565 ตั้งไว้ที่ 2.354 ล้านล้านบาท หรือร้อยละ 75 ของวงเงินงบประมาณ ทั้งนี้ สำนักงบประมาณมีนโยบายในการที่จะลดงบประมาณรายจ่ายประจำมาโดยตลอด โดยจะขอให้ส่วนราชการทบทวน โดยสำนักงบประมาณจะพิจารณาผลการเบิกจ่ายงบประมาณ ประสิทธิภาพในการใช้จ่าย และผลสัมฤทธิ์ของการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่าย ทั้งงบลงทุนและงบประจำ กรณีที่เป็นงบรายจ่ายประจำก็ต้องพิจารณาตามเกณฑ์  สำหรับงบรายจ่ายประจำในปี 2565 ในส่วนของค่าใช้จ่ายในรายการที่เกี่ยวกับด้านสังคมยังคงไว้ตามเดิม ไม่ได้ปรับลด

ทั้งนี้ วงเงินดังกล่าวเป็นวงเงินเบื้องต้นที่จะต้องพิจารณาความจำเป็นและคำขอของส่วนราชการต่างๆอีกครั้ง โดยจะมีการหารือกับส่วนราชการถึงความจำเป็นในการใช้จ่ายงบประจำหรืองบลงทุน ว่าสามารถชะลอได้หรือไม่ สามารถใช้มาตรการอื่นจากเงินนอกงบประมาณ เงินกองทุนที่มีอยู่ เช่น กองทุน Thailand Future Fund เป็นต้น ได้หรือไม่ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน PPP ที่จะต้องออกเป็นมาตรการ โดยพยายามรักษาวงเงินงบลงทุนในระบบเศรษฐกิจโดยรวมทั้งเงินงบประมาณและเงินนอกงบประมาณ ให้สูงกว่าในปีที่ผ่านๆมา ต้องขอความร่วมมือให้ช่วยกัน ซึ่งเลขาธิการ สศช. ได้ขอให้รัฐวิสาหกิจมีการลงทุนเพิ่ม โดยกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณจะไปพิจารณาว่ามีโครงใดที่ภาครัฐและภาคเอกชนจะทำร่วมกันได้บ้าง ในภาพรวมแล้ววงเงินงบประมาณปี 2565 และอื่นๆยังคงดีอยู่ เพียงพอที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวที่ร้อยละ 3.5 ได้

สำหรับงบประมาณในส่วนที่เป็นสวัสดิการต่างๆ มีการตั้งงบประมาณไว้เพียงพออยู่แล้ว สำนักงบประมาณพยายามลดรายจ่ายประจำโดยต้องไม่กระทบต่อสังคม ยังมี พ.ร.ก.กู้เงินฯ ที่สามารถนำมาช่วยดูแลด้านของสังคม สำหรับรายจ่ายประจำที่สามารถชะลอ ลดลงได้ เช่น การเดินทางไปต่างประเทศ การประชุมสัมมนา New Normal ที่เป็นการประชุมทางไกล ที่ลดลงได้บางส่วน โดยส่วนที่จะลดลงได้คือ เงินที่จะสมทบรายการต่างๆ กองทุนที่ส่วนราชการเสนอขอ  ซึ่งที่ผ่านมาจะเห็นว่ากระทรวงการคลังจะขอคืนเงินกองทุนต่างๆที่ไม่ได้ใช้ มาเก็บชะลอไว้ก่อน  สำหรับงบประมาณของกระทรวงศึกษาธิการที่อาจจะลดลง แต่รายได้ต่อหัวสวัสดิการเด็กนักเรียนยังครบถ้วนอยู่ จำนวนเด็กนักเรียนลดลงร้อยละ 5 – 6 ต่อปีอยู่แล้ว ฉะนั้นวงเงินของกระทรวงฯอาจจะลดลง  ด้านงบประมาณของกระทรวงสาธารณสุขก็อาจจะลดลงเพราะมีส่วนหนึ่งที่ไปเป็นค่าจ้างพนักงานและลูกจ้าง ที่ปีที่ผ่านมาได้ปรับสถานะเป็นข้าราชการ 45,000 อัตรา ทำให้ยกสถานะจากเงินกองทุนเป็นงบบุคลากร เป็นต้น ตามที่มีข่าวว่าอาจจะลด แต่จริงๆแล้วไม่ได้ลด ยังคงเหมือนเดิม ค่ารักษาพยาบาลก็ไม่ได้ลดลง ยืนยันว่าไม่กระทบในส่วนนี้

Advertising

ธอส.ช่วยชาวใต้น้ำท่วมด้วย 7 มาตรการทั้งพักหนี้ ลดดอกเบี้ย ให้กู้ซ่อม/สร้าง จ่ายค่าสินไหมด่วน

People Unity News : ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ประกาศ 7 มาตรการช่วยเหลือชาวใต้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากเหตุน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก “โครงการเงินกู้ที่อยู่อาศัยเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติปี 2563” ประกอบด้วย 1) ลดดอกเบี้ยเหลือ 0% ต่อปี นาน 4 เดือนแรก 2) ให้กู้เพิ่มหรือกู้ใหม่ดอกเบี้ย 3.00% ต่อปี คงที่ 3 ปีแรก 3) ประนอมหนี้ระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี 4 เดือน ดอกเบี้ย 0% ต่อปี 4 เดือน ไม่ต้องชำระเงินงวด 4) ประนอมหนี้ไม่เกิน 1 ปี ดอกเบี้ย 1% ต่อปี 5) เสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรให้ผ่อนชำระดอกเบี้ย 0.01% ต่อปี 6) ที่อยู่อาศัยเสียหายทั้งหลังซ่อมแซมไม่ได้ให้ปลอดหนี้ในส่วนของอาคาร และ 7) พิจารณาสินไหมเร่งด่วน (Fast Track) สำหรับลูกค้าที่ทำกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยสำหรับที่อยู่อาศัยซึ่งคุ้มครองภัยธรรมชาติ จ่ายค่าสินไหมเร่งด่วน และกรณีกรมธรรม์เริ่มคุ้มครองตั้งแต่ 1 พ.ย. 2562 เพิ่มความคุ้มครองตามความเสียหายจริงแต่ไม่เกินภัยละ 30,000 บาทต่อปี ติดต่อขอใช้มาตรการถึง 30 ธันวาคม 2563

นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ในบริเวณพื้นที่ภาคใต้ ได้เกิดเหตุน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก หลังจากเกิดฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องจนมีผลให้ที่อยู่อาศัยเกิดความเสียหายและประชาชนได้รับผลกระทบในด้านการประกอบอาชีพ ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่มีพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” จึงพร้อมบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ลูกค้าประชาชนด้วย “โครงการเงินกู้ที่อยู่อาศัยเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติปี 2563” (กรอบวงเงินรวมของโครงการ 100 ล้านบาท) โดยพิจารณาตามระดับความเสียหาย ซึ่งมีรายละเอียดประกอบด้วย

มาตรการที่ 1 สำหรับลูกค้าเดิมของ ธอส. กรณีหลักประกัน (ที่อยู่อาศัยที่จดจำนองกับธนาคาร) ของตนเองหรือคู่สมรสได้รับความเสียหายจากการประสบอุทกภัยสามารถขอลดอัตราดอกเบี้ยและเงินงวดผ่อนชำระ เดือนที่ 1-4 อัตราดอกเบี้ย 0% ต่อปี เดือนที่ 5-16 อัตราดอกเบี้ย 3.65% ต่อปี เดือนที่ 17-24 อัตราดอกเบี้ย 4.15% ต่อปี ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 5.15% ต่อปี และปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญาเงินกู้กรณีลูกค้าสวัสดิการ ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR -1.00% ต่อปี กรณีลูกค้ารายย่อยทั่วไป ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR – 0.50% ต่อปี กรณีกู้เพื่อชำระหนี้หรือซื้ออุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกฯ ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ธอส. อยู่ที่ 6.150% ต่อปี)

มาตรการที่ 2 สำหรับลูกค้าใหม่ หรือลูกค้าเดิมของ ธอส. ที่หลักประกันของตนเองหรือคู่สมรสได้รับความเสียหายจากการประสบอุทกภัย สามารถขอกู้เพิ่ม หรือกู้ใหม่ เพื่อปลูกสร้างอาคารทดแทนหลังเดิม หรือกู้ซ่อมแซมอาคาร ที่ได้รับความเสียหาย คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้คงที่ 3.00% ต่อปี นาน 3 ปี หลังจากนั้นกรณีลูกค้าสวัสดิการ คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-1.00% ต่อปี ส่วนลูกค้ารายย่อย คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี

สำหรับลูกค้าผู้ที่ต้องการยื่นกู้ตามมาตรการที่ 2 ธนาคารกำหนดวงเงินให้กู้ต่อรายไม่เกิน 1 ล้านบาท ต่อ 1 หลักประกัน และยังยกเว้นค่าธรรมเนียมในรายการที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย ค่าตรวจสอบหลักประกันค่าประเมินราคาหลักประกัน ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ ค่าธรรมเนียมการขอเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และค่าธรรมเนียมการขอเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการกู้

มาตรการที่ 3 ลูกหนี้ที่หลักประกันได้รับความเสียหาย ให้ลูกหนี้ประนอมหนี้ระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี 4 เดือน อัตราดอกเบี้ย 0% ต่อปี นาน 4 เดือนแรกโดยไม่ต้องชำระเงินงวด จากนั้นเดือนที่ 5-16 อัตราดอกเบี้ย 1% ต่อปี โดยให้ผ่อนชำระเงินงวดไม่น้อยกว่าดอกเบี้ยรายเดือน และเมื่อครบระยะเวลาประนอมหนี้ให้กลับมาใช้อัตราดอกเบี้ยตามสิทธิเดิมก่อนที่จะใช้มาตรการนี้

มาตรการที่ 4 ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้ ให้ประนอมหนี้เป็นระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี อัตราดอกเบี้ย 1% ต่อปี โดยให้ผ่อนชำระเงินงวดไม่น้อยกว่าดอกเบี้ยรายเดือน และเมื่อครบระยะเวลาประนอมหนี้ ให้ลูกหนี้กลับมาใช้อัตราดอกเบี้ยตามสิทธิเดิมก่อนที่จะใช้มาตรการนี้

มาตรการที่ 5 ลูกหนี้ที่เสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวร ให้ผ่อนชำระโดยใช้อัตราดอกเบี้ย 0.01% ต่อปี ตลอดระยะเวลาที่คงเหลือตามสัญญากู้

มาตรการที่ 6 กรณีที่อยู่อาศัยได้รับความเสียหายทั้งหลังและไม่สามารถซ่อมแซมได้ ให้ปลอดหนี้ในส่วนของราคาอาคาร และให้ผ่อนชำระต่อเฉพาะในส่วนของที่ดินที่คงเหลือเท่านั้น

มาตรการที่ 7 พิจารณาสินไหมเร่งด่วน (Fast Track) สำหรับลูกค้าที่ทำกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยสำหรับที่อยู่อาศัยซึ่งคุ้มครองภัยธรรมชาติ รวมถึงกรณีน้ำท่วม หรือ ลมพายุ พิจารณาจ่ายค่าสินไหมให้กับลูกค้าที่เป็นผู้ประสบภัยทุกรายอย่างเร่งด่วนเป็นกรณีพิเศษ โดยผู้เอาประกันยื่นเอกสารแจ้งความเสียหาย จ่ายตามความ เสียหายจริงตามภาพถ่าย รวมทุกภัยธรรมชาติไม่เกิน 20,000 บาทต่อปี และสำหรับลูกค้าที่มีกรมธรรม์เริ่มความคุ้มครองตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 เพิ่มความคุ้มครองภัยธรรมชาติตามความเสียหายจริงจากหลักฐานภาพถ่าย แต่ไม่เกินภัยละ 30,000 บาทต่อปี

ทั้งนี้ ลูกค้าที่ประสงค์ขอรับบริการของ “โครงการเงินกู้ที่อยู่อาศัยเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติธรรมชาติ ปี 2563” สามารถติดต่อได้ที่สาขาของ ธอส. ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ถึงภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2563 หรือภายใต้กรอบวงเงินที่ธนาคารกำหนด สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศหรือศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์(Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์

Advertising

สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะแจงมีหนี้สาธารณะ 7.8 ล้านล้านบาท ไม่ใช่ 78 ล้านล้านบาท

People Unity News : หนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563 ที่ระดับ 78 ล้านล้านบาท ไม่เป็นความจริง

ตามที่ได้มีการแชร์รูปภาพและเนื้อข่าวว่า หนี้สาธารณะของประเทศไทย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563 สูงถึง 78 ล้านล้านบาท นั้น นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ขอชี้แจงว่า เนื้อหาข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง  โดย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563 หนี้สาธารณะมีจำนวนทั้งสิ้น 7.8 ล้านล้านบาท โดยมีสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) เท่ากับร้อยละ 49.34 ประกอบด้วย หนี้รัฐบาล จำนวน 6.73 ล้านล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจ จำนวน 795,980 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่ทำธุรกิจในภาคการเงิน (รัฐบาลค้ำประกัน) จำนวน 309,472 ล้านบาท และหนี้หน่วยงานของรัฐ 7,821 ล้านบาท ทั้งนี้ หนี้ที่เป็นภาระต่องบประมาณโดยตรง จำนวน 6.3 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 39.40 ของ GDP สำหรับหนี้ของรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานของรัฐ จำนวน 1.5 ล้านล้านบาท ใช้แหล่งเงินอื่นมาชำระหนี้ จึงไม่เป็นภาระต่องบประมาณ

ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะขอให้ประชาชนมั่นใจว่า กระทรวงการคลังได้บริหารจัดการหนี้สาธารณะอย่างรอบคอบและระมัดระวัง ภายใต้กรอบวินัยทางการคลังอย่างเคร่งครัด โดยประมาณการสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ปี 2564 ยังคงอยู่ภายใต้กรอบวินัยทางการคลังซึ่งกำหนดไว้ไม่เกินร้อยละ 60 ทั้งนี้ การเจตนานำเข้า เผยแพร่ หรือส่งต่อข้อมูลที่บิดเบือน ปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ อาจเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

Advertising

ธอส. รับรางวัล ITA Awards จาก ป.ป.ช. อันดับที่ 1 ประจำปี 2563 เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน

People Unity News : ธอส. รับรางวัล ITA Awards ในฐานะที่ได้รับคะแนนการประเมินสูงสุด อันดับที่ 1 ประจำปี 2563 เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน

นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เป็นผู้แทนธนาคารรับรางวัลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 (ITA Awards) ในฐานะหน่วยงานที่ได้รับคะแนนสูงสุด เป็นอันดับ 1 ที่ 99.60 คะแนน อยู่ในระดับ AA จากจำนวนหน่วยงานภาครัฐที่เข้ารับการประเมินทั้งสิ้น 8,303 หน่วยงาน และถือเป็นคะแนนประเมินสูงสุดอันดับ 1 เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน โดยมี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีมอบรางวัล ซึ่งจัดขึ้นโดยสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และมีจำนวนผู้มีส่วนร่วมประเมินหรือแสดงความคิดเห็นผ่านการประเมิน ITA จำนวน 1,301,665 คน โดยมีคณะผู้บริหารธนาคาร นำโดย คุณธิดาพร มีกิ่งทอง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานสนับสนุน และรักษาการรองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มงานปฏิบัติการ และพนักงานธนาคาร เข้าร่วมงานดังกล่าวด้วย

ซึ่งคะแนนที่ ธอส. ได้รับในครั้งนี้เป็นผลจากการดำเนินงานภายใต้หลักการ “ผลลัพธ์ที่ดีเกิดจากกระบวนการที่ดี” โดยใช้ 6 Key Success Factors มาใช้ในการปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง ประกอบไปด้วย 1.Leadership ผู้นำกำหนดนโยบายที่ชัดเจน บริหารงานอย่างมีธรรมาภิบาล โปร่งใส ตรวจสอบได้ และต่อต้านการทุจริต 2.Employee Awareness & Engagement สร้างการรับรู้ให้พนักงานเกิดความตระหนักถึงการปฏิบัติงานด้วยความรักและผูกพันต่อองค์กร 3.Digitized Communication สื่อสารแบบดิจิทัลที่รวดเร็ว 4.Paticipation ผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มมีส่วนร่วมในการดำเนินงานด้านต่างๆของธนาคาร  5.Technology พนักงานทั้งองค์กรปรับตัวเองในการนำเทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุนการทำงาน และ 6.Learning เรียนรู้จากผลการประเมินในปีที่ผ่านมา พร้อมนำหลักการ 3 Lines of Defense มาเป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน ที่ทุกคนต้องร่วมกันรับผิดชอบต่อผลการปฏิบัติงาน มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้

ทั้งหมดนี้ คือสิ่งที่ทำให้ ธอส. ยังคงรักษาอันดับ 1 เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน และมีผลคะแนน ITA สูงที่สุดตั้งแต่ได้เข้าร่วมการประเมิน ITA กับสำนักงาน ปปช. ตลอดมาอย่างต่อเนื่อง  ความสำเร็จที่ภาคภูมิใจในครั้งนี้เพราะเป็น “ธอส. หนึ่งเดียว หรือ GHB 1 Team เพื่อบรรลุพันธกิจทำให้ คนไทยมีบ้าน” ทั้งนี้ พิธีมอบรางวัลดังกล่าวจัดขึ้น ณ ตึกบัญชาการ 1 ชั้น 3 ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2563

Advertising

แรงงานไทยเนื้อหอม ต่างชาติต้องการ ผลจากการบริหารจัดการโควิด-19 ที่ดีของไทย

สุชาติ ชมกลิ่น

People Unity News : แรงงานไทยช่วยสร้างรายได้เข้าประเทศ ลดการว่างงาน หลังเป็นที่ต้องการของต่างประเทศ สาเหตุจากการบริหารจัดการโควิด-19 ที่ดีของไทย

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในช่วงการประชุม ครม.ครั้งล่าสุด รมว.แรงงาน (นายสุชาติ ชมกลิ่น) ได้รายงานให้ที่ประชุมซึ่งมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหมเป็นประธาน ได้รับทราบถึงการจัดส่งแรงงานไทยไปเก็บผลไม้ป่าในประเทศสวีเดนและประเทศฟินแลนด์ ฤดูกาล 2020 ซึ่งเริ่มตั้งแต่เดือนกรกฎาคม-กันยายน 2563 ว่ามีแรงงานไทยที่ได้รับการอนุญาตให้เดินทางไปเก็บผลไม้ป่าในทั้งสองประเทศจำนวนทั้งสิ้น 5,254 คนโดยแยกเป็นประเทศฟินแลนด์ 2,014 คน และประเทศสวีเดน จำนวน 3,210 คน ก่อให้เกิดรายได้เข้าประเทศโดยประมาณขั้นต่ำ 618,341,720 บาท แบ่งเป็นประเทศฟินแลนด์จำนวน 182,655,000 บาท และประเทศสวีเดน จำนวน 435,686,720 บาท โดยในการเดินทางไปในครั้งนี้ กรมการจัดหางานได้วางมาตรการเพื่อคุ้มครองแรงงานไทยภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 โดยดำเนินการตามนโยบายของ ศบค. ทุกประการ ซึ่งแรงงานไทยทั้งหมดได้ผ่านการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ก่อนเดินทางไป และหลังจากเดินทางกลับ และจะต้องผ่านการกักตัวเป็นระยะเวลาจำนวน 14 วัน ซึ่งในฤดูกาลนี้แรงงานทั้งหมดได้เดินทางกลับถึงประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันที่ 1-22 ตุลาคม 2563 ที่ผ่านมา และได้เข้ารับการกักกันตัวในสถานที่กักกันที่กระทรวงแรงงาน ,กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงกลาโหมได้ร่วมกันจัดขึ้น

สำหรับรายได้ของคนงานไทยที่ไปเก็บผลไม้ป่าในประเทศฟินแลนด์และประเทศสวีเดน ฤดูกาลปี 2020 พบว่า แรงงานที่เดินทางไปประเทศสวีเดน จะมีรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายประมาณคนละ 150,000 – 180,000 บาท โดยมีระยะเวลาเก็บผลไม้ประมาณ 2 เดือน ส่วนคนงานที่เดินทางไปเก็บผลไม้ที่ประเทศฟินแลนด์ มีระยะเวลาการเก็บผลไม้ประมาณ 55 วัน และมีรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายประมาณคนละ 90,000 – 150,000 บาท นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายในการกักตัวของคนงานทั้งหมดที่กลับมานั้น ไม่ได้ใช้งบประมาณของประเทศแต่อย่างใด แต่ใช้เงินของบริษัทต่างประเทศนั้นๆที่พาคนงานไทยไปทำงาน ซึ่งคนงานเหล่านี้ บริษัทต่างประเทศได้ออกค่าใช้จ่ายในการกักตัวโดยมีแบงค์การันตี คนละ 32,000 บาทต่อคน แต่หากค่าใช้จ่ายจริงไม่ถึงจำนวนนี้ กระทรวงแรงงานก็จะคืนให้บริษัทที่ออกค่าใช้จ่ายให้คนงานไทยที่ไปเก็บผลไม้ป่าต่อไป

นายอนุชา กล่าวว่า “แรงงานไทยเป็นที่ต้องการของต่างประเทศเป็นจำนวนมากในขณะนี้ ซึ่งส่วนสำคัญมาจากการบริหารจัดการโรคโควิด-19 ได้เป็นอย่างดีของไทย ทำให้ประเทศที่ต้องการนำเข้าแรงงาน มีความมั่นใจแรงงานจากไทยเป็นลำดับต้นๆ ซึ่งเป็นโอกาสดีในการเพิ่มช่องทางให้แรงงานไทยได้มีตลาดทำงานในต่างประเทศมากขึ้น เพื่อให้แรงงานไทยมีอาชีพ มีรายได้ ลดปัญหาการว่างงานภายในประเทศไทย อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และนำเงินกลับเข้าประเทศไทย ซึ่งการเดินทางไปทำงานต่างประเทศของแรงงานไทย สามารถสร้างรายได้เข้าประเทศได้เป็นจำนวนมาก”

Advertising

ธอส.ขยายเวลาช่วยเหลือลูกค้าเดิมที่ยังคงได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ไปจนถึง 31 ม.ค.64

People Unity News : ธอส.เปิดให้ลูกค้าเดิมที่รายได้ยังคงได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ยื่นคำขอลงทะเบียนเข้ามาตรการระยะที่ 2 ผ่าน APP GHB ALL ระหว่าง 2 – 29 ต.ค. 63

ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ประกาศให้ลูกค้าเดิมที่อยู่ระหว่างการใช้มาตรการ และยังคงได้รับผลกระทบด้านรายได้จากโควิด-19 สามารถลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้ามาตรการระยะที่ 2 โดยขยายระยะเวลาความช่วยเหลือไปจนถึงวันที่ 31 มกราคม 2564 รวม 4 มาตรการ ประกอบด้วย มาตรการที่ 1 พักชำระเงินต้น 3 เดือน จ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน สำหรับลูกค้าที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท มาตรการที่ 3 พักชำระเงินต้น 3 เดือน จ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน โดยลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เท่ากับ 3.90% ต่อปี มาตรการที่ 8 และมาตรการที่ 8.5 พักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นเวลา 3 เดือน เปิดให้ลงทะเบียนผ่าน APP GHB ALL ในวันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม 2563 ตั้งแต่เวลา 15.00น. เป็นต้นไป จนถึงวันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม 2563 เวลา 20.00 น.

นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ยังคงส่งผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้าธนาคาร ทำให้ที่ประชุมคณะกรรมการธนาคารเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2563 ได้มีมติตามที่ฝ่ายจัดการเสนออนุมัติให้ ธอส. ขยายระยะเวลาความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ระยะที่ 2 เฉพาะลูกค้าเดิมที่อยู่ระหว่างการใช้มาตรการที่ 1, มาตรการที่ 3, มาตรการที่ 8 และมาตรการที่ 8.5 และรายได้ยังคงได้รับผลกระทบจากโควิด-19

ทั้งนี้ ลูกค้าเดิมที่รายได้ยังคงได้รับผลกระทบจากโควิด-19 สามารถแจ้งความประสงค์ขอใช้มาตรการขยายความช่วยเหลือ ระยะที่ 2 ได้ผ่านทาง Application : GHB ALL ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม 2563 เริ่มตั้งแต่เวลา 15.00 น. เป็นต้นไป จนถึงวันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม 2563 เวลา 20.00 น. พร้อมแสดงหลักฐานเพื่อยืนยันว่ายังมีผลกระทบทางรายได้จริงให้ธนาคารพิจารณา อาทิ สลิปเงินเดือน หนังสือรับรองจากหน่วยงานต้นสังกัด ภาพถ่าย และ Statement เป็นต้น สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์

Advertising

“ประวิตร” เห็นชอบแผนพัฒนากำลังคนรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-curve ปี 2564 – 2565

People Unity News : “ประวิตร” เห็นชอบแผนพัฒนากำลังคนรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-curve ปี พ.ศ.2564 – 2565

วันนี้ (1 ตุลาคม 2563) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 109 ชั้น 1 สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพแห่งชาติ (กพร.ปช.) ครั้งที่ 1/2563 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สรุปสาระสำคัญ ดังนี้

ที่ประชุมรับทราบการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการที่อยู่ภายใต้คณะกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพแห่งชาติ (กพร.ปช) ช่วงที่ผ่านมา ประกอบไปด้วย 1) การดำเนินงานของสถาบันพัฒนาบุคลากรในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนอะไหล่ยานยนต์ (Automotive Human Resource Development Academy: AHRDA) ภายใต้วิสัยทัศน์ “พัฒนากำลังแรงงานด้านยานยนต์ไทยให้มีมาตรฐานสมรรถนะในระดับสากล” 2) การดำเนินงานของสถาบันพัฒนาบุคลากรสาขาเทคโนโลยีการผลิตอัตโนมัติและหุ่นยนต์ (Manufacturing Automation and Robotics Academy: MARA) เพื่อสอดรับนโยบายของรัฐบาลใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ (EEC) 3) การดำเนินงานของคณะอนุกรรมการบูรณาการระบบข้อมูลด้านแรงงานเพื่อรองรับการพัฒนากำลังคนในระดับชาติ ในการรวบรวมข้อมูลและจัดทำระบบเชื่อมโยงข้อมูลความต้องการกำลังแรงงาน แผนพัฒนากำลังแรงงาน และการฝึกอาชีพ ระหว่างหน่วยงานรัฐและเอกชน และ 4) การดำเนินงานของคณะอนุกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพจังหวัด (กพร.ปจ.) เพื่อพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานในภาพรวมของจังหวัด เพิ่มโอกาสในการทำงานในพื้นที่

นอกจากนี้ที่ประชุมได้พิจารณาวาระสำคัญ ได้แก่ แนวทางการจัดทำแผนพัฒนากำลังคนรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-curve ปี พ.ศ.2564 – 2565 ของหน่วยงานที่มีภารกิจด้านการจัดการศึกษาและการฝึกอบรมของส่วนราชการ โดยอาศัยความร่วมมือของภาครัฐและเอกชนให้สามารถผลิตและพัฒนากำลังคนรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพและตอบสนองความต้องการของภาคอุตสาหกรรมทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงพิจารณาแนวทางการพัฒนาอาชีพคนพิการตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2556 และกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ และการปรับปรุงองค์ประกอบและหน้าที่ของคณะกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพแห่งชาติ (กพร.ปช.)

โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวความห่วงใยต่อสถานการณ์การว่างงานของภาคอุตสาหกรรม จากผลกระทบของ covid-19 และจากเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ได้กำชับให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน เร่งขับเคลื่อนมาตรการพัฒนากำลังคนทุกระดับของประเทศ โดยจะต้องบูรณาการร่วมกันอย่างแน่นแฟ้น โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อผลิตแรงงานไทย รวมถึงส่งเสริมอาชีพคนพิการอย่างเป็นระบบให้สามารถสร้างงาน สร้างอาชีพ ยกระดับคุณภาพชีวิต เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมไทยในภาวะวิถีชีวิตใหม่ หรือ New Normal ต่อไป

Advertising

“บิ๊กป้อม” สั่งผลักดันกิจกรรมทางกีฬา เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจประเทศ

People Unity News : “บิ๊กป้อม” สั่งผลักดันกิจกรรมทางกีฬา เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจประเทศ

วันนี้ (30 ก.ย. 63) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี ชั้น 2 สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 10/2563 โดยมี นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เข้าร่วมด้วย โดยที่ประชุมพิจารณาประเด็นต่างๆ ที่น่าสนใจได้แก่ ประกาศกำหนดชนิดกีฬาเพิ่มเติม คือ คิกบ็อกซิ่ง (Kickboxing) แนวทางแก้ปัญหาอุปสรรคการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาเอเชียนอินดอร์และมาเชียลอาร์ทเกมส์ ครั้งที่ 6 พ.ศ. 2564 (ค.ศ. 2021) แผนการบริหารความเสี่ยงและควบคุมภายใน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 เป็นต้น

ที่ประชุมได้รับรองแผนงานของผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (นายก้องศักด ยอดมณี) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 จำนวน 10 แผนงาน ดังนี้ 1. แผนยกระดับการให้บริการของการกีฬาแห่งประเทศไทย SMART NATIONAL SPORTS PARK 2. แผนยกระดับหน่วยงานด้านกฎหมายของการกีฬาแห่งประเทศไทย (SPORTS LAW) 3. แผนการยกระดับการบริหารจัดการองค์กรทั้งระบบตามเกณฑ์รางวัลคุณภาพแห่งชาติ 4. แผนการพัฒนาข้อมูลดิจิทัลด้านการกีฬา (SPORTS DIGITAL PLATFORM) 5. แผนการยกระดับกิจกรรมและการแข่งขันกีฬา เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ 6. แผนการจัดตั้งเมืองกีฬา (SPORTS CITY) 7. แผนการพัฒนานักกีฬาคนพิการอย่างครบวงจร 8. แผนการส่งเสริมกิจกรรมกีฬา 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 9. แผนการยกระดับการบริการทางการแพทย์ ศูนย์วิทยาศาสตร์การกีฬาของการกีฬาแห่งประเทศไทย (SPORT MEDICAL SERVICES) และ 10. แผนยกระดับการจัดสวัสดิการบุคลากรการกีฬาแห่งประเทศไทย

โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายโดยถึงการบริหารงบประมาณประจำปี 2564 ซึ่งเป็นการเริ่มปีงบประมาณใหม่ ให้ดำเนินการไปตามเป้าหมายที่ได้วางแผนไว้อย่างถูกต้อง โปร่งใส ตามข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ที่สำคัญที่สุดคือต้องติดตามการใช้จ่ายให้ทันระยะเวลาที่รัฐบาลกำหนด รวมทั้งให้การกีฬาแห่งประเทศไทยได้เร่งพัฒนาบุคลากร และการบริหารจัดการภายในให้สามารถส่งเสริมสนับสนุนด้านการกีฬาของประเทศ โดยเฉพาะในส่วนของสมาคมกีฬาต่างๆ ให้เกิดความรวดเร็ว เป็นระบบอย่างชัดเจน ให้เห็นเป็นรูปธรรมโดยเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา การเตรียมพร้อมนักกีฬาก่อนการเข้าแข่งขัน  นอกจากนี้ ยังมอบหมายให้การกีฬาแห่งประเทศไทยพิจารณาจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อสนับสนุนฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ ได้แก่ กิจกรรมเดิน วิ่ง ปั่นจักรยาน การออกกำลังกาย และการจัดการแข่งขันกีฬาภายในให้มากขึ้น เพื่อสนับสนุนและกระตุ้นเศรษฐกิจให้แต่ละภูมิภาคมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ในส่วนของสมาคมกีฬาให้พิจารณาสนับสนุนส่งเสริมให้มีการจัดการแข่งขันกีฬาชิงแชมป์ประเทศไทยเพื่อเปิดกว้างให้มีการพิจารณานักกีฬาที่มีศักยภาพตามความต้องการของแต่ละสมาคมกีฬาอย่างแท้จริงด้วย

Advertising 

Verified by ExactMetrics