วันที่ 29 มีนาคม 2024

รอง ปธ.ธนาคารโลกเข้าพบ “สมคิด” อวยไทยมาถูกทาง

People unity news online :  วันนี้ (30 มีนาคม 2560) เวลา 15.00 น. นาง Victoria Kwakwa รองประธานธนาคารโลกประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก เข้าเยี่ยมคารวะ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ในโอกาสเยือนไทย ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรองประธานธนาคารโลกได้หารือถึงเศรษฐกิจของประเทศไทยและโครงการที่รัฐบาลจะพัฒนาประเทศไทยในระยะยาว โดยรองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงภูมิหลังทางเศรษฐกิจของไทยที่ต้องเผชิญกับวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจในปี พ.ศ.2540 ซึ่งประเทศไทยต้องใช้เวลา 6-7 ปีในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ สิ่งนี้ทำให้ประเทศไทยได้เรียนรู้ว่าสิ่งที่ประเทศต้องการไม่ใช่แค่ตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ประเทศไทยจำเป็นต้องปฏิรูป ซึ่งการปฏิรูปจะต้องมุ่งสร้างดุลยภาพการเติบโต โดยการสร้างความเข้มแข็งจากภายในเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืนสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก

รองนายกรัฐมนตรีระบุเพิ่มเติมว่า ประเทศไทยให้ความสำคัญกับ CLMVT ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่กำลังเจริญเติบโตและเป็นกลไกขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจที่สำคัญของอาเซียน ประเทศไทยจึงยินดีร่วมมือกับธนาคารโลกจัดทำแผนแม่บทสำหรับการพัฒนา CLMVT และนำเสนอแผนดังกล่าวให้กลุ่มประเทศ CLMVT เพื่อการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจร่วมกัน ซึ่งทางรองประธานธนาคารโลกได้แสดงความเข้าใจและยินดีร่วมมือกับไทยในเรื่องดังกล่าว นอกจากนี้ รองประธานธนาคารโลกยังกล่าวชื่นชมนโยบายของรัฐบาลในการผลักดันประเทศไทยไปสู่ประเทศไทย 4.0 รวมถึงการเตรียมความพร้อมทางด้านการศึกษาและแรงงานเพื่อรองรับอุตสาหกรรมใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

People unity news online : post 30 มีนาคม 2560 เวลา 20.58 น.

“บิ๊กตู่” ตั้งเป้าปี 61 รายได้ท่องเที่ยว 3 ล้านๆบาท แนะทุกจังหวัดพัฒนาจุดขายท่องเที่ยว

People unity news online : เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2560 พลโท สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยวของไทยในปี 2561 ว่า รัฐบาลตั้งเป้าสร้างรายได้เพิ่มขึ้นจากปี 2560 อีกร้อยละ 10 หรือคิดเป็นตัวเลขประมาณ 3.03 ล้านล้านบาท โดยยังคงเน้นการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพที่มุ่งให้นักท่องเที่ยวใช้เวลาพำนักอยู่ในประเทศไทยนานขึ้นผ่านมาตรการต่างๆ พร้อมทั้งอาศัยแรงเสริมจากผลสำรวจของต่างประเทศที่จัดอันดับให้ไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สามารถใช้เวลาท่องเที่ยวระยะยาวแต่คุ้มค่ามากที่สุดโดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร ช่วยผลักดันให้สำเร็จผลมากยิ่งขึ้น

“ปี 2561 จะเป็นปีแห่งการท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน หรือ Amazing Thailand year 2018 โดยรัฐบาลขอความร่วมมือหน่วยงานภาครัฐ เอกชน กลุ่มผู้ประกอบการอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ห้างสรรพสินค้า และสายการบิน ร่วมกันจัดกิจกรรม และใช้ตราสัญลักษณ์ประชาสัมพันธ์การจัดงาน รวมถึงมอบสินค้าและบริการราคาพิเศษ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว”

นายกรัฐมนตรียังกล่าวด้วยว่า กรอบเวลาของปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.60 – 1 ม.ค.62 โดยสาเหตุที่เริ่มต้นในช่วงปลายปีนี้นั้นเพราะจะมีงานสำคัญระดับโลกเกิดขึ้นในไทย คือ การสวนสนามทางเรือนานาชาติของกองทัพอาเซียนและนอกอาเซียน รวมกว่า 30 ประเทศ ในวันที่ 18 พ.ย.60 ณ อ่าวพัทยา และการแข่งขันเครื่องบิน Air Race 1 Thailand ซึ่งเป็นการแข่งขันเครื่องบินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่จะจัดขึ้นเป็นครั้งแรกของเอเชีย

“นายกฯอยากให้ทุกจังหวัดดึงเอกลักษณ์ที่โดดเด่น ไม่ว่าจะในแง่ของภูมิศาสตร์ ภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปวัฒนธรรม ฯลฯ ออกมาเป็นจุดขาย เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถใช้เป็นทางเลือกในการท่องเที่ยว เชื่อมโยงกลุ่มจังหวัด ภาค ไปสู่ประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้ชาวบ้านในชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้น และเป็นการยกระดับเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวมากยิ่งขึ้นอีกด้วย” พลโท สรรเสริญ แก้วกำเนิด กล่าว

People unity news online : post 11 กันยายน 2560 เวลา 13.25 น.

กระทรวงแรงงานเตรียมปลดล็อคอาชีพสงวน ให้ต่างชาติทำอาชีพก่อสร้างได้

People unity news online : เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2560 กระทรวงแรงงานได้สัมมนารับฟังความคิดเห็น พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 จากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย แบ่ง 3 กลุ่มพิจารณาปรับบทลงโทษ อาชีพสงวน และกระบวนการนำเข้าแรงงานต่างด้าวเข้ามาทำงานในประเทศไทย เผยงานภูมิปัญญา ศิลปหัตถกรรมอนุรักษ์ไว้สำหรับคนไทย พร้อมพิจารณาผ่อนคลายให้ต่างด้าวทำงานก่อสร้างได้ให้สอดคล้องกับยุคสมัย

หม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดการสัมมนารับฟังความคิดเห็น “พระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560” ณ ห้องประชุมจอมพล ป.พิบูลสงคราม ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงานว่า กระทรวงแรงงานได้จัดสัมมนารับฟังความคิดเห็น “พระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560” ซึ่งจากการที่ได้บังคับใช้กฎหมายเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2560 พบว่ามีข้อขัดข้องในการปฏิบัติ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ใช้มาตรา 44 ออกคำสั่งเพื่อให้เวลา 180 วันในการปรับปรุงชะลอบทลงโทษจนถึงวันที่ 1 มกราคม 2561 ในระหว่างนี้ให้กระทรวงแรงงานพิจารณารับฟังความคิดเห็นเพื่อปรับปรุงแก้ไขกฎหมายให้สอดคล้องเหมาะสม ขณะเดียวกันคณะรัฐมนตรีได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับฟังความคิดเห็นไปพร้อมกัน ซึ่ง พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รมว.แรงงาน ได้ให้ความสำคัญในเรื่องนี้มาก

ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวต่อว่า การสัมมนาในวันนี้มีการบรรยายสาระสำคัญของ พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 โดยผู้อำนวยการกองกฎหมาย กรมการจัดหางาน จากนั้นจะแบ่งกลุ่มรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย อาทิ สภาอุตสาหกรรม สภาหอการค้า สภาองค์การนายจ้าง สภาองค์การนายจ้าง ผู้เข้าร่วมสัมมนาจำนวน 250 คน โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรกเรื่องบทลงโทษ กลุ่มที่สองเรื่องอาชีพสงวน 39 อาชีพ เพื่อพิจารณาว่าอาชีพใดควรห้ามหรือยกเลิกเพื่อปรับปรุงให้เหมาะสม กลุ่มที่สามเรื่องการนำเข้าแรงงานต่างด้าวเข้ามาทำงานในประเทศไทย เพื่อพิจารณาข้อขัดข้องในกระบวนการนำเข้าให้มีความสะดวกมากยิ่งขึ้น จากนั้นสรุปผลการรับฟังความคิดเห็น ขณะเดียวกันหากมีประเด็นเพิ่มเติมผู้เข้าร่วมสัมมนาสามารถส่งแอกสารให้กระทรวงแรงงานพิจารณาต่อไปได้

“การพิจารณาอาชีพสงวนสำหรับคนไทยนั้น เบื้องต้นในหลักการเห็นว่า อาชีพที่เป็นภูมิปัญญาของคนไทย งานที่เป็นเอกลักษณ์ไทย งานที่ต้องอนุรักษ์ศิลปหัตถกรรมของคนไทย รวมถึงงานที่มีองค์กรสภาวิชาชีพรับรองเป็นการเฉพาะ ยังคงสงวนไว้สำหรับคนไทย ส่วนอาชีพอื่นๆ เช่น งานก่อสร้าง ก็จะพิจารณาในรายละเอียดเพื่อผ่อนคลายให้แรงงานต่างด้าวสามารถทำได้ ขณะเดียวกันเพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นจริงในแต่ละยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย” ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าว

People unity news online : post 8 กันยายน 2560 เวลา 22.25 น.

ทยอยติดตั้งแล้ว ไปใช้บริการได้เลย! เครื่องชำระหนี้เงินกู้อิเล็กทรอนิกส์ของ ธอส.

People unity news online : ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เดินหน้าตามแผน Transformation to Digital Services สร้างนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ทางการเงิน และช่องทางการให้บริการด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคในยุคไทยแลนด์ 4.0 เปิดตัวเครื่องชำระหนี้เงินกู้อิเล็กทรอนิกส์ หรือ LRM มาเริ่มให้บริการลูกค้าอย่างเต็มรูปแบบเป็นครั้งแรกนำร่องจำนวน 10 เครื่อง Application : GHB Smart Queue บริการจองคิว ใช้บริการที่สาขาของธนาคารได้ล่วงหน้า ซึ่งจะเริ่มให้ลูกค้าดาวน์โหลดมาใช้บริการจริงภายในไตรมาสที่ 3 และ Digital Corner อีกหนึ่งเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ ธอส. นำมาให้บริการประชาชน ณ สาขาสมาร์ท ซึ่งผู้ใช้บริการจะสามารถเลือกรับชมข้อมูลต่างๆของธนาคาร ผ่านจอ Video Wall ขนาดใหญ่ ด้วยการเคลื่อนไหวร่างกายและมือไปยังหัวข้อที่ต้องการทราบข้อมูล โดยไม่จำเป็นต้องสัมผัสที่หน้าจอโดยตรง

นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ตามที่ในปี 2560 ธนาคารได้จัดทำแผน Transformation to Digital Services โดยการสร้างนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ทางการเงิน และช่องทางการให้บริการด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นตัวขับเคลื่อน เพื่อให้ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมการเงินแบบดิจิตอลที่เข้าถึงง่าย สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ในทุกที่ทุกเวลา ล่าสุด เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่เข้ามาทำธุรกรรมการชำระหนี้เงินกู้ที่สาขา ธนาคารจึงได้นำเครื่องชำระหนี้เงินกู้อิเล็กทรอนิกส์ หรือ LRM มาเริ่มให้บริการลูกค้าอย่างเต็มรูปแบบเป็นครั้งแรกนำร่องจำนวน 10 เครื่อง ณ ที่ทำการสาขาของธนาคาร 5 แห่งที่มีผู้ใช้บริการชำระหนี้เงินกู้เป็นจำนวนมากในช่วงปลายเดือน แบ่งเป็น สำนักงานใหญ่ พระราม 9 จำนวน 4 เครื่อง สาขาแฟชั่น ไอส์แลนด์ 2 เครื่อง สาขาฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต 2 เครื่อง สาขาสุขสวัสดิ์ 1 เครื่อง และสาขาบิ๊กซี นวนคร 1 เครื่อง และหลังจากนี้จะทยอยนำตู้ LRM ไปติดตั้งเพิ่มเติมในบริเวณที่ลูกค้าเดินทางเข้าถึงง่ายและสะดวก อาทิ สถานีรถไฟฟ้า และห้างสรรพสินค้า เป็นต้น ซึ่งลูกค้าที่ชำระหนี้ผ่านเครื่อง LRM จะสามารถเลือกชำระหนี้ได้ทุกบัญชีเงินกู้ที่ต้องการ เพียงกดเลขที่บัญชีเงินกู้บัญชีใดบัญชีหนึ่งเพียงครั้งเดียว หรือสแกนบาร์โค้ดจากบัตรชำระหนี้เงินกู้ และใบแจ้งหนี้ ต่างจากการชำระเงินกู้ผ่านเครื่องฝาก-ถอนเงินอัตโนมัติ หรือ CDM ทั่วไปที่ชำระได้ครั้งละบัญชีเท่านั้น จึงสามารถลดระยะเวลาการใช้บริการในแต่ละครั้งลงได้ จากนั้นลูกค้ายังสามารถรับใบเสร็จรับเงินได้ทันที ซึ่งในใบเสร็จจะระบุรายละเอียดครบถ้วนเหมือนการชำระเงินกู้ที่เคาน์เตอร์ปกติ ทั้งจำนวนเงินที่ชำระ อัตราดอกเบี้ย จำนวนเงินต้นคงเหลือ และค่าธรรมเนียม เป็นต้น

นอกจากนี้ ภายในไตรมาส 3 ธอส.ยังเตรียมเปิดตัว Application : GHB Smart Queue บริการจองคิวใช้บริการที่สาขาของธนาคารที่ลูกค้าต้องการได้ล่วงหน้า ด้วยขั้นตอนดังนี้ 1.ดาวน์โหลด Application : GHB Smart Queue ที่ App Store (ระบบปฏิบัติการ iOS) และ Play Store (ระบบปฏิบัติการ Android) 2.เปิด Application เพื่อเข้าใช้งาน โดยสามารถ Login ด้วยการเชื่อมต่อกับบัญชี Facebook, Google หรือเข้าใช้งานโดยตรง 3.เปิด location ในโทรศัพท์สมาร์ทโฟนของตนเอง เพื่อให้ระบบทราบตำแหน่งที่อยู่ปัจจุบันของผู้ใช้บริการและระยะห่างจากสาขาแต่ละแห่ง 4.เลือกสาขาที่ต้องการเข้าใช้บริการ 5.เลือกประเภทบริการที่ต้องการทำธุรกรรม ประกอบด้วย ฝาก/ถอน เปิดบัญชี ชำระหนี้เงินกู้ สอบถามสินเชื่อ และยื่นกู้ 6.เลือกวันและเวลาที่ต้องการเข้าใช้บริการ 7.ระบบจะแจ้งรายละเอียดการนัดตามที่ลูกค้าระบุ พร้อมแจ้งเตือนก่อนถึงเวลานัดหมายประมาณ 5 นาที และจะให้กดยืนยันคิวการเข้าใช้บริการ ทั้งนี้ เฉพาะลูกค้าที่อยู่ในระยะ 500 เมตร จากสาขาที่นัดหมายเข้าใช้บริการเท่านั้น 8.เมื่อกดยืนยันจะได้รับหมายเลขคิว เพื่อเข้าใช้บริการตามเวลานัดหมายได้ทันทีโดยไม่ต้องรอ โดยมั่นใจว่า Application : GHB Smart Queue จะสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคในยุคไทยแลนด์ 4.0 ที่ต้องการความสะดวกรวดเร็วในการใช้บริการได้

ขณะเดียวกัน ธอส.ยังได้เปิดตัว Digital Corner อีกหนึ่งเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ ธอส. นำมาให้บริการประชาชน ณ สาขาสมาร์ท อาคาร 1 ชั้น 1 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำนักงานใหญ่ ซึ่งผู้ใช้บริการจะสามารถเลือกรับชมข้อมูลต่างๆของธนาคาร อาทิ ผลิตภัณฑ์สินเชื่อ เงินฝาก ทรัพย์ NPA สิทธิประโยชน์พิเศษจากพันธมิตรที่มอบให้เฉพาะลูกค้า ธอส. และข้อมูลที่เกี่ยวกับสาขาของธนาคารทั่วประเทศ โดยการรับชมผ่านจอ Video Wall ขนาดใหญ่ ที่กว้างถึง 3.53 เมตร และสูง 1.82 เมตร ซึ่งผู้ใช้บริการจะต้องเคลื่อนไหวร่างกายและมือไปยังหัวข้อที่ต้องการทราบข้อมูลโดยไม่จำเป็นต้องสัมผัสที่หน้าจอโดยตรง และยังสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ง่ายๆ เพียงสแกน QR Code ด้วยโทรศัพท์สมาร์ทโฟนที่หน้าจอ Video Wall ได้ทันทีอีกด้วย

People unity news online : post 5 มิถุนายน 2560 เวลา 10.56 น.

 

มหาดไทยเผย “ตลาดประชารัฐ” กระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากแล้วกว่า 1.2 พันล้านบาท

People unity news online : กระทรวงมหาดไทยเผย “ตลาดประชารัฐ” กระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากแล้วกว่า 1.2 พันล้านบาท เดินหน้าพัฒนาก้าวต่อไปตลาดประชารัฐสู่ตลาดกลางพืชผลทางการเกษตร

เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2561 ที่กระทรวงมหาดไทย นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการขับเคลื่อนการดำเนินงานโครงการตลาดประชารัฐจำนวน 10 ประเภท ซึ่งตลอดระยะเวลากว่า 9 เดือน โครงการตลาดประชารัฐ สามารถสร้างงาน สร้างโอกาส สร้างอาชีพ และสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกร ผู้มีรายได้น้อย และผู้ประกอบการที่ไม่มีสถานที่ค้าขายได้เป็นผู้ประกอบการรายใหม่ นำมาซึ่งรายได้เพื่อใช้ในการดำรงชีวิตอย่างยั่งยืน

โฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ปัจจุบันกระทรวงมหาดไทยได้ร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลตลาดประชารัฐ ดำเนินการเปิดตลาดประชารัฐแล้วทั้งสิ้น 6,610 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งได้ดำเนินการจัดสรรพื้นที่จำหน่ายสินค้าให้ผู้ประกอบการแล้ว จำนวน 96,246 ราย คิดเป็นร้อยละ 91.32 มีจังหวัดที่ดำเนินการจัดสรรพื้นที่ให้ผู้ประกอบการเสร็จแล้ว 51 จังหวัด สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากทั้งประเทศ 1,219.328 ล้านบาท สร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1,810 บาทต่อเดือน นอกจากนี้ กระทรวงมหาดไทยได้บูรณาการร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ยกระดับตลาดประชารัฐให้เป็นตลาดเพื่อการท่องเที่ยวจังหวัดต่างๆ โดยได้คัดเลือกตลาดประชารัฐที่มีศักยภาพเสนอเป็นกิจกรรมในปฏิทิน “ปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน” จำนวน 171 ตลาด ใน 70 จังหวัดทั่วประเทศ

ในด้านการส่งเสริม สนับสนุนและช่วยเหลือเกษตรกรในการนำสินค้าเกษตรมาจำหน่ายในตลาด กระทรวงมหาดไทยได้ร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลตลาดประชารัฐ ดำเนินการสนับสนุนรับสินค้าเกษตรเพื่อเป็นแหล่งระบายสินค้าทางการเกษตรตามฤดูกาลเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบภาวะสินค้าล้นตลาด อาทิ ข้าวขาว ข้าวหอมมะลิ สินค้าเกษตรอินทรีย์ ผักพื้นบ้าน/ผักสวนครัว ซึ่งได้ช่วยเหลือเกษตรกรแล้ว จำนวน 5,702 ราย สร้างรายได้ 2,433,364 บาท และได้ขยายผลตลาดประชารัฐไปยังส่วนราชการที่มีความพร้อมในการสนับสนุนพื้นที่ให้เกษตรกรที่มีศักยภาพและความพร้อมนำสินค้ามาจำหน่ายในตลาด ซึ่งมีส่วนราชการแจ้งความประสงค์ ทั้งสิ้น 9 กระทรวง จำนวน 475 แห่ง ทั่วประเทศ

โฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับก้าวต่อไปของโครงการตลาดประชารัฐ กระทรวงมหาดไทย จะได้ร่วมกับหน่วยงานเจ้าของตลาด ดำเนินการขยายตลาดประชารัฐในพื้นที่ให้เป็นไปในลักษณะ “ตลาดกลางพืชผลทางการเกษตร” รวมทั้งคัดเลือกและสนับสนุนเกษตรกรในการนำสินค้ามาจำหน่ายในตลาดประชารัฐที่เข้าร่วมโครงการ ทั้งตลาดประชารัฐที่ดำเนินการอยู่ และตลาดประชารัฐที่หน่วยงานต่างๆ ได้จัดพื้นที่หรือสนับสนุนพื้นที่ เพื่อเปิดโอกาสให้เกษตรกรที่มีศักยภาพและความพร้อมได้นำสินค้ามาจำหน่ายในตลาด และจะได้คัดเลือกตลาดประชารัฐที่มีการดำเนินการเป็นเลิศ (Best Practice) ของจังหวัด เช่น ด้านตลาดสะอาด ตลาดปลอดภัย ไม่ใช่โฟม ด้านการท่องเที่ยว และด้านสินค้าเกษตรปลอดภัย เพื่อเป็นต้นแบบและถอดบทเรียนผลความสำเร็จสู่การดำเนินงานของตลาดประชารัฐเพื่อให้เกิดความยั่งยืนต่อไป

People unity news online : post 12 กันยายน 2561 เวลา 09.20 น.

ฉลองครบรอบ 64 ปี ธอส.เปิดฝากออมทรัพย์ รับดอกเบี้ยสูง 1.80%

People unity news online : ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ฉลองครบรอบ 64 ปี เอาใจผู้ที่รักการออม จัดทำ “เงินฝากออมทรัพย์ ธอส. เงินเต็มบ้าน” รับอัตราดอกเบี้ย 1.80% ต่อปี สำหรับลูกค้าที่เปิดบัญชีและมียอดเงินฝากคงเหลือไม่เกิน 1 ล้านบาท ส่วนผู้ที่ยอดเงินฝากคงเหลือมากกว่า 1 ล้านบาทขึ้นไป รับอัตราดอกเบี้ย 0.90% ต่อปี เงื่อนไขเปิดบัญชีเงินฝากครั้งแรกขั้นต่ำ 500 บาท ฟรี! บัตร ATM GHB Lifestyles card ฟรีค่าธรรมเนียมการออกบัตรและค่าธรรมเนียมรายปีในปีแรก ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถเปิดบัญชีได้ที่สาขา ธอส. ทุกแห่งทั่วประเทศ ภายในวันที่ 30 กันยายน 2560 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์

People unity news online : post 26 กันยายน 2560 เวลา 22.30 น.

ธอส.เห็นใจประชาชน ออก 6 มาตรการการเงินช่วยเหลือผู้ประสบน้ำท่วม

People unity news online : ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ประกาศ 6 มาตรการบรรเทาความเดือดร้อนด้านที่อยู่อาศัยให้กับลูกค้าประชาชนที่ประสบอุทกภัย

นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ตามที่ปัจจุบันได้เกิดสถานการณ์ฝนตกหนัก ซึ่งส่งผลให้เกิดปัญหาอุทกภัยในหลายจังหวัด จนส่งผลให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนทั้งที่อยู่อาศัย และการประกอบอาชีพ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ซึ่งมีพันธกิจทำให้คนไทยมีบ้าน พร้อมที่จะเป็นกลไกหลักในการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนด้านที่อยู่อาศัยให้กับลูกค้าประชาชนที่ประสบอุทกภัย รวมถึงมาตรการฟื้นฟูภายหลังน้ำลดระดับลง โดยเตรียมวงเงิน 500 ล้านบาท จัดทำ “โครงการเงินกู้ที่อยู่อาศัยเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยปี 2560” โดยธนาคารจะพิจารณาตามระดับความเสียหาย ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

มาตรการที่ 1 สำหรับลูกค้าเดิมของ ธอส. กรณีหลักประกัน (ที่อยู่อาศัยที่จดจำนองกับธนาคาร) ได้รับผลกระทบ ธนาคารจะลดภาระดอกเบี้ยและเงินงวดผ่อนชำระ โดยคิดอัตราดอกเบี้ย 0% ต่อปี นาน 3 เดือนแรก เดือนที่ 4-12 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.50% ต่อปี ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.00% ต่อปี ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.00% ต่อปี และปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญาเงินกู้กรณีลูกค้าสวัสดิการ ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-1.00% ต่อปี กรณีลูกค้ารายย่อยทั่วไป ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-0.50% ต่อปี กรณีกู้เพื่อชำระหนี้หรือซื้ออุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกฯ ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ธอส. อยู่ที่ 6.75% ต่อปี)

มาตรการที่ 2 สำหรับลูกค้าใหม่ หรือลูกค้าเดิมของ ธอส. ที่อาคารหรือบ้านได้รับความเสียหาย สามารถขอกู้เพิ่ม หรือกู้ใหม่ เพื่อปลูกสร้างทดแทนหลังเดิม หรือกู้ซ่อมแซมอาคารที่ได้รับความเสียหาย คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้คงที่ 3.00% ต่อปี นาน 3 ปี หลังจากนั้น กรณีลูกค้าสวัสดิการ คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-1.00% ต่อปี ส่วนลูกค้ารายย่อย คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี

มาตรการที่ 3 ลูกหนี้ที่หลักประกันได้รับความเสียหาย และกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ ให้ลูกหนี้ประนอมหนี้ระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี 4 เดือน คิดอัตราดอกเบี้ย 0% ต่อปี นาน 4 เดือนแรกโดยไม่ต้องชำระเงินงวด จากนั้นเดือนที่ 5-16 อัตราดอกเบี้ย 1% ต่อปี โดยให้ผ่อนชำระเงินงวดไม่น้อยกว่าดอกเบี้ยรายเดือน และเมื่อครบระยะเวลาประนอมหนี้ ให้ลูกหนี้กลับมาใช้อัตราดอกเบี้ยตามสิทธิเดิมก่อนที่จะใช้มาตรการนี้

มาตรการที่ 4 ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้ ให้ลูกหนี้ประนอมหนี้เป็นระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี อัตราดอกเบี้ย 1% ต่อปี โดยให้ผ่อนชำระเงินงวดไม่น้อยกว่าดอกเบี้ยรายเดือน และเมื่อครบระยะเวลาประนอมหนี้ให้ลูกหนี้กลับมาใช้อัตราดอกเบี้ยตามสิทธิเดิมก่อนที่จะใช้มาตรการนี้

มาตรการที่ 5 ลูกหนี้ที่เสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวร ให้ผ่อนชำระโดยใช้อัตราดอกเบี้ย 0.01% ต่อปี  ตลอดระยะเวลาที่คงเหลือตามสัญญากู้

มาตรการที่ 6 กรณีที่อยู่อาศัยได้รับความเสียหายทั้งหลังและไม่สามารถซ่อมแซมได้ ให้ปลอดหนี้ในส่วนของราคาอาคาร และให้ผ่อนชำระต่อเฉพาะในส่วนของที่ดินที่คงเหลือเท่านั้น

สำหรับผู้ที่ต้องการกู้เพื่อปลูกสร้างซ่อมแซมอาคาร ธนาคารกำหนดวงเงินให้กู้ต่อรายไว้ไม่เกิน 1 ล้านบาท ต่อ 1 หลักประกัน โดยคุณสมบัติของผู้ที่สามารถเข้าร่วม “โครงการเงินกู้ที่อยู่อาศัยเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ปี 2560” จะต้องเป็นลูกหนี้เดิมของ ธอส. หรือลูกค้าใหม่ ซึ่งมีที่อยู่อาศัยเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเองหรือคู่สมรส และได้รับความเสียหายจากการประสบอุทกภัย สามารถติดต่อได้ที่สาขาของธนาคารอาคารสงเคราะห์ตั้งแต่วันอังคารที่ 31 ตุลาคม 2560 เป็นต้นไป สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส.ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์

People unity news online : post 31 ตุลาคม 2560 เวลา 21.50 น.

ธ.ออมสินยกระดับอาหารริมทาง จัดแข่งขันพัฒนาอาหารริมทาง “สตรีทฟู้ด 4 มิติ”

People unity : แบงก์ออมสิน พัฒนาร้านอาหารริมทางเท้าทั่วไทย เปิดโครงการ GSB Street Food เปลี่ยนชีวิต (กล้าคิด ชีวิตเปลี่ยน) จัดแข่งขันแสดงความคิดสร้างสรรค์ในหัวข้อ “พัฒนาสตรีทฟู้ด 4 มิติ” ที่ต้องมีดีทั้งรสชาติ นวัตกรรม และหน้าตาอาหาร ชิงเงินรางวัลกล้าเริ่มกว่า 2 ล้านบาท พร้อมเชิญเชียร์และชมการแข่งขันผ่านรายการเรียลลิตี้สตรีทฟู้ด รายการแรกของไทยทางช่อง True4U 24  เปิดรับสมัคร 15 มี.ค.-15 เม.ย.62 นี้

นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้ก้าวเข้าสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 ด้วยการพัฒนายกระดับอาชีพต่างๆ รวมถึงการค้าขายริมทางเท้า หรือ สตรีทฟู้ด ที่มีการนำนวัตกรรม เทคโนโลยี ตลอดจนสาธารณสุข เข้ามาช่วยยกมาตรฐานทั้งความอร่อย ความสะอาด ถูกสุขอนามัย โดยที่ธนาคารออมสินได้เป็นแหล่งทุนสนับสนุนผู้ประกอบการสตรีทฟู้ดมานานกว่า 16 ปี ผ่านโครงการธนาคารประชาชน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการยกระดับกลุ่มผู้ประกอบการนี้มาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดวันนี้ ธนาคารออมสินเปิดโอกาสครั้งสำคัญให้กลุ่มผู้ประกอบการสตรีทฟู้ด ด้วยโครงการ GSB Street Food เปลี่ยนชีวิต (กล้าคิด ชีวิตเปลี่ยน) ด้วยการจัดประกวดร้านค้าริมทางเท้า เปิดโอกาสแสดงความคิดเพื่อสร้างความโดดเด่นให้กับธุรกิจร่วมแข่งขันภายใต้หัวข้อ “พัฒนาสตรีทฟู้ด 4 มิติ” หรือ “4 D Street Food Upgrade” โดยเปิดรับสมัครทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม ถึงวันที่ 15 เมษายน 2562 นี้

หัวข้อ “พัฒนาสตรีทฟู้ด 4 มิติ” หรือ “4 D Street Food Upgrade” ประกอบด้วย 1.D Food ด้านอาหาร ที่นอกเหนือจากส่วนผสม วัตถุดิบ ที่นำมาปรุงให้มีรสชาติที่ดีเลิศ รวมถึงกระบวนการปรุงที่ดีด้วยแล้ว จะต้องปรับปรุงอาหารให้มีมิติใหม่ 2.D Innovation ด้านนวัตกรรม นำนวัตกรรมดีๆ ทั้งวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาช่วยปรับปรุงอาหารให้น่าสนใจ 3.D Design การออกแบบ การใช้ความคิดสร้างสรรค์อาหาร และ 4.D Marketing ด้านการตลาด ต้อมมีมุมมองด้านการตลาดใหม่ๆ ซึ่งการแข่งขันนี้จะมีการนำเสนอภาพการแข่งขันในรายการเรียลลิตี้สตรีทฟู้ด ซึ่งถือเป็นรายการเรียลลิตี้สตรีทฟู้ดรายการแรกของไทย ผ่านสถานีโทรทัศน์ ช่อง True4U 24 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 12.30-13.30 น.

สำหรับผู้สมัครเข้าร่วมโครงการต้องมีสัญชาติไทย มีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ และประกอบอาชีพค้าขายอาหารสตรีทฟู้ดเป็นอาชีพหลัก ทั้งอาหารหรือเครื่องดื่มที่พร้อมบริโภค โดยจำหน่ายริมทางเท้า หรือที่สาธารณะ ทั้งร้านตึกแถว ซุ้มขายอาหาร รถเข็นอาหาร หาบเร่ รถเร่ หรือรถบรรทุกอาหาร โดยมีเงินรางวัลรวมกว่า 2 ล้านบาท โดยผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดได้ทางเฟซบุ๊กโครงการ www.facebook.com/gsbstreetfoodtv

“มีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสตรีทฟู้ด ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการธุรกิจสตรีทฟู้ดมากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับธนาคารออมสินซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาเล็งเห็นถึงความสำคัญของผู้ประกอบการธุรกิจนี้ โดยมีนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนในหลากหลายรูปแบบอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงให้ผู้ประกอบการธุรกิจสตรีทฟู้ดมาแล้วทั่วประเทศ และครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐหลักที่สำคัญ ได้แก่ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สถาบันอาหาร และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA” ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวในที่สุด

เศรษฐกิจ : ธ.ออมสินยกระดับอาหารริมทาง จัดแข่งขันพัฒนาอาหารริมทาง “สตรีทฟู้ด 4 มิติ”

People unity : post 5 มีนาคม 2562 เวลา 20.40 น.

แจกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (ไทยนิยม ยั่งยืน) ผลิตรอบ 2 ให้ผู้มีสิทธิอีก 78,572 ราย

People Unity : กรมบัญชีกลางมอบหมายให้สำนักงานคลังจังหวัด / ทีมหมอคลังอุ่นใจ แจกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ภายใต้โครงการไทยนิยม ยั่งยืน ขณะนี้ได้ผลิตบัตรฯสำหรับผู้มีสิทธิที่ข้อมูลคลาดเคลื่อน ไม่ถูกต้อง ไม่ชัดเจน เพิ่มเติมครั้งที่ 2 เรียบร้อยแล้ว พร้อมส่งมอบให้แก่ผู้มีสิทธิ 78,572 ราย

18 เมษายน 2562 นางญาณี แสงศรีจันทร์ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบการเงินการคลัง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมบัญชีกลางได้มอบหมายให้สำนักงานคลังจังหวัด / ทีมหมอคลังอุ่นใจ 76 จังหวัด แจกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้แก่ผู้มีสิทธิจากโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติม ภายใต้โครงการไทยนิยม ยั่งยืน ในกลุ่มผู้พิการ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง หรือผู้ที่ไม่สามารถเดินทางมาลงทะเบียนได้ในปี 2560 ที่ยังไม่ได้ไปรับบัตรสวัสดิการฯ จากทีมไทยนิยม ยั่งยืน และอำเภอ ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2562 เป็นต้นมา

โฆษกกรมบัญชีกลาง กล่าวต่อว่า กรมบัญชีกลางได้ผลิตบัตรสวัสดิการฯ ให้แก่ผู้มีสิทธิไปแล้ว จำนวน 3,121,307 ราย โดยผลิตครั้งแรก จำนวน 3,042,735 ราย และผลิตครั้งที่ 2 สำหรับผู้มีสิทธิที่มีข้อมูลคลาดเคลื่อน ไม่ถูกต้อง ไม่ชัดเจนเพิ่มเติมอีก จำนวน 78,572 ราย โดยได้แจกบัตรสวัสดิการฯ ให้แก่ผู้มีสิทธิซึ่งได้นำไปใช้จ่ายแล้ว จำนวน 2,984,727 ราย คิดเป็นร้อยละ 95.62 (ข้อมูล ณ วันที่ 12 เมษายน 2562) สำหรับผู้มีสิทธิที่ยังไม่ได้รับบัตรสวัสดิการฯ สามารถเดินทางไปรับบัตรสวัสดิการฯด้วยตนเองได้ที่สำนักงานคลังจังหวัด / กรุงเทพมหานคร ตามที่อยู่ปัจจุบันที่ได้ลงทะเบียนไว้ โดยนำบัตรประจำตัวประชาชนตัวจริงไปแสดงตน เพื่อขอรับบัตรสวัสดิการฯ และลงลายมือชื่อเพื่อเป็นหลักฐานยืนยันการรับบัตรสวัสดิการฯ หรือกรณีจะมอบอำนาจให้ผู้อื่นรับบัตรสวัสดิการฯแทน ต้องดำเนินการ ดังนี้ 1. ให้ผู้มีสิทธิทำหนังสือมอบอำนาจและลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจ 2. นำสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มีสิทธิที่เซ็นรับรองสำเนาแล้ว แนบไปพร้อมกับหนังสือมอบอำนาจ 3. ผู้รับมอบอำนาจนำหนังสือมอบอำนาจดังกล่าว พร้อมแสดงบัตรประจำตัวประชาชนตัวจริงของผู้มีสิทธิและของผู้รับมอบ ไปยื่นที่สำนักงานคลังจังหวัด / กรุงเทพมหานคร เพื่อขอรับบัตรสวัสดิการฯแทน สำหรับการใช้งานบัตรสวัสดิการฯจะดำเนินการเช่นเดิม คือ ผู้มีสิทธิจะนำบัตรสวัสดิการฯไปใช้ได้หลังจากวันที่ได้รับบัตรสวัสดิการฯ 2 วัน เนื่องจากต้องดำเนินการ Activate บัตร เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ที่ไม่มีสิทธินำเงินในบัตรไปใช้

เศรษฐกิจ : แจกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (ไทยนิยม ยั่งยืน) ผลิตรอบ 2 ให้ผู้มีสิทธิอีก 78,572 ราย

People Unity : post 18 เมษายน 2562 เวลา 11.50 น.

“สนธิรัตน์” สนใจนำเครือข่ายโลจิสติกส์อัจฉริยะของไช่เหนี่ยวเน็ตเวิร์คเชื่อมโยงโลจิสติกส์ไทย

People unity news online : สนธิรัตน์ นำผู้บริหารเข้าดูงานไช่เหนี่ยวเน็ตเวิร์ค ดูการจัดการสต็อคสินค้าที่ทันสมัยที่สุดในเครือกลุ่มอาลีบาบา เผยเตรียมเชิญผู้ประกอบการโลจิสติกส์ไทยหารือ

6 พฤศจิกายน 2561 นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวภายหลังการนำคณะซึ่งพร้อมด้วย นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมกิจการไช่เหนี่ยวเน็ตเวิร์ค (Cainigo Network) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์ภายใต้อาลีบาบากรุ๊ป ว่า การเยี่ยมชมศูนย์กลางโลจิสติกส์ครั้งนี้มีประโยชน์มาก โดยเฉพาะเรื่องของระบบการจัดการล้ำยุคที่ไช่เหนี่ยวเน็ตเวิร์ค นำมาใช้ เช่น ระบบ AI ระบบ Edge Computing อีกทั้งการลดลงต้นทุนโดยนำโรบอท AGV (Automatic Guided Vehicles) เข้ามาใช้งานด้วย

สำหรับ โรบอทที่นำมาใช้กว่า 500 ตัว ทำหน้าที่ในการหยิบและแพ็คสินค้า ช่วยลดขั้นตอนการทำงานของพนักงานได้ถึง 50,000 ขั้นตอนต่อคนต่อวัน นอกจากนี้ ภายในคลังสินค้ายังใช้เซนเซอร์อินฟราเรด ที่สามารถระบุความสูงของกองสินค้าคงคลัง และใช้กล้องคำนวณความสามารถในการบรรจุของคลังแบบเรียลไทม์ ทำให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและรวดเร็ว ปัจจุบัน ไช่เหนี่ยวสามารถให้บริการส่งสินค้าไปยัง 30 เมืองในต่างประเทศครอบคลุมทุกภูมิภาคได้ภายใน 5 วัน โดยมีเป้าหมายจะให้บริการส่งสินค้าไปยังทุกพื้นที่ในโลกภายใน 72 ชั่วโมง ภายใน 3 ปี

ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าระบบที่ไช่เหนี่ยวเน็ตเวิร์คนำมาใช้ในระบบโลจิสติกส์ขนส่งสินค้าที่มีการสั่งซื้อผ่านการค้าอีคอมเมิร์ซของอาลีบาบาเอง ที่จะคอยให้บริการลูกค้านั้น เป็นสิ่งที่น่าสนใจ และน่าสนใจที่จะทำอย่างไรให้โลจิสติกส์ไทยจะเป็นส่วนหนึ่งในซัพพลายเชนให้กับไช่เหนี่ยวเน็ตเวิร์คได้ อีกทั้งประโยชน์ที่ไทยจะได้เรียนรู้ระบบการจัดการโรบอท ที่จะนำมาปรับปรุงการจัดการขนส่งสินค้าของไทย เพราะมองว่าเป็นเรื่องยากที่เราจะเข้าแข่งขัน แต่หากสร้างพาร์ทเนอร์จะเป็นการดีมากกว่า

ทั้งนี้ ตนได้สั่งการให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ร่วมหารือและเชิญผู้ประกอบการโลจิสติกส์ไทยเข้ามาหารือเกี่ยวกับการสร้างความเชื่อมโยงกับไช่เหนี่ยวเน็ตเวิร์คจะดำเนินการเชื่อมโยงได้อย่างไรบ้าง เพราะกิจการโลจิสติกส์จำเป็นต้องอาศัยเครือข่ายอย่างไร มีเป้าหมายที่ต้องการยกระดับให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง หรือฮับโลจิสติกส์อัจฉริยะในภูมิภาค ซึ่งแนวโน้มการค้าโลกที่มุ่งสู่ยุค E-Commerce อย่างเต็มรูปแบบ ไทยก็คงหนีไม่พ้นจึงต้องเตรียมความพร้อมและต้องพัฒนาเครือข่ายโลจิสติกส์อัจฉริยะที่มีประสิทธิภาพสูงไว้รองรับ

People unity news online : post 6 พฤศจิกายน 2561 เวลา 14.00 น.

Verified by ExactMetrics