วันที่ 20 เมษายน 2024

“บิ๊กตู่”เปิดประชุมผู้นำธุรกิจอาเซียนครั้งที่ 5 ชูการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ 3 ด้านของไทย

People Unity : นายกรัฐมนตรีเป็นประธานและกล่าวปาฐกถาในโอกาสการประชุมผู้นำธุรกิจอาเซียน ครั้งที่ 5 “The Future of Thailand and ASEAN”

วันนี้ (21 มิถุนายน 2562) เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานและกล่าวปาฐกถาในโอกาสการประชุมผู้นำธุรกิจอาเซียน ครั้งที่ 5 “The Future of Thailand and ASEAN” ณ ห้อง Magnolia ballroom ชั้น 10 โรงแรม Waldorf Astoria กรุงเทพมหานคร โดยในการประชุมครั้งนี้มี นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พร้อมด้วยผู้แทนจากสถานเอกอัครราชทูต ผู้แทนองค์การระหว่างประเทศ หน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง และสื่อมวลชนกว่า 400 คน เข้าร่วมงาน

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติได้มาร่วมงานการประชุมผู้นำธุรกิจอาเซียน ครั้งที่ 5 และกล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “The Future of Thailand and ASEAN” ที่สำนักข่าว Bloomberg จัดขึ้น ในช่วงเวลานี้ที่มีความสำคัญกับประเทศไทยเพราะจะเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 34 ในช่วงสุดสัปดาห์นี้

นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงวิสัยทัศน์ของไทยว่ามีศักยภาพและความพร้อมในหลายด้านที่จะเดินหน้าไปสู่การพัฒนาพร้อมกับภูมิภาค ไทยได้ก้าวพ้นสถานการณ์ความไม่สงบ มีความปรองดอง และสามารถแก้ปัญหาคั่งค้างที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศหลายประการ ไทยได้ผ่านพ้นการเลือกตั้งทั่วไปตามกระบวนการประชาธิปไตยด้วยความเรียบร้อย เป็นไปตาม roadmap ที่กำหนด และนายกรัฐมนตรีมุ่งมั่นตั้งใจที่จะปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ เพื่อสืบสานนโยบาย และการพัฒนาประเทศให้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้ระบุถึงดัชนีทางเศรษฐกิจต่างๆที่เป็นตัวบ่งชี้ว่า สถานการณ์ในประเทศดีขึ้นมาก เศรษฐกิจขยายตัวได้ร้อยละ 4.1 การลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ 3.8 ซึ่งทั้งสองตัวชี้วัดนี้ถือเป็นอัตราที่สูงที่สูดในรอบ 6 ปี และมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ระดับ 2.53 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์ ทั้งนี้ รัฐบาลไทยก็ให้ความสำคัญในการดูแลขั้นตอนกระบวนการในการทำธุรกิจ เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งประเทศไทยได้ลำดับที่ดีขึ้นในการจัดอันดับความยากง่ายในการประกอบธุรกิจในปี 2561 ของธนาคารโลก

ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 27 จากทั้งหมด 190 ประเทศ สูงขึ้นจากปีก่อนถึง 19 อันดับ และเป็นอันดับที่ 3 ในอาเซียน สำหรับภาคการท่องเที่ยวซึ่งเป็นส่วนที่มีความสำคัญกับประเทศก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาเยือนประเทศไทยถึง 38 ล้านคน ในปี 2561 เพิ่มขึ้น 2.9 ล้านคนจากปีก่อนหน้า และปีนี้คาดว่าเราจะได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวถึง 40 ล้านคน นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีนโยบายพัฒนาด้านเทคโนโลยี พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศให้เอื้อต่อการต่อยอดอุตสาหกรรมเดิม และรองรับอุตสาหกรรมใหม่ เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายการเป็นระเบียงเศรษฐกิจแห่งเอเชีย

อย่างไรก็ดี รัฐบาลส่งเสริมให้ประเทศไทยเข้มแข็งจากภายใน มีพื้นฐานทางเศรษฐกิจมั่นคงกระจายลงไปถึงระดับรากหญ้า โดยให้ภาคเอกชนไทย และอาเซียนเป็นจุดแข็งที่จะลดช่องว่าง สร้างการเติบโตไปสู่รากหญ้า ทั้งนี้ ผู้มีรายได้น้อย และ SMEs และช่วยให้สามารถเชื่อมโยงเข้ากับห่วงโซ่มูลค่าของโลกได้ ด้วยการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มาเป็นเครื่องมือสำคัญในการสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืน และช่วยสร้างภูมิคุ้มกันผลกระทบจากความท้าทายภายนอก ได้แก่ ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจการค้า ความขัดแย้งทางการค้า รวมทั้งความท้าทายจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ซึ่งรัฐบาลไทยเชื่อว่าเป็นหลักการที่สามารถนำไปปรับใช้ในบริบทการพัฒนาของอาเซียนได้ด้วย

ในส่วนของอาเซียนซึ่งมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง เพราะตลาดขนาดใหญ่อันดับ 6 ของโลก มีประชากรกว่า 650 ล้านคน และอยู่ในตำแหน่งยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศที่สำคัญ จึงช่วยเพิ่มศักยภาพของอาเซียนในการที่จะพัฒนาไปเป็นกลุ่มเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นลำดับที่ 4 ของโลกภายในปี 2573 รวมถึงจะเพิ่มอำนาจการต่อรองของภูมิภาคด้วย แม้ว่า ปัจจุบันโลกเผชิญกับความท้าทาย และการเปลี่ยนแปลงหลายด้าน รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและนวัตกรรม นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า ประเทศไทยและอาเซียนมีศักยภาพสูงที่จะรับมือ และเป็นสนามการค้าการลงทุนที่มีเสถียรภาพ ตอบโจทย์นักลงทุนทั่วโลก

ไทยนำเสนอแนวคิดหลักของการเป็นประธานอาเซียนในปีนี้ คือ “ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน” และมีเป้าหมายที่จะบรรลุความสำเร็จในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ 3 ด้าน ที่ไทยต้องการผลักดันให้เป็นรูปธรรมภายในปี 2562 ได้แก่ 1) การมุ่งสู่อนาคต คือ ความพร้อมในการเข้าสู่ยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4 2) การส่งเสริมความเชื่อมโยงทางการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และระบบอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียวของอาเซียน และ 3) การสร้างความยั่งยืนในทุกมิติ เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจรากหญ้าให้ประชาชนอยู่ดีกินดี

ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีขอให้ภาคเอกชนมั่นใจและใช้ประโยชน์จากความพร้อมของไทย และอาเซียนทั้งทางเศรษฐกิจ และเสถียรภาพทางการเมืองที่นำไปสู่ความต่อเนื่องทางนโยบาย โดยนายกรัฐมนตรีได้อวยพรให้การจัดงานในวันนี้ประสบความสำเร็จตามที่หวังไว้ทุกประการ

ความสัมพันธ์ต่างประเทศ : “บิ๊กตู่” เปิดประชุมผู้นำธุรกิจอาเซียนครั้งที่ 5 ชูการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ 3 ด้านของไทย

People Unity : post 21 มิถุนายน 2562 เวลา 11.40 น.

ไทยถูกยกให้เป็นต้นแบบของอาเซียนในการแก้ปัญหาประมงผิดกฎหมาย

People Unity : รู้หรือไม่? ว่าประเทศไทยถูกยกให้เป็นต้นแบบของอาเซียนในการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย

รู้หรือไม่? ว่าประเทศไทยถูกยกให้เป็นต้นแบบของอาเซียน ในการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย หรือ IUU Fishing ด้วยนะ และในการประชุมรัฐมนตรีกลาโหม ระหว่าง 10-12 ก.ค.2562 นี้ ก็จะยกเรื่องนี้มาพูดคุยถึงบทบาทของทหารในการช่วยแก้ไขปัญหาประมงผิดกฎหมาย

ความสัมพันธ์ต่างประเทศ : ไทยถูกยกให้เป็นต้นแบบของอาเซียนในการแก้ปัญหาประมงผิดกฎหมาย

People unity : post 8 กรกฎาคม 2562 เวลา 13.40 น.

รัฐบาลยันแก้ปัญหา IUU ถูกทางแล้ว แนะ “ธนาธร” ตรวจสอบข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้อง

People Unity : รัฐบาลยืนยันแก้ไขปัญหา IUU ถูกทางแล้ว แนะ หน.พรรคอนาคตใหม่ตรวจสอบข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้อง

เมื่อวันที่ 2 มิ.ย.2562 พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณี นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ร่วมเสวนารับฟังปัญหาชาวประมงที่ตลาดมหาชัยมั่นคง อ.เมือง จ.สมุทรสาคร โดยมีการกล่าวโจมตีว่านโยบายการแก้ไขปัญหา IUU หรือการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม ของรัฐบาล ทำให้ชาวประมงเดือดร้อนและสูญเสียรายได้ ว่า “ขอตั้งข้อสังเกตว่า จากภาพและคลิปที่เจ้าหน้าที่รวบรวมมาพบว่ากลุ่มคนที่มาให้ข้อมูลกับนายธนาธรนั้นส่วนใหญ่เข้าข่ายทำผิดกฎหมาย บางคนถูกศาลสั่งลงโทษปรับกว่า 500 ล้านบาท หลายคนถูกสั่งยึดเรือเพราะไปทำความผิดในน่านน้ำสากล ซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหาการค้ามนุษย์ ฟอกปลา ขโมยปลา ดังนั้นจึงเป็นการรับฟังข้อมูลด้านเดียว และดูเหมือนจะจงใจลดความน่าเชื่อถือของรัฐบาล ตามที่นายธนาธรเคยพูดไว้ว่าจะทำงานนอกสภา แต่กลับฟังข้อมูลไม่ครบถ้วน”

รองโฆษกฯ กล่าวว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รับทราบเรื่องดังกล่าวแล้วและยืนยันว่า หากรัฐบาลไม่แก้ไขปัญหา IUU อย่างจริงจัง ประเทศไทยจะเจอวิกฤตด้านการประมงอย่างใหญ่หลวง ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงใครจะรับผิดชอบ ในทางตรงกันข้าม ปี 2561 เราจับปลาได้เพิ่มขึ้นถึง 2 แสนตัน ในจำนวนนี้ปลาที่ชาวประมงพื้นบ้านรายย่อยจับได้มีถึง 15,000 ตัน ส่วนเรือประมงพาณิชย์ ได้เพิ่มวันจับปลาให้กว่า 100 วัน สะท้อนว่าจำนวนสัตว์น้ำของไทยเริ่มกลับมาอุดมสมบูรณ์ ไม่มีปัญหาเรื่องเรือเถื่อน ชาวประมงมีโอกาสทางอาชีพเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ความร่วมมือของทุกภาคส่วนโดยเฉพาะพี่น้องขาวประมงที่ทำถูกกฎหมาย ทำให้อันดับการค้ามนุษย์ของไทยเลื่อนจากเทียร์ 3 มาเป็นเทียร์ 2 แล้ว ดังนั้น การออกมาคัดค้านต่อต้านของผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขปัญหาหรืออยากให้แก้ไขกฎหมายเพื่อกลับไปทำผิดเหมือนเดิมนั้น เท่ากับเป็นการส่งเสริมให้เกิดปัญหาการค้ามนุษย์ขึ้นอีกหรือไม่ จึงอยากให้สังคมตรึกตรองในเรื่องนี้

ความสัมพันธ์ต่างประเทศ : รัฐบาลยันแก้ปัญหา IUU ถูกทางแล้ว แนะ “ธนาธร” ตรวจสอบข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้อง

People Unity : post 4 มิถุนายน 2562 เวลา 10.30 น.

ทูตเกาหลีเหนือเข้าพบ “อนุชา” สานต่อความสัมพันธ์ไทย-เกาหลีเหนือ

People Unity News : ไทย-เกาหลีเหนือ ยินดีต่อความสัมพันธ์ฉันท์มิตรที่มีมาอย่างยาวนาน และพร้อมสานต่อความสัมพันธ์ต่อไป

เมื่อ 9 ตุลาคม 2563 เวลา 10.00 น. ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายคิม เช พง (H.E. Mr. Kim Je Bong) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี (เกาหลีเหนือ) ประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสเข้ารับหน้าที่ สรุปสาระสำคัญการหารือ ดังนี้

รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีประจำประเทศไทย ยินดีที่ไทยกับเกาหลีเหนือมีความสัมพันธ์เป็นมิตรประเทศที่ดีต่อกันมาอย่างยาวนาน ยืนยันรัฐบาลไทยพร้อมทำงานร่วมกับเอกอัครราชทูตฯอย่างต่อเนื่องต่อไป เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับเกาหลีเหนือในสาขาที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน ทั้งนี้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีชื่นชมเกาหลีเหนือที่ได้จัดการกับภัยธรรมชาติพายุไต้ฝุ่นในประเทศเกาหลีเหนือได้อย่างเรียบร้อย

เอกอัครราชทูตฯขอบคุณรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่สละเวลาให้เข้าพบในวันนี้ พร้อมทั้งแสดงความยินดีในโอกาสเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชื่นชมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับเกาหลีเหนือที่มีความเป็นมิตรที่ดีแก่กันมาตลอดระยะเวลา 45 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ยืนยันพร้อมทำงานเพื่อขับเคลื่อนความสัมพันธ์ระหว่างกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยเอกอัครราชทูตฯชื่นชมรัฐบาลไทยที่ทำงานอย่างหนักเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ด้านรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเห็นว่าสถานการณ์โควิด-19 เป็นวิกฤตการณ์ระดับโลกที่หลายประเทศกำลังเผชิญอยู่ ประเทศไทยโชคดีที่รัฐบาลดำเนินมาตรการอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคุมการแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ไทยไม่พบผู้ติดเชื้อภายในประเทศมาเป็นระยะเวลานาน เป็นที่ชื่นชมจากต่างชาติ พร้อมทั้งอวยพรเกาหลีเหนือให้ควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดดูแลประชาชนให้ปลอดภัย

Advertising 

เอฟเอโอ ชื่นชมความก้าวหน้าการปฏิรูปภาคเกษตรของไทยด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม

People Unity News : เอฟเอโอ ชื่นชมความก้าวหน้าการปฏิรูปภาคเกษตรของไทยด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ยืนยันพร้อมสนับสนุนไทยด้านเกษตรปลอดภัยอาหารปลอดภัยรับมือโควิด19

ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มอบหมาย นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นางอุมาพร พิมลบุตร นายพิศาล พงศาพิชณ์ ตัวแทนหน่วยราชการในกระทรวง ให้การต้อนรับ นายจอง จิน คิม (Mr. Jong-Jin Kim) ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก และคณะ เข้าเยี่ยมคารวะในโอกาสเข้ารับตำแหน่งใหม่ ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีการหารือครอบคลุมประเด็นความร่วมมืออย่างใกล้ชิด (Hand in Hand initiative) และความร่วมมือแบบหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา (South-South Cooperative Programmed) การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางวิชาการ และการสนับสนุนโครงการในการพัฒนาด้านการเกษตร ระหว่าง FAO กับประเทศไทยในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก รวมทั้งโครงการความร่วมมือด้านการเกษตรภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 (FAO/RAP) ในการประเมินผลกระทบของโรคที่มีต่อภาคการเกษตร (the COVID-19 country assessment of impact and response option on food system, food security and nutrition and livelihoods) โดย FAO มีโครงการสนับสนุนไทยในการแก้ไขปัญหาหลัง COVID และสนับสนุนโครงการความร่วมมือที่มีอยู่เดิมได้แก่ การลดการสูญเสียอาหาร (National Food loss baseline) การจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านการวิจัยดินแห่งภูมิภาคเอเชีย (Center of Excellence on Soil Research in Asia : CESRA) และการขึ้นทะเบียนพื้นที่มรดกการเกษตรโลกที่จังหวัดพัทลุงและเพชรบุรี โดย FAO ชื่นชมความก้าวหน้าของการปฏิรูปภาคเกษตรของไทยและยืนยันว่า FAO ยินดีสนับสนุนพร้อมทั้งขยายความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับประเทศไทย

ทั้งนี้ นายอลงกรณ์ ได้เน้นย้ำถึงนโยบายปฏิรูปภาคเกษตรด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ การพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนเพื่อการผลิตอาหารปลอดภัย (Food Safety) การจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (AIC) และศูนย์ความเป็นเลิศด้านเกษตร (Excellence center) ทั่วทั้งประเทศเป็นเครื่องยนต์ตัวใหม่ในการพัฒนาอย่างยั่งยืนและสอดคล้องกับแนวทางของ FAO เพื่อรับมือโจทย์สำคัญในด้านความมั่นคงทางอาหาร และความปลอดภัยทางอาหารและพร้อมขยายความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรฯกับ FAO ตามข้อเสนอที่ทั้ง 2 ฝ่ายได้ตกลงร่วมกัน

สำหรับการพบหารือของผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ FAO เป็นผลสืบเนื่องมาจากการเดินทางเข้าร่วมประชุมความร่วมมือกับทาง FAO ที่สำนักงานใหญ่ที่กรุงโรมของที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯเมื่อปลายปีที่แล้ว ตามมาด้วยการเดินทางมาเยือนไทยของผู้อำนวยการใหญ่ FAO (นายฉู ตงหยู) เมื่อวันที่ 17 -18 กุมภาพันธ์ 2563 โดยหารือความร่วมมือกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

Advertising

“บิ๊กตู่” กล่าวต่อที่ประชุม UN มุ่งการพัฒนายั่งยืนผ่านระบบสาธารณสุข โมเดลเศรษฐกิจ BCG และ Digital

People Unity News : ประยุทธ์กล่าวถ้อยแถลงผ่านกิจกรรม SDG Moment มุ่งขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนผ่านระบบสาธารณสุข โมเดลเศรษฐกิจ BCG และการพัฒนาด้าน Digital ในการประชุม UNGA สมัยที่ 76

20 กันยายน 2564 เวลา 21.41 น. (ซึ่งตรงกับเวลา 10.41 น. ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กล่าวถ้อยแถลงในกิจกรรม “Sustainable Development Goals (SDG Moment)” ครั้งที่ 2 ในห้วงการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยที่ 76 (76th Session of the United Nations General Assembly: UNGA76) ผ่านระบบประชุมทางไกล โดยสรุปสาระสำคัญดังนี้

นายกรัฐมนตรียินดีที่มีส่วนร่วมในกิจกรรม SDG Moment รัฐบาลไทยร่วมกับทุกภาคส่วนขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนภายใต้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงอย่างต่อเนื่อง และได้กำหนดยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อดำเนินนโยบายและใช้งบประมาณให้ตอบโจทย์กับการพัฒนาประเทศและนำไปสู่การบรรลุ SDGs ตลอดจนได้นำเสนอรายงานผลการทบทวนการดำเนินงานตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 ระดับชาติ โดยสมัครใจ (VNR: Voluntary National Review) ต่อสหประชาชาติ เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีระบุถึงหมุดหมายที่สำคัญ 3 ประการ เพื่อบรรลุเป้าหมาย SDGs ดังนี้

1.ส่งเสริมสุขภาวะและคุณภาพชีวิตที่ดีให้คนทุกช่วงอายุ โควิด-19 ได้ตอกย้ำความสำคัญของการมีระบบสาธารณสุขที่เข้มแข็ง และหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ครอบคลุมและทั่วถึง รวมทั้งการจัดสรรงบประมาณสำหรับการประกันสุขภาพ ยกระดับอุตสาหกรรมทางการแพทย์และการบริการสาธารณสุขอย่างพอเพียง เร่งด่วน  เพื่อให้ประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุสามารถพึ่งพาตนเองในยามวิกฤตได้

2.สร้าง “ความสมดุลของสรรพสิ่ง” ผ่านการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG มุ่งสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมบนพื้นฐานของความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เช่น เพิ่มมูลค่าให้กับอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร ต่อยอดอุตสาหกรรมชีวภาพและพลังงานทดแทน และปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมยานยนต์ให้เป็นหนึ่งในฐานการผลิตขนาดใหญ่ของโลก ตั้งเป้าที่จะเพิ่มการผลิตรถไฟฟ้าพลังงานสะอาดให้ได้ร้อยละ 30 ของการผลิตยานยนต์ไทยทั้งหมดภายในปี ค.ศ. 2030

3.ขจัดความเหลื่อมล้ำและการพัฒนาด้าน digital literacy เพื่อปลดล็อคศักยภาพให้แก่ประชาชนในประเทศ ใช้ประโยชน์จากระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบชี้เป้า หรือ TPMAP ที่เกิดจาก Big Data เพื่อตอบโจทย์ความท้าทาย รวมถึงปัญหาความยากจนอื่นๆต่อไป

ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนจะสำเร็จจากการบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ซึ่งนายกรัฐมนตรียืนยันเจตนารมณ์ของไทยที่จะก้าวไปข้างหน้า โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และพร้อมร่วมมือกับนานาประเทศเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนไปด้วยกัน

อนึ่ง กิจกรรม SDG Moment จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อ 2563 ในรูปแบบการอภิปรายทั่วไปตามข้อมติของสมัชชาสหประชาชาติที่ต้องการย้ำความสำคัญและสร้างแรงบันดาลใจในการดำเนินการตามเป้าหมาย SDGs ภายในปี ค.ศ.2030 เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งการกล่าวถ้อยแถลงของนายกรัฐมนตรีไทยเป็นโอกาสประชาสัมพันธ์แผนการขับเคลื่อน SDGs ของไทย โดยเฉพาะการนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และการส่งเสริมโมเดลเศรษฐกิจ BCG เป็นมาตรการฟื้นฟูจากโควิด – 19 ที่สร้างสมดุล

Advertising

จีนเปิดด่านรถไฟผิงเสียง นำเข้าทุเรียน ลำไย ผลไม้ไทย 4 มกราคมนี้

People Unity News : จีนเปิดด่านรถไฟผิงเสียง นำเข้าทุเรียน ลำไย ผลไม้ไทย 4 มกราคมนี้

2 ม.ค. 65 นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) เปิดเผยว่า จากมาตรการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ที่เข้มงวดของด่านนำเข้าจีน ส่งผลต่อการส่งออกผลไม้ของไทยในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคมที่ผ่านมาเป็นอย่างมาก ตนได้สั่งการทูตเกษตรเร่งติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและตนได้หารือเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยเพื่อแก้ไขปัญหาและอำนวยความสะดวกการขนส่งผลไม้ไทย

ล่าสุดได้รับรายงานจากกงสุล (ฝ่ายเกษตร) ของไทยประจำนครกว่างโจว ว่า ด่านรถไฟผิงเสียง (เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง) ประเทศจีนได้เปิดด่านแล้ว โดยกำหนดเปิดนำเข้าผลไม้ไทยตั้งแต่วันที่ 4 มกราคม 2565 ถึงวันที่ 17 มกราคม 2565 เพื่อคลี่คลายปัญหากรณีด่านตงซิง (เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง ประเทศจีน) ปิดด่าน ทําให้ทุเรียนและลําไยสดของประเทศไทยที่มีปริมาณมากต้องติดค้างอยู่ที่ด่านตงซิงซึ่งไม่สามารถยื่นคําร้องขอผ่านพิธีการศุลกากรเข้าประเทศจีนได้ ทางการจีนจึงประสานเป็นหนังสือขอความอนุเคราะห์ฝ่ายเกษตรฯกว่างโจวแจ้งมายังหน่วยงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อํานวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการผลไม้ทําการเปลี่ยนแปลงใบรับรองสุขอนามัยพืชในช่วงวันที่ 1 – 3 มกราคม 2565 สินค้าผลไม้ไทยจะได้ยื่นคําร้องขอผ่านพิธีการศุลกากรผ่านด่านรถไฟผิงเสียงเพื่อขนส่งเข้าประเทศจีนได้

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะทำงานจัดทำแผนการแก้ไขปัญหาผลไม้เศรษฐกิจล่วงหน้าทั้งระบบ กล่าวว่า ผู้ส่งออกต้องรีบยื่นขอเปลี่ยนแปลงใบรับรองสุขอนามัยพืชจากด่านตงชิงเป็นด่านรถไฟผิงเสียงและต้องระมัดระวังอย่าให้มีการปนเปื้อนโควิด-19 ทั้งคนขับ รถและสินค้า เพราะถ้าพบทางการจีนจะปิดด่านทันที จึงขอความร่วมมือทุกฝ่ายให้ช่วยกันเข้มงวดกวดขันอย่างเต็มที่

Advertising

ประยุทธ์ ประกาศต่อที่ประชุมผู้นำ COP26 ไทยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเหลือเพียง 0.72%

People Unity News : พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุมระดับผู้นำ COP26 ประกาศเจตนารมณ์ไทยพร้อมยกระดับการแก้ไขปัญหาภูมิอากาศอย่างเต็มที่ด้วยทุกวิถีทาง ย้ำต้องหยุดทำร้ายธรรมชาติเพราะไม่มีโลกใบที่สองเหมือนโลกนี้อีกแล้ว

เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 เวลา 16.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่นที่เมืองกลาสโกว์ สหราชอาณาจักร ซึ่งตรงกับเวลา 23.00 น. ของไทย) ณ ศูนย์การประชุม The Scottish Event Campus พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุมระดับผู้นำ (World Leaders Summit) ในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change Conference of the Parties: UNFCCC COP) (COP26) ณ เมืองกลาสโกว์ สหราชอาณาจักร นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงสาระสำคัญการกล่าวถ้อยแถลงของนายกรัฐมนตรี ดังนี้

นายกรัฐมนตรีได้แสดงวิสัยทัศน์ต่อที่ประชุมยืนยันไทยให้ความสำคัญสูงสุดกับการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไทยพร้อมร่วมมือกับทุกประเทศ ทุกภาคส่วนเพื่อบรรลุเป้าหมายสำคัญของโลกเพื่ออนาคตของลูกหลานของพวกเราทุกคน

นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงเหตุผลสำคัญที่ไปร่วมการประชุมสุดยอดเรื่องภูมิอากาศของสหประชาชาติที่กรุงปารีสเมื่อปี ค.ศ. 2015 เพราะไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกเพียงร้อยละ 0.72 ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วทั้งโลก แต่ไทยเป็น 1 ใน 10 ประเทศที่ได้รับผลกระทบร้ายแรงที่สุดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไทยจึงอยู่ในกลุ่มแรกที่ให้สัตยาบันเป็นภาคีของความตกลงปารีส และไทยได้ปฏิบัติตามคำมั่นที่ให้ไว้กับประชาคมโลกอย่างต่อเนื่อง แข็งขัน

ในส่วนของไทย ได้กำหนดเป้าหมาย NAMA (Nationally Appropriate Mitigation Actions) ภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในภาคพลังงานและขนส่งอย่างน้อย ร้อยละ 7 ภายในปี ค.ศ. 2020 แต่ไทยสามารถทำได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ถึงกว่า 2 เท่า ก่อนกำหนดเวลาถึง 1 ปี เพราะในปี ค.ศ. 2019 ไทยลดก๊าซเรือนกระจกได้แล้วถึงร้อยละ 17 นอกจากนี้ ไทยยังเป็นประเทศแรกๆที่จัดส่งเป้าหมายการมีส่วนร่วมของประเทศ (Nationally Determined Contributions : NDC) และได้ส่งยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกระดับต่ำให้กับ UNFCCC รวมถึงได้จัดทำแผนงานต่างๆในระดับประเทศ และระดับท้องถิ่น

ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ประกาศเจตนารมณ์ว่าไทยพร้อมยกระดับการแก้ไขปัญหาภูมิอากาศอย่างเต็มที่ด้วยทุกวิถีทาง เพื่อบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี ค.ศ. 2050 และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ได้ในปี ค.ศ. 2065 และด้วยการสนับสนุนจากความร่วมมือระหว่างประเทศ และกลไกภายใต้กรอบอนุสัญญาฯ ไทยจะยกระดับ NDC ของเราขึ้นเป็นร้อยละ 40 ได้ ซึ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ได้ภายในปี ค.ศ. 2050

นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปคของไทยในปี 2565 (ค.ศ. 2022) ว่าไทยได้กำหนดให้แนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว หรือ BCG เป็นการพัฒนาเศรษฐกิจที่ไม่ทำลายระบบนิเวศ เป็นวาระหลักในการประชุมฯ

ซึ่งในตอนท้ายของการประชุมนายกรัฐมนตรีได้เรียกร้องให้ทุกประเทศร่วมกันดูแล รักษาโลก เพราะ “เราทุกคนไม่มี ‘แผนสอง’ ในเรื่องการรักษา เยียวยาสภาพภูมิอากาศ เพราะเราจะไม่มี ‘โลกที่สอง’ ซึ่งเป็นบ้านของพวกเราเหมือนโลกนี้อีกแล้ว”

ทั้งนี้ ภายหลังนายกรัฐมนตรีร่วมการประชุมฯ เวลา 19.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่นที่เมืองกลาสโกว์ สหราชอาณาจักร ซึ่งตรงกับวันที่ 2 พฤศจิกายน 2564 เวลา 02.00 น. ของไทย) ณ พิพิธภัณฑ์ศิลปะ Kelvingrove นายกรัฐมนตรีได้ร่วมงานเลี้ยงรับรองสำหรับผู้นำที่รัฐบาลสหราชอาณาจักรเป็นเจ้าภาพ และมีพระบรมวงศานุวงศ์ของสหราชอาณาจักรเข้าร่วมในโอกาสดังกล่าวด้วย

Advertising

ผบ.กองกำลังสหรัฐอเมริกา ภาคพื้นอินโด – แปซิฟิก เยือนไทยกระชับความสัมพันธ์ทางทหาร

People Unity News : ผบ.กองกำลังสหรัฐอเมริกา ภาคพื้นอินโด – แปซิฟิก เข้าเยี่ยมคำนับ  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ย้ำสร้างสรรค์ ไว้เนื้อเชื่อใจและเคารพกัน

11 ต.ค. 64 พล.อ.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 11.00 น.  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ให้การต้อนรับการเยี่ยมคำนับของ  พล.ร.อ.John C. Aquilino (จอห์น ซี อากีลีโน) ผบ.กกล.สหรัฐอเมริกา ภาคพื้นอินโด – แปซิฟิก และคณะ  ในโอกาสเดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของกองทัพไทย เพื่อแนะนำตัวและกระชับความสัมพันธ์

โดย พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวแสดงความยินดีกับ พล.ร.อ.จอห์น ที่ได้รับตำแหน่ง ผบ.กกล.สหรัฐอเมริกา ภาคพื้นอินโด – แปซิฟิก และขอขอบคุณสหรัฐอเมริกาที่สนับสนุนวัคซีน 2.5 ล้านโดส พร้อมตู้เก็บวัคซีน 200 ตู้ให้ไทย ต่อจากนั้น ทั้งสองฝ่าย ได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศในประเด็นต่างๆร่วมกัน ทั้งด้านความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาโควิด 19 ความสัมพันธ์ทางทหาร การฝึกร่วมผสม Cobra Gold 2021 ความร่วมมือด้านการฝึกศึกษา ความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ รวมทั้งความร่วมมือในคณะทำงานผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงทางทะเลภายใต้กรอบความร่วมมือ กห.อาเซียน กับประเทศคู่เจรจา

และในตอนท้าย ทั้งสองฝ่ายได้ย้ำถึงความสัมพันธ์ของพันธมิตรที่เก่าแก่และแน่นแฟ้นระหว่างกัน ในการสนับสนุนและดำรงไว้ซึ่งเสถียรภาพ เสรีภาพและความมั่นคงของภูมิภาคร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ บนพื้นฐานความไว้เนื้อเชื่อใจและการเคารพซึ่งกันและกัน

Advertising

ไทยโชว์เทคโนโลยีดิจิทัลประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยว-สินค้าไทยในงาน World Expo 2020 Dubai

People Unity News : ไทยโชว์ศักยภาพเทคโนโลยีดิจิทัล ประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวและสินค้าไทย ในงาน World Expo 2020 Dubai

3 ตุลาคม 2564 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชื่นชมผลสำเร็จจากการเปิดต้อนรับผู้เข้าชมทั่วโลกอย่างเป็นทางการของอาคารแสดงประเทศไทย (Thailand Pavilion) ที่สร้างขึ้นภายใต้แนวคิด “การขับเคลื่อนสู่อนาคต” (Mobility for the Future) ในงาน World Expo 2020 Dubai ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2564 – 31 มีนาคม 2565

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นโอกาสดีที่ไทยจะได้สร้างความเชื่อมั่นผ่านศักยภาพและความพร้อมด้านเทคโนโลยีดิจิทัล การขับเคลื่อนประเทศด้วยนวัตกรรมผ่านนโยบาย Digital Thailand 4.0 รวมถึงวิสัยทัศน์ในการมุ่งเป็น “ศูนย์กลางดิจิทัลในภูมิภาค” ควบคู่กับการเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม การค้า การลงทุน การเดินทาง การขนส่งและจุดหมายการเดินทางของประชาชนทั่วโลก ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะเป็นโอกาสต่อยอดตามนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของไทย โอกาสนี้นายกรัฐมนตรียังได้ชื่นชมโครงการที่เปิดโอกาสให้ตัวแทนเยาวชนอาสาสมัครไทยมีส่วนร่วมและเป็นตัวแทนประเทศประจำอาคารแสดงประเทศไทย เพื่อให้เยาวชนมีส่วนร่วมกับรัฐบาล “พลิกโฉมประเทศไทย” ให้มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เพื่อวันนี้และวันข้างหน้าสำหรับคนไทยทุกคน

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า นายกรัฐมนตรี มั่นใจว่าการแสดงศักยภาพของไทยในงาน World Expo 2020 Dubai จะสามารถดึงดูดการลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติได้ ตลอดจนจะช่วยส่งเสริมและประชาสัมพันธ์แผนการเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติของไทย ทั้งที่เริ่มดำเนินการแล้วและกำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ได้แก่ ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ โครงการสมุยพลัส โครงการส่วนขยายของภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ 7+7 และแผนการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแบบไม่กักตัวระยะที่ 2 ที่จะเริ่มในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ใน 5 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี เชียงใหม่ เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งคาดว่าจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ พยุงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมอื่นๆที่เกี่ยวข้อง กระจายรายได้สู่ชุมชน และรักษาการจ้างงาน ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศจากสถานการณ์โควิด-19

สำหรับ งาน World Expo ถือเป็น 1 ใน 3 ของงานยิ่งใหญ่ระดับโลก จัดขึ้นทุกๆ 5 ปี ภายใต้การกำกับดูแลขององค์การระหว่างประเทศว่าด้วยงานมหกรรมโลก โดยอาคารแสดงประเทศไทย ประกอบด้วย 3 พื้นที่หลัก ได้แก่ นิทรรศการ บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ แนวทางการพัฒนาประเทศในอนาคต พื้นที่เชิงพาณิชย์ ที่ประกอบไปด้วย ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก และ Showcase Thailand 4.0 การประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวไทย และเวทีการแสดงวัฒนธรรมประเพณีไทย

Advertising

Verified by ExactMetrics