วันที่ 19 เมษายน 2024

โฆษกปชป.ไม่กังวลผลซูเปอร์โพลยันรมต.ของพรรคมีผลงาน

People Unity News : โฆษกปชป.ไม่กังวลผลซูเปอร์โพลยันรมต.ของพรรคมีผลงาน ย้ำประโยชน์ที่ประชาชนได้รับคือประจักษ์พยานที่ดีที่สุด

วันที่ 4 พ.ย.2562 นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงกรณีผลสำรวจของ สำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) ว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีความกังวลใด ๆ ต่อเรื่องดังกล่าวเพราะการทำงานทุกอย่างของรัฐมนตรีของพรรคฯ มีความชัดเจนด้วยผลสำเร็จของงาน และประโยชน์ที่ประชาชนได้รับก็เป็นประจักษ์พยานให้กับพี่น้องประชาชนดีที่สุด โดยตลอดระยะเวลาที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคฯ เข้ารับตำแหน่งก็มุ่งหน้าทำงานตั้งแต่วินาทีแรกจนถึงวินาทีนี้ก็มีสิ่งที่ปรากฏชัดอยู่มากมาย

อีกทั้งนโยบายประกันรายได้ให้พี่น้องเกษตรกรได้มีการขับเคลื่อนจนเกิดผลสำเร็จ และทำให้ความเป็นอยู่ของพี่น้องเกษตรกรก็ดีขึ้น รวมไปถึงการเปิดตลาดในต่างประเทศเพื่อเพิ่มความสามารถในการส่งออกสินค้าเกษตรของประชาชนให้มีพื้นที่ทางการตลาด เพิ่มช่องทางการขายมากขึ้น อันจะส่งผลดีต่อราคาพืชผลในอนาคต การมุ่งแก้ไขปัญหาต่างๆ อย่างเป็นระบบและยั่งยืนโดยการมุ่งเน้นแก้ที่เศรษฐกิจฐานราก และเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย

โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้วยผลงานดังกล่าวที่ผ่านมา จึงอยากชี้ให้เห็นว่าทั้งหมดเป็นผลสำเร็จของงาน และเป็นประจักษ์พยานที่จะนำไปสู่ความอยู่ดีกินดีของพี่น้องประชาชนต่อไป โดยข้อมูลของโพลแต่ละโพลนั้นก็เป็นเพียงข้อมูลอีกด้านหนึ่ง ซึ่งทางพรรคฯ ก็มีข้อมูลที่ได้จากเสียงสะท้อนจากประชาชนเช่นกัน โดยทีมโฆษกฯ ได้ริเริ่มดำเนินการโครงการ “โฆษกสัญจร” ลงพื้นที่ไปจังหวัดต่าง ๆ และจากการสอบถามและเก็บข้อมูลทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าประชาธิปัตย์ทำงานจริงมีผลงานออกมาให้เห็นเด่นชัด โดยนโยบายที่ประชาชนพูดถึงมากที่สุดก็คือ นโยบายประกันรายได้พี่น้องเกษตรกร

โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ดังนั้นพรรค จึงไม่จำเป็นต้องมีความกังวลใดๆ เกี่ยวกับกับผลโพลดังกล่าว และเมื่อติดตามจากข่าวสารการทำงานของรัฐมนตรีของพรรคฯ ทุกคนจะเห็นได้ว่ามีผลงานปรากฏออกมาให้เห็นต่อเนื่องตลอดเวลา โดยล่าสุดประชาชนชาวสวนยางทั้งประเทศได้ขอบคุณ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ถึงการจ่ายเงินส่วนต่างครั้งประวัติศาสตร์ในการประกันรายได้ยางพาราให้พี่น้องชาวสวนยางอีกด้วย ดังนั้นรัฐมนตรีของพรรคฯ รวมถึง ส.ส. ของพรรคจึงไม่มีความกังวลแต่อย่างใด และยังคงตั้งใจ มุ่งหน้าทำงานต่อไปเพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างเต็มที่

เจ้าคุณเทียบต้อนรับนายกฯรัสเซียชมวัดโพธิ์ โอกาสเยือนไทยหารือ”บิ๊กตู่”

People Unity News : เจ้าคุณเทียบต้อนรับนายกฯรัสเซียชมวัดโพธิ์ โอกาสเยือนไทยหารือ”บิ๊กตู่” ระหว่างประชุมผู้นำอาเซียนครั้งที่ 35

วันที่ 3 พ.ย.2562 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายดมิทรี เมดเวเดฟ (Dmitry Medvedev) นายกรัฐมนตรีสหพันธรัฐรัสเซีย หลังจากเข้าพบปรึกษาหารือกับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 35 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้องเรียบร้อยแล้ว ได้เดินทางไปที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม หรือ วัดโพธิ์ เพื่อชมโบราณสถานและโบราณวัตถุทางพระพุทธศาสนา โดยมีพระราชปริยัติมุนี หรือเจ้าคุณเทียบ สิริญาโณ ป.ธ.9 ผู้ช่วยเจ้าอาวาส คณบดีคณะพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) ให้การต้อนรับพาเยี่ยมชม

Cr.ภาพจากเพจ Phra Rajapariyattimuni Thiab

รมว.พาณิชย์สหรัฐเข้าพบ”บิ๊กตู่” พร้อมทบทวนตัด”จีเอสพี”บางส่วน

People Unity News : รมว.พาณิชย์สหรัฐเข้าพบ “บิ๊กตู่” พร้อมเจรจาทบทวนประเด็นการตัดจีเอสพีบางส่วนแก่ไทย ขณะที่นายกฯรัสเซียเข้าหารือด้วยโดยไทยหวังกระชับความร่วมมือด้านพลังงาน

เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2562 นายวิลเบอร์ รอสส์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐอเมริกา เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 35 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง

นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายวิลเบอร์ได้นำคณะนักธุรกิจจากบริษัทชั้นนำของสหรัฐฯ ร่วมเดินทางมาไทย ซึ่งสหรัฐฯ นับเป็นนักลงทุนที่สำคัญของไทยและมีส่วนช่วยส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจของไทยมายาวนาน ทั้งนี้รัฐบาลพร้อมสนับสนุนการลงทุนของบริษัทสหรัฐฯ ในไทย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ อากาศยานและอวกาศ ดิจิทัล เทคโนโลยีชีวภาพ และอุตสาหกรรมการแพทย์

ด้าน รมว.พณ.สหรัฐฯ แสดงความชื่นชมการเป็นประธานอาเซียนของไทยในปีนี้ที่มีบทบาทอย่างสร้างสรรค์ในการพัฒนาภูมิภาคอาเซียน พร้อมกล่าวว่าการมาเยือนครั้งนี้นำภาคเอกชนจากสาขาต่างๆ ที่สอดคล้องกับความต้องการของไทยมาร่วมประชุม Indo Business Forum ที่หอการค้าไทยและหอการค้าสหรัฐฯ ร่วมเป็นเจ้าภาพจัดงาน เชื่อมั่นว่าการประชุมครั้งนี้จะช่วยส่งเสริมโอกาสทางธุรกิจสำหรับภาคเอกชน

“นอกจากนี้ทั้งสองฝ่ายหารือถึงการเพิ่มพูนความร่วมมือด้านการลงทุนระหว่างกัน นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าไทยมีนโยบายส่งเสริมและอำนวยความสะดวกให้แก่การลงทุนของภาคเอกชนทั้งในประเทศและต่างชาติ รวมทั้งได้พัฒนากฎระเบียบต่างๆ และผลักดันการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง จึงขอเชิญชวนภาคเอกชนสหรัฐฯ มาร่วมกันพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาคของอาเซียนด้วย”นางนฤมล กล่าวและว่า

สำหรับประเด็นการพักสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP) บางส่วนแก่ไทย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่ารัฐบาลห่วงกังวลเรื่องผลกระทบต่อภาคเอกชนและสาธารณชน แต่เข้าใจดีเรื่องกติกาของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตามในฐานะมิตรอันใกล้ชิด ขอให้สหรัฐฯ พิจารณาทบทวนอีกครั้ง ซึ่งรมว.พณ.สหรัฐฯ พร้อมเปิดให้มีการเจรจาทบทวนระหว่างกันก่อนที่จะมีผลบังคับใช้ในอีก 6 เดือน

นางนฤมล กล่าวด้วยว่า พลเอกประยุทธ์ได้ร่วมหารือกับนายดมิทรี เมดเวเดฟ (Dmitry Medvedev) นายกรัฐมนตรีสหพันธรัฐรัสเซีย โดยมีความยินดีที่ความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างสองประเทศมีความก้าวหน้าอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ ท่านนายกฯ ยังได้กล่าวเชิญบริษัทรัสเซียเข้ามาลงทุนใน EEC ในสาขาที่รัสเซียเชี่ยวชาญ อาทิ อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ เทคโนโลยีดิจิทัล การเมือง ระบบเมืองอัจฉริยะ และการผลิตเครื่องมือแพทย์ พร้อมกล่าวว่าไทยมีความสนใจที่จะส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารไปยังตลาดรัสเซียเพิ่มขึ้น และขอบคุณรัสเซียที่นำเข้าสินค้าเกษตรจากไทยอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ทางประเทศไทยยินดีที่มีการตรวจสอบโรงงานสินค้าประมงไทย โดยหวังว่าจะนำไปสู่การค้าขายสินค้าระหว่างกันมากขึ้น นอกจากนี้ ไทยหวังที่จะกระชับความร่วมมือด้านพลังงานกับรัสเซีย โดยหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะใช้ประโยชน์จากคณะทำงานร่วมด้านพลังงานเป็นกลไกขับเคลื่อนความร่วมมือดังกล่าวให้เป็นรูปธรรมต่อไป

ด้านนายกรัฐมนตรีสหพันธรัฐรัสเซียยินดีกับประเทศไทยที่ประสบความสำเร็จในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดอาเซียนและการประชุม อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และขอบคุณรัฐบาลไทยที่ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ไทย-รัสเซีย โดยรัสเซียยินดีและพร้อมส่งเสริมความร่วมมือ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญกับไทย อาทิ ด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม พลังงาน และการเกษตร เป็นต้น

โดยทั้งสองประเทศเห็นพ้องที่จะกระชับความสัมพันธ์กันอย่างรอบด้าน ทั้งระดับทวิภาคีและพหุภาคี โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังได้ขอบคุณรัสเซียที่มูลนิธิสโกลโกโว (Skolkovo Foundation) ของรัสเซียได้ทูลเกล้าฯ ถวายทุนการศึกษาแด่ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อทรงคัดเลือกนักศึกษาไทยไปศึกษาต่อระดับปริญญาโท ซึ่งถือเป็นการช่วยพัฒนาบุคลากรด้านวิชาการและวิทยาศาสตร์ให้กับประเทศไทย

“อาเซียน-อินเดีย”ร่วมเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์พัฒนาทุกมิติเป็นรูปธรรม

People Unity News : “อาเซียน-อินเดีย” ร่วมผลักดันความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ เพื่อการพัฒนาในทุกมิติอย่างเป็นรูปธรรม ขณะที่ “อาเซียน-ยูเอ็น” พร้อมสร้างความร่วมมือบริหารชายแดนในอาเซียน

วันที่ 3 พฤศจิกายน 2562 เวลา 11.15 น. ณ ห้อง Sapphire 203 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียน และนายกรัฐมนตรีนเรนทร โมที (His Excellency Shri Narendra Modi) ได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอด อาเซียน-อินเดีย ครั้งที่ 16 ภายหลังเสร็จสิ้น ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสำคัญ ดังนี้

การประชุมสุดยอดอาเซียน-อินเดีย ครั้งที่ 16 จัดขึ้นเพื่อทบทวนความร่วมมือในกรอบอาเซียน-อินเดียในมิติการเมืองและความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคมและวัฒนธรรมในรอบปีที่ผ่านมา รวมทั้งเพื่อร่วมกันกำหนดทิศทางของความสัมพันธ์อาเซียน-อินเดียในอนาคต และเพื่อหารือ แลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับประเด็นสำคัญระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ

โดยประเทศอินเดียถือเป็นมิตรประเทศที่ใกล้ชิดของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์กับอาเซียนที่จะร่วมมือกันในการส่งเสริมเสถียรภาพในภูมิภาค ขับเคลื่อนความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การพัฒนาที่ยั่งยืน ตลอดจนสร้างความใกล้ชิดทางวัฒนธรรมมาโดยตลอด อาเซียนยินดีที่นายกรัฐมนตรีอินเดียให้ความสำคัญกับอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านนโยบายมุ่งตะวันออกของอินเดีย เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญทำให้ยุทธศาสตร์ระหว่างอาเซียน-อินเดียมีพลวัตมากยิ่งขึ้น

ด้านความมั่นคง อาเซียนชื่นชมที่อินเดียสนับสนุนความเป็นแกนกลางของอาเซียนบนพื้นฐานของภาคีสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (TAC) และผ่านกลไกที่อาเซียนมีบทบาทนำหลากหลาย อาทิ การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก (EAS) การประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก(ARF) และการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา(ADMM plus) ซึ่งนำไปสู่การรักษาสันติภาพ ความมั่นคง เสถียรภาพ และความเจริญก้าวหน้าในภูมิภาค ตลอดจนชื่นชมอินเดียที่ให้การสนับสนุนมุมมองของอาเซียนต่อแนวคิดอินโด-แปซิฟิก โดยเป็นมุมมองที่ตั้งอยู่บนหลักการ 3M ได้แก่ ความเคารพซึ่งกันและกัน(Mutual Respect) ความไว้วางใจซึ่งกันและกัน(Mutual Respect) ผลประโยชน์ร่วมกัน(Mutual Benefit) และความร่วมมือนี้จะช่วยส่งเสริมหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อาเซียน-อินเดียให้ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น ตลอดจนย้ำถึงความร่วมมือกันต่อต้านการก่อการร้าย แนวคิดสุดโต่งที่นิยมความรุนแรง อาชญากรรมข้ามชาติและความร่วมมือด้านความมั่นคงทางไซเบอร์

ด้านการค้าการลงทุน เน้นย้ำการพยายามเพิ่มมูลค่าการค้าและการลงทุนระหว่างกันเพื่อบรรลุตัวเลขการค้าร่วมกันที่ 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2022 โดยใช้ประโยชน์จากเขตการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย (AIFTA) ในการนี้ ไทยยินดีที่ได้ริเริ่มการทบทวนความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน-อินเดีย (AITIGA) เพื่อทำให้ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-อินเดียสามารถใช้ประโยชน์ได้สะดวกและง่ายในทางปฏิบัติและอำนวยความสะดวกแก่ภาคธุรกิจมากยิ่งขึ้น รวมทั้งขจัดอุปสรรคทางการค้า พร้อมเน้นย้ำความสำคัญในการบูรณาการเศรษฐกิจในภูมิภาคผ่านการสรุปการเจรจา RCEP ภายในปี 2019

ด้านวัฒนธรรม ชื่นชมกับความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมที่รุ่งเรืองระหว่างอาเซียนกับอินเดีย ส่งเสริมให้มีความร่วมมือด้านความหลากหลายทางชีวภาพ การท่องเที่ยว การศึกษา การแลกเปลี่ยนนักวิชาการและเยาวชน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นวัตกรรม และไอซีที ทั้งนี้ ไทยส่งเสริมให้อาเซียนและอินเดียเพิ่มความพยายามในการปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการอาเซียน-อินเดียปี ค.ศ. 2016-2020 และยินดีต่อความสำเร็จของปีความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวอาเซียน-อินเดีย 2019

ในตอนท้ายนายกรัฐมนตรีแสดงความขอบคุณอินเดียในฐานะหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่สำคัญของอาเซียน และให้การสนับสนุนไทยและอาเซียนมาโดยตลอด โดยเชื่อมั่นว่าความสัมพันธ์ระหว่างกันจะพัฒนาในมิติที่หลากหลายเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของทั้งสองภูมิภาคร่วมกัน

อาเซียน-ยูเอ็นพร้อมสร้างความร่วมมือบริหารชายแดนในอาเซียน

ต่อมาเวลา 14.00 น. ที่ห้อง Sapphire 203 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี พล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธานการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหประชาชาติ ครั้งที่ 10 ภายหลังเสร็จสิ้น นางนฤมล สรุปสาระสำคัญ ดังนี้

การประชุมสุดยอดอาเซียน-สหประชาชาติ ครั้งที่ 10 เพื่อรับทราบความคืบหน้าและทบทวนความร่วมมือระหว่างอาเซียนและสหประชาชาติ รวมทั้งการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการ 5 ปี เพื่อดำเนินการตามปฏิญญาร่วมว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างอาเซียนกับสหประชาชาติ ปี ค.ศ. 2016-2020 รวมทั้งเพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองและวิสัยทัศน์ และร่วมกำหนดทิศทางและเป้าหมายในการดำเนินความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับสหประชาชาติ โดยเฉพาะการสร้างความยั่งยืนในทุกมิติตามแนวคิด “ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน” โดยมีผู้นำ 10 ประเทศสมาชิกอาเซียน และเลขาธิการสหประชาชาติเข้าร่วมประชุม

นายกรัฐมนตรีกล่าวเปิดการประชุมว่า อาเซียนและสหประชาชาติควรร่วมกันสนับสนุนและเสริมสร้างระบบพหุภาคีนิยมและภูมิภาคนิยม ซึ่งจะช่วยส่งเสริมเสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรืองของภูมิภาค และขอบคุณเลขาธิการสหประชาชาติที่สนับสนุนความพยายามของอาเซียนในการเสริมสร้างความยั่งยืนในทุกมิติ ซึ่งรวมถึงการจัดตั้งศูนย์อาเซียนเพื่อการศึกษาและการหารือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน

โดยไทยได้ย้ำถึงความมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับประเทศสมาชิกอาเซียนและสหประชาชาติอย่างรอบด้าน อาทิ การส่งเสริมความร่วมมือด้านการบริหารจัดการชายแดนอย่างมีประสิทธิภาพ การเตรียมความพร้อมรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ การส่งเสริมบทบาทและสิทธิของสตรี เยาวชน ผู้พิการ และกลุ่มเปราะบาง และการเสริมสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจ เป็นต้น เพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกันในการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้แก่ประชาชน และความยั่งยืนในทุกมิติแก่อาเซียนและระบบพหุภาคีนิยม

นายกรัฐมนตรีกล่าวในนามอาเซียน ยินดีและชื่นชมที่ทั้งสองฝ่ายได้ดำเนินการตามแผนปฏิบัติการเพื่อดำเนินการตามปฏิญญาร่วมว่าด้วยการเป็นหุ้นส่วนที่ครอบคลุมระหว่างอาเซียนกับสหประชาชาติปี ค.ศ. 2016-2020 ไปกว่าร้อยละ 93 และเห็นว่า แผนปฏิบัติการฉบับใหม่ควรมุ่งเน้นการดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ค.ศ. 2025 และวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 ของสหประชาชาติผ่านการส่งเสริมการพัฒนาทุนมนุษย์ การส่งเสริมศักยภาพของการปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4 การเสริมสร้างความแข็งแกร่งและการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ การยกระดับการลงทุนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน การเสริมสร้างความเข้มแข็งในการพัฒนาเทคโนโลยี และการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมและรายย่อย

ทั้งสองฝ่ายควรร่วมกันรับมือกับความท้าทายข้ามพรมแดน ผ่านการเสริมสร้างความร่วมมือด้านการบริหารจัดการชายแดนในอาเซียน เสริมสร้างศักยภาพในการรับมือกับภัยพิบัติ ผ่านความร่วมมือระหว่างศูนย์ และการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัญหาท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ตลอดจนผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหาร ซึ่งรวมถึง การอนุรักษ์สภาพแวดล้อมทางทะเล ปัญหาขยะทะเลและการประเมินผลกระทบต่อสุขภาวะและสิ่งแวดล้อม ขยะพลาสติก รวมถึง มลพิษและหมอกควัน

สำหรับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ทั้งสองฝ่ายควรร่วมมือกันในการอำนวยความสะดวกทางการค้า สร้างเครือข่ายความเชื่อมโยง การส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ตลอดจนส่งเสริมการบริโภค การผลิต การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน เพื่อให้บรรลุความพยายามในการสร้าง “ประชาคมอาเซียนที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และมองไปสู่อนาคต”

“ผู้กองมาร์ค”เตือน”บิ๊กตู่”เร่งแก้ปัญหาชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตร

People Unity News : “ผู้กองมาร์ค”เตือน”บิ๊กตู่”เร่งแก้ปัญหาชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตร หากช้าระวังจะอยู่ได้ไม่ยาว

วันที่ 3 พฤศจิกายน 2562 ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช เลขานุการกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการควบคุมการใช้สารเคมีในภาคอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร ในฐานะอดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า จากการที่คณะกรรมาธิการสารเคมีฯ ได้ลงพื้นที่ศึกษาดูงาน ณ จังหวัดหนองบัวลำภู ซึ่งเป็นจังหวัดที่ยากจนลำดับที่ 76 และมีหนี้สินครัวเรือนอยู่ลำดับที่ 71 ของประเทศไทย รายได้ต่อคน ต่อปี เท่ากับ 53,416 บาท และอายุเกษตรกรค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 60 ปี ซึ่งถือว่าสูงมาก ประชากรนิยมไปทำงานต่างถิ่น เพราะทำเกษตร แล้วรายได้น้อย ไม่มั่นคง ว่างงานนอกฤดูเก็บเกี่ยว การเกษตรที่นี้ใช้สารเคมีเยอะมาก การที่จะปรับเปลี่ยนวิธีในการ ทำเกษตรเป็นไปค่อนข้างยาก และยังพบสารเคมีตกค้างจำนวนมากในสิ่งแวดล้อม ทั้งในดิน น้ำผิวดิน น้ำใต้ดิน และ พืชผัก ก่อให้เกิดโรคเนื้อเน่าถึง 49 ต่อแสนของจำนวนประชากร (ทั่วโลกอยู่ที่ 1 ต่อแสน) ซึ่งส่งผลให้มีคนต้องตัดขา ตัดแขน และพบโรคที่เกี่ยวพันอีกมากมาย จากรายงานของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดหนองบัวลำภู พบว่า 71.7% เกี่ยวข้องกับสารเคมี เด็กมี IQ ต่ำเฉลี่ย 91 คะแนน จัดเป็นลำดับที่ 73 ของประเทศ ซึ่งเชื่อว่าอาจมีสาเหตุมาจากสารเคมีพิษหลายชนิด เพราะจากข้อมูลของ Thai-Pan ในปี 2560 จากการสุ่มตรวจการตกค้างของสารกำจัดวัชพืชใน ผัก ผลไม้ พบว่า มีการตกค้างเกินค่ามาตรฐานถึงร้อยละ 55

ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ กล่าวอีกว่า ในขณะนี้เหลือเวลาอีกเพียงแค่ 30 วัน ที่เกษตรกรไทยจะต้องหยุดใช้สารเคมีพิษทั้ง 3 ชนิดคือ พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซล โดยรวมเรายังไม่เห็นการแก้ไขปัญหาของรัฐบาล ที่เป็นรูปธรรม เลย ดังนั้น หาก บิ๊กตู่ปล่อยทิ้งปัญหาไว้นานไม่รีบแก้ไข อาจจะทำให้รัฐบาลอยู่ได้ไม่ยาว

ซึ่งจากจำนวนเกษตรกรไทยที่มีเกือบ 6 ล้านคน หากเรามาคำนวนก็เกือบ 10% ของจำนวนประชากรไทย หากเกษตรกรละทิ้งอาชีพของตนไปทำงานต่างถิ่น อาจก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา อาทิ เช่น ปัญหายาเสพติด แลปัญหาสังคมเพราะครอบครัวขาดความอบอุ่น ดังนั้น รัฐบาลควรที่จะส่งเสริมให้ทำเกษตรอินทรีย์และ ใช้เครื่องจักรกลทางการเกษตร เพื่อยกระดับพืช ผัก ผลไม้ไทยให้ปลอดสารพิษ และได้มาตรฐานโลก เพื่อที่จะสามารถ ส่งออกไปได้ทั่วโลก และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องหาตลาดให้กับเกษตรกร เพราะปัจจุบัน เกษตรกรไทยที่ปลูกพืช ผัก ผลไม้ แบบออร์แกนิค แต่ไม่มีตลาดขาย พอมีพ่อค้าคนกลางมารับซื้อก็กดราคา ได้ราคาสูงกว่า พืชผัก และผลไม้ปรกติ เพียงแค่ 15% เท่านั้น ซึ่งทุกคนทราบดีอยู่แล้วว่าต้นทุนการปลูกแบบออร์แกนิคนั้นมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูงกว่าปกติ เยอะ ดังนั้นหากเกษตรกรปลูกแล้วกลับทำให้มีรายได้ที่ลดลง แล้วจะมีใครยอมมาทำ ซึ่งตลาดในต่างประเทศนั้นพืช ผัก ผลไม้ แบบออร์แกนิค สามารถขายได้ราคาสูงกว่าเกือบ 3 เท่า ดังนั้นเราควรจะต้องส่งเสริมและจัดระบบ ให้สหกรณ์ เพื่อทำหน้าที่ทางการตลาดให้แก่เกษตรกร ซึ่งในต่างประเทศสหกรณ์มีหน้าที่ส่งเสริมการตลาด แต่ในประเทศไทยสหกรณ์ส่วนใหญ่เป็นเหมือนธนาคาร ดังนั้น เราจึงควรจัดสรรให้สหกรณ์ของตำบลดำเนินการทำหน้าที่ประสานงานไปยังสหกรณ์อำเภอ และสหกรณ์อำเภอ มีหน้าที่ประสานงานไปสหกรณ์จังหวัด เพื่อส่งสินค้าไปยังสหกรณ์กลางเพื่อจำหน่ายผลิตผลทั้งในและต่างประเทศ

รองโฆษกพท.ชี้ยิ่งรัฐบาลอัดฉีดชิมช็อปใช้ ยิ่งสะท้อนสภาพเศรษฐกิจตกต่ำ

People Unity News : “สรัสนันท์ อรรณนพพร”รองโฆษกเพื่อไทยชี้ยิ่งรัฐบาลอัดฉีดชิมช็อปใช้ ยิ่งสะท้อนสภาพเศรษฐกิจตกต่ำ

วันที่ 3 พฤศจิกายน น.ส. สรัสนันท์ อรรณนพพร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จ.ขอนแก่น ในฐานะรองโฆษกพรรคเพื่อไทย ได้ให้สัมภาษณ์ถึงผลโพลล์การจัดอันดับโครงการที่ประชาชนชื่นชอบในไตรมาสแรกของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์คือชิมช๊อปใช้นั้น สะท้อนถึงความอ่อนแอทางการเงินของประชาชนอย่างชัดเจนที่ต้องพึ่งเงินสนับสนุนจากภาครัฐ เพราะไม่มีรายรับที่มั่นคง

จึงขอสอบถามพลเอกประยุทธ์ฯ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ที่ดูแลเศรษฐกิจ ว่า “เงินหนึ่งพันบาท รัฐบาลต้องแจกอีกกี่ครั้ง ต้องอัดงบประมาณอีกกี่หมื่นแสนล้าน ประชาชนถึงจะกินดีอยู่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน และแนวทางพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาลนี้นอกจากแจกเงินแล้วคืออะไร?”

และนอกจากนี้ น.ส. สรัสนันท์ อรรณนพพร ได้ชี้ว่า รัฐบาลนี้ยังเพิ่มรายจ่ายให้ประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยกรมสรรพากรได้มีการขยายฐานการจัดเก็บภาษีและประเภทภาษีต่างๆเช่น ภาษีของเค็ม-หวาน-มัน ภาษีรถบิ๊กไบค์ และ แนวคิดที่จะเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เพื่อเพิ่มรายรับให้รัฐบาล สุดท้ายภาระนี้ก็มาตกที่ประชาชนอยู่ดี

“อาเซียน-จีน”กระชับความร่วมมืออย่างรอบด้านตามยุทธศาสตร์ ค.ศ. 2030

People Unity News : “บิ๊กตู่”เป็นประธานการประชุมสุดยอดอาเซียน-จีน ครั้งที่ 22 ยัน “อาเซียน-จีน”กระชับความร่วมมืออย่างรอบด้าน ตามวิสัยทัศน์ความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ ค.ศ. 2030

วันที่ 3 พฤศจิกายน 2562 เวลา 09.45 น. ณ ห้อง Sapphire 204 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมสุดยอดอาเซียน-จีน ครั้งที่ 22 ภายหลังเสร็จสิ้น ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสำคัญ ดังนี้

การประชุมสุดยอดอาเซียน-จีน ครั้งที่ 22 มีขึ้นเพื่อร่วมกำหนดทิศทางความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับจีน พร้อมแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในประเด็นระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศที่อยู่ในความสนใจ ร่วมกัน โดยมีประเทศสมาชิก 10 ประเทศอาเซียน และนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีนเข้าร่วม

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การประชุมในวันนี้ถือเป็นโอกาสดีที่อาเซียนและจีนจะได้เสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ให้สูงขึ้นอีกระดับ เพื่อประโยชน์ร่วมกันและของภูมิภาค ความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียนกับจีนถือว่ามีพลวัตมากที่สุดประเทศหนึ่ง จากพัฒนาการความสัมพันธ์ใน 10 ปีที่ผ่านมา โดยถือเป็นเสาหลักสำคัญที่ค้ำจุนสันติภาพ เสถียรภาพ ความเจริญรุ่งเรือง และความยั่งยืนของภูมิภาค

ไทยในฐานะประธานอาเซียน หวังที่จะเห็นความสัมพันธ์อาเซียน-จีน เจริญเติบโตยิ่งขึ้นไป เพื่อความผาสุกและผลประโยชน์ของประชาชนทั้งสองฝ่าย ทั้งนี้ อาเซียนชื่นชมจีน สำหรับบทบาทในการส่งเสริมความเป็นแกนกลางของอาเซียนในโครงสร้างสถาปัตยกรรมในภูมิภาคและในการช่วยขับเคลื่อนความร่วมมือด้านความมั่นคง เศรษฐกิจความเชื่อมโยง และความร่วมมือระหว่างประชาชนอย่างแข็งขัน

ในปี 2561 ที่ผ่านมา ครบรอบ 15 ปี ความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์อาเซียนและจีน โดยได้รับรอง “วิสัยทัศน์ความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อาเซียน-จีน ค.ศ. 2030” ที่ถือเป็นแนวทางความสัมพันธ์อย่างรอบด้านระหว่างกัน โดยที่ผ่านมา ทั้งสองฝ่ายได้กระชับความร่วมมือตามวิสัยทัศน์ดังกล่าว เช่น การที่จีนยังคงตำแหน่งคู่ค้าอันดับหนึ่งของอาเซียน และมีเป้าหมายที่จะเพิ่มมูลค่าการค้าและการลงทุนระหว่างกันถึง 1 ล้านล้าน และ 150,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับ ภายในปีหน้า การที่อาเซียนและจีนจะส่งเสริมความเชื่อมโยงระหว่างกัน โดยมีแผนการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างแผนแม่บทของอาเซียนในเรื่องนี้ (MPAC 2025) กับ BRI ของจีน รวมถึงการสนับสนุนระบบพหุภาคีนิยมและภูมิภาคนิยม เพื่อส่งเสริมเสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาค

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญในการรักษาพลวัตด้านความมั่นคงที่ยั่งยืนระหว่างกัน ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้ส่งเสริมความไว้เนื้อเชื่อใจในระดับยุทธศาสตร์ และร่วมมือกันเสริมสร้างโครงสร้างสถาปัตยกรรมในภูมิภาคที่มีอาเซียนเป็นแกนกลาง ผ่านกลไกต่าง ๆ

ในด้านเศรษฐกิจ ไทยให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจทางทะเล การสร้างความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจระหว่างอาเซียนกับ Greater Bay Area (GBA) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีพลวัตทางเศรษฐกิจที่สูง รวมทั้งประสงค์ที่จะเชิญชวนให้อาเซียน จีน และรวมถึงประเทศที่สาม มาลงทุนใน EEC ในภาคตะวันออกของไทย

โดยไทยยินดีที่จะประกาศว่า อาเซียนและจีนกำหนดให้ปี พ.ศ. 2563 เป็น “ปีแห่งความร่วมมือด้านเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียน-จีน” ซึ่งนายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า จะช่วยขยายโอกาสทางเศรษฐกิจและการค้า เพื่อความมั่งคั่งของภูมิภาค

ผู้นำอาเซียนร่วมสธ.เปิดตัวศูนย์ ACAI “อนุทิน”ย้ำเป้า”ไม่ทิ้งผู้สูงวัย ไว้ข้างหลัง”

People Unity News : กระทรวงสาธารณสุขเปิดตัวศูนย์อาเซียนเพื่อผู้สูงอายุอย่างมีศักยภาพและนวัตกรรม (ASEAN Center for Active Aging and Innovation : ACAI) ในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 35 ที่ประเทศไทยได้ริเริ่มและผลักดันให้เกิดความร่วมมือในภูมิภาค พร้อมให้ทุกประเทศสมาชิกก้าวสู่สังคมสูงวัยอย่างมีศักยภาพ

วันที่ 3 พฤศจิกายน 2562 ในพิธีเปิดการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งที่ 35 มีการเปิดตัวศูนย์ ACAI โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังร่วมพิธีเปิดว่า รัฐบาลไทยได้มอบให้กระทรวงสาธารณสุข ดำเนินการเตรียมพร้อมรับมือสังคมผู้สูงอายุ ทั้งการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค โดยประเทศไทยได้เป็นผู้ริเริ่มชักชวนกลุ่มประเทศอาเซียนให้ตระหนักถึงความสำคัญของผู้สูงอายุ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยที่จะเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ในหลายประเทศ นำมาสู่ความร่วมมือในการจัดตั้งศูนย์ ACAI

เพื่อให้ประเทศสมาชิกอาเซียนได้ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด โดยได้รวบรวมความเชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขาทั่วอาเซียน ร่วมมือกันทำโครงการวิจัย พัฒนา ออกแบบกลยุทธ์และแนวทางสำหรับผู้สูงอายุ เพื่อเป็นศูนย์ความรู้ของอาเซียน ให้บริการความรู้ด้านวิชาการ นโยบายสาธารณะ ยุทธศาสตร์ นวัตกรรม และแนวทางด้านผู้สูงอายุที่มีศักยภาพ ในการส่งเสริมให้เกิดสังคมผู้สูงอายุที่มีสุขภาพดี สามารถจัดการความเสี่ยงและสร้างความมั่นคงด้านสุขภาพที่จะเกิดขึ้น โดยศูนย์แห่งนี้ได้ตั้งอยู่ภายในกระทรวงสาธารณสุข
จังหวัดนนทบุรี

นายอนุทิน กล่าวต่อว่า การจัดตั้งศูนย์ ACAI นับเป็นการลงทุนเพื่ออนาคตของอาเซียน ที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง มองสู่อนาคต และเป็นอีกหนึ่งผลลัพธ์ที่สนับสนุนแนวคิดหลัก “ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน” ภายใต้การเป็นประธานอาเซียนของไทยในปี 2562 และเป็นหนึ่งในจำนวนไม่กี่ศูนย์ที่มุ่งให้มีสถานะทางกฎหมายระหว่างประเทศ

ทั้งนี้ ประเทศสมาชิกอาเซียนมีประชากรรวมกันประมาณ 650 ล้านคน ครึ่งหนึ่งอาศัยอยู่ในประเทศอินโดนีเซีย และมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป มีจำนวน 59 ล้านคน หรือร้อยละ 9 ของประชากรทั้งภูมิภาค โดย 3 ประเทศ ที่มีประชากรสูงอายุมากกว่าร้อยละ 10 ของประชากรทั้งประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ (ร้อยละ 18) ประเทศไทย (ร้อยละ 16) และเวียดนาม (ร้อยละ 10) สำหรับอินโดนีเซียมีประชากรสูงอายุจำนวน 21 ล้านคนหรือร้อยละ 8 ของประชากรทั้งประเทศ

“อนุสรณ์” ข่มขวัญรัฐบาล อภิปรายไม่ไว้วางใจหนักแน่

People Unity News : “อนุสรณ์”โฆษกพรรคเพื่อไทย ข่มขวัญรัฐบาล อภิปรายไม่ไว้วางใจหนักแน่

วันที่ 3 พฤศจิกายน 2562 นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี นายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาล ออกมาระบุว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจ น่าจะใช้เวลาแค่ 1-2 วัน ก็เพียงพอ ว่า ความกลัวทำให้เสื่อม ปากกล้าขาสั่น ดูเจตนาไม่ยาก ออกมาพูดเพื่อหวังมัดมือชกปิดปากฝ่ายค้าน ถือเป็นทางหนีธรรมชาติของรัฐบาลที่ทำควบคู่กับการตกปลาในบ่อเพื่อน รวบรวมเสียงมาแก้ปัญหาเสียงปริ่มน้ำแบบนี้มาตลอด ที่ผ่านมาข้อมูลการบริหารที่ล้มเหลวไหลเข้ามาหาฝ่ายค้านในช่องทางต่างๆทุกวัน บริหารประเทศมา 5 ปี เข้าสู่ปีที่ 6 รัฐบาลย่อมรู้ดีว่า ล้มเหลวในการบริหารบ้านเมืองด้านใดบ้าง มีคำถามว่าเกิดการทุจริตเชิงนโยบายเพื่อเอื้อกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ล้มเหลวในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เฉพาะเรื่องสหรัฐตัดสิทธิจีเอสพี รัฐมนตรีในกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ยังตอบกันไปคนละเรื่อง ต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างทำ รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ พรรคร่วมแตกแยก ปัญหาก็มากอยู่แล้ว แต่การยิงลูกโดดเอาตัวรอดของแต่ละพรรค โดยไม่สนเอกภาพของความเป็นพรรคร่วมรัฐบาลจะทำให้การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้เป็นงานหนักมากสำหรับรัฐบาล

“ประชาชนที่ติดตามการอภิปรายไม่ไว้วางใจ จะได้เห็นภาพชัด ถึงความล้มเหลวในแทบทุกมิติ ที่รัฐบาลจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้เลย” นายอนุสรณ์ กล่าว

“อ้น”ปลื้มผลโพลปชช.ชอบ”ชิมช้อปใช้-บัตรคนจน”

People Unity News : “อ้น”ปลื้มผลโพลปชช.ชอบ”ชิมช้อปใช้-บัตรคนจน” ชี้”พปชร.” มาถูกทางแล้ว เน้นแก้ปัญหาปากท้อง ตอกเป็นกระจกสะท้อนกลับฝ่ายค้านมัวแต่เล่นการเมือง จ้องล้มรัฐบาล

วันที่ 3 พฤศจิกายน 2562 น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ หรือ “อ้น” รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรุงเทพโพลล์ เผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนส่วนใหญ่ชื่นชอบโครงการ “ชิม ช้อป ใช้” เฟส 1 และ 2 มากที่สุดในไตรมาสแรก รอรองลงมาคือ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐว่า เป็นเรื่องที่น่ายินดี ผลการสำรวจต่างๆ มีนัยสำคัญ เป็นตัวชี้วัดผลงาน ถือเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ที่ทางพรรคพลังประชารัฐ จะได้นำมาเป็นแนวทางในการกำหนดทิศทางการทำงานต่อไป โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านโครงการชืม ช้อป  ใช้”ที่ถูกพรรคฝ่ายค้านวิพากษ์วิจารณ์มาตลอดนั้น เมื่อผลการสำรวจออกมาเช่นนี้ สะท้อนว่าโครงการดังกล่าวเป็นที่ยอมรับของประชาชน จึงได้รับความนิยมจากประชาชน และประชาชนสนับสนุน ดังนั้นไม่ว่าจะโจมตีอย่างไร ก็ต้านทานกระแสความต้องการของประชาชนไม่ได้ โดยโครงการ “ชิม ช้อป ใช้” ทั้ง 2 เฟสรวมกันมีผู้ได้รับสิทธิไปแล้ว 13 ล้านคน  ขณะที่มีประชาชนสอบถามถึง โครงการ “ชิม ช้อป ใช้” เฟส 3 ซึ่งเรื่องนี้นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะประเมินผลการดำเนินงานของทั้ง 2 เฟสก่อนอีกระยะ  หากมีความคืบหน้าทางส.ส.ของพรรคจะแจ้งให้ประชาชนได้ทราบและทำความเข้าใจต่อไป

น.ส.ทิพานัน กล่าวต่อว่า ในส่วนของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีการเติมเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐนั้น เป็นการแก้ไขปัญหาค่าครองชีพของประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่ตรงจุด และยังช่วยเหลือเพิ่มเติมให้กับผู้ปกครองที่ต้องดูแลบุตรอายุ 0-6 ขวบ และผู้สูงอายุ แม้จำนวนเงินจะไม่มาก  แต่ก็สามารถบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนได้ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ประชาชนจะชื่นชอบมากรองลงมาจาก โครงการ “ชิม ช้อป ใช้” เพราะเงินที่เติมลงไปเข้าบัตรทันที อย่างไรก็ตาม ทั้ง2 โครงการเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐิจระยะสั้น ในขณะที่มีการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก เพื่อความยั่งยืน โดยได้เริ่มโครงการ “ประชารัฐสร้างไทย”  ที่บูรณาการทั้งความคิดและทรัพยากรต่างๆ ในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก อาทิ กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรฯ หน่วยงานและสถาบันการเงินของรัฐ เช่น ออมสิน, ธ.ก.ส., ธพว. และกองทุนหมู่บ้าน เป็นต้น โดยนำร่องไปแล้วในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน  8 จังหวัด คือเชียงใหม่ เชียงราย พะเยา แม่ฮ่องสอน ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน

“พรรคพลังประชารัฐเชื่อว่าเรามาถูกทางแล้ว ในการเดินยุทธศาสตร์เพื่อแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน  และสร้างเชื่อมั่นให้กับประชาชนมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันเสียงตอบรับของประชาชนในวันนี้กลายเป็นกระจกสะท้อนกลับไปยังฝ่ายค้านให้หันกลับมาทบทวนบทบททของตนเอง หากยังมัวเล่นการเมือง หรือเล่นเกมเพื่อหวังโค้นล่มรัฐบาลเพียงอย่างเดียวนั้น นอกจากจะไม่เกิดประโยชน์กับประชานแล้ว กระแสอาจตีกลับไปยังฝ่ายค้านด้วย”น.ส.ทิพานัน กล่าว

Verified by ExactMetrics