วันที่ 19 เมษายน 2024

“จุรินทร์” นำ “พาณิชย์-เกษตร” เชื่อม Big Data สินค้าเกษตร

People Unity News : “จุรินทร์”นำพาณิชย์-เกษตร ร่วมมือเชื่อมฐานข้อมูลสินค้าเกษตร Big Data สำคัญ 5 รายการทั้ง ข้าว ปาล์มน้ำมัน ยางพารา มันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์

วันที่ 12 พฤศจิกายน 2562 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ ประชุมหารือร่วมกัน เพื่อกำหนดแนวทางความร่วมมือบูรณาการในระดับส่วนกลาง เรื่องเชื่อมโยงฐานข้อมูลสินค้าเกษตร (Big Data) ในระดับจังหวัด ระดับภูมิภาค และระดับประเทศเพื่อใช้ในการบริหารจัดการทั้งระบบเพื่อให้สินค้าเกษตรที่ผลิตได้มีความสมดุล ทั้งในด้านปริมาณความต้องการซื้อ และความต้องการขายซึ่งจะส่งผลให้สินค้าเกษตรมีเสถียรภาพด้านราคาทำให้เกษตรกรมีรายได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

นายจุรินทร์ กล่าวว่า ในส่วนกระทรวงพาณิชย์ ได้มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า(สนค.) ให้จัดทำระบบกำกับและติดตามนโยบายด้านการบริหารจัดการสินค้าเกษตรสำคัญ 5 รายการ ได้แก่ ข้าว ปาล์มน้ำมัน ยางพารา มันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เพื่อนำมาศึกษาวิเคราะห์สำหรับประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบายและยุทธศาสตร์ของผู้บริหารระดับสูงของกระทรวง และ สนค. ได้หารือร่วมกับผู้อำนวยการและเจ้าหน้าที่ศูนย์เทคโนโลยีสาระสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัด กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เกี่ยวกับแนวทางการจัดทำ MOU ด้านการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

โดยการดำเนินการเริ่มจากด้านการบริหารจัดการสินค้าเกษตรทั้งระบบเพื่อให้สินค้าเกษตรที่ผลิตได้มีความสมดุล ทั้งในด้านปริมาณความต้องการซื้อและความต้องการขาย ซึ่งจะส่งผลให้สินค้าเกษตรมีเสถียรภาพด้านราคา และจัดเตรียมข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่พร้อมเชื่อมโยงสู่ระบบฐานข้อมูล เพื่อนำไปสู่การจัดทำระบบกำกับ และติดตามนโยบาย ซึ่งจะเป็นกลไกในการขับเคลื่อนไปสู่การกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการสินค้าเกษตรทั้งระบบต่อไป

สำหรับรายละเอียดของ MOU หรือข้อตกลง คือ ส่งเสริมสนับสนุนการเชื่อมโยงข้อมูลเชิงลึกเพื่อใช้ในการตัดสินใจกำหนดนโยบาย และยุทธศาสตร์ ด้านการบริหารจัดการสินค้าเกษตรทั้งระบบ รวมถึงการปลดล๊อคเงื่อนไข หรือกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการใช้ประโยชน์ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจภาครัฐ ร่วมกันพัฒนาและดำเนินการปรับเปลี่ยนรูปแบบการเก็บข้อมูล ที่สนับสนุนการใช้ปัญญาประดิษฐ์ รวมถึงพัฒนาฐานข้อมูลกลางให้มีมาตรฐานร่วมกัน เพื่อสร้างการเชื่อมโยงข้อมูลที่มีความต่อเนื่องทันสมัย และเป็นอัตโนมัติ ร่วมกันออกแบบ กระบวนการบริหารจัดการข้อมูลที่เป็นความลับ โดยทั้งสองฝ่ายจะใช้ข้อมูลดังกล่าวสำหรับการประมวลผล และวิเคราะห์สำหรับประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบาย และยุทธศาสตร์ สำหรับผู้บริหารระดับสูง โดยจะรักษาความลับ และไม่เปิดเผยไม่ว่ากรณีใด เว้นแต่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากหน่วยงานเจ้าของข้อมูล ต่อไปคือให้จัดตั้งทีมงานด้านเทคนิคและข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อดำเนินการขับเคลื่อนการดำเนินการ ตามประเด็นความร่วมมือ ให้บรรลุผลโดยเร็วและมีประสิทธิภาพ

“การจัดทำบิ๊กดาต้าราวมกันนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับการแก้ไขปัญหาประชาชนได้ทันเวลาและตรงกับยุทธศาสตร์ง่ายต่อการตัดสินใจทางนโยบายและสำหรับประเทศไทยซึ่งเป็นพื้นมีสินค้าเกษตรจำนวนมากต้องบูรณาการระหว่างกระทรวง” นายจุรินทร์ กล่าว

โฆษณา

“อนุทิน”ย้ำนโยบายกัญชาต้องเป็นรูปธรรมดันกม.ปลูกได้ 6 ต้น

People Unity News : “อนุทิน”ย้ำนโยบายกัญชามีความสำคัญกับพรรคภูมิใจไทยมาก ต้องเป็นรูปธรรม จ่อส่งข้อมูล สธ.หนุนกฎหมาย 6 ต้น

วันที่ 14 พฤศจิกายน 2562 ความคืบหน้าของนโยบายกัญชาของพรรคภูมิใจไทย หลังจากมีการยื่นร่าง พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ และ ร่าง พ.ร.บ.สถาบันพืชยาเสพติดแห่งประเทศไทย เข้าสู่การพิจารณาของสภา นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า นโยบายกัญชามีความสำคัญกับพรรคภูมิใจไทยมาก ต้องทำให้เห็นความเป็นรูปธรรมมากที่สุด เรียนว่าเป็นคนหนึ่งที่ใช้งานเฟซบุ๊ก ทุกครั้งที่นำเสนอเรื่องอะไรออกไป มักจะมีคนมาถามเรื่องของนโยบายดังกล่าว ตรงนั้นสะท้อนว่า ประชาชนให้ความสนใจกับเรื่องนี้ขนาดไหน และตนไม่เคยลืม เป้าหมายคือให้ประชาชนปลูก เพื่อรักษาตัวเองเป็นหลัก กระนั้น การใช้ต้องเป็นไปอย่างถูกวิธี

ดังนั้น กระทรวงสาธารณสุข ต้องเข้ามาดูแลจัดการก่อน วันนี้องค์การเภสัชกรรมสามารถปลูก และผลิตสารสกัดจากกัญชาได้แล้ว กระจายไปตามโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุข พร้อมกับเปิดอบรมแพทย์ ให้สามารถจ่ายน้ำมันกัญชาอย่างถูกต้อง สำหรับการแพทย์แผนไทย หมอพื้นบ้านจำนวนมากได้มาขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้อง เช่นเดียวกับสูตรยา ซึ่งมีกัญชาเป็นส่วนผสม อาทิ สูตรของ อ.เดชา ก็ได้มาขึ้นทะเบียนแล้วเช่นกัน เพราะกระทรวงสาธารณสุขต้องการให้ทั้งหมอแผนปัจจุบัน และแพทย์แผนไทย ได้ใช้กัญชาในการรักษาโรค และเราพยายามนำกัญชาขึ้นมาบนดิน

บางคนอาจจะมองว่านโยบายกัญชา ยังไม่รวดเร็วทันใจ แต่ขอให้เข้าใจว่าการนำกัญชาขึ้นมาบนดินเป็นเรื่องที่ใหม่มาก ถ้าทำอย่างเร่งร้อน เกรงจะเกิดผลเสียอย่างใหญ่หลวง ยกตัวอย่างว่า หากมีการจำหน่ายสารสกัดจากกัญชา แล้วประชาชนไปซื้อ นำไปใช้ต่างประเทศ ปรากฎว่าถูกจับ เพราะทางนั้นมองว่าเป็นสารเสพติด อาจจะโดนโทษถึงขั้นประหารชีวิต ตนไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ เพราะฉะนั้น ทุกอย่างต้องทำอย่างรอบคอบ ต้องใช้ทั้งเวลาและความพยายามในการเดินหน้านโยบายนี้
อันที่จริง ไม่อยากให้เรียกกัญชาว่ากัญชา แต่อยากให้เรียกเป็นสาร THC, CBD ซึ่งเป็นสารสำคัญในพืชชนิดนี้ เพื่อลบภาพยาเสพติดออกไป โดยสรุป กระทรวงสาธารณสุข ผลักดันการใช้กัญชาทางการแพทย์ และเริ่มเห็นผลเป็นรูปธรรม ในอนาคต หากสารสกัด CBD, THC ได้รับการยอมรับ เรื่องของกัญชาจะเปิดกว้างยิ่งขึ้น

นายอนุทิน กล่าวอีกว่า เหตุที่ต้องใช้หมอเดินหน้านโยบายเกี่ยวกับกัญชา เพราะหมอมีความน่าเชื่อถืออย่างยิ่งในสังคม แต่ตนไม่ได้บังคับให้ใครมาเดินหน้า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความสมัครใจ ถ้าคิดว่าไม่ใช่ ก็ไม่ต้องทำ แต่เพราะทางกระทรวงสาธารณสุข เห็นความสำคัญของกัญชา ในฐานะทางเลือกหนึ่งในการรักษาโรค นโยบายจึงเดินต่อ อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าบางส่วนของนโยบายกัญชา อาทิเรื่อง กัญชา 6 ต้น มีความยาก เกี่ยวพันกับความเชื่อ และหลายหน่วยงาน การจะทำให้สำเร็จต้องอาศัยช่องทางรัฐสภา เพื่อแก้กฎหมาย ซึ่งภูมิใจไทยได้ยื่นกฎหมายเข้าสู่สภาแล้ว ทั้งนี้ การยื่นกฎหมายมีใช่มีเพียงเอกสาร แต่กำลังรอข้อมูลสนับสนุนเรื่องคุณประโยชน์ของกัญชา ที่เก็บรวบรวมจากการใช้กัญชาทางการแพทย์กับผู้ป่วยในความรับผิดชอบของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเท่าที่ศึกษารายงานผล พบผลการรักษาเป็นที่น่าพอใจ ทั้งนี้ การใช้กัญชาทางการแพทย์ ที่ดำเนินการโดยกระทรวงสาธารณสุข เป็นเรื่องที่ทำได้โดยอำนาจของรัฐมนตรีว่าการฯ ดังนั้น จึงเห็นความคืบหน้าชัดเจนกว่าเรื่องอื่นที่ต้องอาศัยการแก้กฎหมายในสภา

“เรื่องกัญชา มันเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงานมาก แต่ในฐานะของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข คิดอยู่เสมอว่า มันต้องทำนโยบายนี้ให้เกิดความเป็นรูปธรรมสูงสุด และถ้าพูดเรื่องแก้กฎหมายในสภา ย่อมต้องใช้เวลา แต่บางเรื่องถ้าต้องผ่านทางนั้นก็ต้องทำ อาทิ เรื่อง 6 ต้น แต่เรื่องไหน มันไปทางอื่นได้ ก็ไปทางนั้น อย่างเช่นเรื่องกัญชาทางการแพทย์ ผมเอาเอกสารของกระทรวงฯมากาง แล้วดูว่าผมจะทำอะไรได้บ้าง ผมมีอำนาจอะไรบ้าง และผมทำตามอำนาจที่มี อาศัยว่ากล้าเซ็น กล้ารับ ก็เห็นความคืบหน้า นโยบายกัญชามีความสำคัญมาก เราต้องใช้ทุกช่องทางที่ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อขับเคลื่อนนโยบายนี้”

“อนุสรณ์”ชี้ผลเลือกตั้งซ่อมนครปฐมไม่ได้สะท้อนคะแนนนิยมรัฐบาล

People Unity : “อนุสรณ์”ชี้ผลเลือกตั้งซ่อมนครปฐมไม่ได้สะท้อนคะแนนนิยมรัฐบาล เหตุคะแนนผู้สมัครพรรคร่วมรัฐบาลไม่ใกล้เคียงกัน

วันที่ 24 ต.ค.2562 นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานและโฆษกคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้านและการมีส่วนร่วมของประชาชน กล่าวถึง ผลการเลือกตั้งซ่อมส.ส.เขต 5 นครปฐมว่า ผลคะแนนเลือกตั้งซ่อมที่ออกมารัฐบาลไม่สามารถทึกทักเอาเองได้เลยว่า เป็นเพราะประชาชนในเขตเลือกตั้งซ่อม ชื่นชอบในผลงานของรัฐบาล เพราะคะแนนของพรรคร่วมรัฐบาล 2 พรรคก็แตกต่างกันมาก ถ้าชอบรัฐบาลคะแนนของพรรคร่วมรัฐบาลที่ออกมาต้องใกล้เคียงกันมากกว่านี้ ระหว่างการหาเสียงมีการแฉกันไปมาระหว่างผู้สมัครของพรรคร่วมรัฐบาลว่า มีการระดมสรรพกำลัง บุคลากร ทรัพยากร ใช้อำนาจรัฐอย่างเอิกเกริกเข้าไปในพื้นที่ ผลคะแนนที่ออกมาจึงน่าจะมาจากการบริหารจัดการแบบพิเศษของแต่ละพรรคเองมากกว่า รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังประสบปัญหาวิกฤตศรัทธาอย่างหนัก เศรษฐกิจวิกฤต ส่งออกลด หนี้ครัวเรือนเพิ่มสูง คนตกงานพุ่ง ความเชื่อมั่นตกต่ำ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทำได้แค่ชิมช้อปใช้เฟส 2 ซึ่งไม่มีอะไรใหม่ นอกจากแจกเงินแล้วก็หมดไป ไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง จะไปหาคะแนนนิยมมาจากไหน

“แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามจุดพลุ เปิดประเด็น พล.อ.อภิรัตน์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ.จะเป็นนายกรัฐมนตรีต่อจากพล.อ.ประยุทธ์ นอกจากจะไม่ได้ช่วยอะไร ยังทำให้เกิดความสับสน วิกฤตศรัทธา ลุกลามขยายวงออกไป” นายอนุสรณ์ กล่าว

“จุรินทร์”มั่นใจจุดแข็ง”ผู้สมัคร-พรรค”เข้าวินเลือกตั้งซ่อม ส.ส.นครปฐม

People Unity : “จุรินทร์”มั่นใจจุดแข็ง ผู้สมัคร-พรรคทำได้ไว ทำได้จริง เข้าวินเลือกตั้งซ่อม ส.ส.นครปฐม ช่วยเสียงรัฐบาลแข็งแกร่ง

วันที่ 21 ตุลาคม 2562 เวลา 9.00 น. ทำเนียบรัฐบาล นายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการพาณิช กล่าวถึงการเลือกตั้งซ่อมส.ส.นครปฐม เขต 5 ว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้อันดับที่ 2 ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ส่วนการเลือกตั้งรอบนี้ถือว่ามีความหวัง แต่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับพี่น้องชาวสามพราน จังหวัดนครปฐม โดยจุดแข็งของเราก็คือ ผู้สมัครเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือ สจ. มาร่วม 11 ปี โดยต่อเนื่อง เมื่อลงสมัครรับเลือกตั้งได้อันดับที่สองคราวที่แล้ว หลังการเลือกตั้งก็ยังลงพื้นที่ตลอดระยะเวลาจนถึงการเลือกตั้งซ่อม เพราะฉะนั้นเป็นสิ่งที่ใกล้ชิดกับประชาชนอย่างต่อเนื่อง

จุดแข็งอีกอย่างหนึ่งคือ เป็นหนึ่งในไม่กี่คนของผู้สมัครที่เกิดที่สามพรานในเขตเลือกตั้งทำงานมาตลอดระยะเวลามีบทบาทในเรื่องการแก้ปัญหาการจราจร เป็นประธานชมรมอนุรักษ์แม่น้ำท่าจีนคูคลองต่างๆซึ่งสภาพแวดล้อมที่นี่ก็เกิดเป็นประเด็นปัญหา รวมทั้งมีหมู่บ้านจัดสรรที่ขาดการบริหารจัดการเข้าไปช่วยดูแลเพราะฉะนั้นต้องมีการประสานกับหน่วยงานท้องถิ่น ซึ่งคุณสุรชัยก็ได้ทำงานในพื้นที่มาโดยต่อเนื่อง

วันนี้พรรคประชาธิปัตย์ เข้าสู่ประชาธิปัตย์ยุคใหม่อุดมการทันสมัย “ทำได้ไว ทำได้จริง” ก็จะเป็นสิ่งที่มาช่วยเติมความเข้มแข็งกับผู้สมัครหมายเลข 3 ว่าอะไรที่สัญญาไว้เราทำได้ไวทำได้จริง ส่วนเรื่องกระแสของพรรคอื่น การแข่งขันเป็นเรื่องธรรมดา เพราะแข่งกัน 7 พรรค แต่สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ก็ถือว่ามีโอกาสมากทีเดียว

“ส่วนเรื่องการซื้อสิทธิ์ขายเสียง และโจมตีใส่ร้ายนั้นไม่อยากให้เกิดขึ้น เพราะว่าผิดกฎหมาย และการเลือกตั้งไม่สามารถเดินไปสู่การเลือกตั้งยุคใหม่ได้ การเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรม และกกต.ต้องเข้าไปดู เพราะเป็นหน้าที่โดยตรงไม่ให้เกิดสิ่งนี้ขึ้น” นายจุรินทร์ กล่าว

“ถาวร”เปิดเที่ยวบินฤดูหนาวสนามบินกระบี่ ชวนนักท่องเที่ยวมาไทย

People Unity News : “ถาวร”เปิดเที่ยวบินฤดูหนาวสนามบินกระบี่ ชวนนักท่องเที่ยวมาไทย ช่วยกระตุ้นรายได้ในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียง

วันที่ 2 พฤศจิกายน 2562 นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม “เบิกฟ้ารับท่องเที่ยวสู่ท่าอากาศยานกระบี่ Welcome High Season Krabi International Airport” โดยมีนายเจือ ราชสีห์ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พันตำรวจโท หม่อมหลวง กิติบดี ประวิตร ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ นายสมัย โชติสกุล ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม นายสมเกียรติ มณีสถิตย์ รองอธิบดีกรมท่าอากาศยาน นายอรรถพร เนื่องอุดม ผู้อำนวยการท่าอากาศยานกระบี่ ผู้บริหารกรมท่าอากาศยาน ผู้บริหารหน่วยงานสังกัดกระทรวงคมนาคม ภาครัฐ ภาคเอกชน สื่อมวลชน และหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวในจังหวัดกระบี่ เข้าร่วม เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2562 ณ ท่าอากาศยานกระบี่

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ได้กล่าวถึงการจัดกิจกรรม “เบิกฟ้ารับท่องเที่ยวสู่ท่าอากาศยานกระบี่ Welcome High Season Krabi International Airport” ว่าเป็นการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวและสายการบินได้ทราบถึงเส้นทางการท่องเที่ยวของไทยอีกเส้นทางหนึ่ง ที่ผ่านมาท่าอากาศยานกระบี่ถือเป็นท่าอากาศยานอันดับหนึ่งของกรมท่าอากาศยานที่มีศักยภาพในการรองรับผู้โดยสารทั้งจากในและต่างประเทศ โดยในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะเน้นย้ำและช่วยกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวมายังจังหวัดกระบี่และจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมให้เกิดการใช้จ่าย ก่อให้เกิดรายได้ในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ระดับชาวบ้านในชุมชน ผู้ประกอบการร้านอาหาร ที่พัก สายการบิน และการบริการขนส่งด้านต่างๆ เช่น รถเช่า เรือโดยสาร เป็นต้น

สำหรับงานในวันนี้ได้รับความร่วมมือที่ดีจากทุกภาคส่วนทั้งในด้านการขนส่งทางอากาศ เช่น ผู้ประกอบการสายการบินที่มาแสดงถึงความพร้อมให้บริการ และแนะนำเส้นทางบินใหม่แก่นักท่องเที่ยว จังหวัดกระบี่ ทั้งในส่วนของส่วนราชการ และวิสาหกิจชุมชนที่นำผลิตภัณฑ์สินค้าจากฝีมือของชาวบ้านมาจัดจำหน่ายและจัดแสดง รวมไปจนถึงผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว ที่มาร่วมประชาสัมพันธ์เส้นทางท่องเที่ยวที่น่าสนใจให้นักท่องเที่ยวได้ชมกัน ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นความร่วมมือที่ดี ที่จะมีส่วนสนับสนุนให้บรรยากาศการท่องเที่ยว รวมถึงเศรษฐกิจในภาพรวมเป็นไปอย่างดี

นอกจากนี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมยังได้กล่าวอีกว่า กระทรวงคมนาคม และกรมท่าอากาศยานได้ดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการสร้างเศรษฐกิจไทยให้เข้มแข็ง มีการกระจายรายได้อย่างทั่วถึง เพื่อลดความเหลื่อมล้ำให้กับประชาชน ซึ่งที่ผ่านมากรมท่าอากาศยานได้เน้นย้ำในเรื่องของภารกิจนอกจากการให้บริการด้านการขนส่งทางอากาศให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลแล้ว ยังส่งเสริมให้ท่าอากาศยานมีส่วนสนับสนุนกิจกรรมต่างๆของชุมชนและส่งเสริมให้ชุมชนเกิดรายได้อีกด้วย

ไม่ใช่เพื่อนเล่น! “สิระ”ลั่นหลังรุดฟังผลสอบ”คอนโดรุกป่ากะรน”

People Unity News : “สิระ”ลั่น!ไม่ใช่เพื่อนเล่น หลังฟังรายงานเขียนด้วยลายมือ ผลสอบ “คอนโดรุกป่ากะรน” ของรองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต

เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2562 ที่ผ่านมา นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคพลังประชารัฐ ได้เดินทางไปยังศาลากลางจังหวัดภูเก็ต เพื่อติดตามความคืบหน้ากรณีมีการร้องเรียนว่ามีการก่อสร้างคอนโดมิเนียมบนพื้นที่ป่า ซึ่งทางผู้ว่าราชการจังภูเก็ตนายภัคพงศ์ ทวิพัฒน์ ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง มีนายสุพจน์ รอดเรือง ณ อยุธยา รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธาน ใช้เวลา 30 วัน ตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคม

นายสิระได้เข้าเยี่ยมผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ก่อนจะเข้ารับฟังรายงานจากนายสุพจน์ โดยมีบรรดาหัวหน้าส่วนราชการ รวมทั้งนายกเทศบางตำบลกะทู้ เข้าร่วมด้วย ขณะที่ด้านนอกห้องประชุม มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งนำโดย ส.ท.เทศบาลตำบลกะทู้ มาถือป้ายขอให้ตรวจสอบลำคลองบริเวณหาดกะทู้ ที่ถูกระบุว่า ถูกโรงแรมแห่งหนึ่งถม

นายสุพจน์ ได้รายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงระบุว่า การตรวจสอบใน 3 ส่วนคือ 1.การทำผลกระทบสิ่งแวดล้อม ได้ดำเนินการถูกต้อง ซึ่งในช่วงแรกมีการทางคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมจังหวัดภูเก็ตได้สั่งให้มีการศึกษาเพิ่มเติม ซึ่งฝ่ายเอกชนได้ดำเนินการตามทั้งหมดแล้ว 2.การตรวจสอบว่า มีการบุกรุกพื้นที่ป่าหรือไม่ จากการตรวจสอบพบว่า มีการเข้าทำประโยชน์ก่อนการประกาศพื้นที่ป่า และไม่มีปัญหาเรื่องการพื้นที่ 30 องศา 3.การออกใบอนุญาตก่อสร้างของเทศบาลตำบลกะรนดำเนินการถูกต้องตามกฎหมาย ส่วนการออกเอกสารสิทธิ์จะต้องรอคำสั่งของศาลปกครอง

หลังฟังรายงาน นายสิระ ได้ให้ทางรองผู้ว่าราชการจังหวัด ได้ทำหนังสือรายงานมาเป็นลายลักษณ์อักษร และขอบันทึกการประชุมในการรายงานของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากในการรายงาน รองผู้ว่าราชการจังหวัด อ่านจากลายมือเขียนในสมุดบันทึก ไม่ได้เป็นรายงานตามแบบฟอร์มของราชการแต่อย่างใด

หลังฟังรายงานใช้เวลาไม่ถึง 10 นาทีนายสิระได้เดินทางกลับโดยขึ้นรถตู้ที่จอดรออยู่หน้าศาลากลางจังหวัด โดยไม่สนใจกลุ่มชาวบ้านที่ ส.ท.นำมาจะยื่นหนังสือแต่อย่างใด กลุ่มชาวบ้านพยายามปิดกั้นรถนายสิระแต่ตำรวจได้กันออกไป

นายสิระให้สัมภาษณ์ว่าได้ขอให้รองผู้ว่าฯทำหนังสือรายงานมาเป็นทางการและขอรายงานการประชุมด้วย เพราะฟังจากการรายงานยังไม่สามารถยืนยันข้อมูลได้ เพราะรายงานจากที่เขียนด้วยลายมือ

“มีรายงานตัวจริงเข้ามา ก็จะได้รู้ว่า ใครอุ้มใคร ใครทำหน้าที่ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง อยากเรียนว่า ผมไม่ใช่เพื่อนเล่น อย่ามาล้อเล่นกับผม ผมมีหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของข้าราชการเพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน ต้องการทวงผืนป่าให้แผ่นดิน” นายสิระ กล่าวทิ้งท้าย

“ปารีณา”สุดปลื้ม! “บิ๊กตู่”เตรียมขนครม.สัญจร”ราชบุรี-กาญจนบุรี”

People Unity News : “บิ๊กตู่” เตรียมขนคณะรัฐมนตรี เยือน”ราชบุรี-กาญจนบุรี” ประชุมครม.สัญจร ครั้งแรก ขณะที่ 3 สาว ส.ส.ราชบุรี พลังประชารัฐ ยินดีนายกฯลงพื้นที่ หวังพัฒนาภาคตะวันตก

เมื่อวันที่ 10 พ.ย. 2562 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 11 พ.ย.นี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม จะนำคณะรัฐมนตรี ลงพื้นที่ตรวจราชการ ที่จังหวัดราชบุรี และจังหวัดกาญจนบุรี พร้อมจะประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ เป็นครั้งแรก หลังมีรัฐบาลใหม่ โดยบรรยากาศ การเตรียมความพร้อมตามสถานที่ต่างๆ ที่พล.อ.ประยุทธ์ จะลงพื้นที่ เจ้าหน้าที่ ได้เตรียมพร้อมทั้งหมดแล้ว รวมถึงได้มีการกระจายกำลังดูแลความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกด้านการจราจรด้วย หลังเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ เรื่องให้โรงเรียนหยุด เพื่อลดปัญหาการจราจร

ขณะที่กำหนดการ พล.อ.ประยุทธ์ จะเดินทางมาถึงจังหวัดราชบุรี ตั้งแต่เวลา 08.30 น. โดยจะเริ่มด้วยการ นั่งเฮลิคอปเตอร์ ตรวจระบบโลจิสติกส์ โครงการทางหลวงแนวใหม่เชื่อมต่อ ที่สามแยกวังมะนาว ก่อนมาถึงโรงยิมเนเซี่ยม องค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี เพื่อเป็นประธานสักขีพยาน มอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ หรือ อยู่อาศัย ในพื้นที่เป้าหมายการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน พร้อมพบปะประชาชน

จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จะเดินทางต่อไปยังอำเภอดำเนินสะดวก เพื่อติดตามความก้าวหน้าโครงการพัฒนาคูคลอง โครงการพัฒนาการท่องเที่ยวทางน้ำ ซึ่งจุดนี้ จะมีการลงเรือด้วยส่วนช่วงบ่าย พล.อ.ประยุทธ์ จะตรวจเยี่ยมโครงการจัดระเบียบแพ ที่อำเภอเมืองกาญจนบุรี ก่อนพบปะประชาชน ที่โรงงานกระดาษไทย และช่วงค่ำ พล.อ.ประยุทธ์ จะร่วมลอยกระทงกับชาวกาญจนบุรีด้วย

โดยนางบุญยิ่ง นิติกาญจนา ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ บอกว่า รู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก ที่นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี มาประชุมแถบภาคตะวันตก ซึ่งในแถบภาคตะวันตก ที่ผ่านมา ยังมีการพัฒนาที่ไม่มากพอ ทำให้ประชาชนบางส่วน ต้องไปทำงานในภาคตะวันออก โดยการประชุมคณะรัฐมนตรี ภาคตะวันตก ก็หวังว่า ภาคตะวันตก จะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่งทำให้ประชาชนอยู่ดี กินดี เพราะพญามาเหยียบเมืองภาคตะวันตก ทุกอย่างต้องดีขึ้น นอกจากนี้ เชื่อว่า ความเจริญที่ครม.ลงมา ถ้าสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์ ทุกอย่างจะเปลี่ยนและดีขึ้น

ขณะที่ น.ส.กุลวลี นพอมรบดี ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ บอกว่า ขอขอบคุณนายกรัฐมนตรี และคณะที่เดินทางมา โดยถือว่า เป็นโอกาสที่ดีที่นายกฯมารับรู้ และรับฟังปัญหา ในสิ่งที่ชาวราชบุรี อยากให้เกิดขึ้น อาทิ ถนน แหล่งน้ำ ความเป็นอยู่ การพัฒนาภาคตะวันตก รวมถึงความเป็นไปได้ที่จะศึกษาโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันตก จึงขอฝากนายกฯมาร่วมด้วยช่วยกันพัฒนาภาคตะวันตก

ส่วน น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ก็บอกว่า พวกเราส.ส.ราชบุรี รู้สึกดีใจ ที่นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะรัฐมนตรี เดินทางมาเยืิอนจังหวัดราชบุรี ซึ่งการเดินทางมาเยือนครั้งนี้ ก็มีประชาชน รอต้อนรับ และเตรียมที่จะพบปะพูดคุย

คำวินิจฉัยโดยละเอียด ศาล รธน.ชี้ 8 ปีนายกฯ นับจากปี 60

People Unity News : วันนี้  (30 ก.ย.65) มติศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 วาระดำรงตำแหน่งนายกฯ ต้องเริ่มนับตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2560 บังคับใช้  “พล.อ.ประยุทธ์” ยังเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ถึง 8 ปี  จึงไม่สิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ  มาตรา 170 วรรคสอง

ศาลรัฐธรรมนูญออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัย  ในคดีที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งความเห็นของ  ส.ส.ฝ่ายค้านขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ  มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่าความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ  มาตรา 170 วรรคสอง ประกอบมาตรา 158 วรรคสี่หรือไม่  โดยศาลมีมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3  เห็นว่า  ความเป็นนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์  ยังไม่สิ้นสุดลง   โดยศาลรัฐธรรมนูญให้เหตุผลว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 170 บัญญัติว่าความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวเมื่อ  (1) ตาย (2) ลาออก (3) สภาผู้แทนราษฎรมีมติไม่ไว้วางใจ  (4) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 160  (5) กระทำการอันเป็นการต้องห้ามตามมาตรา 186 หรือมาตรา 187 (6) มีพระบรมราชโองการให้พ้นจากความเป็นรัฐมนตรีตามมาตรา 171

วรรค 2 บัญญัติว่า  นอกจากเหตุที่ทำให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามวรรคหนึ่งแล้ว  ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเมื่อครบกำหนดเวลาตามมาตรา 158 วรรคสี่ ด้วย  รัฐธรรมนูญมาตรา 158 วรรคสี่ บัญญัติว่า นายกรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งรวมกันแล้วเกิน 8 ปีมิได้  ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นการดำรงตำแหน่งติดต่อกันหรือไม่  แต่มิให้นับรวมระยะเวลาในระหว่างที่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปหลังพ้นจากตำแหน่ง  นอกจากนี้มาตรา 158 วรรคหนึ่ง วรรคสอง บัญญัติว่านายกรัฐมนตรีต้องแต่งตั้งจากบุคคลซึ่งสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบตามมาตรา 159 วรรคสาม บัญญัติว่าให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี

มาตรา 159 วรรค 1 บัญญัติว่าให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคล  ซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีจากบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 160 และเป็นผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา 88  เฉพาะจากบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองที่มีสมาชิกได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ไม่น้อยกว่าร้อยละ 5  ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร

วรรคสอง  บัญญัติว่าการเสนอชื่อตามวรรค 1  ต้องมีสมาชิกรับรองไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร   วรรคสาม  บัญญัติว่ามติของสภาผู้แทนราษฎรที่เห็นชอบการแต่งตั้งบุคคลใดให้เป็นนายกรัฐมนตรีต้องกระทำโดยการลงคะแนนโดยเปิดเผย   และมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร  และมาตรา 272 บัญญัติว่า ในระหว่าง 5 ปีแรกนับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้การให้ความเห็นชอบบุคคล  ซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีให้ดำเนินการตามมาตรา 159 เว้นแต่การพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา 159 วรรคสามต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้ง 2 สภา  วรรคสองบัญญัติว่า  ในระหว่างเวลาตามวรรคหนึ่ง   หากมีกรณีที่ไม่อาจแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีจากผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา 88  ไม่ว่าด้วยเหตุใด   และสมาชิกของทั้ง 2 สภารวมกันจำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง  ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา  เข้าชื่อเสนอต่อประธานรัฐสภาขอให้รัฐสภามีมติยกเว้นเพื่อไม่ต้องเสนอชื่อนายกรัฐมนตรี  จากผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา 88 ในกรณีเช่นนั้น  ให้ประธานรัฐสภาจัดให้มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภาโดยพลัน  และในกรณีที่รัฐสภามีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้ง 2 สภาให้ยกเว้นได้   ให้ดำเนินการตามวรรคหนึ่ง โดยจะเสนอชื่อผู้อยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา 88 หรือไม่ก็ได้

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  2560 กำหนดวิธีการได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีไว้ 2 กรณี   ซึ่งแตกต่างจากรัฐธรรมนูญทุกฉบับ คือการได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีตามมาตรา  159 และการได้มาซึ่งบุคคลที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 272   โดยการได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 159 มีหลักการสำคัญ  ว่าให้พิจารณาบุคคลที่สมควรดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี  จากที่พรรคการเมืองได้แจ้งชื่อไว้ต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งก่อนวันเลือกตั้ง  โดยจะต้องเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้   ซึ่งเป็นหลักการสำคัญตามที่ได้มา  ซึ่งนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ   ดังนั้นเมื่อผู้ถูกร้องได้รับความเห็นชอบตามมาตรา 159  ประกอบมาตรา 272 แต่ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี   ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 มาตรา 158 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2562 ผู้ถูกร้องจึงเป็นผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามหลักเกณฑ์และวิธีการของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 โดยบริบูรณ์และเป็นไปตามการบังคับใช้กฎหมายและความแน่นอนชัดเจนของกฎหมายกล่าวคือการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 158 วรรคสี่   ต้องพิจารณากระบวนการในการแต่งตั้งนายกตามมาตรา 158 ประกอบมาตรา 159   โดยเฉพาะเงื่อนไขในมาตรา 159 วรรคหนึ่งบอกว่า ให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี จากบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 160 และเป็นผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา 88   เฉพาะจากบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองที่มีสมาชิกได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่าร้อยละ 5  ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่มีความหมายเฉพาะเจาะจงตามเงื่อนไขแห่งรัฐธรรมนูญ 2560  บุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีจะต้องเป็นบุคคลอยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา 88 ของพรรคการเมืองที่มีสมาชิกพรรคการเมืองได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมากกว่าร้อยละ 5  ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดของสภาผู้แทนราษฎร

ผู้ถูกร้องได้รับพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 2557 มาตรา 19 วรรคหนึ่ง เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม  2557 ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามมติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภานิติบัญญัติแห่งชาติมาจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ  ถวายคำแนะนำ  เห็นได้ว่า ผู้ถูกร้องไม่ใช่นายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญปี 2560  ซึ่งต้องมีที่มาตามมาตรา 158 วรรคสอง  กล่าวคือได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร  แต่อย่างไรก็ตามรัฐธรรมนูญปี 2560 มีบทเฉพาะกาล มาตรา 264 วรรคหนึ่ง  บัญญัติว่าให้คณะรัฐมนตรีที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้   เป็นคณะรัฐมนตรีตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ จนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญนี้จะเข้ารับหน้าที่ และให้นำความตามมาตรา 263 วรรคสาม  มาใช้บังคับกับการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีโดยอนุโลม วรรคสองบัญญัติว่ารัฐมนตรีตามวรรคหนึ่ง  จะต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 2557  ต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามที่บัญญัติไว้สำหรับรัฐมนตรีตามมาตรา 160 ยกเว้นอนุมาตรา 6  ในส่วนที่เกี่ยวกับมาตรา 98 อนุมาตรา 12 ,13 ,14 ,15 และต้องพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 170  ยกเว้นอนุมาตรา 3 , 4  แต่ในกรณีตามอนุมาตรา 4 เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับมาตรา 98  อนุมาตรา 12 , 13 , 14 ,15 และยกเว้นมาตรา 170 อนุมาตรา 5 เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการดำเนินการตามมาตรา 184  อนุมาตรา 1 วรรคสามที่บัญญัติว่า การดำเนินการแต่งตั้งรัฐมนตรีในระหว่างเวลาตามวรรคหนึ่ง ให้ดำเนินการตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 2557 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557 แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 1 ปี 2558  และรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 2557  แก้ไขฉบับที่ 2 ปี 2559 ที่ต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามวรรคสอง  วรรคสี่ บัญญัติไว้ว่าให้นำความตามมาตรา 163 วรรคเจ็ด มาใช้บังคับแก่การสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของรัฐมนตรีตามวรรคสอง และวรรคสามโดยอนุโลม  ดังนั้นจึงมีปัญหาที่ต้องพิจารณาต่อไปว่า  จะถือว่าคณะรัฐมนตรี ซึ่งมีผู้ถูกร้องเป็นนายกรัฐมนตรี บริหารราชการแผ่นดินอยู่ก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2560 นั้นเป็นคณะรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญปี 2560 ด้วยหรือไม่

พิเคราะห์แล้วเห็นว่ารัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 264 วรรคหนึ่ง  เป็นบทบัญญัติที่มีความมุ่งหมาย 2 ประการ ประการแรก เพื่อให้บทบัญญัติที่ยืนยันถึงหลักความต่อเนื่องของคณะรัฐมนตรี กล่าวคือแม้คณะรัฐมนตรีซึ่งมีผู้ถูกร้องเป็นนายกรัฐมนตรี   จะเป็นคณะรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญฉบับอื่นอยู่ก่อนวันประกาศใช้บังคับรัฐธรรมนูญปี 2560 แต่เมื่อรัฐธรรมนูญปี 2560 ประกาศใช้บังคับเมื่อวันที่ 6 เมษายน  2560 แล้ว  ต้องถือว่าคณะรัฐมนตรีซึ่งแม้จะเข้าสู่ตำแหน่งรัฐมนตรีโดยรัฐธรรมนูญฉบับอื่นก็ตาม  ย่อมเป็นคณะรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญปี 2560  ตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน 2560  ซึ่งเป็นวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2560 เป็นต้นไป ตามบทเฉพาะการมาตรา 264

ประการที่สอง   เพื่อนำกฎเกณฑ์ของรัฐธรรมนูญที่ประกาศบังคับใช้ใหม่ ตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้มาบังคับใช้แก่คณะรัฐมนตรีที่มีอยู่ก่อนวันรัฐธรรมนูญปี 2560  ประกาศใช้ ซึ่งเป็นไปตามหลักที่คณะรัฐมนตรี   ที่บริหารราชการแผ่นดิน   ก่อนวันประกาศใช้บังคับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่  อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่ประกาศขึ้นมาใหม่ทุกประการทันที  เว้นแต่ในบทเฉพาะการจะมีข้อยกเว้น ว่ามิให้นำเรื่องใดมาใช้บังคับแก่คณะรัฐมนตรีที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้   ดังปรากฏในมาตรา 264 วรรคสอง ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวเป็นการยกเว้นไว้ในบางเรื่องเท่านั้น  ดังนั้นหากมิได้ประกาศยกเว้นบทบัญญัติเรื่องใดไว้ก็ต้องเป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่   ซึ่งความมุ่งหมายของมาตรา 264 จึงเป็นไปตามหลักทั่วไปของการใช้บังคับกฎหมาย  คือ กฎหมายย่อมมีผลบังคับใช้นับจากวันประกาศใช้  เมื่อรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2560 ย่อมมีความหมายว่าทุกบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มีผลใช้บังคับตามบทเฉพาะการทั่วไป เว้นแต่ในบทเฉพาะการมีการบัญญัติให้เรื่องใดยังไม่มีผลบังคับใช้   ดังนั้นไม่ว่ากรณีใดเมื่อรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ใช้บังคับ ทุกอย่างจึงต้องเริ่มนับทันที

กรณีตามมาตรา 158 วรรคสี่   ในเรื่องระยะเวลา 8 ปี   จึงต้องเริ่มนับทันที  นับแต่วันที่รัฐธรรมนูญปี 2560 มีผลบังคับใช้   จากหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น  จึงวินิจฉัยได้ว่าผู้ถูกร้องซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีที่บริหารราชการแผ่นดิน อยู่ในวันก่อนประกาศใช้รัฐธรรมนูญปี 2560 เป็นนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 158 วรรคสี่  ของรัฐธรรมนูญปี 2560

ข้อกล่าวอ้างที่ว่าคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 3-5/2550 และ คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 24/2564  เป็นการใช้กฎหมายย้อนหลังเพื่อเพิกถอนสิทธิทางการเมืองของกรรมการบริหารพรรคการเมืองและการสิ้นสุดสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มิใช่โทษทางอาญาสามารถกระทำได้  เช่นเดียวกับกรณีตามคำร้องในคดีนี้นั้น  เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำวินิจฉัยดังกล่าวเป็นกรณีเกี่ยวกับพรรคการเมืองกระทำการฝ่าฝืนกฎหมายว่าด้วยพรรคการเมือง  เป็นเหตุให้ถูกยุบพรรคและเป็นผลให้กรรมการบริหารพรรคการเมืองถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมืองและเป็นกรณีลักษณะต้องห้ามของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  อันเป็นเหตุให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง  และทั้งสองกรณีดังกล่าวมีบทบัญญัติของกฎหมายที่เขียนไว้โดยชัดเจน  ว่าให้มีผลย้อนหลังได้  เพราะเป็นการกระทำฝ่าฝืนกฎหมายหรือขาดคุณสมบัติมาตั้งแต่แรก แต่บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ใช้บังคับ  มิได้บัญญัติกรณีการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีตามระยะเวลาที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ให้มีผลย้อนหลังได้  คำวินิจฉัยทั้งสองดังกล่าวจึงเป็นคนละกรณีกับข้อเท็จจริงในคดีนี้   ซึ่งเป็นกรณีเกี่ยวกับการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามระยะเวลาที่รัฐธรรมนูญกำหนด  อันเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลง   ซึ่งมีหลักการและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่ต่างกัน จึงไม่อาจนำมาเทียบเคียงกันได้

ส่วนข้ออ้างของผู้ร้องที่ว่าบันทึกการประชุมคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ  (กรธ.) ครั้งที่ 500 วันศุกร์ที่  7 กันยายน 2561  ระบุเจตนารมณ์การจำกัดระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ  มาตรา 158 วรรคสี่  ไว้อย่างชัดเจน  ประกอบกับการประชุมดังกล่าวประธาน กรธ. และรองประธาน กรธ.คนที่ 1 ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับการนับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งอยู่ก่อนวันที่รัฐธรรมนูญ 2560 ใช้บังคับว่า บุคคลใดก็ตามที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วยวิธีการใดก็ตาม  ก่อนวันที่รัฐธรรมนูญนี้ประกาศใช้บังคับ ก็สามารถนับรวมระยะเวลาดังกล่าวกับระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ 2560 ได้   ซึ่งเมื่อนับรวมระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต้องมีระยะเวลาไม่เกิน 8 ปีนั้น  เห็นว่า การประชุมดังกล่าวเป็นการประชุมเพื่อพิจารณาความมุ่งหมายและคำอธิบายประกอบรายมาตราของรัฐธรรมนูญ 2560  ซึ่งเป็นเพียงการอธิบายแนวความคิดของ กรธ.   และการจัดทำบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญในมาตราต่างๆว่ามีความมุ่งหมายอย่างไร  เป็นการพิจารณาภายหลังรัฐธรรมนูญ 2560 ประกาศใช้บังคับเป็นเวลาถึง 1 ปี 5 เดือน   ประกอบกับความเห็นของประธาน กรธ.และรองประธาน กรธ.คนที่ 1 ที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง   มิได้นำไประบุไว้เป็นความมุ่งหมายหรือคำอธิบายประกอบรายมาตราของรัฐธรรมนูญ มาตรา 158 นอกจากนี้ตามบันทึกการประชุมและรายงานการประชุมของ กรธ.ที่พิจารณาเกี่ยวกับการกำหนดระยะเวลาการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีตาม มาตรา 158 วรรคสี่  ไม่ปรากฎประเด็นในการพิจารณาหรืออภิปรายเกี่ยวกับการนับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี  ว่าสามารถนับรวมระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งอยู่ก่อนวันที่รัฐธรรมนูญนี้ประกาศใช้บังคับด้วย   การกำหนดเวลาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 158 วรรคสี่   จึงมีความหมายเฉพาะการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ 2560

ดังนั้น เมื่อรัฐธรรมนูญ  2560 ประกาศใช้บังคับในวันที่ 6 เมษายน  2560 และผู้ถูกร้องดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ตามบทเฉพาะกาล  มาตรา 264 การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของผู้ถูกร้อง  จึงเป็นการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีภายใต้รัฐธรรมนูญนี้   จึงอยู่ภายใต้บังคับมาตรา 158 วรรคสี่  ทั้งนี้ การให้คณะรัฐมนตรีที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนการประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ เป็นคณะรัฐมนตรีตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้  จะต้องถือเอาวันที่รัฐธรรมนูญประกาศใช้เป็นวันเริ่มต้นเข้ารับตำแหน่ง ด้วยเหตุนี้ ผู้ถูกร้องจึงดำรงนายกรัฐมนตรีตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ  มาตรา 264 ของรัฐธรรมนูญ 2560 นับตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน  2560 ถึงวันที่ 24 สิงหาคม  2565  ผู้ถูกร้องจึงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ยังไม่ครบกำหนดเวลาตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 158 วรรคสี่   ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีผู้ถูกร้อง จึงไม่สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสอง  ประกอบมาตรา 158 วรรคสี่  อาศัยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น  ศาลรัฐธรรมนูญโดยมติเสียงข้างมาก  6 ต่อ  3  จึงวินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีผู้ถูกร้องไม่สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา  170 วรรคสอง ประกอบมาตรา 158 วรรคสี่

Advertisement

“เศรษฐา” รอยินดี “พล.อ.ประยุทธ์” เป็นองคมนตรี

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 30 พฤศจิกายน 2566 “เศรษฐา” รอเจอ “พล.อ.ประยุทธ์” ตามงาน แสดงความยินดีได้เป็นองคมนตรี เพราะไม่มีเบอร์ส่วนตัว

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนต่ว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงประกาศราชกิจจานุเบกษาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี เป็น องคมนตรี ว่า “ยังไม่ได้แสดงความยินดี หากเจอตามงานก็จะแสดงความยินดีด้วย ผมไม่ได้มีเบอร์โทรศัพท์ท่าน”

Advertisement

ร.ท.หญิงสุณิสาระบุโครงการ 100 เดียวเที่ยวทั่วไทย และเที่ยววันธรรมดาราคาช็อคโลก

People Unity News : ร.ท.หญิงสุณิสาระบุโครงการ 100 เดียวเที่ยวทั่วไทย และเที่ยววันธรรมดาราคาช็อคโลก ของรัฐบาลประยุทธ์ จะล้มเหลวในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับ โครงการ ชิม ช็อป ใช้ และ ถือเป็นการใช้เงินงบประมาณอย่างไม่คุ้มค่า

วันที่ 11 พ.ย.2562 ร.ท.หญิงสุณิสา ทิวากรดำรง รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า โครงการ 100 เดียวเที่ยวทั่วไทย และเที่ยววันธรรมดาราคาช็อคโลกของรัฐบาลประยุทธ์ ซึ่งใช้งบประมาณจาก งบกลาง จำนวน 116 ล้าน บาท รวม 2 โครงการ จะไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ อย่างเป็นรูปธรรมและถือเป็นการใช้เงินงบประมาณอย่างไม่คุ้มค่า โดยเฉพาะ มาตรการ 100 เดียวเที่ยวทั่วไทยที่เริ่มโครงการในวันนี้ เป็นเพียงโครงการประชานิยมที่ไม่ได้สร้างกำลังซื้อให้ประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งยังไม่มีผลต่อการกระตุ้น GDP เพราะการเพิ่ม GPD จากรายได้จากการท่องเที่ยว เพื่อให้เกิดการกระจายรายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ ต้องทำโดยการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศ ไม่ใช่ด้วยการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ

ซึ่งที่ผ่านมา ก็มีนักเศรษฐศาสตร์ทักท้วงเรื่องนี้ แล้ว โดยชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวของโครงการชิมช็อปใช้ทั้ง 2 เฟส ที่ไม่สามารถสร้างรายได้ให้ภาคการท่องเที่ยวได้ตามเป้า เพราะคนส่วนใหญ่เลือกใช้สิทธิ์ซื้อของกินของใช้มากกว่าไปเที่ยว เม็ดเงิน 10,667ล้านบาท ที่รัฐบาลเทลงไปจึงไหลไปสู่ภาคการท่องเที่ยวเพียง 0.01 เปอร์เซ็นต์หรือ ราว 141 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งรัฐบาลเองก็ยอมรับว่ารายได้ในส่วนของการท่องเที่ยวนั่นต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ แต่รัฐบาลประยุทธ์ก็ไม่เข็ดและยังจะทำผิดซ้ำซากอีก ซึ่งสะท้อนว่ารัฐบาลประยุทธ์ขาดความระมัดระวังในการใช้เงินงบประมาณของประเทศ และลงทุนด้วยความเสี่ยง โดยไม่มีตัวชี้วัดที่ชัดเจนเลยว่าผลตอบแทนจะคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่ใช้ไปหรือไม่ เพราะรัฐบาลย่อมไม่รู้ล่วงหน้าว่าประชาชน 40,000 ราย ที่จะใช้สิทธิ์ในโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวดังกล่าว จะมีพฤติกรรมการใช้จ่ายเงินอย่างไร แล้วรัฐบาลจะคำนวณผลตอบแทนที่จะกลับเข้ามาในระบบเศรษกิจได้อย่างแม่นยำได้อย่างไร

นอกจากนี้ ตัวเลขทางเศรษฐกิจหลายตัวก็มีสัญญาณไม่ดีเลยโดยเฉพาะดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในภาพรวม ก็ตกต่ำอย่างต่อเนื่องมาตลอด ภายหลังการรัฐประหาร โดยข้อมูลของกองดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในภาพรวม ประจำเดือน ต.ค 62 อยู่ที่ระดับ 46.3 ซึ่งต่ำกว่าระดับ 50 แปลว่าคนไทย ไม่กล้าใช้จ่าย เพราะมีความรู้สึกว่าเศรษฐกิจไม่ดี แล้ว พล.อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจไปพกเอาความมั่นใจจากไหนมา ทำไมถึงคิดจะกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการท่องเที่ยวทั้ง ๆ ที่ คนไทยกำลังท้อแท้สิ้นหวัง มีคนตกงานเป็นแสน ๆ คน และเป้าหมายการส่งออกก็หดตัว ทั้งยัง มีข่าวคนฆ่าตัวตายหนีหนี้รายวัน นอกจากนี้ เพื่อความโปร่งใสของโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าว รัฐบาลต้องแจกแจงรายชื่อผู้ประกอบการที่ได้ส่วนแบ่งจากเงินอุดหนุน 116 ล้านบาทของรัฐบาล เพื่อให้สังคมเห็นว่าเม็ดเงินดังกล่าวกระจายไปอย่างทั่วถึง หรือกระจุกตัวอยู่ที่ผู้ประกอบการแค่บางกลุ่มกันแน่ รวมทั้ง ต้องเปิดเผยรายชื่อประชาชน 40,000 รายที่ได้สิทธิ์ในโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวของรัฐบาลว่ามีตัวตนจริงหรือไม่ หรือเป็นแค่นายหน้าที่เข้ามาจองสิทธิ์แทนผู้ประกอบการบางรายเพื่อหวังเงินอุดหนุนจากรัฐบาล ในวงเงิน 116 ล้านบาทกันแน่ ทั้งนี้ แม้มูลค่าโครงการจะไม่สูง มีมูลค่าเพียงหลักร้อยล้านต้น ๆ แต่ก็เป็นเงินของแผ่นดิน ต่อให้เป็นการใช้งบประมาณเพียงบาทเดียว รัฐบาลก็ต้องใช้อย่างรอบคอบระมัดระวังและต้องใช้เงินด้วยความรับผิดชอบเพราะเป็นเงินของส่วนรวม นอกจากนี้ รัฐบาลประยุทธ์ควรหยุดทำให้ประชาชนเสพติดการแจกเงิน และควรฟังคำทักท้วงของทุกฝ่าย โดยเฉพาะ IMF ที่เตือนให้รัฐบาลระวังการใช้นโยบายประชานิยม แต่รัฐบาลควรกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการสร้างงาน สร้างอาชีพ และกระตุ้นการผลิต ซึ่งจะเป็นการสร้างกำลังซื้อที่ยั่งยืน ทั้งนี้ รัฐบาลประยุทธ์ควรดูตัวอย่างประเทศซึ่งมีรากฐานเศรษฐกิจที่แข่งแกร่ง เช่น ญี่ปุ่น ซึ่งกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการลดค่าครองชีพประชาชน เช่น ลดภาษีการบริโภคอาหารบางประเภท เพื่อให้คนญี่ปุ่นมีเงินเหลือในการบริโภค ในขณะที่ อินโดนีเซีย ซึ่งโดนสหรัฐตัด GSP เหมือนไทย เขาใช้วิธีกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการส่งเสริมการส่งออกในอุตสาหกรรมที่ไม่ใช้น้ำมันและก๊าซ เพื่อเพิ่ม GDP ไม่มีชาติไหนเน้นการแจกเงิน ดังนั้น พล.อ. ประยุทธ์ควรเปลี่ยนแนวคิดในการใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดิน และควรยึดถือคำสอนของพระราชาในอดีตที่สอนให้ประชาชนจับปลา ไม่ใช่เอาปลาไปแจกประชาชน.

Verified by ExactMetrics