วันที่ 19 มีนาคม 2024

อย่าหลงเชื่อมิจฉาชีพแอบอ้างเป็น AOC 1441 หลอกสูญเงิน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์  : 26 กุมภาพันธ์ 2567 ทำเนียบ – รองโฆษกรัฐบาล ย้ำเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อมิจฉาชีพแอบอ้างเป็น AOC 1441 หลอกลวงสูญเสียเงิน

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ย้ำเตือนประชาชนอย่าหลงกล ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ แอบอ้างใช้ชื่อ AOC 1441 ในการสร้าง Page Facebook หรือ Line Official ปลอมเพื่อหลอกลวงประชาชน

นายคารม กล่าวว่า AOC 1441 เป็นศูนย์ One Stop Service จัดตั้งโดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อแก้ปัญหาการหลอกลวงทางออนไลน์สำหรับประชาชน มีการจัดตั้ง War-room เพื่อดำเนินการด้านคดีให้กับประชาชนแบบเร่งด่วน ปัจจุบันศูนย์ AOC 1441 มีช่องทางติดต่อเดียวเท่านั้น คือสายด่วน 1441 โดยสามารถติดต่อได้ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มี Page Facebook หรือ Line Official เป็นช่องทางการติดต่อแต่อย่างใด

“ศูนย์ AOC มีเป้าหมายการจัดตั้งเพื่อระงับหรืออายัด บัญชีของคนร้ายให้แก่ผู้เสียหายที่ถูกหลอกได้ทันทีใน 1 ชั่วโมง ติดตามสถานการณ์แก้ไขปัญหาให้ผู้เสียหายทุกขั้นตอนได้ทันที รวมถึงเร่งการติดตามการคืนเงินให้แก่ผู้เสียหาย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจับกุม ดำเนินคดี และการขยายผลคดี หากประชาชนท่านใดตกเป็นเหยื่อโจรออนไลน์ สามารถแจ้งความผ่านระบบรับแจ้งความออนไลน์ (เฉพาะคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี) ที่เว็บไซต์นี้เท่านั้น www.thaipoliceonline.go.th หรือต้องการความช่วยเหลือ ขอคำปรึกษา ได้ที่สายด่วน 1441 ตลอด 24 ชั่วโมง” นายคารม กล่าว

Advertisement

นายกฯ ชม “ผู้ว่า กทม.” ทำงานดีแต่ต้องพีอาร์มากขึ้น

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 23 กุมภาพันธ์ 2567 ศาลาว่าการ กทม. – นายกฯ เยือนศาลาว่าการ กทม. นั่งหัวโต๊ะประชุมพัฒนา กทม. ชม “ชัชชาติ” ทำงานดี แต่ต้องประชาสัมพันธ์เพิ่ม นอกจากสร้างความเข้าใจ ปชช.แล้ว ยังจูงใจ นทท.ด้วย

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานการประชุมติดตามความก้าวหน้าในการเร่งรัดการพัฒนากรุงเทพมหานคร ณ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ร่วมกับนางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. โดยนายกรัฐมนตรีรับฟังการบรรยายสรุปการประชุมติดตามการเร่งพัฒนากรุงเทพมหานคร จาก นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร

ผู้ว่าฯกทม. กล่าวว่า ขณะนี้ได้เร่งให้เป็นไปตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล เช่น การขับเคลื่อนพัฒนากรุงเทพฯ การจัดการสาธารณูปโภคพื้นฐานและการจัดการด้านสังคม กับเรื่องเศรษฐกิจ ได้แก่  การแก้ปัญหาการจราจร โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย  การพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะที่ยังไม่ครอบคลุม ซึ่งด้านจราจร ถือว่าเป็นปัญหาที่มีมาอย่างยาวนาน เบื้องต้นจะกวดขันวินัยจราจร ติดตั้งกล้อง CCTV การปรับปรุงจุดที่เป็นคอขวดและงานก่อสร้าง ซึ่งมีหลายจุดในกรุงเทพฯ

นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณที่นำเสนอข้อมูลอย่างชัดเจน กรุงเทพฯ ถือเป็นแหล่งความเจริญสำคัญ แต่ยอมรับว่าการดำเนินการทุกอย่างขณะนี้ ยังขาดการสนับสนุนจากหลายหน่วยงาน จึงอาจจะยังไม่รวดเร็วทันใจ แต่หลายคนมีฝีมือและทำงานได้ดีในการเร่งพัฒนาหลายด้าน ต่อจากนี้อยากเห็นในหลาย ๆ หน่วยงานมาร่วมกันผลักดัน ซึ่งหากมีอะไรติดขัดนั้นสามารถให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีรับทราบและเร่งประสานกันสนับสนุนต่อไปได้

“สำหรับปัญหาการจราจร ยอมรับว่าประสบปัญหามานาน ที่ผ่านมาการทำงานของกรุงเทพฯ ถือว่าดี แต่ภาพรวมนั้นยังขาดการสื่อสาร หลายประเทศที่ผมเดินทางไป การจราจรอาจจะมีปัญหามากกว่าประเทศไทยด้วยซ้ำ สิ่งที่กรุงเทพฯ ต้องเร่งประชาสัมพันธ์การทำงานอย่างต่อเนื่องให้ประชาชนรับทราบมากกว่าเดิม เพราะถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวประเทศไทย รวมถึงกรุงเทพฯ มากขึ้นด้วยหากประชาสัมพันธ์ที่ดี” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ด้านการเดินทางท่องเที่ยวที่กำลังเป็นปัญหาคือขนส่งมวลชน แท็กซี่โกงมิเตอร์ ในส่วนนี้ตนเข้าใจดีกว่าหากแท็กซี่รับผู้โดยสาร กดมิเตอร์เลย แล้วไปเจอรถติดเขาก็ไม่ได้เงิน ตรงนี้ก็ต้องเห็นใจทุกฝ่าย พร้อมฝากไปยังกระทรวงคมนาคมในการใช้เทคโนโนยีที่ทันสมัย เข้ามาแก้ไขปัญหาและพัฒนาให้ระบบทัดเทียมต่างประเทศ ส่วนเรื่องของแท็กซี่ผี ตุ๊กตุ๊กผี ขอฝาก พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. ดูแล เพราะอยากให้การเดินทางของนักท่องเที่ยวเกิดความประทับใจมากที่สุด

“ด้านการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 มั่นใจรัฐบาลบริหารจัดการฝุ่นได้ดี  แต่ปัญหาหลักตอนนี้คือด้านเศรษฐกิจ ที่การแก้ไขปัญหาของประชาชนต้องใช้เงิน  ทำให้ในด้านการเกษตรที่ต้องใช้งบประมาณเพิ่มในการกำจัดวัชพืชโดยไม่เผา ซึ่งได้ขอบคุณทางกรุงเทพมหานครที่แจกเครื่องอัดฟางให้กับเกษตรกรในเขตหนองจอก ทำให้ลดปริมาณการเผาลงได้มาก รวมทั้งปัญหาของเพื่อนบ้าน ซึ่งข้อจำกัดการจัดการหลายอย่าง แต่รัฐบาลได้ต่อสายตรงหลายประเทศเพื่อนบ้านเพื่อรับฟังและแก้ไขปัญหาไปพร้อมกัน ขณะนี้ปัญหาฝุ่นลดลงมาก หากผลักดันได้ให้ใช้ขนส่งมวลชน รถยนต์ส่วนบุคคลแบบไฟฟ้าคงจะดีมากขึ้น รัฐบาลจริงจังจริงใจแก้ปัญหา” นายกรัฐมนตรี กล่าว

ผู้สื่อข่าวได้เปรียบเทียบการแก้ไขปัญหาจราจรสมัยนายทักษิณ ชินวัตรเป็นนายกรัฐมนตรีและนายชัชชาติ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมว่ามีประสิทธิภาพปัญหาลดลงมากกว่าตอนนี้  นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่แน่ใจว่ากลับไปเหมือนเดิมหรือไม่ แต่เชื่อว่าการแก้ไขปัญหาสามารถทำได้ดีกว่านี้ ตอนนี้ยังแก้ไขปัญหาและบริหารงานอย่างจริงจัง ทั้งเรื่องการเดินทางขนส่งมวลชน การลดราคาค่าโดยสาร

ด้านนายชัชชาติ กล่าวเสริมว่า การแก้ไขปัญหา ไม่ใช่การสร้างถนน แต่เป็นการสร้างขนส่งมวลชนที่ดี ซึ่งขณะนี้กรุงเทพมหานครกำลังดำเนินการอยู่เช่นกัน

ส่วนแนวคิดที่กรุงเทพมหานครพิจารณาย้ายท่าเรือคลองเตย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ต้องตรวจสอบให้รอบด้าน ต้องดูการสร้างท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง เฟส 1-2 หากเสร็จสมบูรณ์ก็ต้องดำเนินการควบคู่กันไป แต่ต้องไม่กระทบการขนส่ง ซึ่งนายชัชชาติ กล่าวต่อว่า เรื่องท่าเรือคลองเตยอยู่ในวาระฝุ่นแห่งชาติ ปี 2562 แล้ว จะบอกว่าต้องกลับมาทบทวนว่าแนวทางดังกล่าวจะเหมาะสมหรือไม่ แต่ตัวอย่างจากหลายประเทศก็ไม่มีท่าเรือขนาดใหญ่ในเมืองหลวง

นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า การทำงานระหว่างรัฐบาลกับกรุงเทพมหานครไม่มีปัญหา ที่ผ่านมาเห็นชัดกันอยู่แล้วว่าสามารถโทรติดต่อเพื่อขอประสานงาน ยกหูสายตรงได้ตลอดเวลา ทั้งนี้ หลังการประชุม นายกรัฐมนตรีได้ร่วมกับส่วนราชการกรุงเทพมหานคร ปล่อยขบวนเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานพัฒนากรุงเทพมหานคร ที่บริเวณลานคนเมือง

Advertisement

“หมอชลน่าน” แจงหลักการ ‘เปลี่ยนผู้เสพ เป็นผู้ป่วย’

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 11 กุมภาพันธ์ 2567 “หมอชลน่าน” ยัน “คนค้ายา” เม็ดเดียวก็ติดคุก ส่วนคนเสพไม่เกิน 5 เม็ด ต้องรักษา ยันหลักการ “เปลี่ยนผู้เสพ เป็นผู้ป่วย”

นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กฎกระทรวงกำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ ให้สันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อเสพ ที่ประกาศใช้เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี

เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกัน จึงขอชี้แจงดังนี้

เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน ปี 2566 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้ประชุมกัน เพื่อวางหลักเกณฑ์ในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ประเภทยาบ้า หลังจากนำเสนอข้อมูลของแต่ละฝ่ายอย่างรอบคอบและรอบด้าน มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า ผู้ที่มียาบ้าไม่เกิน 5 เม็ด เมื่อถูกตำรวจจับได้ ให้สันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อเสพ และให้เป็นผู้ป่วยจิตเวชที่ควรนำไปบำบัดรักษาให้หายเป็นปกติ ซึ่งปกติจะต้องรับโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นกับความสมัครใจของผู้นั้นว่าจะยอมไปบำบัดรักษาไหม ถ้าไม่ยอมรับการบำบัดก็จะถูกดำเนินคดีข้อหาครอบครองยาเสพติดเพื่อเสพ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หากพิสูจน์ได้ว่ามีพฤติการณ์ขายต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย

ส่วนผู้ที่มียาบ้าเกินกว่า 5 เม็ด เช่น มี 6 เม็ดหรือมากกว่านี้ ถูกตำรวจจับ ให้ถือเป็นผู้มียาบ้าไว้ในครอบครองยาเสพติดให้โทษ ซึ่งมีโทษเท่ากับ การจำหน่าย ผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่ายยาเสพติดให้โทษ นั่นคือ จำคุกตั้งแต่ 1 ปีถึง 10 ปี

ข้อสรุปนี้เป็นผลจากการประชุมร่วมกันของเจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2566 ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงยุติธรรม สำนักงาน ป.ป.ส. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ อัยการ ศาลยุติธรรม เป็นต้น

กระทรวงสาธารณสุข ได้มีนโยบายและแนวทางที่ชัดเจนซึ่งได้กล่าวย้ำกับบุคลากรของกระทรวงมาตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง ก็คือ เมทแอมเฟตามีน หรือยาบ้า เป็นยาเสพติดให้โทษที่ห้ามเสพ ห้ามมีไว้ในครอบครอง ห้ามผลิต ห้ามนำเข้า หรือส่งออกหรือห้ามจำหน่ายไม่ว่าจะกี่เม็ดก็ตาม ถือว่าเป็นความผิด ต้องได้รับโทษ แต่มีเงื่อนไขเรื่องจำนวนเม็ดที่กำลังพิจารณาดำเนินการอยู่เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง เช่น มีไว้เสพก็ต้องรีบนำไปบำบัดรักษาให้หาย ก่อนที่จะเกิดอันตรายต่อตัวผู้เสพเอง หรือเมื่อเกิดอาการจิตหลอนก็ใช้อาวุธไปทำร้ายคนรอบข้าง ได้แก่ ลูก เมีย พ่อแม่ ญาติพี่น้องและคนทั่วไปจนถึงแก่ชีวิตดังที่ปรากฏเป็นข่าวในสื่อมวลชน ถ้าพบพฤติการณ์มียาไว้จำหน่ายก็จะต้องได้รับโทษหนัก

ยาบ้า 5 เม็ด ยืนยันว่าไม่ได้นั่งคิดขึ้นมาเองตามใจชอบ แต่เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์การแพทย์ และแพทย์ทางด้านสุขภาพจิตของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งได้นำเสนอในที่ประชุมคณะกรรมการที่พิจารณาเรื่องนี้

ตามขั้นตอน ตนในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จะส่งเรื่องนี้ไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมตรี เพื่อจัดให้มีกระบวนการรับฟังความเห็นต่อการกำหนดจำนวนเม็ดยาบ้าดังกล่าว หลังได้แนวทางซึ่งเป็นไปตามที่กระทรวงเสนอ และได้ผ่านการเห็นชอบคณะรัฐมนตรี นำมาประกาศเป็นกฎกระทรวง

นายแพทย์ชลน่าน กล่าวย้ำว่า ทั้งหมดผ่านการลงความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายว่า ผู้ค้าผู้เสพ ทุกฝ่ายในสังคมต้องร่วมมือกัน ใครมีหน้าที่ปราบปรามจับกุมก็ทำอย่างเข้มแข็ง กระทรวงสาธารณสุขมีหน้าที่บำบัดรักษา ส่งคืนสู่สังคมพยายามให้ไม่ย้อนกลับไปเสพใหม่ การดำเนินการผ่านกระบวนการคิดจากหลายๆ ฝ่ายมาร่วมมือกัน ใครถือเป็นผู้ป่วยต้องเข้ารับการบำบัด

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะเป็นผู้เสพแต่ถ้ามีพฤติกรรม และพยานแวดล้อมว่าเป็นผู้ค้า ไม่ว่าจะกี่เม็ดก็ต้องติดคุก รัฐบาลจะดำเนินการปราบปรามผู้มีอิทธิพลและยาเสพติดให้หมดไปจากสังคมไทย โดยยึดหลักการ “เปลี่ยนผู้เสพเป็นผู้ป่วย” สนับสนุนให้ผู้เสพเข้ารับการรักษาบำบัดอย่างมีประสิทธิภาพและทั่วถึง ผู้เสพต้องเข้ารับการบำบัด เมื่อบำบัดครบได้รับการรับรองจึงถือว่าไม่ต้องรับโทษ และเมื่อผ่านการบำบัดทางการแพทย์แล้ว จะเข้าสู่กระบวนการบำบัดทางสังคม โดยหลักการชุมชนบำบัด จนสามารถเชื่อได้ว่า ไม่กลับไปเสพซ้ำ มีพฤติกรรมที่ดี สามารถที่จะกลับสู่สังคมได้

“ผมมีความมุ่งมั่นที่จะคืนลูกหลานสู่อ้อมกอดของชุมชน ขณะเดียวกัน ก็เร่งบำบัดช่วยเหลือโรคสมองติดยาของผู้เสพให้ดีขึ้น ลดปัญหาการกลับไปเสพใหม่ไม่กลับไปเสพซ้ำ ให้เป็นพลเมืองดี เพื่อสังคมที่เป็นสุขและประเทศชาติปลอดภัยจากยาเสพติด ย้ำ ผู้ค้าเม็ดเดียวก็ติดคุก” นายแพทย์ชลน่านกล่าว

Advertisement

นายกฯ ร่วมงานตรุษจีนเยาวราช อวยพรให้มั่งมี มั่งคั่ง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 10 กุมภาพันธ์ 2567 เยาวราช – นายกฯ ร่วมเทศกาลตรุษจีนเยาวราช นักท่องเที่ยวแห่ถ่ายรูป พร้อมอวยพรให้มีความสุข มั่งมี มั่งคั่ง

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เดินทางมาร่วมงานเทศกาลตรุษจีนเยาวราช ซึ่งมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในช่วงเย็นวันนี้ (10 ก.พ.) ตลอดเส้นทางที่เดินชมงาน มีนักท่องเที่ยวต่างชาติขอถ่ายรูปอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ นายเศรษฐา ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนซาอุดีอาระเบีย ก่อนเข้าร่วมงานเทศกาลตรุษจีน พร้อมระบุว่า ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับตลอด 2 ปีที่เชื่อมสัมพันธ์ทางการทูต รวมทั้งเรื่องปิโตรเคมี และการท่องเที่ยว ซึ่งตลอด 2 ปีที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวมาเที่ยวประเทศไทยจำนวนมาก รวมทั้งการค้าการลงทุน

ส่วนความขัดแข้งระหว่างกลุ่มรักสถาบันและกลุ่มทะลุวัง เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา นายกฯ กล่าวว่า อยากให้พูดคุยกันดีๆ ไม่ใช้กำลัง เพราะวันนี้เป็นวันตรุษจีน วันแห่งการท่องเที่ยว จะมีการกำชับเจ้าหน้าที่ไปดูเรื่องความปลอดภัยกับประชาชนมากขึ้น

“เนื่องในวันปีใหม่เทศกาลตรุษจีน เป็นวันของการสนุกสนาน อยากให้ทุกคนมีความสุข มั่งมี มั่งคั่ง สุขภาพแข็งแรง ดูแลผู้หลักผู้ใหญ่ อยากให้เทศกาลตรุษจีน เงินสะพัดที่สุดเท่าที่จะเป็น นโยบายรัฐบาลพยายามกระตุ้นเรื่องนี้ ทั้งเรื่องวีซ่าฟรี และนโยบายความปลอดภัยเป็นเรื่องสำคัญ ความสะดวกสบายในการตรวจคนเข้าเมือง อยากให้ประทับใจประเทศไทยตั้งแต่แรกที่เข้ามา” นายกฯกล่าว

Advertisement

นายกฯ สั่งเดินหน้าแก้ฝุ่น PM 2.5 ยกเชียงใหม่โมเดลเป็นต้นแบบ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 7 กุมภาพันธ์ 2567 นายกฯ สั่งการ ครม. เดินหน้าแก้ฝุ่น PM 2.5 ยกเชียงใหม่โมเดล หลังบูรณาการร่วมตรงจุดทำฝุ่นลดลงในรอบ 10 ปี พร้อมวางมาตรการตัดสิทธิช่วยเหลือเกษตรทุกรูปแบบ หากฝ่าฝืนเผาตอซัง พบเจ้าหน้าที่ละเลยถูกลงโทษตามระเบียบ

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการในที่ประชุม ครม. เรื่องการแก้ไขปัญหาฝุ่นพีเอ็ม 2.5 โดยย้ำว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอันดับต้นๆ อย่างจริงจัง โดยมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว นอกจากนี้ยังมีการยกร่างพระราชบัญญัติอากาศสะอาด โดยได้ส่งร่างไปยังสภาฯ แล้ว ซึ่งการลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ของนายกฯ ถือเป็นจังหวัดต้นแบบ ซึ่งได้มีการประเมินสถานการณ์ในเชียงใหม่และจังหวัดใกล้เคียง ขณะนี้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ลดลง โดยเฉพาะเดือนมกราคม เมื่อเทียบย้อนหลังไปถึง 10 ปี โดยเดือนมกราคมปีนี้ คนเชียงใหม่บอกว่าปัญหาฝุ่นดีขึ้นที่สุด ปริมาณฝุ่นต่ำลงมาก แต่พื้นที่ กทม.-ปริมณฑล ยังไม่ลดลง นายกฯ จึงเน้นย้ำให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเน้นการทำงานเชิงรุก ใช้กลไกและกฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบันให้ทุกหน่วยงานนำไปปรับใช้ เพื่อกำหนดมาตรการให้มีความเข้มข้นและเป็นรูปธรรม โดยมีแนวทางดังต่อไปนี้คือ

1.ตัดความช่วยเหลือใดๆ จากภาครัฐ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รณรงค์ให้เกษตรกรที่เผาเปลี่ยนไปใช้วิธีการฝังกลบ หากเกษตรกรรายใดติดปัญหาเรื่องเครื่องมือในการฝังกลบ ภาครัฐยินดีส่งเสริม แต่ถ้ายังฝืนเผาอยู่ จะถูกตัดสิทธิในการรับความช่วยเหลือจากภาครัฐทุกรูปแบบ

2.กรณีสินค้าเกษตรที่นำเข้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากประเทศเพื่อนบ้าน ให้กระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงพาณิชย์ นำเข้ากำหนดมาตรการลดหรือห้ามนำเข้าสินค้าทางการเกษตรที่พิสูจน์ได้ว่ามีกระบวนการผลิตเกี่ยวข้องกับการเผา เช่น การนำเข้าข้าวโพด ซึ่งแหล่งนำเข้าข้าวโพดมีการเผาตอซังข้าวโพด หากมีการพิสูจน์ได้ให้ทั้ง 2 กระทรวงระงับการอนุญาตนำเข้า

3.กำหนดให้มีการจับกุม และบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงสาธารณสุข บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ออกประกาศเขตห้ามเผา ตามพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย หากผู้ใดฝ่าฝืนให้มีการลงโทษตามกฏหมายอย่างเด็ดขาด

4.การลงโทษปรับ กรณีการเผาที่เป็นเหตุให้รำคาญ มีกฎหมายที่ว่าด้วยพระราชบัญญัติสาธารณสุข หากมีการลักลอบนำเข้าสินค้าที่เกี่ยวกับการเผาในประเทศเพื่อนบ้าน ที่เกี่ยวข้องจับกุมและลงโทษตามกฎหมาย ทั้งนี้ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดดูแลพื้นที่ให้เข้มงวด ไม่ให้เกิดการเผาและลักลอบนำเข้า ถ้ายังเผา และปล่อยให้มีการลักลอบนำเข้าสินค้าที่เกิดจากการเผาจากประเทศต้นทาง ผู้ว่าราชการจังหวัดและข้าราชการที่เกี่ยวข้อง จะต้องมีส่วนรับผิดชอบ และอาจถูกพิจารณาโทษตามกฎหมายตามระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป

5.แนวทางการสนับสนุนเชิงรุก ให้กรมประชาสัมพันธ์ และ อสมท ประชาสัมพันธ์เชิงรุก ให้ประชาชนทราบว่ารัฐบาลเอาจริงเอาจังกับปัญหานี้ หากมีเจ้าหน้าที่คนไหนหย่อนยานจะถูกลงโทษ นอกจากนี้ยังขอให้กระทรวงเกษตรฯ ให้ความรู้กับเกษตรกร เรื่องการไถกลบและผลเสียของการเผา พร้อมขอให้กระทรวงอุตสาหกรรม ประสานความร่วมมือกับผู้ประกอบการ กำหนดมาตรการสนับสนุน

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  กล่าวว่า นายกฯ ขอให้นำข้อสั่งการดังกล่าวไปปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม โดยขอให้คณะกรรมการจัดการปัญหามลภาวะทางอากาศเพื่อความยั่งยืน ซึ่งมี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ เป็นประธาน ให้นำแนวทางดังกล่าวไปพิจารณาร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และทำให้เป็นมาตรการที่ชัดเจน เพื่อสนองตอบต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วน

Advertisement

อย.ยันวัคซีนโควิด-19 มีความปลอดภัย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 5 กุมภาพันธ์ 2567 อย.ย้ำวัคซีนโควิด-19 ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนผ่านการประเมินตามหลักเกณฑ์ทั้งในด้านความปลอดภัย คุณภาพ และประสิทธิผลจากคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ มีการควบคุมคุณภาพวัคซีนทั้งก่อนขึ้นทะเบียนและภายหลังการขึ้นทะเบียน รวมถึงติดตามประเมินความเสี่ยงอย่างใกล้ชิด ขอประชาชนมั่นใจวัคซีน-19 ที่ได้รับอนุญาตจะช่วยลดความสูญเสียจากการติดเชื้อโควิด-19 ได้

นายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยว่า ตามที่มีข้อสังเกตจากกลุ่มบุคคลในเรื่องการอนุญาตวัคซีนโควิด-19 ซึ่งเป็นการขึ้นทะเบียนแบบมีเงื่อนไขในสถานการณ์ฉุกเฉินนั้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ขอชี้แจงว่า ในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ที่ยังไม่มีวัคซีนสำหรับการป้องกันการแพร่ระบาดและลดความรุนแรงของโรค แต่เพื่อให้ประชาชนมีวัคซีนใช้โดยเร็วและทันการณ์ อย. จึงกำหนดให้มีการขึ้นทะเบียนยาแบบมีเงื่อนไขในสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความจำเป็นเร่งด่วน โดยกำหนดแนวทางให้บริษัทที่ประสงค์จะขึ้นทะเบียนแสดงข้อมูลที่เพียงพอในการสนับสนุนถึงคุณภาพ ประสิทธิผล และความปลอดภัยของวัคซีน รวมทั้งต้องติดตามความปลอดภัยอย่างใกล้ชิด ดังนั้น แม้จะใช้เวลาในการประเมินที่สั้นลง อย. ก็ยังคงให้ความสำคัญกับหลักฐานที่บ่งชี้ถึงความปลอดภัย คุณภาพ และประสิทธิผลของวัคซีน

ในประเด็นการอนุญาตให้ใช้วัคซีนโควิด-19 ในกลุ่มผู้สูงอายุและเด็ก ได้ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญทั้งจาก อย. และผู้ทรงคุณวุฒิภายนอก ที่อ้างอิงตามหลักเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลกในด้านความปลอดภัย คุณภาพ และประสิทธิผล พิจารณาผลการศึกษาในสัตว์ทดลองและความปลอดภัยในคน รวมถึงการติดตามผลข้างเคียงและการจัดการความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งข้อมูลในขณะนั้นเพียงพอต่อการอนุญาตให้ใช้วัคซีนในผู้สูงอายุและเด็กได้ สำหรับในสตรีมีครรภ์หรือสตรีให้นมบุตร เนื่องจากประเด็นด้านจริยธรรมการวิจัยจึงใช้ข้อมูลอ้างอิงจากการศึกษาในสัตว์ทดลองเพื่อเป็นข้อมูลพิจารณาตัดสินใจใช้ยา ในด้านความเสี่ยงของการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ พบอุบัติการณ์การเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบในเด็กที่ได้รับวัคซีนประมาณ 1.25 รายในล้านโดส ซึ่งต่ำกว่าในประชากรเด็กปกติ และต่ำกว่าผู้ที่เป็นโรคโควิด-19 จึงไม่แตกต่างจากที่พบโดยทั่วไป

เลขาธิการ อย. กล่าวเพิ่มเติมว่า อย. มีการควบคุมคุณภาพวัคซีนของประเทศไทย โดยก่อนขึ้นทะเบียนมีการประเมินทั้งข้อมูลด้านคุณภาพ ความปลอดภัย และประสิทธิผลของวัคซีนแล้ว ภายหลังการขึ้นทะเบียนก็ยังคงมีการตรวจวิเคราะห์เพื่อรับรองรุ่นการผลิตก่อนออกจำหน่ายของวัคซีนทุกล็อต เพื่อควบคุมคุณภาพวัคซีนก่อนที่วัคซีนจะถึงผู้บริโภค รวมถึงการติดตามอาการไม่พึงประสงค์และความปลอดภัยภายหลังการใช้วัคซีน จึงขอให้ประชาชนมั่นใจว่าวัคซีนที่ อย. อนุญาตมีความปลอดภัย มีคุณภาพ และประสิทธิผลที่จะช่วยลดความสูญเสียจากการติดเชื้อโควิด-19 ได้

Advertisement

กทม.จัดกิจกรรมจดแจ้งชีวิตคู่ LGBTQ+ ในวันวาเลนไทน์

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 5 กุมภาพันธ์ 2567 กทม.สนับสนุนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม จัดกิจกรรมจดแจ้งชีวิตคู่ LGBTQ+ ในวันแห่งความรัก

นายเอกวรัญญู อัมระปาล โฆษกของกรุงเทพมหานคร เปิดเผยถึงการจัดกิจกรรมการจดแจ้งชีวิตคู่ LGBTQ+ ในวันวาเลนไทน์ นอกจากกิจกรรมที่ได้มีการจัดอย่างปกติคือการจดทะเบียนสมรสแล้ว ปีที่แล้วยังมีการจัดกิจกรรมการจดแจ้งชีวิตคู่ LGBTQ+ นำร่อง 3 เขต ในปีนี้ที่ประชุมจึงเสนอให้มีการรับจดแจ้งชีวิตคู่ LGBTQ+ ให้ครบทั้ง 50 เขต เบื้องต้นมีเขตที่พร้อมแจ้งจัดกิจกรรมการจดแจ้งชีวิตคู่ LGBTQ+ แล้วจำนวน 9 เขต แม้ว่าการจดแจ้งนี้จะยังไม่มีผลทางกฎหมาย แต่การจดแจ้งนี้สะท้อนถึงเจตนารมย์ของกรุงเทพมหานครอยู่ 2 ส่วนคือ แสดงถึงเจตนารมย์ของกรุงเทพมหานครที่พร้อมให้ความสำคัญกับประชาชนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียมกัน และแสดงถึงความพร้อมของกรุงเทพมหานครที่หากมีกฎหมายแม่พร้อมแล้วและมีการออกกฎหมายลูกมาอย่างชัดเจน กรุงเทพมหานครก็พร้อมในการดำเนินการตามทันที

นอกจากนี้ สำนักการแพทย์ และสำนักอนามัย ย้ำว่าหากจดแจ้ง LGBTQ+ ในวันวาเลนไทน์ 14 กุมภาพันธ์ 67 แล้วนั้น สามารถนำใบจดแจ้งเข้ามาตรวจสุขภาพได้ฟรีที่โรงพยาบาลสังกัด กทม. ทุกแห่งอีกด้วย

Advertisement

เขตบางรัก ชวนคู่รักจดทะเบียนสมรส ลุ้นทะเบียนสมรสทองคำ วันวาเลนไทน์

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 5 กุมภาพันธ์ 2567 วาเลนไทน์ปีนี้ “พรหมลิขิตผูกพัน รักนิรันดร์ ณ บางรัก (Love Infinity)” ลุ้นทะเบียนสมรสทองคำ 12 ฉบับ

นายจักกพันธุ์ ผิวงาม รองผู้ว่าฯ กทม. เป็นประธานแถลงข่าวจัดงาน “พรหมลิขิตผูกพัน รักนิรันดร์ ณ บางรัก (Love Infinity)” ซึ่งกำหนดจัดขึ้นในวันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 ณ Event Hall ชั้น B1 ศูนย์การค้าจิวเวลรี่เทรดเซ็นเตอร์ (ซอยสีลม 19) เพื่อให้บริการจดทะเบียนสมรสนอกสถานที่ในวันแห่งความรัก (วันวาเลนไทน์) และอำนวยความสะดวกแก่คู่รักที่มีความประสงค์จดทะเบียนสมรสที่สำนักงานเขตบางรัก เนื่องจากมีชื่ออันเป็นมงคล อีกทั้งเพื่อกระตุ้นให้เห็นความสำคัญของการจดทะเบียนสมรส ซึ่งก่อให้เกิดสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายอันเป็นการส่งเสริมให้สถาบันครอบครัวมีความมั่นคง โดยมีสำนักงานเขตบางรัก สภาวัฒนธรรมเขตบางรัก ศูนย์การค้า จิวเวลรี่ เทรด เซ็นเตอร์ ในเครือกลุ่มเซ็นทรัล บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) สมาคมผู้ค้าอัญมณีไทยและเครื่องประดับ ตลอดจนผู้สนับสนุนทั้งภาครัฐและเอกชน ร่วมแถลง

นายจักกพันธุ์ กล่าวว่า การจัดงานสำหรับการจดทะเบียนสมรสในวันวาเลนไทน์สํานักงานเขตบางรักได้จัดมาหลายปีแล้ว แต่ในแง่ของหลักการวัตถุประสงค์หลักของกรุงเทพมหานครคือต้องการให้คนในกรุงเทพฯ ทุกคนที่มารับบริการของกรุงเทพมหานครได้รับความสะดวกสบายเกี่ยวกับการจดทะเบียนสมรส แต่อย่างไรก็ดีเราก็มองว่าความจริงแล้ว ครอบครัวของเรา สังคมของเราสําคัญ ขณะเดียวกันถ้าเรามีครอบครัวที่มีความเข้มแข็ง เป็นครอบครัวที่สามารถจะพัฒนากรุงเทพมหานครของเราได้ด้วยก็จะเป็นเรื่องที่สําคัญ ดังนั้นถ้าเรามีลักษณะของกิจกรรมที่ส่งเสริมความเข้มแข็งได้ให้ครอบครัวของเรา เป็นครอบครัวที่มีความมั่นคงก็จะทําให้สังคมกรุงเทพมหานครมีการพัฒนา ถ้าความรักในครอบครัว มีความเจริญ มีความมั่นคง ก็มั่นใจว่าสังคมของเราก็จะมีความเข้มแข็ง เพราะฉะนั้นความรักในวันวาเลนไทน์ก็คงจะไม่เป็นความรักเดียวแต่จะเป็นความรักทั้งหมดที่เกิดขึ้น ในพื้นที่ของเราไม่ว่าจะเป็นระหว่างชุมชน องค์กรต่างๆ จะเป็นตัวสําคัญที่ทําให้การพัฒนาของเราให้กรุงเทพมหานครมีความยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันนี้ก็จะเป็นการสื่อความหมายของความรักในสังคมของเรา เราคงจะไม่ได้พูดถึงเฉพาะเรื่องของความรักระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย ถึงแม้ว่าจะเป็นเพศเดียวกัน มั่นใจว่าในปัจจุบันก็พยายามที่จะมีการพิจารณากฎหมาย ซึ่งตอนนี้สภาผู้แทนราษฎรก็พยายามเร่งรัดกฎหมายดังกล่าว หลังจากนั้นกรุงเทพมหานครก็คงจะมีแนวทางในการปฏิบัติเพื่อให้บุคคลในสังคมของเราได้มีความรักที่เท่าเทียมกันต่อไป

สำหรับการจดทะเบียนสมรสในวันวาเลนไทน์ ในทุกปีการจดทะเบียนสมรสที่เขตบางรัก ยังคงได้รับความนิยม และถูกเลือกเป็นสถานที่จดทะเบียนสมรสของคู่รักเป็นจำนวนมาก เมื่อปี 2566 มีคู่รักมาจดทะเบียนสมรสที่เขตบางรัก ทั้งหมด 3,441 คู่ เฉพาะในวันวาเลนไทน์ จำนวน 640 คู่ ซึ่งเป็น อันดับที่ 1 ของทั้ง 50 เขต เขตบางรักเป็นสำนักทะเบียนที่คู่รักนิยมมาจดทะเบียนสมรส มากที่สุดในประเทศไทย การค้นหาอัตลักษณ์ และนำมาส่งเสริมเป็นเทศกาลเฉพาะถิ่น ถือเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญภายใต้นโยบายบริหารกรุงเทพมหานคร เป็นรากฐานในการช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจ และความคิดสร้างสรรค์เฉพาะย่าน ซึ่งได้กำหนดไว้ในนโยบาย 9 ดี 9 ด้าน และขอเชิญชวนประชาชนผู้มีความรัก ที่ต้องการจดทะเบียนสมรสในวันแห่งความรัก เข้าร่วมกิจกรรมตามที่สำนักงานเขตจัดขึ้น และขออวยพรให้คู่รักทุกคู่มีความสุข ความเจริญ และมีความมั่นคงในชีวิต สืบไป

ด้าน นางธราพร อำนวยสาร ผู้อำนวยการเขตบางรัก กล่าวว่า “สำนักงานเขตบางรัก ได้ร่วมกับสภาวัฒนธรรมเขตบางรัก ศูนย์การค้าจิวเวลรี่เทรดเซ็นเตอร์ และผู้สนับสนุนทั้งภาครัฐและเอกชน กำหนดจัดงาน “พรหมลิขิตผูกพัน รักนิรันดร์ ณ บางรัก (Love Infinity)” จึงขอเชิญชวนคู่รักที่วางแผน จะจดทะเบียนสมรสหรือคู่บ่าวสาวที่ต้องการจดทะเบียนในวันดังกล่าว โดยวัตถุประสงค์ของการจัดงานในครั้งนี้ เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนในการมาจดทะเบียนสมรสที่สำนักงานเขตบางรัก และเป็นการกระตุ้น ให้เห็นความสำคัญของการจดทะเบียนสมรส ซึ่งก่อให้เกิดสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย อันเป็นการสงเสริมให้สถาบันครอบครัวมีความมั่นคง และยังเป็นการอำนวยความสะดวกแกประชาชน เนื่องจากสำนักงานเขตบางรักมีพื้นที่คับแคบ ไม่สามารถรองรับประชาชนที่มาขอรับบริการได้เพียงพอ และไม่สะดวกในการให้บริการ”

ด้านคุณชมพล พรจินดารักษ์ อุปนายก 1 สมาคมผู้ค้าอัญมณีไทยและเครื่องประดับ กล่าวว่า สำหรับในปีนี้ยังได้สมาพันธ์สมาคมอัญมณี เครื่องประดับ และโลหะมีค่า (ประเทศไทย) มาเป็นผู้สนับสนุนร่วมอีกด้วย ซึ่งทะเบียนสมรสสลักชื่อคู่สมรสลงบนแผ่นทองคำแท้ จำนวน 12 คู่ ถือเป็นของขวัญล้ำค่า ที่ไม่สามารถเทียบมูลค่าได้ แทนคำอวยพรจากสมาคมผู้ค้าอัญมณีไทยฯ และเป็นเครื่องหมายแห่งความรักของสามีภรรยา ที่พร้อมจะใช้ชีวิตร่วมกันเพื่อสร้างครอบครัว

สำหรับปีนี้คู่รักที่ประสงค์จดทะเบียนสมรสในวันแห่งความรัก สำนักงานเขตบางรักได้เปิดให้ลงทะเบียนล่วงหน้า ด้วยการสแกน QR Code ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 15 มกราคม ที่ผ่านมา ถึงวันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2567 โดยเปิดรับจำนวน 789 คู่ เพื่อให้คู่รักได้รับความสะดวกเพิ่มขึ้น อีกทั้งไม่เกิดความผิดพลาดในเรื่องของเอกสารหลักฐานต่างๆ ที่จะใช้ประกอบการจดทะเบียนสมรส เฉพาะกรณี จดทะเบียนสมรสกับชาวต่างชาติ จะต้องเดินทางมายื่นเอกสารด้วยตนเองที่สำนักงานเขตบางรักล่วงหน้าเท่านั้น ในวันและเวลาราชการ (วันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 08.00-16.00 น) เพื่อเจ้าหน้าที่จะได้ดำเนินการตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารกับทางสถานทูต และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อน สอบถามเพิ่มเติม โทร. 02 236 1395 ต่อ 6231 หรือ 6233 ในวันและเวลาราชการ ดูรายละเอียดทางเว็บไซต์ www.bangkok.go.th/bangrak หรือทางเฟซบุ๊ก ฝ่ายทะเบียน สำนักงานเขตบางรัก

ทั้งนี้ ในวันที่ 14 กุมภาพันธ 2567 สำนักงานเขตบางรักได้จัดเจ้าหน้าที่ เตรียมพร้อมบริการจดทะเบียนสมรส โดยจะเริ่มเปิดตรวจสอบคำร้องตั้งแต่เวลา 07.00-16.00 น. สำหรับช่วงเช้าเวลา 08.30 น. จะจัดพิธีแหขบวนขันหมากจำลอง ตามรูปแบบของวัฒนธรรมไทย และมีพิธีเปิดงานในเวลา 09.00 น. โดยเริ่มจดทะเบียนสมรสจริงให้กับคู่สมรสตัวอย่าง และมอบรางวัลทะเบียนสมรสทองคำ จากนั้นเริ่มจดทะเบียนสมรสคูแรก ในเวลา 08.00 น. ซึ่งคู่รักที่มาร่วมงานจะได้รับของที่ระลึกทุกคู่ และมีสิทธิ์ลุ้นรับทะเบียนสมรสทองคำ รวมทั้งหมดจำนวน 12 ฉบับ เริ่มตั้งแต่เวลา 08.00 น. นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมให้คู่สมรสได้ร่วมสนุกภายในงาน เพื่อลุ้นรับของรางวัลจากผู้สนับสนุนอีกมากมาย สำหรับคู่รักที่มีความประสงค์จะร่วมงาน “พรหมลิขิตผูกพัน รักนิรันดร์ ณ บางรัก (Love Infinity)’” ในวันวันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 สามารถเดินทางมายังศูนย์การค้าจิวเวลรี่เทรดเซ็นเตอร์ ด้วยรถยนต์ส่วนตัวโดยจอดรถในตัวอาคารได้ หรือเดินทางด้วยรถไฟฟ้า ห่างจากรถไฟฟ้า BTS สถานีสุรศักดิ์ ประมาณ 500 เมตร รถประจำทางสาย 15, 76, 77, 115, 163, 504, 514, 4-68 โดยสามารถเข้าร่วมจดทะเบียนสมรสได้ตั้งแต่เวลา 08.00-16.00 น.

Advertisement

สภากาชาดไทย ชวนบริจาคโลหิตรับเทศกาลตรุษจีน สร้างบุญ เสริมเฮง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์  : 3 กุมภาพันธ์ 2567 ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เชิญชวนประชาชนร่วมบริจาคโลหิตเป็นมงคลชีวิต ต้อนรับเทศกาลตรุษจีน ระหว่างวันที่ 9-11 ก.พ.67 ณ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย และหน่วยรับบริจาคโลหิตประจำที่ 7 แห่ง (Fixed Station) รับปฏิทินจีน เป็นของที่ระลึก

รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิงดุจใจ ชัยวานิชศิริ ผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เปิดเผยว่า วันตรุษจีน ถือเป็นเทศกาลสำคัญของจีน เพราะถือว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งในปี 2567 วันตรุษจีนตรงกับวันเสาร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2567 ทั้งนี้เพื่อเป็นการเริ่มต้นทำสิ่งดีๆ ในเทศกาลตรุษจีน ซึ่งในปีนี้ตรงกับปีนักษัตรมะโรงหรือปีมังกรทอง นับเป็นปีมงคลที่เหมาะแก่การทำบุญเสริมมงคลชีวิตให้แก่ตนเองและครอบครัว ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ขอเชิญชวนชาวไทยเชื้อสายจีน และประชาชนทั่วไป ร่วมบริจาคโลหิตในโครงการ “ตรุษจีนนี้ มอบโลหิต เป็นมงคลชีวิต” ระหว่างวันที่ 9-11 กุมภาพันธ์ 2567 ณ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย และหน่วยรับบริจาคโลหิตประจำที่ 7 แห่ง (Fixed Station) ผู้บริจาคโลหิตจะได้รับปฏิทินจีน “Year of The Dragon Chinese New Year 2024” แทนคำขอบคุณ เพื่อมอบเป็นที่ระลึกให้กับผู้บริจาคโลหิต ในช่วงเทศกาลตรุษจีน และส่งต่อพลังดีๆ ต้อนรับปีมังกรทอง

การทำบุญด้วยการบริจาคโลหิต นับได้ว่าเป็นการให้ทานที่ยิ่งใหญ่และเป็นบุญกุศลแก่ผู้ให้ เพราะเป็นการสละโลหิตในร่างกายของตนเอง เพื่อช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ และผู้ที่ต้องการใช้โลหิตในการรักษา นอกจากจะได้บุญในการช่วยเหลือผู้ป่วยแล้ว การบริจาคโลหิตยังส่งผลให้ผู้บริจาคมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงอีกด้วย ทั้งนี้สามารถบริจาคโลหิตได้เป็นประจำทุก 3 เดือน เพื่อให้มีปริมาณโลหิตที่เพียงพอสำหรับผู้ป่วยอย่างยั่งยืน

บริจาคโลหิตได้ที่ : ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ถนนอังรีดูนังต์, หน่วยรับบริจาคโลหิตประจำที่ (Fixed Station) ได้แก่ สถานีกาชาด 11 วิเศษนิยม (บางแค) เดอะมอลล์ สาขาบางแค สาขาบางกะปิ สาขางามวงศ์วาน สาขาท่าพระ ศูนย์การค้าดิเอ็มโพเรียม และบ้านทรงไทย (ย่านวงศ์สว่าง)

ภาคบริการโลหิตแห่งชาติ 12 แห่งทั่วประเทศ ได้แก่ จังหวัดลพบุรี ชลบุรี ราชบุรี นครราชสีมา ขอนแก่น อุบลราชธานี นครสวรรค์ พิษณุโลก เชียงใหม่ นครศรีธรรมราช (ทุ่งสง) สงขลา และภูเก็ต

โรงพยาบาลสาขาบริการโลหิตทั่วประเทศ

Advertisement

PDPC ตรวจสอบเชิงรุก 2 เดือน สกัดการรั่วไหลข้อมูลส่วนบุคคลกว่า 5,000 เคส

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 14 มกราคม 2567 PDPC เดินหน้าตรวจสอบเชิงรุกต่อเนื่อง ในรอบ 2 เดือน สกัดการรั่วไหลข้อมูลส่วนบุคคลกว่า 5,000 เคส และร่วมตรวจสอบเพื่อขยายผลสู่การจับกุมผู้ต้องหาซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคลแล้ว 5 ราย โดยมีโทษหนักถึงจำคุก

PDPC หรือ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) เร่งทำงานเชิงรุกตรวจสอบเฝ้าระวังการรั่วไหลและการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนอย่างต่อเนื่อง ตามข้อสั่งการของรัฐบาล และมาตรการยกระดับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประเทศ ที่นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เร่งดำเนินการและบูรณาการความร่วมมือกัน เมื่อคราวประชุมวันที่ 9 พ.ย.2566

ในช่วงเวลากว่า 2 เดือน นับแต่วันที่ 9 พ.ย. 2566 – 12 ม.ค. 2567 ศูนย์ PDPC Eagle Eye ได้ตรวจพบการเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลประชาชนบนเว็บไซต์ของหน่วยงานอย่างเกินความจำเป็นหรือไม่มีการรักษาความมั่นคงปลอดภัยที่เหมาะสม และได้แจ้งเตือนให้หน่วยงานปรับปรุงแก้ไขแล้ว จำนวน 5,261 กรณี เป็นหน่วยงานภาครัฐและส่วนท้องถิ่น จำนวน 4,886 กรณี โดยสำนักงานฯ จะดำเนินการที่เกี่ยวข้องตามกฎหมาย PDPA อย่างเคร่งครัด กับหน่วยงานที่มีการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลอย่างต่อเนื่องต่อไป

นอกจากนี้ ได้ตรวจสอบพบการประกาศซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคลผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์เฟซบุ๊ก (Facebook) และดำเนินการปิดเพจแล้ว จำนวน 23 กรณี และได้มีการดำเนินการร่วมกับกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ในการสืบสวนสอบสวนขยายผลกรณีการซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคลประชาชนให้แก่แก๊งมิจฉาชีพ เมื่อวันที่ 23 พ.ย. และ 12 ธ.ค. 2566 ซึ่งล่าสุดวันที่ 11 ม.ค. 2567 ซึ่งนำไปสู่การจับกุมหรืออยู่ระหว่างการจับกุมผู้ต้องหาซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคลโดยมิชอบ จำนวน 5 ราย

ทั้งนี้ ศาลได้ตัดสินลงโทษจำคุกผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมในช่วงก่อนหน้านี้แล้วจำนวน 2 ราย โดยรายล่าสุด เมื่อวันที่ 14 พ.ย.66 ศาลจังหวัดภูเก็ตได้มีคำพิพากษาให้จำเลยมีความผิดตามกฎหมายหลายฉบับ รวมถึง พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 มาตรา 80 และ พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 โดยลงโทษจำคุกจำเลย 2 ปี (หลังลดโทษให้กึ่งหนึ่งจากการรับสารภาพ) แต่ไม่รอลงอาญา ด้วยพิจารณาเห็นว่า “การนำข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่นไปขายทำให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจและสังคมอย่างร้ายแรง ทั้งยังส่งผลกระทบกับบุคคลอื่นเป็นวงกว้างและเป็นการสนับสนุนให้กลุ่มมิจฉาชีพนำข้อมูลดังกล่าวไปกระทำความผิดอื่นอีก พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง แม้จำเลยไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อนก็ไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษจำคุกจำเลย”

PDPC จะเดินหน้าตรวจสอบเชิงรุกและเฝ้าระวังการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลอย่างต่อเนื่องและเคร่งครัด เพื่อยกระดับความเชื่อมั่นในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประเทศ ตามข้อสั่งการของรัฐบาล และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมต่อไป

FOLLOW US

20,829แฟนคลับชอบ
2,508ผู้ติดตามติดตาม

RECENT POSTS

Verified by ExactMetrics