วันที่ 29 มีนาคม 2024

รัฐบาลเตือนเที่ยวคืนฮาโลวีนอย่างระมัดระวัง

People Unity News : 30 ตุลาคม 2566 ทำเนียบรัฐบาล – โฆษกรัฐบาล เผย นายกฯ ห่วงใย ปชช.ทั้งใน ปท.และ ตปท. เที่ยวคืนฮาโลวีนอย่างระมัดระวัง มีสติ เลี่ยงสถานที่แออัด พลุกพล่าน

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นห่วงคนไทยทุกพื้นที่ ในช่วงการเฉลิมฉลองเทศกาลฮาโลวีน และขอให้หลีกเลี่ยงการเฉลิมฉลองในสถานที่แออัด ซึ่งคืนพรุ่งนี้ (31 ต.ค.) เป็นวันฮาโลวีน สถานบันเทิงจะจัดงานเฉลิมฉลอง หน่วยงานต่าง ๆ จึงมีมาตรการคำแนะนำป้องกัน ดูแลความปลอดภัยคนไทย  เช่น ตำรวจท่องเที่ยว ได้ออกคำแนะนำทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ให้กับนักท่องเที่ยว ดังนี้ 1. วางแผนการเดินทางล่วงหน้า เพื่อให้รู้ว่าจะเดินทางไปอยู่ตรงไหน จะได้รู้จักเส้นทางก่อน และควรดูพยากรณ์อากาศด้วย 2. หากเป็นสถานที่ปิด ควรดูทางออกฉุกเฉิน และควรมีเพื่อนไปด้วยอย่างน้อย 1 คน 3. หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด เพื่อป้องกันเรื่องการถูกล้วงกระเป๋าจากมิจฉาชีพ และการไปเบียดเสียดกับคนอื่น 4. ดื่มอย่างมีสติ อย่าทิ้งตัว และดื่มไม่ขับ 5. อย่าลืมปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ หรือมาตรการรักษาความปลอดภัยของสถานที่นั้น ๆ หากมีเหตุฉุกเฉิน สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน หมายเลข 1155 ตำรวจท่องเที่ยว

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  กล่าวว่า สถานที่หลัก ๆ ที่มีคนจำนวนมากและมีความเป็นห่วงมากก็คือ ถนนข้าวสาร เพราะมีลักษณะของพื้นที่คล้ายกับอิแทวอน สาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุโศกนาฎกรรมเมื่อปีที่แล้ว  ขณะที่สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล ได้ออกประกาศ เรื่องมาตรการรักษาความปลอดภัยสำหรับคนไทยในสาธารณรัฐเกาหลี โดยขอให้คนไทยในสาธารณรัฐเกาหลีระมัดระวังการเข้าไปในสถานที่ที่คนพลุกพล่าน พยายามหลีกเลี่ยงการเข้าร่วมเฉลิมฉลองในเทศกาล ฮาโลวีน ที่อาจจัดขึ้นในสถานที่ต่าง ๆของสาธารณรัฐเกาหลีในปีนี้

นายชัย กล่าวว่า หากจะเข้าร่วมงาน ก็ขอให้ระมัดระวังในการไปรวมตัวยังสถานที่ที่มีผู้คนแออัด หรือมีฝูงชนเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมากที่อาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นได้ เช่น การล้มทับกันของฝูงชนที่เบียดเสียดกัน ทั้งนี้ หากรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย ก็ขอให้รีบหาทางหลบออกมาจากสถานที่ดังกล่าวโดยเร็ว หากคนไทยต้องการความช่วยเหลือในกรณีฉุกเฉิน สามารถติดต่อได้ที่ฝ่ายกงสุลของสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงโซล เบอร์โทรศัพท์ +82 10-6747-0095 หรือ +82 10-3099-2955

“นายกรัฐมนตรี ห่วงใยคนไทยที่ต้องการเข้าร่วมช่วงการเฉลิมฉลอง ขอให้เที่ยวอย่างมีสติ เตรียมการเดินทาง เข้าร่วมกิจกรรม อย่างระมัดระวัง หลีกเลี่ยงบริเวณแออัด พื้นที่คนพลุกพล่าน เพื่อป้องกันอุบัติเหตุไม่คาดฝัน” นายชัย กล่าว

Advertisement

7 กระทรวง บูรณาการยกระดับขับเคลื่อนการพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิตให้มีศักยภาพสูง

People Unity News : ประยุทธ์ เป็นประธานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงบูรณาการความร่วมมือ 7 กระทรวง ยกระดับการขับเคลื่อนพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิตให้มีศักยภาพสูง ย้ำ รัฐบาลให้ความสำคัญพัฒนากำลังคนของชาติทุกช่วงวัย เน้นแนวทาง 5H/4S พัฒนาคนตลอดช่วงชีวิต ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

วันนี้ (24 มีนาคม 2565) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงการบูรณาการความร่วมมือ 7 กระทรวง : การพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิต (กลุ่มเด็กปฐมวัย และผู้สูงอายุ) พ.ศ. 2565–2569 ระหว่างรัฐมนตรี 7 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุข โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และ ศาสตราจารย์ ดร.สัมพันธ์ ฤทธิเดช เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เข้าร่วม

จากนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ด้วยการพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิต” ว่า ทรัพยากรมนุษย์เป็นหัวใจของการพัฒนาประเทศ รัฐบาลจึงให้ความสำคัญกับการพัฒนากำลังคนของชาติในทุกช่วงวัยเป็นอย่างยิ่ง เพราะทุกคนเป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศอย่างรอบด้าน ซึ่งการพัฒนาเด็กปฐมวัยนับเป็นรากฐานขั้นต้นที่ต้องได้รับการเติมเต็มศักยภาพ พัฒนาการเรียนรู้อย่างรอบด้าน และเท่าเทียมในทุกมิติ ซึ่งเด็กทุกคนมีพรสวรรค์ ต้องค้นหาให้เจอ เพื่อนำสิ่งที่มีมาพัฒนาเติมเต็มศักยภาพ จึงนับเป็นความท้าทายสำหรับทุกหน่วยงานในการติดตามกำกับดูแล และเอาใจใส่ เพื่อให้เด็กเติบโตมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลง โดยเริ่มตั้งแต่พ่อแม่ ครอบครัว โรงเรียน สังคม ร่วมปลูกฝังให้เด็กมีจิตสำนึกที่ดี เผื่อแผ่ แบ่งปัน นำไปสู่การเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพของสังคม และต้องสร้างทัศนคติที่ดีของคนในสังคมที่มีต่อผู้สูงอายุ เพราะบุคคลกลุ่มนี้เป็นบุคลากรที่มีศักยภาพ สามารถพึ่งพาตนเองได้ และยังเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาประเทศที่สามารถขับเคลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ เพื่อความพร้อมในการก้าวเข้าสู่ประเทศสังคมสูงวัยได้อย่างเต็มภาคภูมิ ซึ่งการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่าง 7 กระทรวงในวันนี้ นับเป็นการบูรณาการเชื่อมโยงการทำงานตามนโยบายของรัฐบาลและแผนยุทธศาสตร์ต่าง ๆ สู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งยังเป็นการยกระดับการขับเคลื่อนการพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิตให้มีศักยภาพสูง มีความพร้อมต่อการดำเนินชีวิตในศตวรรษที่ 21 และเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติ

นายกรัฐมนตรี ยังได้เน้นย้ำถึงแนวทางการพัฒนาผู้สูงอายุ 4S ประกอบด้วย 1. Social Participation ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในสังคม 2. Social Security ส่งเสริมความมั่นคง ปลอดภัย 3. Strong Health ส่งเสริมสุขภาพให้แข็งแรง และ 4. Smart Digital and Innovation ส่งเสริมเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมอย่างชาญฉลาด รวมทั้งการพัฒนาเด็กปฐมวัย 5H ประกอบด้วย 1. Heart จิตใจดี มีวินัย 2. Head เก่งคิด วิเคราะห์เป็น 3. Hand ใฝ่เรียนรู้ มีทักษะ 4. Health สุขอนามัยดี สุขภาพแข็งแรง และ 5. Hi-tech ทันสมัย ก้าวหน้า รู้เท่าทันเทคโนโลยี เพื่อให้เด็กมีการเจริญเติบโตเต็มศักยภาพ พัฒนาการสมวัย มีคุณภาพชีวิตที่ดี ได้รับบริการและคุ้มครองอย่างทั่วถึงเท่าเทียมตามมาตรฐาน ภายใต้กรอบการบูรณาการความร่วมมือการพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิต โดยทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันสร้างการรับรู้ สร้างความเข้าใจเพื่อก่อให้เกิดความร่วมมือในการพัฒนาให้บรรลุเป้าหมาย ร่วมกันสร้างหลักคิดที่ถูกต้อง สร้างความรัก ความสามัคคี รวมทั้งการเปิดช่องทางให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการบริการภาครัฐให้ได้อย่างเพียงพอ ทั่วถึง เพื่อให้ประชาชนอยู่รอด พ้นกับดักรายได้ปานกลาง อย่างพอเพียง และยั่งยืน

Advertising

4 วัน 7 มิ.ย.-10 มิ.ย. ไทยฉีดวัคซีนเพิ่ม 1.45 ล้านโดส รวมยอดฉีดสะสม 5.66 ล้านโดส

People Unity News : ฉีดวัคซีนวาระแห่งชาติ 4 วัน เพิ่ม 1.45 ล้านโดส เริ่มฉีดในนิคมอุตสาหกรรมระยองนำร่อง

10 มิ.ย.64 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยถึงการดำเนินการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด19 ว่า นับตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย. ที่เป็นวันแรกของการกระจายการฉีดวัคซีนทั่วประเทศ โดยเริ่มกับประชาชนกลุ่มผู้สูงอายุ และผู้มีโรคเสี่ยง 7 โรค ถือว่ามีความคืบหน้าไปมาก นับถึงวันที่ 10 มิ.ย. มีจำนวนฉีดวัคซีนสะสม  5.66 ล้านโดส ซึ่งภายในช่วงเวลา 4 วัน นับจากวันที่ 6 มิ.ย.  ที่มีจำนวน 4.21 ล้านโดส เพิ่มขึ้น 1.45 ล้านโดส  ซึ่งจากนี้ไปทางกระทรวงสาธารณสุขให้ความมั่นใจว่า จะได้รับวัคซีนจากผู้ผลิตมากขึ้นและสามารถทยอยกระจายไปยังสถานบริการสาธารณสุขและจุดบริการต่างๆ เพื่อดำเนินการฉีดให้ได้ตามแผน

นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า ขณะนี้ ได้เริ่มดำเนินการฉีดให้กับกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมด้วยแล้ว นำร่องพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมกลุ่มมาบตาพุดคอมเพล็กซ์ จังหวัดระยอง และชุมชนรอบข้างพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม ซึ่งมีผู้ลงทะเบียนฉีดวัคซีนจำนวนทั้งสิ้น  25,000 คน จาก 1)นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด 2)นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอตะวันออก (มาบตาพุด) 3)นิคมอุตสาหกรรมเอเชีย 4) นิคมอุตสาหกรรมผาแดง 5)นิคมอุตสาหกรรมอาร์ ไอ แอล และ 6)ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด เริ่มแล้วตั้งแต่วันที่ 9 มิ.ย. ตั้งเป้าวัคซีนให้ได้วันละประมาณ 1,000 คน

ในส่วนของนักเรียนนักศึกษาไทย ที่จะเดินทางไปศึกษาต่อในต่างประเทศ  นับตั้งแต่วันที่ 29 พ.ค. ถึง 6 มิ.ย. ได้ดำเนินการฉีดวัคซีนไปแล้ว จำนวนกว่า 1,600 คน และมีรอการฉีดอีก 2 พันกว่าคน ซึ่งเมื่อดำเนินการในกลุ่มนี้แล้วเสร็จ ทางกรมการกงสุลจะพิจารณาเปิดลงทะเบียนเพิ่มเติมอีกครั้ง

Advertising

โฆษกตำรวจเตือนการปล่อยเงินกู้ ดอกเบี้ยเกินกฎหมายกำหนด มีโทษหนักทั้งจำและปรับ

People Unity News : โฆษกตำรวจเตือนการปล่อยเงินกู้ ดอกเบี้ยเกินกฎหมายกำหนด มีโทษหนักทั้งจำและปรับ

22 ม.ค. 65 พลตำรวจตรี ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับการร้องเรียนเกี่ยวกับขบวนการปล่อยเงินกู้ หลากหลายรูปแบบ ทั้งการเชิญชวนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ หรือแอปพลิเคชัน ซึ่งบางครั้งมีการคิดดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนด พลตำรวจเอก สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงได้กำชับตำรวจ กวาดล้างขบวนการเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง

พร้อมฝากถึงประชาชนว่า ก่อนที่จะกู้เงินจากที่ใด ขอให้ศึกษาข้อมูล เงื่อนไข รวมถึงดอกเบี้ยให้ดี เพื่อไม่ให้ถูกเจ้าหนี้คิดดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนดและอยากเตือนไปถึงเจ้าหนี้นอกระบบ ที่คิดดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนดหรือมีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายอื่นแอบแฝง อาจมีความผิดตาม พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2560 มาตรา 4 บุคคลใดให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงิน หรือกระทำการใดๆ อันมีลักษณะเป็นการอำพรางการให้กู้ยืมเงิน ทั้งการเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ กำหนดข้อความอันเป็นเท็จในเรื่องจำนวนเงินกู้ หรือเรื่องอื่นๆ ไว้ในหลักฐานการกู้ยืม เพื่อปิดบังการเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด และกำหนดจะเอาหรือรับเอาซึ่งประโยชน์อย่างอื่นนอกจากดอกเบี้ย จนเห็นได้ชัดว่า มากเกินส่วนอันสมควรตามเงื่อนไขแห่งการกู้ยืมเงินต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

หากประชาชนพบเบาะแส หรือพบการกระทำความผิด ขอให้แจ้งตำรวจที่สถานีตำรวจในพื้นที่ หรือโทรสายด่วน 191 หรือสายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

Advertising

คณะสงฆ์คลองหลวงจัดกิจกรรมรวมพลังสร้างสัปปายะรักษ์สิ่งแวดล้อม

People Unity News : คณะสงฆ์คลองหลวงร่วมพุทธศาสนิกชนพร้อมจัดกิจกรรมรวมพลังสร้างสัปปายะ โครงการวัด ประชา รัฐ สร้างสุข วัดพระธรรมกายเตรียมเปิดศูนย์นวัตกรรมรักษ์วัด รักษ์สิ่งแวดล้อม บริการวัด-ชุมชน ต้นปี พ.ศ. 2563

วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 เวลา 13.30 น. ณ อุโบสถวัดพระธรรมกาย ตำบลคลองสาม อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ได้จัดให้มีกิจกรรม “รวมพลังสร้างสัปปายะ ในโครงการวัด ประชา รัฐ สร้างสุข ของวัดพระธรรมกาย” ขึ้น โดยมีพระครูสังฆรักษ์รังสฤษดิ์ อิทฺธิจินฺตโก เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ในฐานะประธานคณะกรรมการดำเนินงานโครงการฯ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และมีนายนิพนธ์ แก้วธรรม รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ปฏิบัติหน้าที่นายกองค์การบริหารส่วนตำบลคลองสาม เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมด้วยพระสงฆ์ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน ประธานนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร อาสาสมัคร นักเรียน และประชาชนผู้มีจิตอันเป็นกุศล พร้อมเพรียงกันเข้าร่วมกิจกรรมฯ จำนวนกว่า 500 คน โดยกิจกรรมฯ เริ่มต้นจากการกล่าวคำบูชาพระรัตนตรัย, พิธีอาราธนาศีล 5, ประธานฝ่ายฆราวาส กราบถวายรายงานต่อประธานฝ่ายสงฆ์, ประธานฝ่ายสงฆ์ให้โอวาทและกล่าวเปิดกิจกรรมฯ, บันทึกภาพหมู่ จากนั้น เป็นการแบ่งกลุ่มผู้เข้าร่วมกิจกรรมฯ ออกเป็น 7 กลุ่ม เพื่อร่วมกันสร้างสัปปายะสู่วัดตามแบบแผนที่เตรียมการไว้ อาทิ การกวาดพื้นถนน, กวาดและเก็บใบไม้, กวาดและถูพื้นอุโบสถ, เช็ดเสาอุโบสถ เป็นต้น ท่ามกลางบรรยากาศแห่งรู้รักสามัคคี มั่นศรัทธาในพระพุทธศาสนา และอิ่มบุญปลื้มใจกันถ้วนหน้า

สำหรับการจัดกิจกรรม “รวมพลังสร้างสัปปายะ” นี้ จัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามปฏิทินการดดำเนินงานโครงการฯ โดยองค์การบริหารส่วนตำบลคลองสาม ได้ประสานความร่วมมือกับวัดพระธรรมกาย, มูลนิธิธรรมกาย, คณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย, ศูนย์ส่งเสริมศีลธรรมจังหวัดปทุมธานี, ชมรมรักษ์บวร รักษ์ศีล ๕, สมาพันธ์หมู่บ้านจัดสรรอำเภอคลองหลวง, ชมรมเรารักคลองสามผู้นำชุมชน, กลุ่มอาสาสมัคร, สถานศึกษา และภาคีเครือข่ายฯ ขับเคลื่อนดำเนินงาน “โครงการ วัด ประชา รัฐ สร้างสุข” ซึ่งเป็นการดำเนินกิจกรรม “สร้างสัปปายะสู่วัดด้วยวิถี ๕ส ที่ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม” ตามมติมหาเถรสมาคม และแผนยุทธศาสตร์การปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนา ฝ่ายสาธารณูปการ ของมหาเถรสมาคม ทั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ร่วมกัน เพื่อการนำหลักพุทธธรรมเรื่องสัปปายะ และแนวคิดของระบบ ๕ส ลงสู่บริบทของวัด และชุมชน, ควบคู่กับการมุ่งส่งเสริมให้วัดเป็นพื้นที่ต้นแบบของการพัฒนาพื้นที่ทางกายภาพ การเรียนรู้ และจิตใจของชุมชน, โดยการขยายผลหลักพุทธธรรมเรื่องสัปปายะ และแนวคิดของ ๕ส รวมถึงหลักความรับผิดชอบต่อสังคมสู่ประชาชน โดยมีวัดเป็นศูนย์กลาง รวมถึงองค์กร และประชาชนในชุมชนมีส่วนร่วม, ซึ่งทั้งหมดนี้ ย่อมจักนำไปสู่การสร้างสังคม แห่งสุขภาวะอย่างยั่งยืนสืบไป

พระครูสังฆรักษ์รังสฤษดิ์ อิทฺธิจินฺตโก เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ในฐานะประธานคณะกรรมการดำเนินงานโครงการฯ กล่าวให้โอวาทในพิธีเปิดกิจกรรมฯ ตอนหนึ่งว่า “วันนี้ นับเป็นวันแห่งการแสดงออกถึงความปรองดองสมานฉันท์ของทุกท่าน ที่มาจากหลากหลายภาคส่วน แต่ล้วนมี จิตอันเป็นกุศลที่แน่วแน่ร่วมกัน เพื่อมาสั่งสมบุญทำความดีด้วยการรวมพลังสร้างสัปปายะให้เกิดขึ้น กับศาสนสถานทางพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะในเขตอุโบสถ เขตพุทธาวาสที่บริสุทธิ์ และศักดิ์สิทธิ์ เนื่องด้วยเป็นสถานที่ประดิษฐานไว้ซึ่ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กิจกรรมในวันนี้ จึงถือเป็นบุญใหญ่ และจะนำความเป็นสิริมงคลมาสู่ชีวิตของทุกท่านอย่างยิ่ง เพราะเราได้มาร่วมกันพัฒนาพื้นที่วัด ให้สะอาด ร่มรื่น สวยงาม เป็นสถานที่สัปปายะ ต่อยอดสู่การพัฒนาพื้นที่ทางสังคม และการเรียนรู้วิถีวัฒนธรรมเชิงพุทธ ยกระดับสู่การพัฒนาพื้นที่จิตใจ และปัญญาเชิงพุทธ เพื่อชุมชนในที่สุด จึงขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ได้เห็นความสำคัญ และร่วมกันเสียสละมาร่วมด้วยช่วยกันดูแลรักษาวัดของชุมชนเราให้เป็นรมณียสถานของชาวพุทธที่สมบูรณ์พร้อมยิ่งๆ ขึ้นไป สิ่งที่ทุกท่านจะได้ร่วมกันกระทำนี้ ได้ชื่อว่าเป็นการรักษา และสืบทอดอายุของพระพุทธศาสนา”

นอกจากกิจกรรม “รวมพลังสร้างสัปปายะ” เพื่อพัฒนาพื้นที่ทางกายภาพแล้ว ทางด้านการพัฒนาพื้นที่จิต และปัญญาเชิงพุทธ นั้น ทางวัดพระธรรมกายได้จัดให้มีกิจกรรม “เสาร์สร้างสุข” ด้วยการสวดมนต์ รักษาศีล ปฏิบัติธรรม และฟังธรรม ในทุกวันเสาร์ เวลา 18.00 น. ถึง 20.00 น. ณ อาคารโถงช้างฯ อีกทั้งในด้านการพัฒนาพื้นที่สังคมการเรียนรู้ของชุมชนนั้น ในช่วงต้นปีพุทธศักราช 2563 จะมีกำหนดเปิดศูนย์การเรียนรู้ปลูกศรัทธา เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้     นวัตกรรมรักษ์วัด รักษ์สิ่งแวดล้อม ขยายผลสู่เครือข่ายบวร (บ้าน วัด โรงเรียน) ต่อไป

ในวันเดียวกันนี้ ภายหลังเสร็จสิ้น “กิจกรรมรวมพลังสร้างสัปปายะ” แล้ว ในเวลา 15.00 น. วัดพระธรรมกาย ได้ร่วมกับ องค์กรภาคีเครือข่ายฯ โดยการประสานงานของคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย จัดให้มี “พิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยคณะสงฆ์อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ตามมติมหาเถรสมาคม” โดยมีพระครูวิจิตรอาภากร เจ้าคณะอำเภอคลองหลวง และเจ้าอาวาสวัดสว่างภพ เป็นประธานในพิธีฯ พร้อมด้วยเจ้าอาวาส  พระสงฆ์ และประชาชนในเขตพื้นที่อำเภอคลองหลวง เข้าร่วมพิธีฯ โดยพร้อมเพรียงกัน

“วราวุธ”  ชี้ กระทรวง พม.จะทำงานเชิงรุกมากขึ้น ขอเป็นที่พึ่งพิงของ ปชช.

People Unity News : 12 กันยายน 2566 ที่รัฐสภา – “วราวุธ”  ชี้ กระทรวง พม.จะทำงานเชิงรุกมากขึ้น ยันจะเป็นกำแพงให้ ปชช.ได้พิงหลังยามเกิดปัญหา เตรียมมอบนโยบาย 19 ก.ย.นี้ ขอโทษประชาชนปมเบี้ยสนับสนุนเด็กแรกเกิดเข้าบัญชีช้า เหตุรอยต่อ ครม.

นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนก่อนร่วมการประชุมร่วมรัฐสภา ว่า การแถลงนโยบายรัฐบาลเมื่อวานนี้ (11 ก.ย.) มีสมาชิกพูดถึงเรื่องเบี้ยผู้สูงอายุ คาดว่าในวันนี้จะมีประเด็นเพิ่มเติม ซึ่งจะประมวลข้อสังเกตของสมาชิกอื่น ๆ และขอขอบคุณหลายฝ่ายที่ตั้งแต่แถลงนโยบายได้ติดต่อเข้ามา การทำงานของ พม. ต่อจากนี้จะทำงานเชิงรุกมากยิ่งขึ้น สร้างความตระหนักรู้อีกหลายฝ่ายในสังคม

“ส่วนเรื่องเบี้ยของเด็กแรกเกิดที่เป็นปัญหา ต้องขอกราบอภัยประชาชนกว่า 2 ล้านราย ที่รอรับเบี้ยสนับสนุน 600 บาทต่อเดือน แต่ยังไม่ได้ เพราะเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านคณะรัฐมนตรี ทำให้ไม่สามารถอนุมัติงบประมาณดังกล่าวได้ และคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ไม่มีอำนาจนำวาระมาอนุมัติงบประมาณ พรุ่งนี้จะมีการประชุม ครม. ผมได้ประสานกับสำนักเลขาธิการ ครม. สำนักงบประมาณ กรมบัญชีกลาง เพื่อที่จะทำให้เงินอยู่ในบัญชีของประชาชนภายในวันที่ 18 ก.ย.นี้” นายวราวุธ กล่าว

นายวราวุธ กล่าวว่า ทุก ๆ เดือนสุดท้ายของปีงบประมาณ จะมีงบประมาณไม่เพียงพอ ซึ่งไม่ได้ให้ไม่ครบ แต่จำนวนของเด็กที่ได้รับการสนับสนุนในแต่ละเดือนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้น สำนักงบประมาณจะให้เงินเป็นเลขกลม ๆ หากขาดเหลือเท่าไหร่ จะของบประมาณอีกครั้ง ซึ่งปีนี้ตรงกับช่วงการเปลี่ยนผ่านรัฐบาล ทำให้เกิดความล่าช้า และจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก

ส่วนการมอบนโยบายให้กระทรวง พม.ในสัปดาห์หน้า นายวราวุธ กล่าวว่า มีแนวทางมอบนโยบายให้ข้าราชการในกระทรวงวันอังคารที่ 19 ก.ย.นี้ ทั้งนี้ ที่ผ่านมา พม.มีภารกิจเยอะมาก ทั้งเรื่องเด็กและเยาวชน ทุกเพศ ทุกวัย และทุกสถานะ รวมถึงเคหะที่ดูแลเรื่องที่พักอาศัย ดังนั้น งานที่ผ่านมาเป็นงานที่เข้าถึงประชาชนทุกระดับ แต่บางครั้งต้องตระหนักถึงหน้าที่ของข้าราชการ เพราะประชาชนยังไม่รับรู้เท่าที่ควร

“เราจึงจะทำงานรุกให้มากขึ้น ทั้งการดูแลสวัสดิการประชาชน ให้ได้รับการรับรองในมิติต่าง ๆ การทำงานของ พม.จะเป็นกำแพงให้พี่น้องประชาชน ได้พิงเวลาเจอปัญหา จะเป็นเกราะป้องกันให้ประชาชนในยามเจออันตราย ดังนั้น มิติของ พม.ทั้งในไทยและทั่วโลกจะถูกทำให้มีความหลากหลายมากขึ้น” นายวราวุธ กล่าว

ส่วนกรณีของหยก นายวราวุธ กล่าวว่า จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ทั้งเรื่องการศึกษา และส่วนที่เกิดขึ้นภายในครอบครัว โดยบริบทการทำงานของ พม. คงไม่ก้าวล่วงในเรื่องการศึกษา แต่เรื่องของครอบครัว เราจะใช้สหวิชาชีพทุกแขนงดูแล ซึ่งไม่ได้เน้นการแก้ไขที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งแต่ต้องป้องกันทั้งระบบ ไม่ให้เกิดปัญหาเช่นนี้อีก

Advertisement

นายกฯ ชมโครงการข้าวแกงกำลังใจ อิ่มหนึ่ง 25 บาท

People Unity News : 4 กรกฎาคม 2565 นายกฯ ชื่นชมโครงการนำร่อง “ข้าวแกงกำลังใจ อิ่มหนึ่ง 25 บาท” หนึ่งในโครงการตัวอย่างฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจ-โควิด ช่วยเหลือผู้ประกอบการและผู้บริโภค

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชื่นชมโครงการ “ข้าวแกงกำลังใจ อิ่มหนึ่ง 25 บาท” โดยสมาคมภัตตาคารไทยร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรร้านอาหารในเครือข่าย กว่า 100 แห่ง ในการจำหน่ายข้างแกงราคา 25 บาท ซึ่งถือว่ามีราคาถูกเมื่อเทียบกับร้านค้าในท้องตลาดทั่วไป และมีให้เลือกมากกว่า 15 เมนู เพื่อช่วยเหลือประชาชนในช่วงภาวะวิกฤต ซึ่งได้เปิดร้านเป็นโมเดลต้นแบบไปเมื่อวันที่ 25-29 มิถุนายนที่ผ่านมาที่ศูนย์การค้า MBK Center ได้รับความสนใจตอบรับจากประชาชนให้การอุดหนุนเป็นอย่างมาก โดยจะมีการเปิดตัวโครงการอย่างเป็นทางการช่วงปลายเดือนกรกฎาคมนี้ เบื้องต้นจะจำหน่ายในสถานีบริการน้ำมัน และแก๊สรถยนต์ PT ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 100 จุด เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการและผู้บริโภค ซึ่งจะช่วยประชาชนได้วันละ 50,000 คน และจะทยอยเพิ่มจำนวนผู้ผลิตและสถานที่จำหน่ายต่อไปอีก 1,000 จุดทั่วประเทศ

นายธนกร กล่าวว่า สมาคมภัตตาคารไทยจะประสานจัดวัตถุดิบที่มีคุณภาพ ให้กับร้านอาหารที่เข้าร่วมโครงการในราคาต้นทุน เพื่อช่วยให้ร้านค้าควบคุมต้นทุน ซึ่งร้านในโครงการจะได้รับการอุดหนุน เช่น ค่าเช่าพื้นที่ราคาถูกพิเศษ สนับสนุนแก๊สหุงต้มราคาพิเศษ โดยลดราคาถังละ 20-30 บาทจากราคาท้องตลาด ซื้อน้ำมันพืชได้ในราคาพิเศษ และยังซื้อข้าวสารจากวิสาหกิจเพื่อสังคมชาวนาไทยในราคาพิเศษ เป็นต้น ทั้งนี้นายกรัฐมนตรียกให้โครงการข้าวแกงกำลังใจ เป็นตัวอย่างหนึ่งในการช่วยเหลือประชาชนและสังคมท่ามกลางสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจและโควิด-19

“นายกรัฐมนตรีชื่นชมพร้อมขอบคุณสมาคมภัตตาคารไทยและหน่วยงานพันธมิตร ที่ร่วมมือกันจัดทำโครงการ ‘ข้าวแกงกำลังใจ อิ่มหนึ่ง 25 บาท’ ถือเป็นตัวอย่างที่ดีอย่างยิ่งในการช่วยเหลือประชาชน ช่วยเหลือสังคม ช่วยเหลือผู้ประกอบการร้านอาหาร ภัตตาคาร พ่อค้าแม่ขายในตลาด เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 และจากสถานการณ์เศรษฐกิจที่ต้นทุนวัตถุดิบและค่าขนส่งสูงขึ้นจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งยังสามารถช่วยประคับประคองกำลังซื้อของผู้บริโภคภายในประเทศที่มีอย่างจำกัด ให้ประชาชนมีอาหารอิ่มท้องได้ทุกวันในราคาประหยัดด้วย” นายธนกร กล่าว

Advertisement

กดปุ่มโอนเงินอุดหนุนเด็กแล้ว 1,461 ล้านบาท

People Unity News : 11 มีนาคม 2566 “ทิพานัน” แจ้งข่าวดี “พล.อ.ประยุทธ์” กดปุ่มโอนเงินอุดหนุนเด็กแล้ว 1,461 ล้านบาท ให้ผู้ปกครอง 2.3 ล้านราย ย้ำมุ่งพัฒนาเด็กทุกช่วงวัยตั้งแต่แรกเกิด ส่งเงินตรงถึงมือกลุ่มเปราะบาง ทันที

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มุ่งลดเหลื่อมล้ำในทุกมิติ ควบคู่ไปกับการลงทุนเพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ รองรับเด็กทุกช่วงวัยตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยทำงาน โดยได้จ่ายเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด จำนวน 600 บาท ให้แก่เด็กแรกเกิดในครัวเรือนยากจนหรือครัวเรือนที่เสี่ยงต่อความยากจน เพื่อให้เด็กได้รับการดูแลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีพัฒนาการเหมาะสมตามวัยตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2558 เป็นต้นมา

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ล่าสุดขอแจ้งข่าวดีพี่น้องประชาชน เงินอุดหนุนเด็กประจำเดือนมีนาคม 2566 เข้าบัญชีแล้วเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2566 สำหรับผู้ปกครองที่มีสิทธิรับเงินอุดหนุนรายเดิมและรายใหม่ที่ลงทะเบียนสมบูรณ์ในระบบก่อนวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2566 จำนวน 2,313,966 ราย เป็นจำนวนเงิน 1,461,718,200 บาท ทั้งนี้ผู้ปกครองที่ได้รับสิทธิสามารถตรวจสอบยอดเงินจากเลขที่บัญชีธนาคารหรือพร้อมเพย์ที่แจ้งรับเงินอุดหนุนไว้ ส่วนการตรวจสอบสถานะสิทธิเงินอุดหนุนบุตรนั้น สามารถตรวจสอบได้ 3 ช่องทาง คือ 1)เว็บไซต์กรมกิจการเด็กและเยาวชน https://csgcheck.dcy.go.th/public/eq/popSubsidy.do 2)แอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” และ 3)แอปพลิเคชัน “เงินเด็ก”

สำหรับผู้ปกครองที่ต้องการลงทะเบียนรับเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด ต้องมีคุณสมบัติดังนี้

1.เป็นบิดา มารดา หรือบุคคลอื่นที่เป็นผู้เลี้ยงดูเด็กแรกเกิด

2.เด็กแรกเกิดต้องอาศัยร่วมด้วย

3.เป็นครอบครัวที่มีรายได้น้อย เฉลี่ยไม่เกิน 100,000 บาท/ คน /ปี

ส่วนเด็กแรกเกิดต้องมีอายุไม่เกิน 6 ปี มีสัญชาติไทย อาศัยอยู่กับผู้ปกครองในครอบครัวที่มีรายได้น้อยและไม่อยู่ในสถานสงเคราะห์ของหน่วยงานรัฐ หรือเอกชนตามที่อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชนประกาศกำหนด หากเข้าเกณฑ์คุณสมบัติรับเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด สามารถลงทะเบียนผ่านออนไลน์ได้ที่แอปพลิเคชั่นเงินเด็ก ตลอด 24 ชั่วโมง หรือติดต่อลงทะเบียนได้ในพื้นที่ที่เด็กแรกเกิดและผู้ปกครองอาศัยอยู่จริง โดยกรุงเทพมหานคร ลงทะเบียนที่สํานักงานเขต เมืองพัทยา ลงทะเบียนที่ศาลาว่าการเมืองพัทยา ส่วนภูมิภาค ลงทะเบียนที่องค์การบริหารส่วนตําบล หรือเทศบาล สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม โทร. 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือ ศูนย์ปฏิบัติการโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด โทร.082-091-7245, 082-037-9767, 083-4313533, 065-731-3199(ในวันเวลาราชการ จันทร์ – ศุกร์ เวลา 08.30 – 17.00 น.)

“พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เพียงมุ่งพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ด้วยการให้เงินอุดหนุนเด็ก 600 บาท และยังช่วยเหลือค่าครองชีพกลุ่มเปราะบางทั้ง เบี้ยผู้สูงอายุ 600-1,000 บาท ตามเกณฑ์อายุ และ เบี้ยผู้พิการ 800-1,000 บาท ตามเกณฑ์อายุอีกด้วย ซึ่งเป็นการช่วยเหลือที่ส่งเงินตรงถึงมือประชาชน” น.ส.ทิพานัน กล่าว

Advertisement

เผยรายละเอียดมติ ครม. โครงการบ้านฅนไทย เพื่อผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ

People unity news online : ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการบ้านฅนไทย เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองบนที่ดินราชพัสดุ

เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2561 เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งที่ประชุม ครม. ได้มีการพิจารณา “โครงการบ้านฅนไทย” โดยมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ ดังนี้

  1. กรอบการดำเนินโครงการบ้านฅนไทย
  2. ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และธนาคารออมสิน แยกบัญชีโครงการบ้านฅนไทย เป็นบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐ (Public Service Account : PSA) โดยไม่ขอรับการชดเชยจากรัฐบาลและขอนำผลกระทบรายได้และค่าใช้จ่ายในการจัดทำโครงการบ้านฅนไทยมาปรับตัวชี้วัดทางการเงินที่เกี่ยวข้องตามบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ และขอไม่นับรวมหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loans : NPLs) ที่เกิดจากการดำเนินโครงการฯ เป็นตัวชี้วัดผลการดำเนินงานของธนาคารอาคารสงเคราะห์ และธนาคารออมสิน (กรณี % NPLs ที่เกิดขึ้นสูงกว่าค่าเฉลี่ย NPLs  ของธนาคารในภาพรวม) และขอนำผลกระทบต่อรายได้และค่าใช้จ่ายในการจัดทำโครงการบวกกลับกำไรสุทธิเพื่อการคำนวณโบนัสพนักงาน (การคำนวณต้นทุนค่าใช้จ่ายของธนาคาร คือ ต้นทุนเงินฝากบวก 0.25% (เงินนำส่งกองทุนฯ) บวกต้นทุนดำเนินงาน)

สาระสำคัญของเรื่อง

โครงการบ้านประชารัฐบนที่ดินราชพัสดุระยะที่ 2 (บ้านฅนไทย)

กระทรวงการคลังได้สำรวจที่ดินราชพัสดุทั่วประเทศเพื่อนำมารองรับการดำเนินโครงการ “บ้านฅนไทย” โดยในเบื้องต้น กระทรวงการคลังได้คัดเลือกที่ดินราชพัสดุที่มีความเหมาะสม และไม่เป็นที่ดินที่ได้มาจากการเวนคืน จำนวน 8 แปลง ครอบคลุม 4 ภาค เพื่อนำมาดำเนินโครงการฯ  โดยมีวัตถุประสงค์  เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองบนที่ดินราชพัสดุ

ประเภทที่อยู่อาศัย : กระทรวงการคลังได้กำหนดรูปแบบการก่อสร้างโครงการบ้านฅนไทยเป็นประเภทที่อยู่อาศัย 3 รูปแบบ ประกอบด้วย (1) บ้านแฝด พื้นที่ใช้สอยไม่น้อยกว่า 28 ตารางเมตร (2) บ้านแถว พื้นที่ใช้สอยไม่น้อยกว่า 28 ตารางเมตร  และ (3) อาคารชุดพักอาศัย พื้นที่ใช้สอยไม่น้อยกว่า 28 ตารางเมตร ในระดับราคา 350,000 – 700,000 บาทต่อหน่วย

กลุ่มเป้าหมาย : 1) ประชาชนที่อยู่ในทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐกับกระทรวงการคลัง 2) ประชาชนที่มีรายได้ไม่เกิน 35,000 บาทต่อคนต่อเดือน 3) ประชาชนทั่วไป (ธนาคารไม่ต้องสนับสนุนดอกเบี้ย) โดยพิจารณากลุ่มเป้าหมายลำดับที่ 1 ก่อน เมื่อ Supply เหลือจึงพิจารณากลุ่มเป้าหมายที่ 2 และ 3 ตามลำดับต่อไป

คุณสมบัติผู้มีสิทธิเข้าร่วมโครงการ : ผู้มีสัญชาติไทย

มาตรการสินเชื่อ : กรอบวงเงินโครงการประมาณ 4,000 ล้านบาท

(1) สินเชื่อเพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย  (Pre Finance) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และธนาคารออมสิน โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนปีที่ 1 ถึงปีที่ 3 ร้อยละ 3 ต่อไป หลังจากนั้น MLR – ไม่เกินร้อยละ 1 ต่อปี ระยะเวลาการกู้ไม่เกิน 5 ปี  เพื่อสนับสนุนสินเชื่อให้ผู้ประกอบการและหรือบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด  ที่เข้าร่วมพัฒนาโครงการ

(2) สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Post Finance) โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนปีที่ 1 ถึงปีที่ 4      ร้อยละ 2.75 ต่อปี หลังจากนั้น กรณีรายย่อย MRR – ร้อยละ 0.75 ต่อปี หรือกรณีสวัสดิการหักเงินเดือน MRR – ร้อยละ1.00 ต่อปี ระยะเวลาการกู้ไม่เกิน 30 ปี และผ่อนปรนการกำหนดอัตราส่วนรายจ่ายในการชำระหนี้ต่อรายได้ต่อเดือน (Debt Service Ratio : DSR) หรืออัตราส่วนภาระผ่อนชำระหนี้รวมต่อรายได้สุทธิรวม (Debt to Income Ratio : DTI) ตามที่ธนาคารกำหนด โดยมีวงเงินสินเชื่อที่อยู่อาศัยบนที่ดินราชพัสดุในระดับราคา 350,000-700,000 บาทต่อหน่วย

ทั้งนี้  ให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และธนาคารออมสินพิจารณาขยายวงเงินสินเชื่อเพิ่มเติมได้ตามความเหมาะสม

รูปแบบ : โครงการการผ่อนชำระสู่การเช่าระยะยาว (Rent to Lease) กรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยเป็นของผู้ได้รับสิทธิอยู่อาศัย และผู้ได้รับสิทธิพัฒนาโครงการ โดยมีรายละเอียดดังนี้

1) พื้นที่โครงการ ที่ราชพัสดุครอบคลุมทุกภาคทั่วประเทศ

2) ราคาที่อยู่อาศัยในระดับราคา 350,000 – 700,000 บาท ต่อหน่วย

3) บ้านแฝด/บ้านแถว/อาคารชุดพักอาศัยมีพื้นที่ใช้สอยไม่น้อยกว่า 28 ตารางเมตรต่อหน่วย

4) กำหนดให้มีการจัดสรรพื้นที่ส่วนกลางไม่เกินร้อยละ 30 ของพื้นที่โครงการฯ เพื่อรองรับกิจกรรมต่างๆที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของท้องถิ่น  และ/หรือเป็นประโยชน์ต่อโครงการฯ

5) การคัดเลือกผู้ได้รับสิทธิพัฒนาโครงการจะพิจารณาผู้ที่เสนอเงื่อนไขที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์ต่อทางราชการมากที่สุด

ทั้งนี้  การดำเนินโครงการในแต่ละพื้นที่จะมีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนก่อนการคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมพัฒนาโครงการฯ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี และจัดทำแผนบริหารโครงการฯตลอดอายุโครงการ  ส่วนกระทรวงการคลังจะพิจารณาผ่อนปรนอัตราค่าเช่า ค่าธรรมเนียมและเงื่อนไขต่างๆในการดำเนินโครงการ “บ้านฅนไทย” โดยพิจารณาความเป็นไปได้ภายใต้หลักกฎหมายและระเบียบกระทรวงการคลังที่กำหนด

People unity news online : post 5 มกราคม 2561 เวลา 10.40 น.

 

ฮือฮา!วัตถุมงคลงานทอดกฐินวัดช้างบ้านนานครนายก แจก”ช้อนเงิน ช้อนทอง มหามงคลรุ่น 1″

People Unity News : ฮือฮา!…วัตถุมงคลงานทอดกฐินวัดช้าง อ.บ้านนา จ.นครนายก แจก “ช้อนเงิน ช้อนทอง มหามงคล รุ่น 1” เป็นที่ระลึกแก่ ญาติโยม ผู้เป็นเจ้าภาพกฐิน วันที่ 3 พฤศจิกายน 2562

งานบุญทอดกฐินสามัคคี วัดช้าง ในวันที่ 3 พ.ย.2562 นี้ พระครูโสภณนาคกิจ หรือ พระอาจารย์เดช อายุวฑฺฒโก เจ้าคณะอำเภอบ้านนา เจ้าอาวาสวัดช้าง ได้เมตตาจัดสร้างวัตถุชัยมงคล ช้อนเงิน ช้อนทอง มหามงคล รุ่น 1 ทั้งก่อนที่จะได้ร่วมบุญกับทางวัดพระอาจารย์เดชก็จะทำการปลุกเสกวัตถุชัยมงคลตามวาระฤกษ์มงคลของท่านให้ดีที่สุดที่ได้ดำเนินการจัดสร้าง เพื่อให้ศิษยานุศิษย์ได้เพิ่มพูนร่วมบุญกฐิน เพื่อวัตถุประสงค์ในการสร้างเสนาสนะภายในวัดให้แล้วเสร็จสืบต่อไป มาร่วมบุญอนุโมทนาบุญกฐินกับทางวัด

สำหรับการจัดสร้างวัดถุมงคลนี้ โบร่ำโบราณเชื่อกันว่าใช้สำหรับ ตัก ตวง เพิ่มพูนทรัพย์สิน เงินทอง นำพาเป็นโภคทรัพย์หนุนนำสิ่งมงคลต่างๆ เข้าบ้านเรือน ตามความเชื่อโบราณท่านว่า หากบ้านไหนมีช้อนเงิน ช้อนทองอยู่ในบ้านจะทำให้คนที่อาศัยอยู่ในบ้านนั้นพบเจอแต่ความเจริญรุ่งเรือง ในทุกๆ ด้าน เพราะช้อนเงินช้อนทองคู่นี้จะสามารถตักเงิน ตักทอง เข้าบ้าน

หากแม้นเป็นงานมงคลสมรสของคู่บ่าวสาว หลาย ๆ คู่ ก่อนที่จะจัดงานมงคลระหว่างกัน ก็มักจะมองหาสิ่งที่มีความประทับใจและมีนัยยะความหมายดี ๆ และเหมาะสม เป็นเครื่องหมายสำหรับผู้มาร่วมงานแสดงความยินดีให้กับผู้เป็นเจ้าของงาน และมอบให้เป็นสิ่งตอบแทนกลับไปเป็นที่ระลึกในงานมงคลอีกด้วย

จำนวนการจัดสร้างไม่มากนัก ประกอบด้วย เนื้อเงิน 59 ชิ้น เนื้อขาวซิลเวอร์พลัส 1,000 ชิ้น เนื้อเหลืองทองทิพย์ 1,000 ชิ้น เนื้อแดงสัมฤทธิ์ 1,000 ชิ้น ในงานบุญทอดกฐินสามัคคีวัดช้าง

ในวาระอันเป็นมงคลนี้หลวงพ่อท่านได้เมตตาจัดสร้างวัตถุชัยมงคล ช้อนเงิน ช้อนทอง มหามงคล รุ่น ๑ ก่อนที่จะได้ร่วมบุญกับทางวัดหลวงพ่อท่านก็จะทำการปลุกเสกวัตถุชัยมงคลตามวาระฤกษ์มงคลของท่านให้ดีที่สุดที่ได้ดำเนินการจัดสร้าง เพื่อให้ศิษยานุศิษย์ได้เพิ่มพูนร่วมบุญกฐิน เพื่อวัตถุประสงค์ในการสร้างเสนาสนะภายในวัดให้แล้วเสร็จสืบต่อไป

ผู้มีจิตศรัทธา ร่วมบุญทอดกฐิน กลับวัดบ้านนา ได้ที่ Page https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=2859568004053253&id=100000002455353

Verified by ExactMetrics