วันที่ 5 กรกฎาคม 2025

กระทรวงวัฒนธรรม ชู “เทศกาลงานประเพณี” 16 เทศกาล ส่งเสริมท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

People Unity News : กระทรวงวัฒนธรรม ชู “เทศกาลงานประเพณี” 16 เทศกาล ส่งเสริมท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ขับเคลื่อน “Soft Power” กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก

25 มีนาคม 65 นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้คัดเลือกงานเทศกาล/ประเพณี ที่มีความโดดเด่นในจังหวัดต่างๆ ที่สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด (สวจ.) กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันคัดเลือก เป็นงานเทศกาลและประเพณี 16 กิจกรรม เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ประเทศ ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม สร้างเศรษฐกิจฐานราก สร้างงาน สร้างรายได้แก่ชุมชน

งานเทศกาลและประเพณีจำนวน 16 เทศกาล จะจัดขึ้นในระหว่างเดือนเมษายน – กันยายน 2565 ประกอบด้วย

📌 เดือนเมษายน 4 เทศกาล ได้แก่ 1.ประเพณีแห่สลุงหลวง สืบสานกลองใหญ่ ปีใหม่เมืองนครลำปาง จ.ลำปาง 2. ประเพณีภูไทรำลึก จ.สกลนคร 3.ประเพณีปอยส่างลอง จ.แม่ฮ่องสอน 4. ประเพณีแห่ช้างบวชนาคไทยพวน บ้านหาดเสี้ยว จ.สุโขทัย

📌 เดือนพฤษภาคม 3 กิจกรรม ได้แก่ 1. ประเพณีบวชนาคบนหลังช้าง จ.สุรินทร์ 2. ประเพณีเวียนเทียนทางน้ำกลางกว๊านพะเยา จ.พะเยา 3. ประเพณีสืบสานงานนมัสการหลวงพ่อพระสุก จ.ยโสธร

📌เดือนมิถุนายน 2 กิจกรรม ได้แก่ 1. เทศกาลเสน่ห์ชุมชน ยลวิถีย่านเมืองเก่า“วิวาห์บาบ๋าภูเก็ต” จ.ภูเก็ต 2. มหกรรมสืบสานตำนานวันสุนทรภู่ กวีเอกของโลก

📌เดือนกรกฎาคม 4 กิจกรรม ได้แก่ 1. ประเพณีแห่ผ้าพระราชทานในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ห่มพระบรมธาตุสวี จ.ชุมพร 2. ประเพณีบูชาพระธาตุ ย้อนรอยประวัติศาสตร์เมืองคนดี จ.สุราษฎร์ธานี 3. ประเพณีสืบสานวัฒนธรรมสี่เผ่าไทศรีสะเกษ จ.ศรีสะเกษ 4. ประเพณีห่มผ้าพระนอน จ.อ่างทอง

📌เดือนสิงหาคม 3 กิจกรรม ได้แก่ 1. เทศกาลหนังใหญ่วัดขนอน จ.ราชบุรี  2. ประเพณีทิ้งกระจาด จ.สุพรรณบุรี  3. มหกรรมสืบสานพหุวัฒนธรรม งานของดีเมืองนรา จ.นราธิวาส

การจัดงานเทศกาลและประเพณีทั้ง 16 เทศกาล เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากในจังหวัด ช่วยให้มีนักท่องเที่ยวทั้งในพื้นที่ จังหวัดใกล้เคียง นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเพิ่มมากขึ้น เกิดการสร้างรายได้ให้แก่ชุมชน ผู้ประกอบการ ผู้ให้บริการด้านการท่องเที่ยว อาหาร ที่พัก การเดินทาง ศิลปินพื้นบ้าน ผลิตภัณฑ์และบริการทางวัฒนธรรมสูงยิ่งขึ้น

Advertising

7 กระทรวง บูรณาการยกระดับขับเคลื่อนการพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิตให้มีศักยภาพสูง

People Unity News : ประยุทธ์ เป็นประธานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงบูรณาการความร่วมมือ 7 กระทรวง ยกระดับการขับเคลื่อนพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิตให้มีศักยภาพสูง ย้ำ รัฐบาลให้ความสำคัญพัฒนากำลังคนของชาติทุกช่วงวัย เน้นแนวทาง 5H/4S พัฒนาคนตลอดช่วงชีวิต ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

วันนี้ (24 มีนาคม 2565) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงการบูรณาการความร่วมมือ 7 กระทรวง : การพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิต (กลุ่มเด็กปฐมวัย และผู้สูงอายุ) พ.ศ. 2565–2569 ระหว่างรัฐมนตรี 7 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุข โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และ ศาสตราจารย์ ดร.สัมพันธ์ ฤทธิเดช เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เข้าร่วม

จากนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ด้วยการพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิต” ว่า ทรัพยากรมนุษย์เป็นหัวใจของการพัฒนาประเทศ รัฐบาลจึงให้ความสำคัญกับการพัฒนากำลังคนของชาติในทุกช่วงวัยเป็นอย่างยิ่ง เพราะทุกคนเป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศอย่างรอบด้าน ซึ่งการพัฒนาเด็กปฐมวัยนับเป็นรากฐานขั้นต้นที่ต้องได้รับการเติมเต็มศักยภาพ พัฒนาการเรียนรู้อย่างรอบด้าน และเท่าเทียมในทุกมิติ ซึ่งเด็กทุกคนมีพรสวรรค์ ต้องค้นหาให้เจอ เพื่อนำสิ่งที่มีมาพัฒนาเติมเต็มศักยภาพ จึงนับเป็นความท้าทายสำหรับทุกหน่วยงานในการติดตามกำกับดูแล และเอาใจใส่ เพื่อให้เด็กเติบโตมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลง โดยเริ่มตั้งแต่พ่อแม่ ครอบครัว โรงเรียน สังคม ร่วมปลูกฝังให้เด็กมีจิตสำนึกที่ดี เผื่อแผ่ แบ่งปัน นำไปสู่การเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพของสังคม และต้องสร้างทัศนคติที่ดีของคนในสังคมที่มีต่อผู้สูงอายุ เพราะบุคคลกลุ่มนี้เป็นบุคลากรที่มีศักยภาพ สามารถพึ่งพาตนเองได้ และยังเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาประเทศที่สามารถขับเคลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ เพื่อความพร้อมในการก้าวเข้าสู่ประเทศสังคมสูงวัยได้อย่างเต็มภาคภูมิ ซึ่งการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่าง 7 กระทรวงในวันนี้ นับเป็นการบูรณาการเชื่อมโยงการทำงานตามนโยบายของรัฐบาลและแผนยุทธศาสตร์ต่าง ๆ สู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งยังเป็นการยกระดับการขับเคลื่อนการพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิตให้มีศักยภาพสูง มีความพร้อมต่อการดำเนินชีวิตในศตวรรษที่ 21 และเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติ

นายกรัฐมนตรี ยังได้เน้นย้ำถึงแนวทางการพัฒนาผู้สูงอายุ 4S ประกอบด้วย 1. Social Participation ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในสังคม 2. Social Security ส่งเสริมความมั่นคง ปลอดภัย 3. Strong Health ส่งเสริมสุขภาพให้แข็งแรง และ 4. Smart Digital and Innovation ส่งเสริมเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมอย่างชาญฉลาด รวมทั้งการพัฒนาเด็กปฐมวัย 5H ประกอบด้วย 1. Heart จิตใจดี มีวินัย 2. Head เก่งคิด วิเคราะห์เป็น 3. Hand ใฝ่เรียนรู้ มีทักษะ 4. Health สุขอนามัยดี สุขภาพแข็งแรง และ 5. Hi-tech ทันสมัย ก้าวหน้า รู้เท่าทันเทคโนโลยี เพื่อให้เด็กมีการเจริญเติบโตเต็มศักยภาพ พัฒนาการสมวัย มีคุณภาพชีวิตที่ดี ได้รับบริการและคุ้มครองอย่างทั่วถึงเท่าเทียมตามมาตรฐาน ภายใต้กรอบการบูรณาการความร่วมมือการพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิต โดยทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันสร้างการรับรู้ สร้างความเข้าใจเพื่อก่อให้เกิดความร่วมมือในการพัฒนาให้บรรลุเป้าหมาย ร่วมกันสร้างหลักคิดที่ถูกต้อง สร้างความรัก ความสามัคคี รวมทั้งการเปิดช่องทางให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการบริการภาครัฐให้ได้อย่างเพียงพอ ทั่วถึง เพื่อให้ประชาชนอยู่รอด พ้นกับดักรายได้ปานกลาง อย่างพอเพียง และยั่งยืน

Advertising

ธอส.เดินหน้าโครงการบ้านล้านหลังระยะที่ 2 ต่อเนื่อง ล่าสุดอนุมัติสินเชื่อแล้วเกือบ 1 หมื่นล้านบาท

People Unity News : ธอส.เดินหน้าโครงการบ้านล้านหลังระยะที่ 2 ต่อเนื่อง ล่าสุดอนุมัติสินเชื่อแล้วเกือบ 1 หมื่นล้านบาท

22 มี.ค. 2565 นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ตามที่ ธอส. ได้จัดทำโครงการบ้านล้านหลัง ระยะที่ 2 ตามนโยบายรัฐบาลของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ต้องการช่วยเหลือประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบสถาบันการเงิน ผู้ที่เริ่มต้นทำงานเพื่อสร้างครอบครัว และผู้สูงอายุ ให้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้ง่ายขึ้นด้วยผลิตภัณฑ์สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำและผ่อนปรนเงื่อนไขภายใต้กรอบวงเงินรวม 20,000 ล้านบาท สำหรับซื้อที่อยู่อาศัยในระดับราคาซื้อ-ขายไม่เกิน 1,200,000 บาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4 ปีแรกเท่ากับ 1.99% ต่อปี โดยลงทะเบียนผ่าน Mobile Application : GHB ALL เพื่อรับรหัสสำหรับเข้าร่วมโครงการทาง GHB Buddy บน Application Line ล่าสุด ณ วันที่ 21 มีนาคม 2565 มีลูกค้าติดต่อยื่นกู้ที่สาขาของธนาคารทั่วประเทศแล้วจำนวน 12,696 ราย วงเงินสินเชื่อ 11,195 ล้านบาท และ ธอส. ได้อนุมัติสินเชื่อเพื่อสานฝันให้ลูกค้าได้มีบ้านเป็นของตนเองสำเร็จไปแล้วกว่า 11,500 ราย วงเงินสินเชื่อ 9,850 ล้านบาท

“รัฐบาลให้ความสำคัญกับการสร้างความสุขและความอบอุ่นในครอบครัว จึงมอบหมายให้ ธอส. จัดทำโครงการบ้านล้านหลัง ระยะที่ 2 เพื่อเพิ่มโอกาสให้ประชาชน โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยได้มีบ้านเป็นของตนเอง ด้วยผลิตภัณฑ์สินเชื่อบ้านที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำที่สุดในตลาดที่เพียงแค่ 1.99% ต่อปี กรณีกู้ 1.2 ล้านบาท ซึ่งผ่อนชำระได้นานสูงสุดถึง 40 ปี ทำให้ลูกค้าชำระเงินงวดเพียงแค่ 5,000 บาท เป็นเวลานานถึง 7 ปีแรก และด้วยการผ่อนปรนเงื่อนไขของโครงการ ทำให้กรณีผู้กู้มีรายได้สุทธิต่อเดือน 10,000 บาท ก็จะทำให้ได้รับวงเงินกู้สูงสุดจำนวน 1.2 ล้านบาท” นายฉัตรชัย กล่าว

ทั้งนี้ ประชาชนที่สนใจยังสามารถลงทะเบียนผ่าน Mobile Application : GHB ALL เพื่อเข้าร่วมโครงการได้อย่างต่อเนื่อง เพราะโครงการบ้านล้านหลัง ระยะที่ 2 จะสิ้นสุดยื่นคำขอกู้และทำนิติกรรมในวันที่ 30 ธันวาคม 2566 หรือ เมื่อมีลูกค้าได้รับอนุมัติสินเชื่อและทำนิติกรรมเต็มกรอบวงเงิน 20,000 ล้านบาท สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ ที่ G H Bank Call Center โทร 0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และติดตามข้อมูลข่าวสารของธนาคารได้ที่ Mobile Application : GHB ALL และ www.ghbank.co.th

Advertising

ศบค.ปรับเพิ่มพื้นที่สีเหลือง-ฟ้า เริ่ม 1 เม.ย. 65 และคงมาตรการป้องกันควบคุมโรคแบบบูรณาการ

People Unity News : วันนี้ (18 มี.ค 65) เวลา 09.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ 5/2565

ที่ประชุม ศบค. เห็นชอบการปรับระดับพื้นที่สถานการณ์ ตั้งแต่ 1 เมษายน 2565 และคงมาตรการป้องกันควบคุมโรคแบบบูรณาการ

– ปรับระดับพื้นที่ควบคุม จาก 44 จังหวัด เป็น 20 จังหวัด -พื้นที่เฝ้าระวังสูง จาก 25 จังหวัดเป็น 47 จังหวัด -พื้นที่นำร่องท่องเที่ยวจาก 8 จังหวัดเป็น 10 จังหวัด คือ กรุงเทพมหานคร กาญจนบุรี กระบี่ ชลบุรี เชียงใหม่ นนทบุรี ปทุมธานี พังงา เพชรบุรี ภูเก็ต (จังหวัดอื่นดำเนินการบางพื้นที่) พื้นที่นำร่องการท่องเที่ยว ใช้มาตรการเช่นเดียวกับพื้นที่เฝ้าระวัง

– คงมาตรการบริโภคเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ในร้านอาหาร สำหรับพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยว และพื้นที่เฝ้าระวังสูง คงมาตรการจำกัดเวลาในการบริโภคเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ไม่เกิน 23.00 น. คงมาตรการจำกัดประเภทร้านอาหารที่บริโภคเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ได้ต้องเป็นร้านอาหารที่ผ่าน SHA+ หรือ Thai Stop COVID 2-Plus เท่านั้น และตามมาตรการ COVID Free Setting

-Work From Home ให้เป็นไปตามความเหมาะสม และการพิจารณาของหน่วยงาน

โดยมอบหมาย มท. และคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด/กทม. ตรวจประเมินสถานบริการฯ ร้านอาหาร และกำกับติดตามตามมาตรการอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งแนะนำให้หน่วยงาน และสถานประกอบการ เตรียมพร้อมมาตรการ Work From Home หลังช่วงเทศกาลสงกรานต์

Advertising

ผู้ช่วย ผบ.ตร. สั่งตำรวจลงพื้นที่ตรวจสอบการแจกจ่ายสลากกินแบ่งฯ กันนายทุนส่งหน้าม้ารับโควต้า

People Unity News 18 มีนาคม 2565 พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. สั่งกองบังคับการสืบสวนสอบสวนทั่วประเทศ ลงพื้นที่ตรวจสอบความผิดปกติการแจกจ่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลให้แก่ผู้มีสิทธิ์ ณ ที่ทำการไปรษณีย์ทั่วประเทศ และตรวจสอบแผงขายสลากกินแบ่งรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง หากพบการทำผิดเงื่อนไขของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล จะเสนอตัดโควตาผู้ได้รับสิทธิต่อไป

ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ต้องการแก้ไขปัญหาให้แก่พี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากการขายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา โดย นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ในฐานะประธานคณะทำงานเฉพาะกิจตรวจสอบผู้ค้าสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา ได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะรองประธานคณะทำงาน เป็น หัวหน้าชุดปฏิบัติการ ดำเนินการ ให้เป็นไปตามนโยบายดังกล่าว และได้มีการประชุมคณะทำงานเฉพาะกิจตรวจสอบผู้ค้าสลากกินแบ่งรัฐบาลเสนอขายหรือขายสลากกินแบ่งรัฐบาลในราคาเกินกว่าที่กำหนดในสลากกินแบ่งรัฐบาล ครั้งที่ 2/2565 ในวันนี้ (18 มี.ค.65) เวลา 13.30 น. ณ สำนักงาน ก.พ. นั้น

พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. กล่าวว่า ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนทั่วประเทศ ลงพื้นที่ตรวจสอบการแจกจ่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลให้แก่ผู้มีสิทธิ์ ณ ที่ทำการไปรษณีย์เป้าหมาย ที่มีการลงทะเบียนของผู้มีสิทธิ์รับสลากเป็นจำนวนมาก ของงวดวันที่ 16 มี.ค.65 จำนวน 40 แห่งทั่วประเทศ ผลการตรวจสอบพบว่าเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ได้ตรวจสอบเอกสารหลักฐานต่างๆ จากผู้มีสิทธิรับสลากอย่างเคร่งครัด หากไม่ได้มารับด้วยตนเอง ต้องมีหนังสือมอบอำนาจพร้อมบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านฉบับจริงมาแสดงเท่านั้น รวมผู้มีสิทธิรับสลาก 47,398 ราย มารับด้วยตนเอง 37,559 ราย ได้รับมอบอำนาจ 8,628 ราย และยังไม่ได้มารับ 1,211 ราย จากการตรวจสอบ พบพฤติกรรมกลุ่มนายทุนที่มารับซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลจากผู้มีสิทธิ์ ณ ที่ทำการไปรษณีย์บางขุนเทียน กรุงเทพฯ และพื้นที่ใกล้เคียงของไปรษณีย์เอราวัณ จ.เลย แต่เมื่อพบเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ กลุ่มนายทุนจึงได้สลายตัวไป ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการสืบสวนต่อไป จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจลงพื้นที่ตรวจสอบการแจกจ่ายสลากสำหรับงวดวันที่ 1 เม.ย.65 อย่างต่อเนื่องต่อไป โดยให้เพิ่มจำนวนที่ทำการไปรษณีย์เป้าหมาย ที่มีการลงทะเบียนของผู้มีสิทธิ์รับสลากเป็นจำนวนมาก เพื่อลงพื้นที่ตรวจสอบ จาก 40 แห่ง เป็น 95 แห่งทั่วประเทศ นอกจากนี้ในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนทั่วประเทศ ลงพื้นที่ตรวจสอบแผงขายสลากกินแบ่งรัฐบาลแล้ว 764 เป้าหมาย ผลการตรวจสอบพบกรณีผู้ที่ได้รับสิทธิฯ นำไปขายช่วงให้แก่ผู้อื่น หรือนำไปจำหน่ายเกินราคา จำนวนหลายรายในหลายพื้นที่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รวบรวมพยานหลักฐาน และส่งข้อมูลในทางสืบสวนให้แก่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เพื่อตัดโควตาผู้ได้รับสิทธิฯ ในส่วนการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ได้ตรวจพบว่ามีการจำหน่ายเกินราคา ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจประสานงานกับสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข กล่าวต่อว่า ราคาสลากกินแบ่งรัฐบาลในตลาด ณ ปัจจุบัน มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในส่วนนี้ได้สร้างความเดือดร้อนให้แก่พี่น้องประชาชนที่ต้องซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลที่เกินราคาที่กำหนด ซึ่งตามนโยบายของท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ต้องการจะแก้ไขความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนให้เกิดขึ้นโดยเร็ว ดังนั้น จึงขอประชาสัมพันธ์ และขอความร่วมมือผู้ที่ได้รับสิทธิฯ และผู้ที่จำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา ให้รักษาสิทธิของตนเอง โดยการดำเนินการให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่ทำไว้กับสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เพราะหากทำผิดเงื่อนไข สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลจะดำเนินการตัดสิทธิโควตาที่ได้รับทันที

Advertising

ธอส.ให้กำลังใจ อสม. จัดให้ “สินเชื่อบ้านอยู่ดีมีสุขครอบครัว อสม.” ผ่อนเริ่มต้น 2,900 บ./เดือน

People Unity News : ข่าวดี อสม.อยากมีบ้าน ธอส. จัดให้! สินเชื่อบ้านอยู่ดีมีสุขครอบครัว อสม. ผ่อนเริ่มต้น 2,900 บ./เดือน

17 มีนาคม 2565 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือ ธอส. เตรียมวงเงิน 500 ล้านบาท จัดทำ “โครงการบ้านอยู่ดีมีสุขครอบครัว อสม.” เพื่อให้อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน หรือ อสม. ที่มีที่ดินปลอดภาระหนี้ ก่อสร้างบ้าน วงเงินกู้ต่อรายไม่เกิน 700,000 บาท อัตราดอกเบี้ย 1.99% ต่อปี (4 ปีแรก) ระยะเวลาการกู้สูงสุด 40 ปี กรณีกู้ 700,000 บาท ผ่อนชำระเริ่มต้นเพียง 2,900 บาทต่อเดือน

สามารถยื่นขอสินเชื่อได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ฟรีค่าธรรมเนียม 4 ประเภท ประกอบด้วย ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ ค่าประเมินราคาหลักประกัน ค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม และค่าจดทะเบียนนิติกรรมจำนอง เพียงยื่นกู้และทำนิติกรรมภายในวันที่ 30 ธ.ค. 66

สมาชิก อสม. ที่ต้องการขอสินเชื่อดังกล่าว สามารถลงทะเบียนแสดงความจำนงที่ประธานกลุ่ม อสม. ในแต่ละพื้นที่ และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ G H Bank Call Center โทร. 0-2645-9000 หรือที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ

Advertising

“หมอยง” ชี้บทเรียนต่อสู้โควิด 2 ปีที่ผ่านมา คือ fake news, shock news, bully ความจริงแค่ 20%

People Unity News : “หมอยง” ชี้บทเรียนต่อสู้กับโควิด 2 ปีที่ผ่านมา คือ fake news, shock news, bully มีความจริงแค่ 20% ปั่นจนสังคมสับสน เสียหาย แนะปลูกฝังหลักการเหตุผลตั้งแต่เด็ก ป้องกันหลงเชื่อ

14 มี.ค.2565. ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะด้านไวรัสวิทยา คลินิกภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า โควิด 19 การต่อสู้ที่สำคัญ คือ Fake news, ข่าวร้าย (shock news, breaking news) และการให้ร้าย รังแก bully

บทเรียนสำคัญในการต่อสู้กับโรคระบาดร้ายแรงใน 2 ปีที่ผ่านมา สิ่งที่สำคัญที่สุด คือการให้ข้อมูลที่ไม่เป็นจริง fake news, ข่าวร้าย shock news ข้อมูลที่สร้างความสับสน โดยเฉพาะข้อมูลมีความจริงเพียง 20% แล้วใส่ความเห็น โน้มน้าว ไม่ได้อยู่บนฐานของความเป็นจริง มีข่าวที่ไม่เป็นจริง และมีการส่งต่ออันมากมายบนสื่อสังคมในยุคปัจจุบันที่แพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว และเมื่อความจริงปรากฏ ก็ไม่มีใครตามไปแก้ข่าว

ข้อมูลดังกล่าวถ้าได้รับฟังซ้ำๆ เชื่อเลย หลายคนคงจะเชื่อ เรื่องของโรคโควิด วัคซีนในการใช้ป้องกัน ทำให้เราเสียโอกาสไปมาก

การให้ข่าวร้าย ที่เรียกว่า shock news ทั้งที่อาจจะมีความจริงเพียง 10 ถึง 20 %

การทำวิจัยเบื้องต้นมาก จะทำให้เกิดอาการหวาดกลัว เกิดขึ้น และมีผลต่อจิตใจอย่างมาก (traumatic stress) เป็นอันตรายมากต่อ ร่างกาย สังคม และเศรษฐกิจ

การให้ร้าย รังแก (bully) บนสื่อสังคม จะมีให้เห็นทุกวัน ในสื่อสังคม

ในการทำงาน จะต้องมีความหนักแน่น ยึดมั่นในความซื่อสัตย์ อดทน และในที่สุดความจริงก็ปรากฏ แต่ในบางครั้งก็อดเสียดาย เสียโอกาส ในการแก้ไขต่อสู้กับโรคร้าย ได้ทันท่วงที

“สิ่งที่สำคัญ จะต้องมีการเรียนการสอน ตั้งแต่วัยเด็ก ในการเรียนรู้ สร้างความเข้าใจ ไม่ให้เชื่อในสิ่งที่ไม่ได้มีการพิสูจน์ หลักการเหตุผล พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ สิ่งไหนจริงสิ่งไหนปลอม ต้องแยกวิเคราะห์ให้ได้ การส่งต่อข้อความข้อมูล จะต้องมั่นใจว่า มีแหล่งที่มาอย่างถูกต้อง ข้อมูลนั้นจะต้องถูกต้องและเชื่อถือได้” นพ.ยง เสนอแนะ

ในกว่า 2 ปีที่ผ่านมา ได้ผ่านบทเรียน เป็นจำนวนมาก ที่สอนให้เรามีใจหนักแน่น อดทน มุ่งมั่นหาความรู้ สร้างองค์ความรู้ใหม่ เพื่อต่อสู้กับโรคภัยที่อุบัติใหม่ ไม่ให้เชื่ออะไรง่ายๆ ที่ส่งกันมา บนสื่อสังคม

Advertising

ยะลาชุบชีวิต “ต้าสวุ่ยต้อ” จากอุโมงค์หลบภัย สู่แหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่

People Unity News : ยะลาชุบชีวิต “ต้าสวุ่ยต้อ” จากอุโมงค์หลบภัย สู่แหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่

12 มี.ค. 2565 กรมป่าไม้ และ ศอ.บต. ดำเนินโครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศและประวัติศาสตร์ อุโมงค์ใหญ่ “ต้าสวุ่ยต้อ” ป่าสงวนแห่งชาติ อ.เบตง จ.ยะลา ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์แก่คนรุ่นหลังและนักท่องเที่ยวที่สนใจ เริ่มดำเนินการตั้งแต่ ต.ค. 64 – ก.ย. 67 โดยจะเสนอ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กห. เพื่อทราบ ในพิธีเปิดเที่ยวบินปฐมฤกษ์ ดอนเมือง – เบตง วันจันทร์ที่ 14 มี.ค. 65

อุโมงค์ใหญ่ “ต้าสวุ่ยต้อ” ขุดด้วยแรงคนและใช้งานในสมัยการสู้รบระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์มลายากับรัฐบาลมาเลเซีย ช่วงปี พ.ศ. 2491 – 2532 เพื่อเป็นที่หลบภัยทางอากาศ มีการขุดเจาะหลายสิบอุโมงค์ทางเข้าออกหลายทางเชื่อมโยงถึงกันคล้ายใยแมงมุม มีห้องนอนและพื้นที่ปฏิบัติการ เช่น สถานีวิทยุ ห้องเก็บเสบียง ฯลฯ นับเป็นการก่อสร้างจากฝีมือมนุษย์ที่ชาญฉลาด

Advertising

เอาแล้ว!!นายกฯกำชับตำรวจสอบคดี “แตงโม” รอบด้าน โปร่งใส ตรงไปตรงมา ตอบข้อสงสัยสังคม

People Unity News : ประยุทธ์ กำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนคดี “กรณีแตงโม” รอบด้าน อย่างโปร่งใส ตรงไปตรงมา เพื่อตอบข้อสงสัยของสังคม

วันนี้ (11 มี.ค. 65) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจ พนักงานสอบสวน เร่งรัดคดีการเสียชีวิตของนางสาวนิดา พัชรวีระพงษ์  “แตงโม” โดยเร่งสืบสวนทุกข้อสงสัย อย่างรอบคอบ ตามหลักวิทยาศาสตร์ ที่สำคัญต้องโปร่งใส ด้วยกระบวนการทางนิติวิทยาศาสตร์  พร้อมให้กำลังใจการทำงานของเจ้าหน้าที่  โดยให้ยึดข้อกฎหมาย วิชาชีพและให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย

“นายกรัฐมนตรียังเตือนให้ประชาชน ที่ต้องดำเนินกิจกรรมที่จะมีการรวมกลุ่มขนาดใหญ่ในสถานที่ต่างๆ อย่างพิธีไว้อาลัยของ “แตงโม” ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 11 – 13 มีนาคม 2565 ณ คริสตจักรเสรีภาพกรุงเทพ เย็นวันนี้เป็นวันแรก ทราบว่าจะมีผู้ร่วมงานวันละ 1,000 คน ก็ขอให้มีความระมัดระวังปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข Universal Prevention อย่างเคร่งครัด เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19  ต่อไป” นายธนกร กล่าว

Advertising

ครม.อนุมัติงบ 107 ลบ. โครงการอาชีวะ ฝีมือชน พัฒนากำลังคนชายแดนใต้ นักเรียนด้อยโอกาส

11367069 - yala, thailand - december 3: unidentified students attend for religious seminar in religious seminar for thai king's birthday on dec 3, 2011 at youth center yala, thailand

People Unity News : ครม.อนุมัติกว่า 107 ล้านบาท โครงการอาชีวะ ฝีมือชน พัฒนากำลังคนชายแดนใต้ สร้างทักษะอาชีพที่มั่นคงแก่นักเรียนด้อยโอกาส

9 มี.ค. 2565 ที่ประชุม ครม. วานนี้ (8 มี.ค. 65) ครม.อนุมัติโครงการอาชีวะ ฝีมือชน พัฒนากำลังคนชายแดนใต้ กรอบวงเงินงบประมาณ 107.6 ล้านบาท มีระยะเวลาดำเนินโครงการตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ.2564 – 2568 ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องเพื่อช่วยเหลือนักเรียนด้อยโอกาสในเขตพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ได้เรียนรู้วิชาชีพและสร้างทักษะประกอบอาชีพที่มั่นคง

โครงการอาชีวะ ฝีมือชน พัฒนากำลังคนชายแดนใต้นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ช่วยเหลือนักเรียนด้อยโอกาสและครอบครัวผู้มีรายได้น้อย 2)สร้างโอกาสให้เยาวชนในเขตพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ได้เรียนรู้วิชาชีพอย่างมีคุณภาพ 3)ลดความเหลื่อมล้ำทางด้านการศึกษาและสร้างแรงจูงใจให้เยาวชนได้มีโอกาสสร้างทักษะในการประกอบอาชีพที่มั่นคง โดยดำเนินการในลักษณะการจัดตั้งโรงเรียนประจำในสถานศึกษาสังกัด สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ในพื้นที่จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดนราธิวาส และจังหวัดสงขลา ในอำเภอจะนะ อำเภอเทพา อำเภอนาทวี และอำเภอสะบ้าย้อย รวม 4 แห่ง ได้แก่ 1)วิทยาลัยเทคนิคกาญจนาภิเษกปัตตานี 2)วิทยาลัยอาชีวศึกษายะลา 3)วิทยาลัยการอาชีพสุไหง-โกลก และ 4)วิทยาลัยเทคนิคจะนะ สำหรับกลุ่มเป้าหมายของโครงการจะเปิดรับนักเรียน/นักศึกษาในระดับ ปวช. จำนวน 135 คนต่อชั้นเรียน และระดับ ปวส. จำนวน 247 คนต่อชั้นเรียน ซึ่งเป็นนักเรียน/นักศึกษาที่ยากจน ถูกทอดทิ้ง ไม่มีผู้อุปการะ และได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมีคุณสมบัติ อาทิ 1)ครอบครัวมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี โดยใช้ข้อมูลจากผู้ที่ลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อยเพื่อรับสวัสดิการของรัฐ 2)เป็นนักเรียนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ 3)มีภูมิลำเนาในจังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดนราธิวาส และจังหวัดสงขลา ในอำเภอจะนะ อำเภอเทพา อำเภอนาทวี และอำเภอสะบ้าย้อย

โครงการนี้จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและสร้างโอกาสให้นักเรียนด้อยโอกาสในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ศึกษาต่อด้านวิชาชีพอย่างทั่วถึงและมีทักษะประกอบอาชีพที่มั่นคง ทั้งนี้ ผลการดำเนินโครงการในปีงบประมาณ พ.ศ.2561 – 2563 ที่ผ่านมา มีนักเรียน/นักศึกษาเข้าร่วมโครงการรวมทั้งสิ้น 858  คน แบ่งเป็นระดับ ปวช .จำนวน 318 คน และระดับ ปวส.จำนวน 540 คน ซึ่งได้รับความสนใจจากประชาชนในพื้นที่เพิ่มมากขึ้น

Advertising

Verified by ExactMetrics