วันที่ 28 มีนาคม 2024

นายกฯ รับหนังสือคัดค้านจากชาวบ้าน ยันพิจารณาโครงการแลนด์บริดจ์รอบด้าน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 23 มกราคม 2567 ชุมพร – นายกฯ รับหนังสือคัดค้านการก่อสร้างโครงการแลนด์บริดจ์ จากชาวบ้านเครือข่ายรักษ์พะโต๊ะ จ.ชุมพร ฝากทบทวนผลการศึกษาโครงการใหม่ ด้านนายกฯ ยืนยันรัฐบาลคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับทุกฝ่าย

หลังเสร็จสิ้นการประชุม ครม.สัญจร นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เดินทางมาที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ศูนย์การศึกษา จ.ระนอง เพื่อรับหนังสือคัดค้านการก่อสร้างโครงการแลนด์บริดจ์ จากชาวบ้านเครือข่ายรักษ์พะโต๊ะ จ.ชุมพร โดยเครือข่ายฝากให้ทบทวนผลการศึกษาโครงการใหม่ เนื่องจากมองว่าไม่ได้มาตรฐานทางวิชาการ และไม่เคารพการมีส่วนร่วมของประชาชน รวมถึงเสนอให้ตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างนักการเมือง หน่วยงานราชการ และชาวบ้าน เพื่อร่วมกันถ่วงดุลและตรวจสอบโครงการ

นายกรัฐมนตรีนั่งรับฟังข้อเสนอแนะและข้อเรียกร้องจากชาวบ้านนานกว่า 10 นาที ก่อนบอกกับชาวบ้านว่าขออย่ากังวล รัฐบาลจะมีการพิจารณาข้อมูลต่างๆ และความกังวลของชาวบ้านอย่างรอบด้าน ยืนยันรัฐบาลคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับทุกฝ่าย

นายกฯ ยัน รัฐบาลจัด ครม.สัญจรทุกภาค

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 21 มกราคม 2567 เชียงใหม่ – นายกฯ ยันรัฐบาลจัด ครม.สัญจรทุกภาค บอกเปิดรับฟังเสียงคัดค้านโครงการแลนด์บริดจ์ ชี้แง่สื่อสารยังทำได้อีก ยันไม่คิดปรับ ครม. พรรคร่วมยังทำงานกันด้วยดี ไม่ฝากเรื่องการเมือง มุ่งทำงานแก้ปัญหาความเดือดร้อนประชาชน

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงวัตถุประสงค์เลือกจังหวัดระนองเป็นพื้นที่การประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่อย่างเป็นทางการ ครั้งที่ 2 ว่า ครม.สัญจรนัดแรกไปภาคอีสาน ที่จังหวัดหนองบัวลำภู ครั้งนี้เป็นภาคใต้ ครั้งต่อไปเป็นภาคเหนือ สลับสับเปลี่ยนกันไป จะต้องไปดูแลให้ทั่วถึง รับฟังปัญหา พร้อมชี้แจงโอกาสที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีโอกาสพูดคุยกับประชาชนเกี่ยวกับโครงการแลนด์บริดจ์หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวสั้นๆ ว่า “น่าจะ”

เมื่อถามว่า มีรายงานข่าวอาจจะมีประชาชนมาแสดงความคิดเห็น โดยเฉพาะการคัดค้านโครงการแลนด์บริดจ์ เตรียมจะชี้แจงอย่างไรหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ก็ต้องมีการชี้แจง และมีการชี้แจงตลอด เวลาเราลงพื้นที่ก็มีคนมาร้องเรียน ขอใช้คำว่า ร้องเรียนทุกเรื่องอยู่แล้ว รัฐบาลมีหน้าที่ต้องรับฟัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของราคาพืชผล หรือเรื่องอื่นๆ ก็ต้องรับฟังอยู่แล้ว

เมื่อถามว่า ยืนยันว่าโครงการแลนด์บริดจ์จะทำให้เกิดประโยชน์มากกว่าใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ใช่ ก็ต้องไปพูดคุย คิดว่ายังทำได้อีกในแง่ของการสื่อสาร และรับฟังความคิดเห็น

เมื่อถามว่า มีการมองกันว่ารัฐบาลพยายามสร้างความเชื่อมั่นให้กับต่างชาติ แต่กับคนในพื้นที่ การสร้างความเชื่อมั่นค่อนข้างน้อย นายเศรษฐา กล่าวว่า ก็รับฟัง แล้วก็เห็นอยู่ว่า เมื่อวานที่ตนเดินทางกลับถึงกรุงเทพฯ เวลา 10.30 น. เช้าวันศุกร์ จากนั้น 20.00 น. ก็เดินทางมาที่จังหวัดเชียงใหม่ ดังนั้น การลงพื้นที่และการให้ความสำคัญกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ถือว่าเป็นการให้ความสำคัญสูงสุด เดี๋ยวจะเดินทางไปที่จังหวัดระนอง วันพรุ่งนี้ (22 ม.ค.) อีกทั้งยังมีตารางเดินทางไปอีกหลายจังหวัด ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ ให้ความสำคัญอย่างมาก

ผู้สื่อข่าวถามว่า ในขณะที่รัฐบาลพยายามทำงานไปในทางการเมือง ยังมีกระแสข่าวปรับคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีจะให้คำยืนยันหรือให้ความมั่นใจอย่างไร นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนยืนยันมาตลอดเวลาว่า เรายังทำงานร่วมกันดีอยู่กับพรรคร่วมรัฐบาล และรัฐมนตรีทุกคนก็ทำงานหนักมาก ตรงนี้ขอให้ฟังจากตนคนเดียวก็แล้วกัน ถึงเวลาเมื่อไรจะบอกเอง

เมื่อถามว่า นายกรัฐมนตรีได้วางไว้หรือไม่ว่า 6 เดือน จะมีการประเมินผลการทำงานของ ครม.หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนคิดว่าทุกคนมีการประเมินผลตลอดเวลา เรามีการติชม เสนอแนะมาตลอด ไม่จำเป็นต้อง 6 เดือน 3 เดือน หรือ 1 ปี

เมื่อถามว่า หากพรรคร่วมรัฐบาลพรรคไหนต้องการปรับรัฐมนตรีในส่วนของพรรคตัวเอง สามารถเสนอได้ใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า รับฟังอยู่ตลอด แต่ตอนนี้เท่าที่ได้ยินมา ทุกท่านมัวแต่ง่วนกับการทำงาน ยังไม่ได้สนใจเรื่องนี้ ซึ่งความเดือดร้อนของประชาชนทุกคนก็รู้อยู่ว่ามีเยอะอยู่แล้ว ขณะเดียวกัน รัฐมนตรีหลายท่านก็ลงพื้นที่ ที่จังหวัดเชียงใหม่ก็มาด้วยหลายคน แม้แต่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็มา และรัฐมนตรีบางท่านได้ลงไปในพื้นที่จังหวัดระนอง เพื่อเตรียมงานในพื้นที่แล้ว เพราะเวลาลงพื้นที่ประชุม ครม.ต่างจังหวัด อยากรับฟังเรื่องที่พี่น้องประชาชนเดือดร้อน แต่แน่นอนเชื่อว่าคงต้องมีเรื่องร้องเรียนขอความช่วยเหลือ บ่นเยอะ ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาล ก็ต้องรับฟังความเห็นของประชาชน อะไรที่ทำได้ก็ต้องพยายามทำออกไปให้ได้

เมื่อถามว่า ในฐานะที่เป็นนักการเมือง อยากจะฝากอะไรเกี่ยวกับเรื่องการเมืองหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ไม่มี นอกจากต้องรับฟังความเห็นประชาชน ซึ่งเรื่องความเห็น เรื่องเสนอแนะ และความเดือดร้อน เป็นเรื่องที่รัฐมนตรีทุกท่านให้ความสนใจ และต้องใส่ใจด้วย

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนการให้สัมภาษณ์ นายกรัฐมนตรีได้ทักทายสื่อ “กู๊ดมอร์นิ่ง” ด้วยน้ำเสียงที่แหบๆ โดยนายกฯ กล่าวว่า เสียงไม่ค่อยดีตั้งแต่เดินทางกลับจากดาวอส เพราะเป็นหวัด แต่เมื่อคืนได้นอนพักผ่อน อาการไม่ได้แย่ลง

นายกฯ เผย ถือเป็นหน้าที่ พร้อมแจง สว.ซักฟอก

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 17 มกราคม 2567 สมาพันธรัฐสวิส – นายกฯ พร้อมแจง หาก สว.รวมเสียงพอ ขอซักฟอกตาม ม.153 ยันไม่เสียสมาธิทำงาน ถือเป็นหน้าที่ และหากตอบชัดแล้วถึงจุดหนึ่งก็ต้องพอ

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่สมาชิกวุฒิสภา (สว.) มีเสียงพอที่จะเปิดอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 153 แล้ว ว่า ก็ว่ากันไปตามรัฐธรรมนูญหากมีเสียงพอที่จะขอเปิดอภิปรายได้ก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาล ในฐานะฝ่ายบริหารที่จะต้องตอบ เมื่อฝ่ายนิติบัญญัติมีข้อข้องใจ ซึ่งเป็นไปตามกฎหมาย แต่ก็ขอให้เป็นไปอย่างสร้างสรรค์และมีวิธีการสื่อสารที่ถูกต้อง

ส่วนที่ สว. บางส่วนยอมรับว่าเพิ่งทำงานได้เพียง 4 เดือนเร็วเกินไปที่จะอภิปราย ในขณะที่รัฐบาลชุดที่แล้วไม่มีการอภิปรายนั้น  นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าไม่ขอวิจารณ์ในเรื่องนี้ ถือว่าเป็นการใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ ส่วนเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมนั้น ก็ให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน ซึ่งหน้าที่ของตน หากมีการรวบรวมเสียงถูกต้อง เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแล้วก็เป็นหน้าที่ของตนที่จะต้องไปตอบ

เมื่อถามว่าต้องกำชับรัฐมนตรีให้เตรียมพร้อมเป็นพิเศษหรือไม่นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยังไม่ได้กำชับอะไร เพราะยังไม่มีการยื่นมาและเชื่อว่ารัฐมนตรีทุกคนทำงานเต็มที่อยู่แล้ว และทุกคน ต้องพร้อมที่จะชี้แจงหากถูกพาดพิง ส่วนจะขอร้อง สว. ว่าอย่าพาดพิงถึงคนนอกหรือไม่นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามความเหมาะสม และตามความถูกต้อง หากมีการตอบอย่างชัดเจนแล้ว เป็นไปตามหลักนิติธรรมแล้ว ถึงจุดหนึ่งก็ต้องพอ ยืนยันไม่เสียสมาธิในการทำงาน เพราะถือเป็นหน้าที่ ซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ หากรวบรวมเสียงได้ เราก็ต้องไปตอบ แม้อาจจะเพิ่งเริ่มต้นทำงานก็ตามที หาก สว.มีข้อคลางแคลงใจก็ต้องพร้อมที่จะตอบ แต่ถ้าถามว่าอยากจะเอาเวลา มาทำงานเพื่อประเทศก็อยาก แต่หาก สว.มีข้อคลางแคลงใจและอยากที่จะอภิปราย ตนก็โอเค

นายกฯ พร้อมรับข้อเสนอแนะ ปรับงบฯวาระ 2-3

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 4 มกราคม 2567 รัฐสภา – นายกฯ พอใจภาพรวมอภิปรายวันแรก เมินฉายา “งบเป็ดง่อย” ชี้เป็นวาทกรรม แต่พร้อมนำข้อเสนอแนะไปปรับปรุงในวาระ 2-3 เหน็บ “จุรินทร์” ทำงาน 4 ปีไม่เท่า “ภูมิธรรม” ทำ 1 ปี

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 ที่รัฐสภา โดยกล่าวถึงภาพรวมการอภิปรายวันแรก ว่า ดี ได้แลกเปลี่ยนข้อมูล ได้พูดจาอธิบายกัน ซึ่งไม่ทราบว่าแตกต่างจากการอภิปรายงบประมาณสมัยก่อน ๆ หรือไม่ เนื่องจากไม่เคยฟัง จึงพูดไม่ได้

ส่วนที่มีวาทกรรมจากฝ่ายค้าน ว่ารัฐบาลตั้งงบประมาณเป็น “เป็ดง่อย” นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนดูเป็น 2 มิติ มิติแรกคือเรื่องวาทกรรมกับเรื่องเจตนารมณ์ ซึ่งผู้อภิปรายอยากจะให้เราปรับปรุงแก้ไขในวาระ 2 และ 3 ซึ่งเป็นโอกาสที่จะนำข้อเสนอแนะ ข้อติชมไปปรับปรุง

“ส่วนเรื่อง “เป็ดง่อย” จะเป็นเรื่องของกลอนพาไปหรือไม่ แต่ผมมั่นใจที่ท่าน (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์) พูดถึงกระทรวงพาณิชย์ ที่เคยดูแลอยู่ ก็มั่นใจว่านายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในระยะเวลา 1 ปี ทำมากกว่าท่านทำเป็นเวลา 4 ปี เรื่องสนธิสัญญา การค้าระหว่างประเทศ หรือเอฟทีเอ ที่ถือเป็นเรื่องใหญ่

“ผมว่าเป็นที่ประจักษ์อยู่แล้วที่ผ่านมาว่าง่อยหรือไม่ง่อย ที่เราทำตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง ผมมั่นใจในตัวรัฐมนตรีของเรา นโยบายบางเรื่องใช้งบประมาณน้อยมาก แต่เป็นเรื่องของการใส่ใจ เช่น FTA การดูแลราคา ความปลอดภัย เชื่อว่ารัฐบาลมีความตั้งใจจริงและรัฐมนตรีทุกท่านมีความปรารถนาดี” นายกรัฐมนตรี กล่าว

เมื่อถามว่า ส.ส. พรรคก้าวไกลพยายามกล่าวหาว่ารัฐบาลชุดนี้เดินตามรัฐบาลชุดก่อนหน้านี้ มากเกินไป เรื่องการจัดสรรงบประมาณ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องงบประมาณมีที่มาที่ไปชัดเจน ส่วนจะเดินตามหรือจะไม่เดินตาม ให้ดูที่ความเป็นจริง  อย่าพูดถึงคนว่าเป็นรัฐบาลไหนอย่างไร อะไรที่เป็นประโยชน์กับประชาชน ถ้ามาจากรัฐบาลแล้วเราก็ทำ มีอะไรที่ต้องปรับปรุง เราก็จะปรับปรุง เปลี่ยนแปลง

ส่วนกรณีตั้งคำถามเรื่องนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ไม่ถูกบรรจุอยู่ในงบประมาณ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) และกำลังรอกฤษฎีกา ซึ่งวันนี้ (4 ธ.ค.) จะสอบถาม

เมื่อถามว่ากรณีที่นายจุรินทร์เปรียบรัฐบาลเศรษฐาเป็น “นักกู้ถุงเท้าสีชมพู” นายกรัฐมนตรีก้มลงและดึงขากางเกงขึ้น พร้อมพูดว่า “ก็ใส่ให้ท่านดูวันนี้” พร้อมหัวเราะและพูดว่า “เป็นสีสัน ไม่เป็นไรครับ เพราะทุกคนก็กู้หมด แต่สำคัญว่ากู้แล้วนำมาทำประโยชน์ให้ประเทศชาติอย่างไรบ้าง ผมมั่นใจในรัฐบาลนี้และเอาประชาชนเป็นที่ตั้ง” ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังการให้สัมภาษณ์ได้ขอให้นายกรัฐมนตรี โชว์ถุงเท้าสีชมพูที่ใส่มาวันนี้ ซึ่งสื่อสอบถามว่าจะเอาสีไหนก็ทำงานได้ใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า  จะสีอะไรก็ทำงานได้ ไม่เกี่ยวกัน

นายกฯ คาด พ.ร.บ.อากาศสะอาด เข้าสภา 11 ม.ค.นี้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 4 มกราคม 2567 รัฐสภา – นายกฯ ย้ำรัฐบาลให้ความสำคัญเรื่องอากาศสะอาด เป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน เร่งมอบความรู้เกษตรกร ไม่เผาตอข้าว-ซังข้าวโพด ยันรีดภาษีแน่ นำเข้าพืชผลจากเพื่อนบ้านที่มีการเผา คาด พ.ร.บ.อากาศสะอาด เข้าสภา 11 ม.ค.นี้

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ลุกขึ้นชี้แจงครั้งที่สาม ของวันที่สองในการอภิปรายพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 เกี่ยวกับเรื่องอากาศสะอาด หรือปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก pm2.5 ว่า ทุกคนทราบดีว่าอีกประมาณ 1-2 เดือนข้างหน้านี้ ก็จะเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น ซึ่งเป็นช่วงที่ต้องเฝ้าระวังเป็นอย่างมาก ยืนยันว่ารัฐบาลนี้มีความตั้งใจที่จะยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเศรษฐกิจ สิทธิเสรีภาพในการเลือก หรือแม้กระทั่งสิทธิขั้นพื้นฐาน เช่น การเข้าถึงอากาศบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ประชาชนทุกคนพึงได้รับ และเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องนำส่งสิ่งเหล่านี้ให้กับพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน

ขอย้ำว่าเรื่องของฝุ่นละอองขนาดเล็ก pm2.5 เรื่องที่รัฐบาลให้ความสำคัญตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง ได้ลงพื้นที่ไปจังหวัดเชียงใหม่ 4-5 ครั้งแล้ว ครั้งสุดท้ายก็คือวันที่ 29 พฤศจิกายนที่ผ่านมา พร้อมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ลงไปพูดคุยถึงเรื่องแผนงาน

ทั้งนี้ เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องให้ความรู้แก่ประชาชน เช่น เรื่องของการทำการเกษตร ต้องไม่มีการเผาซากพืชผลทางการเกษตร ซึ่งทุกคนทราบดีว่าเรื่องของฝุ่นละอองขนาดเล็ก pm2.5 เป็นเรื่องของเศรษฐกิจ ปากท้อง เพราะเกษตรกรที่ปลูกข้าว หรือพืชผลต่างๆ เมื่อเก็บเกี่ยวเสร็จแล้วก็ต้องมีการเผาพวกตอข้าว และซังข้าวโพด หากจะต้องไถกลบก็จะเสียค่าใช้จ่ายที่สูง แต่หากใช้ไม้ขีดเพียงก้านเดียว ก็สามารถทำงานได้เช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่อยากให้ทำแบบนั้น ซึ่งรัฐบาลก็ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าว ในการมอบองค์ความรู้ และได้มีการจัดตั้งหน่วยงานที่รับซื้อตอข้าว ซังข้าวโพด เพื่อที่จะทำในเรื่องของพลังงานทดแทน หรือว่าทำปุ๋ย หรือว่าเรื่องของการเผาอ้อย โดยฤดูกาลที่ผ่านมาก็มีน้อยกว่าที่คาดคาดการณ์ไว้ เพราะว่ากระทรวงอุตสาหกรรมก็ได้กำชับในเรื่องนี้ อย่างละเอียดถี่ถ้วน

สำหรับเรื่องของพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด ขณะนี้กำลังอยู่ในกระบวนการพิจารณาในชั้นของนิติบัญญัติ โดยพร้อมที่จะนำเสนอเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรในการพิจารณา ซึ่งหวังว่าจะเป็นวันพฤหัสที่ 11 มกราคมนี้

ส่วนเรื่องของการใช้งบประมาณ ก็กำลังดูอยู่ ซึ่งเรามีงบประมาณบางส่วนที่เก็บไว้ เพื่อใช้สำหรับภัยพิบัติ ซึ่งก็จะสามารถนำออกมาใช้ได้ ตามความต้องการของเหตุการณ์ ณ วันนั้น

เรื่องของการเจรจากับประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีบริษัทเอกชนไปปลูกข้าวโพด เช่น ประเทศลาว หรือประเทศเมียนมา ซึ่งได้มีการพูดคุย และมีการคาดโทษ หากมีการเผาเกิดขึ้นจากข้าวโพดที่ได้เก็บเกี่ยวไปแล้ว จะมีมาตรการภาษีไปรองรับ หากนำข้าวโพดเหล่านั้นกลับเข้ามาขายในประเทศ

ทั้งนี้รัฐบาลยังมีนโยบายหลัก ก็คือการสนับสนุนให้ประชาชนใช้รถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV ซึ่งรัฐบาลตระหนักดี และมีเรื่องที่น่ายินดีที่มีการมาตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ EV อยู่ในประเทศไทย และจะเป็นฐานผลิตส่งออกไปยังทั่วโลก

นายกฯ ปราศรัยวันขึ้นปีใหม่ ขอจับมือทุกภาคส่วนเริ่มต้นศักราชด้วยความสุข ฟันฝ่าแก้ปัญหาให้ประเทศต่อไป

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 31 ธันวาคม 2566 นายกฯ ปราศรัย วันขึ้นปีใหม่ 2567 ขอบคุณทุกภาคส่วน ร่วมมือผลักดันนโยบายเพื่อประชาชน ขอจับมือเริ่มต้นศักราชด้วยความสุข ฟันฝ่าแก้ปัญหาให้ประเทศต่อไป

เมื่อเวลา 20.10 น. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวคำปราศรัยผ่านบันทึกวีดิทัศน์ เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2567 ผ่านทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย คลื่น FM.92.50 MHz และวิทยุเครือข่ายกรมประชาสัมพันธ์ ว่า สวัสดีปีใหม่ 2567 พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รักทุกท่าน ในปีพุทธศักราช 2566 ที่ผ่านมาเป็นปีที่ประเทศไทยกำลังอยู่ระหว่างการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและสังคม เตรียมตัวที่จะก้าวเข้าสู่ยุค เพื่อชดเชย9ปีที่ประเทศไทยเราสูญเสียโอกาสไปหลากหลายอย่าง ตั้งแต่ก่อนรับตำแหน่งเห็นใจและเข้าใจความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนในหลายหลายเรื่อง จึงได้เร่งรัดออกมาตรการเพื่อเพิ่มรายได้ลดรายจ่าย ขยายโอกาสกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องโดยมีเป้าหมายเพื่อทำให้พี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน มีคุณภาพและชีวิตความเป็นอยู่ ที่ดี มีความสุขมากยิ่ง นี่คือโจทย์สำคัญที่พวกเราทุกคน ทั้งข้าราชการ บุคลากรหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชนทุกคน ล้วนหวังที่จะทำให้สำเร็จพัฒนาประเทศไทยให้เจริญรุ่งเรือง

เราเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในหลากหลายส่วน โดยเฉพาะในช่วง3เดือนหลังจากที่เข้ารับตำแหน่ง ได้เร่งผลักดันนโยบายเร่งด่วนต่างๆออกมา และลงพื้นที่อย่างต่อเนื่องเพื่อไปพบ ไปรับฟังปัญหาความอึดอัดของพี่น้องประชาชนในทุกภาค ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ได้รับการต้อนรับที่อบอุ่นเสมอ ขอบคุณประชาชนทุกคนที่มาต้อนรับมาให้ความเห็นที่เป็นประโยชน์และจะตั้งใจแก้ปัญหาทำงานเพื่อประชาชนต่อไป

แต่นอกจากนโยบายเร่งด่วนที่กล่าวไปแล้ว จะดำเนินนโยบายที่จะวางรากฐานระยะกลางและระยะยาว เพื่อสร้างรากฐานให้กับอนาคตที่ดีกว่าให้ลูกหลานของพวกเราทุกคนต้องขอให้ทุกภาคส่วน ที่มีส่วนร่วมทำนโยบายให้เห็นผลได้จริงในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งจะเกิดขึ้นไม่ได้หากขาดความช่วยเหลือจากภาคประชาสังคมบุคลากรภาครัฐ ข้าราชการ เอกชน ที่ช่วยกันทำนโยบายให้เห็นผลได้จริง แม้ว่าในบางครั้งการที่ได้เร่งดำเนินการเป็นงานที่เพิ่มเติมเข้ามาจากงานที่ท่านทำอยู่แล้ว และทุกท่านก็ช่วยกันทำงานหนักเพื่อประชาชน

ผมขอเป็นตัวแทนประชาชน ขอขอบคุณทุกท่านที่ทำให้ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้จริงในระยะเวลาอันรวดเร็วขอบคุณและขอให้ทุกภาคส่วนทุกคนยังคงทำงานอย่างตั้งมั่นดำรงไว้ซึ่งขวัญและกำลังใจที่ดีต่อไป เพื่อสร้างรอยยิ้มสร้างความสุขให้กับพี่น้องประชาชนต่อไป

ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และอาสาสมัครทุกคน ที่ปฎิบัติภารกิจอย่างเข้มแข็ง รวมทั้งดูแลและช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ให้พี่น้องชาวไทยผ่านพ้นจากเหตุการณ์ต่างๆ ตลอดทั้งปีที่ผ่านมา เราจะก้าวเข้าสู่ปี 2567 ที่นับได้ว่าเป็นปีแห่งความก้าวหน้าอย่างแท้จริง ด้วยพลังกาย พลังใจ ที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง ความสุข เป็นก้าวแห่งความสำเร็จ และความมั่นคงในชีวิตของพี่น้องชาวไทยทุกคน ขอให้ทุกคนเริ่มต้นศักราชใหม่ด้วยจิตใจที่อิ่มเอมไปด้วยความสุขความสดชื่นใช้ช่วงเวลาอันมีค่านี้เฉลิมฉลองกับครอบครัวอย่างอบอุ่นและมีความสุขและขอส่งความปรารถนาดีมายังพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกคนและขอส่งกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานอำนวยความสะดวกให้ กับพี่น้องประชาชนในช่วงเทศกาลแห่งการฉลองปี 2567

นายเศรษฐา กล่าวว่า เนื่องในศุภวาระดิถีขึ้นปีใหม่ 2567 ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกคน ร่วมกันตั้งจิตอธิษฐาน อาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย และอำนาจแห่งสรรพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากล โปรดอภิบาลบันดาลดล ให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินี และพระบรมวงศานุวงค์ทุกพระองค์ ทรงพระเจริญด้วยจตุรพิธพรชัยทรงพระเกษมสำราญ มีพระราชประสงค์จำนงสิ่งใด ขอจงสัมฤทธิ์ดั่งพระหฤทัยปรารถนา สถิตเป็นมิ่งขวัญร่มเกล้า แก่ปวงพสกนิกรชาวไทยตราบกาลนาน สวัสดีปีใหม่ 2567

Advertisement

นายกฯ เผย รับตำแหน่ง 3 เดือน ยังไม่มีอะไรแฮปปี้ที่สุด

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 27 ธันวาคม 2566 ทำเนียบรัฐบาล – นายกฯ​ เผย​เข้ารับตำแหน่ง 3 เดือน ยังไม่มีอะไรแฮปปี้ที่สุด เพราะทุกอย่างยังทำให้ดีขึ้นได้​ บอก​อาสาทำหน้าที่แล้ว จะบ่นหรือเหนื่อยไม่ได้​

นายเศรษฐา​ ทวีสิน​ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง​ กล่าวระหว่างเดินลงมาเยี่ยมห้องสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาล โดยสื่อฯ สอบถามว่า หลังจากเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี​ 3 เดือน แฮปปี้กับเรื่องอะไรมากที่สุด​ นายเศรษฐา ระบุว่า​ยังไม่มีอะไรแฮปปี้ที่สุด ทุกอย่างยังสามารถทำให้ดีขึ้นได้อีก

“การที่ได้มาเป็นนายกรัฐมนตรีก็ถือว่าเป็นหน้าที่ ไม่มีสิทธิพูดว่าแฮปปี้หรือไม่แฮปปี้​ เหนื่อยหรือไม่เหนื่อย​ ไม่มีสิทธิพูด เพราะเสนอตัวมาทำหน้าที่แล้ว ต้องทำหน้าที่ให้เต็มที่ และต้องมีความสุขกับงาน ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถทำงานไปได้ตลอด 4 ปี เนื่องจากแบกความหวังของคนไทยกว่า 69 ล้านคน” นายเศรษฐา กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ส่วนตัวรู้สึกเห็นใจผู้สื่อข่าว เพราะแต่ละคนมีเครื่องอำนวยความสะดวกไม่เหมือนกัน และจะพยายามปรับการทำงาน ส่วนตัวไม่ได้รู้สึกภูมิใจกับคำนิยามว่า “ทำงานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย” แต่ในทางกลับกัน รู้สึกเห็นใจผู้สื่อข่าว จะพยายามปรับจูนการทำงาน เพื่อให้ได้เนื้องานมากขึ้น และตัดจำนวนงานให้น้อยลง ผู้สื่อข่าวจะได้มีเวลาในการทำงานมากขึ้น​ ซึ่งเป้าหมายของการทำงานมากหรือน้อย มีประชาชนเป็นตัวตั้ง

เมื่อถามว่า นายกรัฐมนตรีอยากพูด 1 ประโยค จากใจนายกรัฐมนตรีถึงหูประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่อย่างไร นายเศรษฐา ระบุว่า ตนไม่เก่งเรื่องแบบนี้ หากพูดอะไรออกไปก็จะเป็นวาทกรรมทางการเมือง

“อยากให้มีกินมีใช้​ อยากให้สุขภาพแข็งแรง ก็เป็นสิ่งที่อยากให้เกิดขึ้นอยู่แล้ว แต่ต้องมองในระยะยาว ว่าอยากให้ทุกคนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ ปัญหายาเสพติด ต้องลดลงไป อาทิ​ สิทธิและเสรีภาพในการเลือกที่จะเป็นใคร​ พ.ร.บ.อากาศสะอาด​ สิทธิในการรับอากาศสะอาด และมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงผ่านสิทธิ 30 บาทรักษาทุกโรค​ รวมถึงเรื่องดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งอยากให้ดูระยะยาว ไม่ใช่ให้ดูแค่วันที่ 1 มกราคม เพราะเป็นเพียงแค่วันหนึ่งเท่านั้น อยากจะยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนทุกคนให้ดีขึ้น​ และจะทำอย่างไรที่จะไม่ทิ้งคนไว้ข้างหลังเป็นสิ่งสำคัญ​” นายเศรษฐา กล่าว

Advertisement

นายกฯ ถกแก้หนี้นอกระบบ ลั่นเป็นเรื่องใหญ่ ต้องทำให้สำเร็จ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 23 ธันวาคม 2566 น่าน – นายกฯ นั่งหัวโต๊ะประชุมติดตามเจรจาแก้หนี้นอกระบบ ลั่นปัญหาหนี้นอกระบบเป็นเรื่องใหญ่ รัฐบาลนี้ต้องทำให้สำเร็จ กำชับ “มหาดไทย” ดูแลเป็นพิเศษ กร้าวบ้านเมืองมีขื่อมีแป รัฐบาลพร้อมช่วยเหลือ ปิ๊งไอเดียจังหวัดจัดตลาดนัดแก้หนี้ ขณะที่ FC เมืองน่าน ชูป้ายต้อนรับ บอกรอเงินดิจิทัลอยู่

เมื่อเวลา 13.52 น. วันที่ 23 ธ.ค.66 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และคณะ เดินทางถึงศาลากลางจังหวัดน่าน ด้วยรถยนต์โตโยต้า อัลพาร์ด ทะเบียน กฉ 5353 น่าน โดยมีประชาชนจำนวน 200 คน รอให้การต้อนรับ พร้อมถือป้ายข้อความระบุว่า รักนายกฯ นิดๆ แต่จะฮักนายกฯ นานๆ, ขอให้ท่านนายกฯ มีสุขภาพแข็งแรง อยู่แก้ปัญหาและบริหารประเทศไปนานๆ รักท่านครับ, หมู่เฮาจาวเวียงสา ขอต้อนฮับท่านนายกฯ, +1 โครงการดีแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ นายกสู้ๆ, นายกฯ เศรษฐาสู้ๆ เพื่อประชาชน, Love นายกฯ, FC นายกฯ, คนน่านขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ช่วยแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ, พวกเราคนภูเพียงสนับสนุนนายกฯ เศรษฐา, เรารักนายกฯ เศรษฐา เป็นต้น โดยนายกฯ ได้เดินทักทายประชาชน ขณะที่ในช่วงหนึ่ง ชาวบ้านได้ตะโกนบอกว่า “ยังรอเงินดิจิทัลอยู่นะครับ” ซึ่งนายกฯ ตอบกลับว่า “ครับ”

จากนั้นเวลา 14.00 น. นายกฯ เป็นประธานการประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อติดตามการเจรจาแก้หนี้นอกระบบในพื้นที่จังหวัดน่าน โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย และ สส.น่าน เขต 1 ในฐานะเจ้าของพื้นที่ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการปกครอง นายชัยนรงค์ วงศ์ใหญ่ ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 พล.ต.คณิศร อาสมะ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 38 นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร นายทรงยศ รามสูต สส.น่าน เขต 1 นายณัฐพงษ์ สุปริยศิลป์ สส.น่าน เขต 3 และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมด้วย

โดยนายกฯ กล่าวก่อนเปิดประชุมตอนหนึ่งว่า การมาจังหวัดน่านเป็นจังหวัดแรก เพราะเป็นจังหวัดที่เราวางไว้ว่าจะแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบทั้งหมด ซึ่งวันนี้เราได้ประกาศไปว่า เรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติของรัฐบาลนี้ ซึ่งปัญหานี้ไม่ใช่พวกท่านปล่อยปละละเลย แต่เป็นปัญหาที่กัดกร่อนสังคมไทยมายาวนาน และพวกท่านก็พยายามที่จะแก้ปัญหากันมาบนพื้นฐานที่สามารถทำได้ แต่วันนี้ตนเชื่อว่าเป็นนิมิตหมายอันดีที่คณะตนมีทั้งรองนายกฯ รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และตัวผมเองลงพื้นที่กันมา เพราะเราให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เพราะถ้าเกิดปัญหานี้ไม่ถูกแก้ไข ตนว่าเรื่องนี้เป็นสารตั้งต้นของปัญหาต่างๆ ในสังคมไทย ทั้งปัญหาสังคม ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาความไม่ปลอดภัยของประชาชนทุกคน

ทั้งนี้ จังหวัดน่านเป็นจังหวัดที่เล็ก แต่เล็กพอที่จะดูแลได้ และมีหน่วยงานครบทุกหน่วยงานที่เราคิดว่ามาร่วมกันพัฒนาและทำงานตรงนี้ได้ ซึ่งหนี้นอกระบบเป็นปัญหาทุกข์ใจของประชาชน และเป็นปัญหาที่ไม่ใช่ความผิด หากเรียนตรงๆ มันไม่ใช่ปัญหาที่เกิดมาจากการพนัน หรือการไปซื้อยาเสพติด แต่เป็นปัญหาเศรษฐกิจที่เรารู้กันดีอยู่ว่า ช่วงหลายปีที่ผ่านมา มันเป็นปัญหาใหญ่ ซึ่งเกิดจากการที่ถูกเรียกหนี้ไม่เป็นธรรม ถูกชาร์จดอกเบี้ยที่ไม่เป็นธรรม และไม่ได้รับการดูแลจากหน่วยงานรัฐที่ควรจะต้องดูแล

นายกฯ กล่าวอีกว่า วันนี้ที่เรามา ไม่ขอพูดเรื่องเก่า เราพูดถึงเรื่องใหม่ดีกว่าว่า จากนี้จะเดินต่อไปอย่างไร ทั้งนี้ ที่จังหวัดน่าน มีคนมาแจ้งแล้ว 500 กว่าราย และมีมูลหนี้ประมาณ 33 ล้านบาท ตนอยากให้หน่วยงานความมั่นคง ซึ่งสามารถนั่งหัวโต๊ะและเรียกเจ้าหนี้-ลูกหนี้ มาให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย โดยเอากฎหมายเป็นที่ตั้ง ซึ่งหากเราสามารถทำกันได้ และผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ ตนคิดว่าสิ่งดีๆ จะเกิดขึ้นกับชีวิตของพวกเราทุกคน และชีวิตของประชาชน ทั้งนี้ พวกเรานั่งอยู่ตรงนี้ เราคือผู้รับใช้ประชาชน ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่รัฐบาลนี้กำหนดว่าเราต้องทำให้สำเร็จ ซึ่งเรามาที่จังหวัดน่าน ก็เป็นแพลตฟอร์มที่ให้เดินต่อไป และขอให้กระทรวงมหาดไทยกำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานที่ดูในเรื่องพื้นที่ ว่าให้ดูแลเรื่องนี้เป็นพิเศษ เพราะตนเชื่อว่า ปัญหายาเสพติด ปัญหาพนันออนไลน์ ปล้นจี้ ก็จะได้รับการแก้ไขเชื่อมโยงไปด้วย ตนก็ขอฝากความหวังกับพวกท่านทุกคน อยากให้คืนรอยยิ้มให้กับประชาชนคนไทยทุกคน

อย่างไรก็ตาม ช่วงหนึ่งนายกฯ ได้ท้วงติงว่า ตัวเลขจำนวนลูกหนี้ที่มีแจ้งมากว่า 500 ราย ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีที่มีการเจรจาไกล่เกลี่ย แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ มีผู้มาแจ้ง 500 กว่าคน แต่การนำเข้ามาสู่ระบบถือว่าน้อยมาก มีเพียง 100 กว่ารายเท่านั้น ฉะนั้น ตนเสนอให้ใช้กลไกของกำนันและผู้ใหญ่บ้านลงพื้นที่ไปดูและติดตาม ขอฝากอธิบดีกรมการปกครองด้วยก็แล้วกัน ถ้าเขาคุณสมบัติไม่ครบ ตัดออกไป ปัญหาก็จะไม่ได้รับการแก้ไข ทั้งนี้ ตนไม่ได้ดูตัวเลข 500 กว่ารายที่แจ้งมา แต่ตนดูตัวเลข 100 กว่ารายที่เข้าสู่ระบบการเจรจา และหากเป็นไปได้อาจจะจัดตลาดนัดแก้หนี้ ที่ศาลากลางจังหวัด จัดเป็นอีเวนต์ทุกวันที่ 15 หรือวันเสาร์และอาทิตย์ เป็นต้น เพื่อให้ฝ่ายเจ้าหนี้และลูกหนี้ได้มาพูดคุยกัน รวมถึงธนาคาร ซึ่งตรงนี้ตนถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี

นอกจากนี้ นายกฯ ยังกล่าวเสนอว่า หากนำลูกหนี้และเจ้าหนี้เข้าสู่การเจรจาได้ 300-400 ราย จะถือเป็นตัวเลขที่เรียกความมั่นใจได้ดีกว่า ซึ่งมันประหลาด หากเขาเดือดร้อน แต่ข้อมูลไม่ครบ ซึ่งอาจจะขาดข้อมูลนิดเดียว แต่ตัดเขาออกไปและไม่ยอมเรียกมา ตนฝากให้อธิบดีกรมการปกครองดูเรื่องนี้หน่อย

จากนั้น นายอนุทิน กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอเรียนไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอว่า ข้อสั่งการของกระทรวงมหาดไทยมีความชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้น ขอให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และอำเภอ จัดทีมออกไปสำรวจ เพราะอาจจะมีประชาชนที่ไม่กล้าลงทะเบียน เพราะกลัวถูกข่มขู่ ดังนั้น เราก็จะต้องกระตุ้นลงพื้นที่ไปตามที่นายกฯ สั่งการ เดี๋ยวจะหาว่าต้องมานั่งฟังนายกฯ ชี้นำ เพราะกระทรวงมหาดไทยมีข้อสั่งการในเรื่องนี้อยู่แล้ว และเจ้าหน้าที่ทุกคนก็ต้องปฏิบัติตามข้อสั่งการของกระทรวงฯ ที่มีลำดับอยู่แล้ว

ต่อมาเวลา 14.28 น. นายกฯ ร่วมรับฟังการแก้ปัญหาหนี้ระหว่างประชาชน (ลูกหนี้) กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยก่อนที่จะรับฟังปัญหา นายกฯ กล่าวตอนหนึ่งว่า “ผมเข้าใจว่าที่ผ่านมาบ้านเมืองพบกับปัญหาเศรษฐกิจ โควิด-19 ซึ่งอาจจะทำให้หลายคนต้องไปพึ่งพาหนี้นอกระบบ วันนี้จึงมาพูดคุยพร้อมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อจะมาแก้ไขปัญหา ขอยืนยันว่า บ้านเมืองมีขื่อมีแป รัฐบาลพร้อมจะให้การช่วยเหลือ”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการดำเนินการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ จังหวัดน่าน ตามแนวทางที่กรมการปกครองและกระทรวงมหาดไทยกำหนด มีผู้ลงทะเบียนขอรับความช่วยเหลือ (ข้อมูล ณ วันที่ 22 ธ.ค.66) จำนวนลูกหนี้ 563 ราย จำนวนเจ้าหนี้ 518 ราย ยอดหนี้มูลค่ารวม 33,041,242 บาท ส่วนสาเหตุการเป็นหนี้ 5 อันดับแรก ได้แก่ ด้านอุปโภค 602 ราย ด้านการลงทุน 496 ราย ต่อเติมที่อยู่อาศัย 109 ราย ค่าเทอม 288 ราย และการพนัน 17 ราย

โดยจังหวัดน่าน กำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดไว้ ดังนี้ 1. กำหนดการเจรจาไกล่เกลี่ยได้อย่างน้อยร้อยละ 80 ของลูกหนี้ในระบบและเจ้าหนี้ตามฐานข้อมูล โดยสามารถตกลงกันได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 2. เจ้าพนักงานตำรวจสามารถดำเนินคดีได้ทั้งหมดร้อยละ 70 ของเรื่องรับดำเนินการ ระยะเวลาดำเนินการ หากเป็นสำนวนไม่ยุ่งยาก ดำเนินการเสร็จก่อน 3 เดือน กรณีมีความซับซ้อนไม่เกิน 3 เดือน 3. การให้ความช่วยเหลือทางการเงิน ซึ่งจะต้องได้รับการให้สินเชื่อโดยธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร มีเป้าหมายผู้ได้รับความช่วยเหลือไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 ของผู้ลงทะเบียน 4. ทุกอำเภอต้องดำเนินการไกล่เกลี่ยให้สำเร็จอย่างน้อย 1 กรณีตัวอย่าง (Best Practice) และ 5. กำหนดให้แก้ไขปัญหาในภาพรวมได้อย่างน้อย 10% ของผู้ลงทะเบียน ภายในวันที่ 31 ธ.ค.66

สำหรับผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาฯ ที่ผ่านมาของจังหวัดน่าน จากจำนวนลูกหนี้ที่ลงทะเบียนทั้งหมด 563 ราย ลูกหนี้เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ย 52 ราย คิดเป็น 32.70% ไกล่เกลี่ยสำเร็จ 4 ราย อยู่ระหว่างดำเนินการไกล่เกลี่ย 48 ราย และให้รัฐจัดหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ 28 ราย คิดเป็น 17.61% รวมผลการดำเนินการแก้ไข ให้ความช่วยเหลือแล้ว จำนวน 80 ราย คิดเป็น 50.31%

Advertisement

กำชับแนวทางมาตรฐานศูนย์ราชการสะดวก

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 22 ธันวาคม 2566 สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี – รองปลัดสปน.ให้ความรู้หลักเกณฑ์มาตรฐานศูนย์ราชการสะดวกประจำปี 67 หน่วยงานรัฐ-รัฐวิสาหกิจ เพิ่มมาตรฐาน ยกระดับบริการประชาชน “ สะดวก รวดเร็ว เข้าถึงง่าย”

นายมงคลชัย สมอุดร รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมชี้แจงทำความเข้าใจเกี่ยวกับหลักเกณฑ์มาตรฐานศูนย์ราชการสะดวก (GECC) ประจำปี 2567 โดยมีผู้บริหารของหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจร่วมประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ โดยนายชัยมงคล กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีเล็งเห็นถึงความสำคัญเกี่ยวกับการพัฒนาการให้บริการประชาชนของหน่วยงานรัฐและรัฐวิสาหกิจที่ต้องมีความสะดวก มีประสิทธิภาพและสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนที่มาติดต่อราชการ จึงได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการศูนย์ราชการสะดวก โดยมีนายสมศักดิ์เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ และนางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นรองประธานกรรมการ

รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะกรรมการอำนวยการศูนย์ราชการสะดวกมีหน้าที่และอำนาจ เพื่อมุ่งเน้นบริการประชาชน ให้สะดวก รวดเร็ว เข้าถึงง่าย ตามเจตนารมณ์ของรัฐบาลในการยกระดับการให้บริการแก่ประชาชนให้มีประสิทธิภาพด้วยอัธยาศัยไมตรี สร้างความเชื่อมั่นกับประชาชนต่อบริการของหน่วยงานรัฐทุกแห่ง และต้องการให้หน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจเข้าใจมาตรฐานศูนย์ราชการสะดวกผลักดันและพัฒนาการให้บริการประชาชนให้เป็นไปตามมาตรฐาน เพื่อให้ได้การรับรองมาตรฐานและรับตราสัญลักษณ์ศูนย์ราชการสะดวก ซึ่งเป็นเครื่องหมายแสดงให้ประชาชนทั่วไปได้รับรู้

“เชื่อมั่นว่าการเข้าใช้บริการในสถานที่แห่งนั้น จะได้รับความสะดวกรวดเร็วเข้าถึงง่าย โดยเฉพาะหน่วยงานที่มีงานบริการใกล้ชิดกับประชาชน โดยรางวัลที่หน่วยงานซึ่งผ่านการประเมินจะได้รับ คือตราสัญลักษณ์ศูนย์ราชการสะดวก แบ่งเป็น3 ระดับ คือ ระดับพื้นฐาน (สีฟ้า) คือให้บริการสะดวก รวดเร็ว เข้าถึงง่าย ระดับก้าวหน้า(สีเงิน) หรือเพิ่มเติมนวัตกรรมและเทคโนโลยีในการให้บริการ ระดับเป็นเลิศ (สีทอง) หรือเพิ่มเติมนวัตกรรมและเทคโนโลยีสำหรับให้บริการด้วยระบบดิจิทัล สะดวกทุกที่ทุกเวลา ซึ่งปีนี้ถือว่ามีความสำคัญสำหรับศูนย์ราชการสะดวก คณะกรรมการอำนวยการฯ ได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์ เพื่อให้ง่ายต่อการประเมินมากขึ้น โดยส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจจะเข้ารับการประเมินได้ง่ายขึ้น โดยยังคงยึดมาตรฐานเดิมคือยกระดับการพัฒนาให้บริการประชาชนให้สามารถเข้าถึงได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว” นายมงคลชัย กล่าว

รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะกรรมการอำนวยการได้พิจารณาเรื่องตัวชี้วัดบางประการ เพิ่มความง่ายในการประเมินเป็นการถอดบทเรียนปัญหาจากปีที่ผ่านมา ซึ่งปีที่ผ่านมาส่วนราชการและหน่วยงานรัฐวิสาหกิจเข้ารับการประเมินจำนวนมาก หลายหน่วยงานผ่านการประเมิน ระดับพื้นฐาน (สีฟ้า) และอยากจะได้ระดับที่สูงขึ้นคือสีเงิน รวมไปถึงระดับเป็นเลิศ (สีทอง) ดังนั้น หน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจ จะต้องยกระดับเรื่องเทคโนโลยีให้มากขึ้น เพื่อให้บริการประชาชนได้อย่างสะดวก รวดเร็วและทันสมัย ซึ่งเป็นแนวทางที่สำคัญของการยกระดับมาตรฐาน

“นายกรัฐมนตรีกำชับให้ส่งเสริมหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจยกระดับในการให้บริการประชาชน พร้อมเชิญชวนให้มาสมัครเข้ารับการประเมินรับรองมาตรฐานในการให้บริการของศูนย์ราชการสะดวก ซึ่งจะได้หรือไม่ได้ในปีนี้ไม่เป็นไร เพราะอย่างน้อย จะได้รู้ถึงหลักเกณฑ์การให้บริการประชาชนและจะทำให้รู้ถึงการบริการอย่างไรให้ประชาชนในการให้บริการของภาครัฐ อย่างไรก็ตาม ในระยะแรกต้องศึกษาทำความเข้าใจหลักเกณฑ์และวิธีการในการประเมิน ตัวชี้วัด การเตรียมตัวของหน่วยงานที่จะเข้ารับการประเมิน ทุกปีหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจให้ความสนใจที่จะเข้ารับการประเมินจำนวนมาก จากการรับฟังรายงานของหน่วยงานที่เข้าร่วมประชุมครั้งนี้ พบว่าปีนี้มีหน่วยงานราชการระดับจังหวัดส่วนราชการระดับกรม ราชการระดับกระทรวง ราชการในส่วนภูมิภาค สนใจเข้ารับฟังหลักเกณฑ์” นายมงคลชัย กล่าว

รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เตรียมความพร้อมทุกมิติในการออกไปประเมิน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกหน่วยงาน และในเบื้องต้นคณะกรรมการจะมีการคัดกรองข้อมูลของหน่วยงานที่จะเข้ารับการประเมิน ต้องดูว่าหน่วยงานไหนมีความพร้อมเป็นไปตามหลักเกณฑ์ก็จะจัดลำดับพร้อมลงพื้นที่ไปพิจารณาและตัดสินใจว่าหน่วยงานไหนจะได้รับตราสัญลักษณ์ศูนย์ราชการสะดวกในระดับใด โดยมีคณะอนุกรรมการลงพื้นที่ตรวจประเมินด้วยกัน 10 คณะ แบ่งเป็นภาคละ 2-3 คณะแล้วแต่ขนาดพื้นที่ ขอเชิญชวนหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจเตรียมความพร้อมเข้ารับการประเมินมาตรฐานการให้บริการของศูนย์ราชการสะดวก สามารถสมัครได้ตั้งแต่วันที่ 8 มกราคมถึง 29 กุมภาพันธ์ 2567 ผ่านช่องทางออนไลน์ www.psc.opm.go.th ส่วนหน่วยงานใดยังไม่พร้อมสามารถรับฟังหลักเกณฑ์เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับรอบต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การดำเนินงานของศูนย์ราชการสะดวกตั้งแต่ปี 2559 ถึงปี 2566 มีหน่วยงานของรัฐที่ได้การรับรองมาตรฐานในการให้บริการของศูนย์ราชการสะดวกแล้วจำนวน 3622 ศูนย์ในพื้นที่ 76 จังหวัดและกรุงเทพมหานครโดยการรับรอง มาตรฐานมีระยะเวลา 3 ปีนับตั้งแต่ปีที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ได้แก่ระดับเป็นเลิศ (สีทอง) จำนวน 18 ศูนย์ 15 หน่วยงาน ระดับก้าวหน้า(สีเงิน) จำนวน 426 ศูนย์ ระดับพื้นฐาน (สีฟ้า) จำนวน 3178 ศูนย์ ซึ่งผลตอบรับของประชาชนผู้รับบริการจากหน่วยงานเหล่านี้พบว่ามีความพึงพอใจอยู่ในระดับดีมากคิดเป็นร้อยละ 96.9

Advertisement

นายกฯ เที่ยวชมงานกาชาด ใช้จ่ายเงินสนับสนุนนับหมื่นบาท

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 14 ธันวาคม 2566 สวนลุมพินี  – นายกฯ ทัวร์งานกาชาด 100 ปี ณ สวนลุมพินี ใช้จ่ายเงินสนับสนุนนับหมื่นบาท พร้อมเชิญชวนประชาชนร่วมงาน

ค่ำวานนี้ (13 ธ.ค.66) เวลา 19.00 น. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง และคณะ ร่วมเดินงานกาชาด 100 ปี ประจำปี 2566 ภายใต้แนวคิด “รื่นรมย์สุขฤดี ณ ที่แห่งการให้” จัดโดยสภากาชาดไทย ระหว่างวันที่ 8-18 ธ.ค. 66 โดยนายกฯ เข้าเยี่ยมบูธมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก บูธของสภากาชาด มูลนิธิชัยพัฒนา และโครงการทหารพันธุ์ดี ร้านเหล่าทัพและสมาคมแม่บ้าน บูธกรุงเทพมหานคร บูธมหาวิทยาลัย (ธรรมศาสตร์ จุฬาฯ ม.กรุงเทพ ม.เกษตรศาสตร์) บูธสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม บูธองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก บูธกองบัญชาการกองทัพไทย รวมถึงบูธกองทัพและสมาคมแม่บ้านของสามเหล่าทัพและตำรวจ ได้ร่วมกิจกรรมสอยดาว ล้วงไข่สุ่ม ทำบุญลุ้นรางวัลใหญ่ เล่นเกมชิงรางวัลกิจกรรมกับบูธต่างๆ ร่วมทำบุญซื้อคูปองจับสลากลุ้นรางวัลหลายพันบาท แจกประชาชนนับสิบคน รวมทั้งอุดหนุนสลากบำรุงกาชาด ประจำปี 2566 ในหลายจุด

หลังจากนั้นนายกฯ เดินชมเลือกซื้อสินค้า OTOP สนับสนุนสินค้าไทย สร้างงานสร้างอาชีพให้ประชาชน โดยซื้อทั้งผ้าไหม กระเป๋า สินค้าเกษตรแปรรูป ซื้อสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม เพื่อร่วมอุดหนุนพ่อค้าแม่ค้า อาทิ น้ำมะพร้าวปั่น ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ใช้จ่ายและอุดหนุนกิจกรรมนับหมื่นบาท

นอกจากนี้นายกฯ ได้เยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทำความสะอาด กทม. เพื่อให้กำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยผู้คน แสงสี และความสนุกสนาน ประชาชนต่างเข้ามาทักท้ายให้กำลังใจและขอถ่ายรูปกับนายกฯ เป็นจำนวนมาก สุดท้ายนายกฯ ขอเชิญชวนประชาชนให้มาร่วมงาน งานกาชาด ประจำปี 2566

Advertisement

Verified by ExactMetrics