วันที่ 28 มีนาคม 2024

นายกฯแจกหนังสือ “The SPEED of Trust” ให้ ครม.ปลุกกำลังใจทำงาน

People unity news online : ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2560 เวลา 16.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เปิดเผย ว่า วันนี้ตนได้แจกหนังสือ 1 เล่มให้ ครม.ไปอ่านกันชื่อว่า The SPEED of Trust เป็นหนังสือเกี่ยวกับการสร้างความไว้วางใจ คนเขียนเป็นคนมีชื่อเสียงของโลกเกี่ยวกับการสร้างแรงบันดาลใจ กระบวนการปรับทัศนคติที่จะทำให้คนมีกำลังใจในการทำงาน มีการสร้างการปลุกจิตสำนึกให้กับตัวเองและองค์กร ซึ่งตนพยายามจะขับเคลื่อนเรื่องเหล่านี้มาตลอดรวมถึงตัวเองด้วย

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “ผมก็ศึกษาอ่านและทำความเข้าใจ อะไรที่ผมต้องปรับแก้กับตัวเองได้ เช่น อารมณ์ร้อน พูดจาไม่เพราะ ผมก็พยายามปรับของผมไปเรื่อย แต่ท่านก็ต้องเห็นใจผมด้วยเพราะผมก็เป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งเหมือนกัน ถึงแม้จะเป็นนายกรัฐมนตรีก็ตาม อาจจะไม่ค่อยน่ารักเท่าไร แต่ผมก็ทำงานเต็มที่ เกิน 100 เปอร์เซ็นต์ของผม”

People unity news online : post 14 กันยายน 2560 เวลา 22.00 น.

นายกฯเดินสายตรวจราชการและประชุม ครม.นอกสถานที่ จ.ตราด-จันทบุรี 5-6 ก.พ.61

People unity news online : นายกรัฐมนตรี มีกำหนดการเดินทางไปตรวจราชการและประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ที่จังหวัดตราด-จันทบุรี ระหว่างวันที่ 5-6 กุมภาพันธ์ 2561

พันเอก หญิง ทักษดา สังขจันทร์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีกำหนดการเดินทางไปตรวจราชการ รวมถึงร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ นอกสถานที่ ที่จังหวัดตราด-จันทบุรี ระหว่างวันที่ 5-6 กุมภาพันธ์ 2561 ซึ่งถือเป็นครั้งที่ 1 ประจำปี 2561

สำหรับกำหนดการ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะออกเดินทางวันจันทร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา 07.00 น. โดยออกเดินทางจากกองบิน 6 ดอนเมือง เพื่อไปยังท่าอากาศยาน จังหวัดตราด และจะเริ่มกิจกรรม เวลา 09.00 น. นายกรัฐมนตรีเดินทางไปดูศูนย์การเรียนรู้พิพิธภัณฑ์บริหารจัดการน้ำและป่าชายเลน ชุมชนบ้านเปร็ดใน หลังจากนั้นเดินทางไปยังศูนย์รักษาความปลอดภัยทางทะเล กองทัพเรือ เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะในการพัฒนาเกาะช้าง รวมถึงพบปะนักท่องเที่ยวที่มาท่องเที่ยวบริเวณหาดคลองพร้าว อำเภอเกาะช้าง จังหวัดตราด ส่วนในช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรีเดินทางไปจังหวัดจันทบุรี เพื่อดูวิสาหกิจชุมชน เยี่ยมชมวิถีชุมชนริมน้ำจันทบูร และวิสาหกิจเพื่อสังคมตลาดเก่าริมน้ำจันทบูร บ้านเรียนรู้ บ้านพักประวัติศาสตร์ หลวงราชไมตรี และชุมชนท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม สำหรับช่วงเย็น นายกรัฐมนตรีเดินทางไปร่วมประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมภาคตะวันออก ซึ่งในช่วงเย็นจะมี Working Dinner ณ ห้องประชุมแกรนด์ บอลรูม โรงแรม มณีจันทร์ รีสอร์ท

วันอังคารที่ 6 กุมภาพันธ์ 2561 ช่วงเช้า นายกรัฐมนตรีเข้าประชุม ครม. นอกจากสถานที่ ณ อาคารคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี จังหวัดจันทบุรี และช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปเยี่ยมชมสหกรณ์การเกษตรมะขาม เพื่อดูกระบวนการบริหารจัดการผลไม้อย่างครบวงจร เพื่อมุ่งสู่การเป็นมหานครผลไม้โลก และพบกลุ่มเกษตรกรผู้ประกอบการแปรรูปผลไม้ และนายกรัฐมนตรีจะเดินทางกลับถึง กทม. เวลาประมาณ 18.15 น.

People unity news online : post 1 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา 21.00 น.

 

เลขา สมช.เผยความรุนแรงภาคใต้ลดลง-เตรียมเสนอซ่อมกล้อง CCTV ทั่ว 3 จว.ชายแดนใต้

People unity news online : เมื่อวานนี้ (2 สิงหาคม 2560) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี (เดิม) ชั้น 2 อาคารสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (คปต.) ครั้งที่ 2/2560 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมี พลเอก อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะหัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล พลเอก ทวีป เนตรนิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในส่วนกลาง และในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ผู้แทนพิเศษของรัฐบาลทั้ง 13 คน ในฐานะกรรมการ คปต. เข้าร่วมประชุมด้วย

รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวต่อที่ประชุม คปต. ว่า การใช้เครื่องมือสนับสนุนการปฏิบัติงานของทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง เพื่อมุ่งป้องกัน และขจัดเงื่อนไขภัยคุกคามความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นเรื่องที่มีความสำคัญและจำเป็นต้องเร่งจัดระบบให้มีกรอบการจัดหา และการบำรุงรักษาให้ใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับสถานการณ์ทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยให้สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งเหล่าทัพและ กอ.รมน. เร่งจัดทำและปรับปรุงแผนงานที่เกี่ยวข้องให้สมบูรณ์ ทันสมัย เพื่อนำเสนอ คปต. พิจารณาต่อไป

ขณะที่การใช้กล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีความก้าวหน้าไปเป็นลำดับ โดยมอบหมายให้ กอ.รมน. และ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เป็นหน่วยงานรับผิดชอบจัดทำรายละเอียดของแผนการซ่อมบำรุงกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ฯ และพิจารณาจัดทำแผน/ โครงการที่สำคัญเร่งด่วน โดยประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการให้สอดคล้องกับแผนฯ เพื่อนำเสนอ คปต. พิจารณาในการประชุมครั้งต่อไป

ส่วนแผนการเสริมสร้างกองกำลังประจำถิ่นและกำลังประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ.2560 – 2564 ซึ่ง กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า ดำเนินการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) เพื่อร่วมปฏิบัติงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครองอย่างมีประสิทธิภาพ นั้น รองนายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ สมช. ไปพิจารณาทบทวนแผนงานโครงการที่หน่วยดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน เพื่อปรับปรุงให้สมบูรณ์สอดคล้องกับแผนดังกล่าว รวมทั้งให้หน่วยงานที่รับผิดชอบริเริ่มจัดทำแผนงานโครงการใหม่ๆภายใต้แผนงานฯดังกล่าว ทั้งนี้ งานเสริมสร้างกองกำลังประจำถิ่นและกำลังประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ รวมถึงการจัดกำลังทหารพรานเป็นกำลังรับผิดชอบหลักในพื้นที่เสริมสร้างความมั่นคงและพื้นที่เศรษฐกิจให้เป็นไปตามแผนที่กำหนด ตลอดจนให้จัดกำลังตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เป็นไปอย่างเหมาะสม และดูแลพื้นที่ภายในให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย

ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม พลเอก ทวีป เนตรนิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ กล่าวว่า ที่ประชุม คปต. ได้รับทราบเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะการประเมินสถานการณ์ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในรอบ 9 เดือน ที่ผ่านมา สรุปว่า เหตุการณ์รุนแรงลดลงมาโดยลำดับ เมื่อเทียบกับห้วงเดียวกันในปีที่แล้ว รวมทั้ง ได้มีวาระติดตามความก้าวหน้าการดำเนินการตามมติ คปต. หรือข้อสั่งการประธาน คปต. ได้แก่ การพัฒนาระบบประสานงานด้านการข่าว มาตรการเฝ้าระวังรักษาความปลอดภัยพื้นที่โครงการเมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” และการใช้ประโยชน์จากระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้เร่งรัดซ่อมบำรุงกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ชำรุดให้สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบกรอบแผนซ่อมบำรุงกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามที่ กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า เสนอ โดยแผนซ่อมบำรุงกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ดังกล่าวเป็นแผนซ่อมบำรุงที่จะดำเนินการอย่างต่อเนื่องในอนาคต เพื่อเฝ้าระวังป้องการก่อเหตุร้ายเชิงรุกก่อนที่จะมีการก่อเหตุขึ้น

อีกทั้ง ที่ประชุม คปต.ได้เห็นชอบร่างแผนการเสริมสร้างกองกำลังประจำถิ่นและกำลังประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ.2560 – 2564 ตามที่ กอ.รมน. เสนอ ซึ่งเป็นกรอบแผนดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับภารกิจความมั่นคงของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักระดับหน่วยปฏิบัติในพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนมีความมั่นใจในมาตรการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินมากขึ้น รวมทั้งได้เห็นชอบการขออนุมัติกรอบอัตรากำลังพนักงานมหาวิทยาลัยในพื้นที่เพิ่มเติมของสถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ และ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา และเห็นชอบโครงการสานฝันกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนใต้ เพื่อสนับสนุนให้เยาวชนในพื้นที่มีโอกาสศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยให้สามารถแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้อย่างยั่งยืน

People unity news online : post 3 สิงหาคม 2560 เวลา 22.30 น.

ครม.ลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่-ลำปาง ประชุม ครม.นอกสถานที่ 14 – 15 มกราคม

People unity : พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีกำหนดการลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่-ลำปาง และเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 1/2562 ณ จังหวัดลำปาง ระหว่างวันที่ 14 – 15 มกราคม 2562 โดยมีกำหนดการดังนี้

วันจันทร์ที่ 14 มกราคม 2562 ช่วงเช้า นายกรัฐมนตรีจะเดินทางออกจากท่าอากาศยานทหาร  กองบิน 6  ดอนเมือง ไปยังท่าอากาศยาน กองบิน 41 จังหวัดเชียงใหม่ และเดินทางต่อไปยังพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ เพื่อสักการะพระธาตุศรีจอมทอง จากนั้น เดินทางไปยังโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ เพื่อพบปะประชาชน รวมทั้งเยี่ยมชมผลงานการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเรื่องการบูรณาการแก้ปัญหาหมอกควันและไฟป่าอย่างยั่งยืนและครบวงจร ด้วยกลไกประชารัฐ การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การจัดการที่ดิน การลดการปลูกพืชเศรษฐกิจเชิงเดี่ยว การพัฒนาส่งเสริมอาชีพ การป้องกันรักษาป่า รวมทั้งเป็นสักขีพยานในโอกาสที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมอบหนังสือแสดงสิทธิโครงการป่าชุมชนให้แก่ผู้แทนชุมชน และผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่มอบสมุดประจำตัวผู้ที่ได้รับการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาลในลักษณะแปลงรวมให้แก่ประชาชน และชมนิทรรศการแม่แจ่มโมเดล จากนั้นเดินทางไปยังโครงการธรรมชาติปลอดภัย บ้านแม่ปาน อ.แม่แจ่ม เยี่ยมชมโครงการธรรมชาติปลอดภัย ศูนย์การเรียนรู้ด้านการเกษตร ซึ่งใช้ระบบเกษตรผสมผสานตามศาสตร์พระราชาลดการปลูกพืชเศรษฐกิจเชิงเดี่ยว

ในช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรีเดินทางต่อไปยังจังหวัดลำปาง เพื่อพบปะประชาชน ณ ลานตลาดชุมชนบ้านหลุก อ.แม่ทะ จ.ลำปาง รวมทั้งเป็นสักขีพยานในโอกาสที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมอบหนังสืออนุญาตให้ทำประโยชน์หรือที่อยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติ มอบหนังสือป่าชุมชนและหนังสือประจำตัวผู้ที่ได้รับการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน จากนั้นจะเปิดศูนย์แสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไม้แกะสลัก เสร็จแล้วออกเดินทางไปยังโรงงานอินทราเซรามิก พบผู้นำภาคเอกชน ผู้ประกอบการการผลิตเซรามิก และเดินทางไปยังบริเวณริมแม่น้ำวังเพื่อชม Street Art และร่วมส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง และประชาสัมพันธ์ Creative tourism ของรัฐบาล

วันอังคารที่ 15 มกราคม 2562 เวลา 07.15 น. ณ อาคารบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง  ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ครั้งแรกของปี 2562 นายกรัฐมนตรีจะพบปะนักเรียนนักศึกษา และเยี่ยมชมนิทรรศการการส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาการเด็กเยาวชนจังหวัดลำปาง เวลา 10.30 น. นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน และการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ครั้งที่ 1/2562 ณ ห้องประชุมนารีอินทนนท์ ชั้น 5 อาคารบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง

ในช่วงบ่าย จะเดินทางไปยังโรงเรียนอนุบาลแม่เมาะ เพื่อเยี่ยมชมการเรียนการสอนของโรงเรียนซึ่งได้รับคัดเลือกในโครงการ 1 ตำบล 1 โรงเรียนคุณภาพ จากนั้นจะเดินทางไปสักการะพระธาตุลำปางหลวง และพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร

ทั้งนี้ สืบเนื่องจากนายกรัฐมนตรีได้รับทราบความเดือดร้อนของประชาชนจากสถานการณ์ปัญหาหมอกควันในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ที่มีความรุนแรง และส่งผลกระทบในหลายด้าน จึงได้กำหนดเป้าหมายการตรวจราชการที่ อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อติดตามความก้าวหน้าในการแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่า อย่างบูรณาการ อย่างยั่งยืนและครบวงจร ด้วยแนวทาง “แม่แจ่มโมเดลพลัส” โดยใช้กลไกประชารัฐ และนโยบายของรัฐบาลผสมผสาน เพื่อพลิกฟื้นผืนป่าสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ทำให้คนอยู่กับป่า นอกจากนี้ ยังเน้นความสำคัญของโครงการธรรมชาติปลอดภัยบ้านแม่ปาน ที่ใช้ระบบเกษตรผสมผสานตามศาสตร์พระราชามาแทนข้าวโพด ปัจจุบันทำให้เกิดกลุ่มวิสาหกิจที่เข้มแข็ง ทั้งเกษตรแปลงใหญ่และเป็นศูนย์การเรียนรู้ด้านการเกษตรของอำเภอแม่แจ่ม

สำหรับการตรวจราชการจังหวัดลำปาง จะได้เน้นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง การยกระดับเศรษฐกิจชุมชน ด้วยเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Creative Industry) การพัฒนาและยกระดับคุณภาพการศึกษา

ทั้งนี้ การตรวจราชการต่างจังหวัดได้ให้ความสำคัญในการลงพื้นที่คู่ขนาน ตามแนวทางส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยทั้งเมืองหลักและเมืองรอง และติดตามการทำงานตามนโยบายของรัฐบาลทุกด้าน เพื่อกระจายการพัฒนา สร้างความเจริญอย่างยั่งยืนในทุกพื้นที่อีกด้วย

การเมือง : ครม.ลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่-ลำปาง ประชุม ครม.นอกสถานที่ 14 – 15 มกราคม

People unity : post post 8 มกราคม 2562 เวลา 10.10 น.

“มนัญญา”วอน! สหรัฐฯเคารพกม.ไทย ปมแบน 3 สารพิษเกษตร

People Unity : “มนัญญา”ออกโรงวอน! สหรัฐฯอย่ายัดเยียดในสิ่งที่เราไม่ต้องการ เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องตั้งแต่เริ่มต้น ยืนยันสารเคมีพิษทำลายสุขภาพคนไทย เดินเครื่อง อุทัยธานีโมเดล เมืองปลอดสารพิษ สะอาดทั้ง ดิน น้ำ ลม ไฟ

วันที่ 25 ต.ค.2562 นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมทุกหน่วยงานของกระทรวงเกษตร ณ ศาลากลางจังหวัดอุทัยธานี เพื่อรับฟังความคิดเห็นทุกภาคส่วน ภายหลังการแบน 3 สารเคมี พาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอส ให้ทุกหน่วยงาน ช่วยเหลือ ดูแล เกษตรกรในช่วงระยะเปลี่ยนผ่าน ซึ่งจะนำร่องที่จังหวัดอุทัยธานี โดยมีเกษตรกร สมาชิกสหกรณ์การเกษตรในจังหวัดอุทัยธานี รวมไปถึงเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล มาชูป้ายสนับสนุนนโยบายการแบนสารเคมีพิษภาคการเกษตร และ มอบดอกกุหลายสีแดง เพื่อให้กำลังใจเป็นจำนวนมาก พร้อมตะโกนว่า “มนัญญา สู้สู้”

นางสาวมนัญญา กล่าวว่า ต้องการทราบความต้องการของเกษตรกรหลังจากที่เราละ ลด เลิก ใช้สารเคมีต่างๆ ไปแล้ว ซึ่งประเทศไทยเราไม่ต้องการให้มีสารเคมี หรือสารพิษที่ทำลายพี่น้องประชาชน แต่ทุกวันนี้เราต้องอยู่กับมัน เพื่ออะไร แล้วเราจะต้องทำอย่างไรต่อไป อากาศ ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นของพี่น้องประชาชน ชาวไทยทุกคน ไม่มีใครมาบั่นทอนสุขภาพเราได้

ส่วนที่สถานทูตอเมริกาจะไม่ยอมให้แบนสารพิษนั้น นางมนัญญา กล่าวว่า “สถานทูตอเมริกา ต้องการให้เราใช้ต่อใช่ไหม เราต้องถามพี่น้องประชาชนคนไทย ว่าเราต้องการใช้หรือไม่ เพราะที่จริงแล้ว ระบบกฎหมายใครกฎหมายมันความต้องการของใครก็ความต้องการของมันอยู่แล้ว ถ้าเราต้องการจะให้อะไรกับใครสักคน เราต้องถามประเทศนั้น ๆ ว่าเขายอมรับหรือไม่ การยัดเยียดในสิ่งที่เราไม่ต้องการ มันก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องตั้งแต่เริ่มต้น”

ส่วนที่สหรัฐอเมริกากดดันจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมติของ คณะกรรมการวัตถุอันตรายหรือไม่นางสาวมนัญญา กล่าวว่า “มันอยู่ที่เรา ว่าเราจะยอมรับตรงนั้น หรือ ปฏิเสธตรงนั้น เราเดินหน้าในการแบนสาร 3 ตัว เราทำมานานแล้ว ต้องเข้าใจว่าเราทำมาหลายปีแล้ว และเมื่อหลายปีที่ผ่านมาต้องเข้าใจว่าทำไมถึงไม่ประสบความสำเร็จ และตัวดิฉันเอง ใช้เวลาทำ 3 เดือน ณ วันนี้ก็เป็นสิ่งที่พิสูจน์ ว่าตัวดิฉันเจออะไรบ้าง ณ วันนี้ ทุกอย่างจะเริ่มเปิดเผยออกมาว่าที่ผ่านมาตัวดิฉันเอง ต่อสู้เพื่อพี่น้องประชาชนชาวไทย แต่ตัวดิฉันเองต้องสู้กับอะไร”

ส่วนที่ว่าจะมีการพิจารณาสารทดแทน หรือไม่นั้น นางสาวมนัญญา กล่าวว่า “คือมันเป็นการพูดเฉย ๆ นะคะ ว่าสารทางเลือกหรือสารทดแทน หรือสารอะไรก็แล้วแต่ เป็นราคาที่สูง จริงๆ แล้วสารพวกนี้อยู่ในท้องตลาดที่เกษตรกรจับต้องได้อยู่แล้ว แต่ทางเลือกของเราต้องการให้ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยชีวภาพ สรรพสิ่งในประเทศไทย สามารถนำมาทำปุ๋ยได้มากมาย นะคะ”

ส่วนจะทำหนังสือชี้แจงทางสหรัฐฯ หรือไม่นั้น นางสาวมนัญญา กล่าวว่า “ถ้าทางสหรัฐอเมริกา ทำหนังสือมาที่กระทรวงเกษตร เราจะทำหนังสือตอบกลับไป แต่ตอนนี้ก็ยังไม่เห็นหนังสืออะไรมา เห็นตามหน้าหนังสือพิมพ์หรือตามไลน์ต่างๆ แต่ที่ส่งหนังสือเป็นทางการ ที่จะส่งมาที่กระทรวงเกษตร ยังไม่เห็น เรามีเหตุผลอยู่แล้วว่าทำไมต้องแบน”

เป็นที่คาดหมายหรือไม่ที่สหรัฐอเมริกา อาจจะลดการนำเข้าสินค้าเกษตรจากประเทศไทย นางสาวมนัญญา กล่าวว่า “อันนี้ก็ต้องดูต่อไปว่าหลังจากนี้แล้วจะเกิดอะไรขึ้น การจะไปคาดการณ์ล่วงหน้าในสิ่งที่ยังไม่เกิด จะกลายเป็นการสร้างให้เกษตรกรตื่นกลัว หรือจะเป็นการเข้าทาง คือทุกวันนี้เราไม่ได้สู้กับเกษตรกร เกษตรกรทุกคนพร้อมแล้วที่จะ ลด ละ เลิก สารเคมี ซึ่งสารพวกนี้ไม่ได้เป็นผลดีทั้งผู้บริโภค และผู้ที่ฉีดหรือเกษตรกรอยู่แล้ว จริงๆ เรามุ่งหวังจะรักษาสุขภาพชาวไทย เราต้องการมีเกษตรกรที่น่ารักและมีครอบครัวที่สมบูรณ์ ในประเทศไทยเรามากกว่า เราจะใช้การตลาดนำผลผลิตอยู่แล้ว”

สำหรับการมาประชุมที่ จ.อุทัยธานี หลังจากการแบน 3 สารเคมี นี้จะดำเนินการอะไรบ้าง นางสาวมนัญญา กล่าวว่า “เราจะให้จังหวัดอุทัยธานี เป็นเมืองปลอดสารพิษ เป็นจังหวัดแรก ๆ ที่ปลอดภัย และปลอดสารเคมี เราจะทำให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ใครมาอุทัยธานี ดิน น้ำ ลม ไฟ ต้องดี ต้องสะอาด ไม่ใช่แค่จังหวัดอุทัยธานี ตัวดิฉันเองจะไปให้ทุกจังหวัดเพื่อจะสร้างโมเดลแบบนี้ให้กับทุกจังหวัด เพียงแต่ว่าจังหวัดนี้เป็นจังหวัดบ้านเกิด เราก็อยากทำอะไรให้กับบ้านเกิดเมืองนอนของเรา เราเติบโตมาจากที่นี่ และเราก็เติบโตมาจากประเทศไทย เพราะเราก็นเป็นคนไทย”

“จุรินทร์”เปิดปชป.รณรงค์”ยุติรุนแรง-เสมอภาค”ทางเพศ LGBT

People Unity News : “จุรินทร์”เป็นประธานเปิดการรณรงค์ยุติความรุนแรง ดันประชาธิปัตย์ ขับเคลื่อน 3 ข้อ ส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ LGBT

วันที่ 26 พฤศจิกายน 2562 เวลา 15.30 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดการรณรงค์ยุติความรุนแรง โดยกล่าวว่า มีความยินดีที่ทุกฝ่ายให้ความสำคัญกับพรรคประชาธิปัตย์ที่ ช่วยกันคิดถึงทางออกไปทางแก้ไข และในการเสวนาวันนี้ขอฝากการบ้านให้ทุกฝ่ายและทุกคน คิดทำการบ้านให้ 3 ประเด็นเพื่อช่วยหาคำตอบในเรื่องของการที่จะทำอย่างไรให้เราที่จะส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศให้เกิดขึ้นได้ในโลกของความเป็นจริงและเป็นรูปธรรม คือ

1.ช่วยหาคำตอบอย่างเป็นรูปธรรมว่าเราจะขจัดการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศได้อย่างเป็นรูปธรรมได้อย่างไร เพราะต้องยอมรับความจริงว่าสังคมเราปัจจุบันยังมีการเลือกปฏิบัติอยู่มากมายหลายรูปแบบทั้งในเรื่องของการจ้างงานซึ่งได้มีการพูดคุยในคณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศที่ผมเป็นประธานกรรมการระดับประเทศอยู่ อย่างไรก็ตามตนเพิ่งประชุมที่ทำเนียบรัฐบาลมาเมื่อไม่กี่วันมานี้เกี่ยวกับงานเชิงนโยบาย และที่อยากได้คำตอบเรื่องนี้เช่นเดียวกัน และพรรคประชาธิปัตย์อยากได้คำตอบเรื่องนี้อย่างเป็นรูปธรรม คือ จะขจัดการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศได้อย่างไรเรื่องการจ้างงาน ค่าตอบแทนที่ยังไม่เท่าเทียมในเรื่องของตำแหน่ง ในเรื่องของความก้าวหน้าในงาน ทั้งในส่วนของภาคราชการ ภาคเอกชนและการเข้าถึงบริการสาธารณะ หรือการหาคำตอบในเรื่องของการถ้าจะอุปสรรคในการเข้ารับบริการสาธารณะด้วยเหตุแห่งความแตกต่างทางเพศที่ทำให้เกิดการเลือกปฏิบัติ เหล่านี้เป็นประเด็นที่พวกผมอยากได้รับคำตอบที่เป็นรูปธรรมเพื่อพลักดันร่วมกับพวกเราต่อไป

2.เราจะร่วมด้วยช่วยกันในการสร้างหลักคิดที่ถูกต้องให้เกิดขึ้นในสังคมได้อย่างไร ทุกเพศมีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน และเราจะช่วยกันดำเนินการอย่างไรที่จะเปลี่ยนความคิดบรรทัดฐานของสังคม ที่ยังมีความรู้สึกบางประการในทางลบกับเพศสภาพบางเพศสภาพซึ่งผมคิดว่านี่คือสิ่งที่เราต้องช่วยกันเปลี่ยนหลักคิดของสังคมให้เกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง และในประการที่สามที่เป็นหัวใจสำคัญที่ตนคิดว่าเป็นที่มาของการรณรงค์ของเราในช่วงเดือนพฤศจิกายน ของ UN ดังนี้เราจะช่วยกันลดหรือขจัดความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศได้อย่างไร

“เพราะตัวเลขเท่าที่ผมมีอยู่น่าเป็นห่วงมากตัวเลขสถิติของการใช้ความรุนแรงโดยเฉพาะต่อสตรีมีความน่าเป็นห่วงและผมคิดว่าจะลามไปถึง LGBT ด้วย ซึ่งกำลังเป็นปัญหาเช่นเดียวกันแต่ยังไม่มีการรวบรวมตัวเลขเรื่อง LGBT แต่อย่างน้อยกับสตรีก็เป็นตัวสะท้อนที่น่าห่วงก็คือสถิติของ UN Human Rights ปีที่แล้ว 2018 ที่สำรวจมาทั่วโลกพบว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาความรุนแรงที่เกิดขึ้นต่อสตรีไม่ได้ลดลง แปลว่าอย่างน้อยก็เท่าเดิมเท่าเดิมก็แย่แล้วหรือว่าอาจจะเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำนี่คือสิ่งที่น่าเป็นห่วงตัวเลขนอกจากนั้นก็คือว่าถึงร้อยละ 83 ของสตรีเพศที่ถูกทำร้ายมาจากคนใกล้ตัวอันนี้ยิ่งน่าเป็นห่วงเพราะเราไม่รู้ว่าคนข้างๆ เราจะก่อความรุนแรงกับเราเมื่อไหร่” นายจุรินทร์ กล่าว

นายจุรินทร์ กล่าวว่า ประการที่ 3 ตัวเลขถัดมาก็คือว่าคนใกล้ตัวไม่ว่าจะเป็นคนรักคู่สมรส คนในครอบครัวหรือญาติพี่น้องก็ตาม ได้ก่อเหตุแห่งความรุนแรงจนกระทั่งทำร้ายให้เกิดการเสียชีวิตตัวเลขเฉลี่ยถึง 157 คนต่อวันคือตัวเลขที่ผมคิดว่าน่าเป็นห่วงอย่างยิ่งและเราต้องช่วยกันหาทางแก้ปัญหาเหล่านี้ และสำหรับด้านกฎหมายที่ได้มีการดำเนินการกันมาอย่างต่อเนื่องนั้นทางพรรคประชาธิปัตย์โดยตนจะได้นำเข้าที่ประชุมพรรคเพื่อหารือและดำเนินการต่อไป

พรุ่งนี้ “ประยุทธ์” ลงพื้นที่ จ.ปัตตานี เปิดงานชุมนุมลูกเสือจังหวัดชายแดนภาคใต้

People unity news online : พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ เตรียมเดินทางลงพื้นที่ไปตรวจราชการจังหวัดปัตตานี วันพุธที่ 4 เมษายน 2561 โดยมีกำหนดการดังนี้

เวลา 07.00 น. นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะเดินทางโดยเครื่องบิน C – 130 จากท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ไปยังท่าอากาศยานปัตตานี ตำบลบ่อทอง อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี จากนั้น เดินทางต่อไปยังสนามกีฬากลางจังหวัดปัตตานีเพื่อเป็นประธานพิธีเปิดงานชุมนุมลูกเสือจังหวัดชายแดนภาคใต้ ครั้งที่ 13 โดยกระทรวงศึกษาธิการร่วมกับศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี หัวหน้าส่วนราชการของรัฐ เอกชน และท้องถิ่นร่วมกันจัดขึ้นระหว่างวันที่ 3 – 7 เมษายนนี้ ทั้งนี้ เพื่อเป็นกิจกรรมแสดงออกถึงความจงรักภักดีของลูกเสือต่อสถาบัน ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เทิดพระเกียรติพระบรมราชจักรีวงศ์ และเพื่อแสดงความพร้อมศักยภาพของลูกเสือจังหวัดชายแดนภาคใต้ สู่ประชาคมอาเซียน รวมถึงเพื่อส่งเสริมให้ลูกเสือทำความดีมีจิตอาสา มีความสามัคคีอยู่ร่วมในสังคมพหุวัฒนธรรมอย่างสันติสุข สำหรับการชุมนุมลูกเสือครั้งนี้ มีตัวแทนลูกเสือ – เนตรนารีจากจังหวัดต่างๆทั่วประเทศ คณะกรรมการและเจ้าหน้าที่ เข้าร่วมงานชุมนุม รวมทั้งสิ้นประมาณ 3,548 คน โดยมีตัวแทนลูกเสือจากต่างประเทศเข้าร่วมจำนวน 443 คน ได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม เนปาล ศรีลังกา และกาตาร์

จากนั้น นายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมพื้นที่ชายแดนภาคใต้ เพื่อติดตามงานด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะความก้าวหน้าในการขับเคลื่อนการพัฒนาและแก้ไขปัญหาต่างๆในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ณ ห้องประชุมพญาตานี ชั้น 4 ศาลากลางจังหวัดปัตตานี

ช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรีมีกำหนดการพบปะพร้อมมอบอุปกรณ์กีฬาให้ตัวแทนนักเรียนของโรงเรียนในพื้นที่ จำนวน 5 โรงเรียน ณ วัดทรายขาว ตำบลทรายขาว อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปตรวจเยี่ยมชุมชนพหุวัฒนธรรม (ไทยพุทธและไทยมุสลิม) ที่อยู่ร่วมกันอย่างสันติ พร้อมพบปะผู้นำศาสนาและประชาชน เพื่อรับทราบปัญหา ข้อเสนอแนะ รวมถึงสร้างการรับรู้ต่อนโยบายและการดำเนินงานของรัฐบาล รวมทั้งเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนในพื้นที่ ณ อาคารอเนกประสงค์ มัสยิด นัจมุดดีน บ้านควนลังงา จังหวัดปัตตานี เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร

People unity news online : post 3 เมษายน 2561 เวลา 07.50 น.

ก.กลาโหมมอบของขวัญปีใหม่ “เติมความสุขให้คนไทย จากใจทหาร” แก่ประชาชน

People unity news online : กระทรวงกลาโหม มอบของขวัญปีใหม่ “ เติมความสุขให้คนไทย จากใจทหาร” ให้กับประชาชน

พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยหลังการประชุมสภากลาโหม เมื่อวันที่ 27 ธ.ค.60 ณ ศาลาว่าการกลาโหม ว่า กระทรวงกลาโหมขอมอบความปรารถนาดีให้กับประชาชน โดยได้จัดเตรียมของขวัญปีใหม่ ด้วยการ “เติมความสุขให้คนไทย จากใจทหาร” มอบให้พี่น้องประชาชนใน 3 เรื่องหลัก คือ

1.งานสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน โดยกำลังพลของกองทัพจะทำหน้าที่เสมือนเป็น รั้ว กล้องวงจรปิดหรือแม้กระทั่งยาม ที่คอยดูแลพื้นที่ตามแนวชายแดนและพื้นที่มีความสำคัญด้านความมั่นคง เพื่อรักษาเสถียรภาพความมั่นคงของประเทศและดูแลความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ในระหว่างห้วงเวลาเทศกาลแห่งความสุขในปีใหม่ที่พี่น้องประชาชนร่วมเฉลิมฉลองกัน

2.งานการช่วยเหลือประชาชน ได้จัดเตรียมกำลังพลเตรียมพร้อม ร่วมเฝ้าระวังและให้การช่วยเหลือประชาชนเร่งด่วน กรณีเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด ขณะเดียวกันได้ร่วมรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุบนท้องถนน โดยจัดจุดพักรถ จุดบริการ ชุดแพทย์พยาบาล ชุดตรวจและซ่อมรถยนต์ ตามถนนสายหลักบริเวณหน้าที่ตั้งหน่วยทหาร รวมทั้งจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือประชาชนและนักท่องเที่ยวทางทะเลทั้งฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน

3.งานบริการประชาชน โดยเปิดแหล่งท่องเที่ยวและพิพิธภัณฑ์ในเขตทหารทั่วประเทศ ให้บริการโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ขณะเดียวกันได้อำนวยความสะดวกจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคและบริโภคราคาถูกร่วมกับการจัดแสดงดนตรีโดยวงดุริยางค์ทหารภายในพื้นที่ของหน่วยทหารทั่วประเทศ เพื่อลดภาระค่าครองชีพครัวเรือนและเติมเต็มความสุขของพี่น้องประชาชนไปด้วยกัน

ทั้งนี้ กระทรวงกลาโหมโดยกำลังพลทุกเหล่าทัพ ขอให้ความเชื่อมั่นกับพี่น้องประชาชนว่า เราจะร่วมกันทำหน้าที่อย่างเต็มกำลังในการเป็นหลักประกันความมั่นคงของชาติเคียงข้างกับประชาชน เพื่อร่วมเสริมสร้างเสถียรภาพความมั่นคงของประเทศและดูแลความปลอดภัยของประชาชน บนผลประโยชน์ส่วนรวมและประเทศชาติร่วมกัน พร้อมกันนี้ กระทรวงกลาโหมขอถือโอกาสนี้ ส่งความสุข สวัสดีปีใหม่ 2561 และเป็นกำลังใจให้กับพี่น้องประชาชนทุกคนในการใช้ชีวิตอย่างมีสติ ไม่ประมาท บนพื้นฐานของความพอเพียง

People unity news online : post 28 ธันวาคม 2560 เวลา 10.20 น.

“ทักษิณ”บริสุทธิ์อีกแล้ว! ศาลฎีกาฯยกฟ้องคดีตั้งคลังแทรกแซงฟื้นฟูทีพีไอ

People Unity News : องค์คณะอุทธรณ์ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษายืนยกฟ้อง “ทักษิณ” พ้นข้อกล่าวหา ม.157 ตั้งคลังแทรกแซงฟื้นฟูทีพีไอ ฟังไม่ได้ว่าเอื้อประโยชน์พวกพ้อง

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์ 9 คน ที่เลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา อ่านคำพิพากษาชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์คดีหมายเลขดำ อธ.อม.4/2561 ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. โจทก์ยื่นอุทธรณ์คดีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2561 ด้วยคะแนนเสียงข้างมากยกฟ้อง นายทักษิณ ชินวัตร อายุ 70 ปี อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 23 จำเลย ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริตเป็นเหตุให้ผู้หนึ่งผู้ใดเสียหาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีกล่าวหาเมื่อปี 2546 นายทักษิณ ขณะดำรงตำแหน่งนายกฯ ได้นำเสนอให้กระทรวงการคลัง สมัยที่ ร.อ.สุชาติ เชาว์วิศิษฐ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เข้าเป็นผู้บริหารแผนฟื้นฟูบริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทยจำกัด (มหาชน) หรือ ทีพีไอ และจำเลยร่วมกับ ร.อ.สุชาติ ยินยอมให้กระทรวงการคลังเป็นผู้บริหารแผน และเป็นผู้เสนอชื่อ พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ เป็นประธานคณะผู้บริหารแผน และนายทนง พิทยะ เป็นผู้บริหารแผน

คดีนี้ ป.ป.ช. ยื่นฟ้อง นายทักษิณแบบไม่มีตัวจำเลยเมื่อปี 2561 เนื่องจากหลบหนีคดีอื่นอยู่ในต่างประเทศ และศาลพิจารณาคดีโดยไม่มีตัวจำเลย ตามขั้นตอน พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (วิ อม.) พ.ศ.2560 มาตรา 28, 33, 59 ซึ่งศาลออกหมายจับนายทักษิณแล้ว โดยชอบแล้ว ไม่ได้ตัวมาศาล ชั้นพิจารณาจำเลยไม่มาศาล ถือว่าจำเลยให้การปฏิเสธต่อสู้คดี และเป็นสำนวนคดีแรก ในจำนวน 4 สำนวนที่อัยการสูงสุด และ ป.ป.ช. ยื่นพิจารณาคดีไต่สวนลับหลังจำเลยตาม วิ อม.ใหม่ แล้วศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษายกฟ้อง ขณะที่วันนี้มีเพียงผู้แทน ป.ป.ช.โจทก์เดินทางมาศาล ซึ่งศาลอ่านคำพิพากษาให้ฝ่ายโจทก์ฟัง และถือว่าจำเลยรับทราบคำพิพากษา

องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์ พิจารณาประเด็นที่ ป.ป.ช.โจทก์ยื่นอุทธรณ์แล้ว เห็นว่า แม้ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยตรงให้อำนาจกระทรวงการคลังเข้าเป็นผู้บริหารแผนของ บริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) หรือทีพีไอ ลูกหนี้ก็ตาม แต่กระทรวงการคลังมีอำนาจหน้าที่หลักในการดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์สาธารณะ รวมถึงการพยุงสภาวะเศรษฐกิจของประเทศไม่ให้เกิดความเสียหายมากจนยากแก่การแก้ไข

การเข้าไปเป็นผู้บริหารแผนของ ทีพีไอ ซึ่งประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขนาดใหญ่ของประเทศ ซึ่งเป็นสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน หากทีพีไอไม่สามารถฟื้นฟูได้และตกเป็นผู้ล้มละลาย กิจการเหล่านั้นอาจหยุดชะงักประเทศชาติและประชาชนย่อมได้รับผลกระทบอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ พฤติการณ์ย่อมมีความจำเป็นอย่างยิ่งและเร่งด่วนที่กระทรวงการคลังจะต้องดำเนินการเมื่อได้รับการร้องขอให้ช่วยเหลือ กระทรวงการคลังจึงเข้าไปเป็นผู้บริหารแผนของทีพีไอได้

ส่วนที่ ป.ป.ช.โจทก์ อุทธรณ์ว่า นายทักษิณ จำเลยเป็นผู้ริเริ่มผลักดันสั่งการและเป็นตัวการร่วม รวมถึงไม่ทักท้วงการพิจารณาของ ครม.เพื่อเปลี่ยนจากวาระเพื่อทราบ เป็นวาระเพื่อพิจารณา มีผลให้กระทรวงการคลังเข้าเป็นผู้บริหารแผนของทีพีไอโดยมีเจตนาครอบงำกิจการของทีพีไอ กับเอื้อประโยชน์ให้แก่ตนเองและพวกพ้องนั้น ข้อเท็จจริงได้ความเพียงว่า จำเลยเชิญตัวแทนของเจ้าหนี้และผู้บริหารของทีพีไอเข้าหารือที่บ้านพิษณุโลกเกี่ยวกับการฟื้นฟูกิจการของทีพีไอและการตั้งผู้บริหารแผนคนใหม่เท่านั้น แต่ที่ประชุมเจ้าหนี้ไม่ได้เลือกกระทรวงการคลังเป็นผู้บริหารแผนตามข้อเสนอของจำเลย หลังจากนั้นจำเลยก็ไม่ได้เข้าเกี่ยวข้องกับเหตุในคดีนี้ อีกทั้งต่อมาศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งไม่ตั้งบริษัท บริหารแผนไทย จำกัด เป็นผู้บริหารแผน ตามมติที่ประชุมเจ้าหนี้ โดยเห็นควรขอให้กระทรวงการคลังเป็นผู้บริหารแผนหากกระทรวงการคลังยินยอม ซึ่งในท้ายที่สุดที่ประชุมเจ้าหนี้และทุกฝ่ายยินยอมให้กระทรวงการคลังเป็นผู้บริหารแผน และศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งตั้งกระทรวงการคลังเป็นผู้บริหารแผนตามมติที่ประชุมเจ้าหนี้ดังกล่าวโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว

ส่วนข้ออ้างเกี่ยวกับการครอบงำกิจการของทีพีไอ โดยอ้างคำกล่าว “นายอยากใต้” คำว่า “นาย” หมายถึงจำเลย ผู้ที่พูดข้อความคือ ร.อ.สุชาติ เชาว์วิศิษฐ ไม่ใช่จำเลย จึงเป็นเพียงพยานบอกเล่ามีน้ำหนักน้อย และส่วนที่จำเลยเสนอชื่อคณะผู้บริหารแผนของทีพีไอ เป็นเพียงการเสนอความเห็นเบื้องต้นแก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในเรื่องที่นำมาปรึกษาเท่านั้น และจะได้รับการแต่งตั้งหรือไม่ต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายอีกชั้นหนึ่ง

เมื่อไม่ปรากฏว่า นายทักษิณ จำเลย เข้าไปเกี่ยวข้องกับการบริหารแผนฟื้นฟูกิจการของทีพีไอ หรือการบริหารกิจการ หรือเข้าไปรับโอนถือครองหุ้นของทีพีไอ จึงรับฟังไม่ได้ว่า การเสนอชื่อคณะผู้บริหารแผนของจำเลย เป็นการเอื้อประโยชน์แก่พวกพ้อง

สำหรับข้ออ้างที่ว่าการขายหุ้นเพิ่มทุนของทีพีไอ ให้แก่หน่วยงานในกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง และศาลฎีกามีคำพิพากษาให้กระทรวงการคลังคืนเงินค่าจ้างบริษัท ซินเนอจี โซลูชั่น จำกัด ที่บริหารจัดการกิจการทรัพย์สินของทีพีไอ ให้แก่ทีพีไอ ทำให้ทีพีไอและกระทรวงการคลังได้รับความเสียหายนั้น เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งตั้งให้กระทรวงการคลังเป็นผู้บริหารแผนของทีพีไอแล้ว หากทีพีไอหรือกระทรวงการคลังได้รับความเสียหายอย่างไร ทีพีไอหรือกระทรวงการคลังก็อาจไปว่ากล่าวแก่บุคคลที่เกี่ยวข้องต่อไป เมื่อไม่ปรากฏในทางไต่สวน ว่าจำเลยได้เข้าไปเกี่ยวข้อง หรือรู้เห็นหรือมีพฤติการณ์ที่บ่งชี้ได้ว่าจำเลยมีเจตนาพิเศษประสงค์ต่อผลเพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่ตนเองหรือผู้อื่น การกระทำของจำเลย จึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ตามฟ้อง ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษายกฟ้องมานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของ ป.ป.ช.โจทก์ทุกข้อฟังไม่ขึ้นพิพากษายืน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อองค์คณะผู้พิพากษาชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์มีคำพิพากษายกฟ้องแล้ว ผลคดีจึงถือเป็นที่สุด ยุติตามขั้นตอนของกฎหมาย โดยนายทักษิณ อดีตนายกไม่มีความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบในกรณีดังกล่าว โดยขณะนี้คดีดังกล่าวถือเป็นคดีเดียวที่ศาลฎีกาฯ และองค์คณะวินิจฉัยชั้นอุทธรณ์ มีคำพิพากษายืนให้ยกฟ้อง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ 4 สำนวน ที่อัยการสูงสุด และ ป.ป.ช.ยื่นฟ้องไว้ตั้งแต่ปี 2550-2551 และภายหลังยื่นขอพิจารณาคดีโดยไม่มีตัวจำเลย ตามกฎหมายใหม่ปี 2560 ประกอบด้วย คดีกล่าวหาร่วมทุจริตการปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทยให้กับกลุ่มกฤษดามหานคร ที่ยกฟ้องเมื่อวันที่ 30 ส.ค.62 , คดีกล่าวหาปล่อยกู้ธนาคารเอ็กซิมแบงค์ให้รัฐบาลพม่า 4,000 ล้านบาท เพื่อเอื้อประโยชน์กลุ่มชินคอร์ป ให้จำคุก 3 ปี ไม่รอลงอาญา , คดีกล่าวหาดำเนินโครงการออกสลากพิเศษหวยบนดินโดยมิชอบ ให้จำคุก 2 ปีไม่รอลงอาญา และคดีกล่าวหาแปลงค่าสัมปทานกิจการโทรคมนาคมเป็นภาษีสรรพสามิต เอื้อประโยชน์ธุรกิจเครือชินคอร์ปฯ รัฐเสียหาย 6.6 หมื่นล้านบาท ยังอยู่ในกระบวนไต่สวนพยานโจทก์

นายกฯยืนยันไม่ได้กลั่นแกล้งใคร กรณีเรียกเก็บภาษี-ตรวจสอบทรัพย์สินนักการเมือง

People unity news online : วันนี้ (21 มีนาคม 2560) เวลา 14.30 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงกรณีการเผยแพร่คำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องเดิม แตกต่างจากเรื่องใหม่ ซึ่งเป็นคนละกรณี ขออย่านำมาเกี่ยวข้องกัน ส่วนจะถูกหรือผิด จะสามารถดำเนินการได้หรือไม่นั้นต้องเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ยืนยันการดำเนินการต้องเป็นธรรม และขอให้นึกถึงการปฏิบัติของรัฐบาลด้วย ซึ่งบางอย่างไม่ชัดเจน ยังคลุมเครือรัฐบาลต้องดำเนินการให้เกิดความชัดเจน ไม่เช่นนั้นจะสุ่มเสี่ยงเป็นความผิดตามมาตรา 157 ละเว้นหรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือทุจริต โดยรัฐบาลมีความระมัดระวังอย่างเต็มที่ในการทำงาน และไม่ต้องการจะรังแกใคร

ส่วนการตรวจสอบทรัพย์สินของนักการเมืองในอดีตนั้น เป็นไปตามกฎหมายที่ระบุไว้อยู่แล้วว่าต้องมีการตรวจสอบทรัพย์สินของนักการเมืองก่อนรับตำแหน่ง และหลังสิ้นสุดตำแหน่ง ซึ่งเป็นไปตามระเบียบของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ส่วนการตรวจสอบทรัพย์สินฯเป็นอำนาจหน้าที่ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งจะเลือกตรวจสอบนักการเมืองที่มีรายได้เพิ่มขึ้น ยืนยันไม่ได้กลั่นแกล้งใคร และจะต้องดำเนินการเรียกเก็บภาษีให้ได้ภายใน 5 ปี หลังจากพ้นตำแหน่ง เพราะไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถเรียกเก็บภาษีได้

People unity news online : post 21 มีนาคม 2560 เวลา 23.48 น.

Verified by ExactMetrics