วันที่ 14 กรกฎาคม 2025

แพทย์แนะสังเกตสัญญาณเตือนมะเร็งหัวใจ เพื่อการรักษาทันท่วงที

People Unity News : 1 กุมภาพันธ์ 2566 กรมการแพทย์ โดยโรงพยาบาลราชวิถี เผย “มะเร็งหัวใจ” โรคร้ายที่สามารถพบได้ในทุกเพศทุกวัย แต่พบได้น้อยมาก อีกทั้งยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิดโรคและปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคที่แน่ชัด ควรหมั่นสังเกตอาการของตนเองเพื่อการรักษาที่ทันท่วงที

นายแพทย์ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า มะเร็งหัวใจ (Cardiac cancer หรือ Heart cancer) เป็นโรคที่พบได้น้อยมาก แต่สามารถพบได้ในทุกเพศทุกวัย โดยส่วนใหญ่เป็นมะเร็งของอวัยวะอื่นๆ แล้วกระจายมาที่หัวใจ เช่น มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ มะเร็งเต้านม ซึ่งสามารถแพร่กระจายมาที่หัวใจได้ แต่ถ้าเป็นมะเร็งหัวใจเองส่วนใหญ่เกิดจากเซลล์ผนังหลอดเลือดที่เรียกว่า Angiosarcoma ส่วนที่เกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจเรียกว่า Rhabdomyosarcoma ซึ่งมะเร็งหัวใจของทั้ง 2 กลุ่มนี้ไม่ค่อยตอบสนองต่อการฉายแสงและยาเคมีบำบัด จึงต้องใช้วิธีรักษาด้วยการผ่าตัดเพื่อเอามะเร็งออกให้หมด

โดยมะเร็งหัวใจแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ มะเร็งหัวใจปฐมภูมิ ได้แก่ มะเร็ง Angiosarcoma, Rhabdomyosarcoma, Fibrosarcoma, Malignant schwannoma, Mesothelioma และมะเร็งหัวใจทุติยภูมิ (Secondary cardiac cancer หรือ Metastatic cardiac cancer) ได้แก่ มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งผิวหนังเมลาโนมา มะเร็งหลอดอาหาร เป็นต้น

นายแพทย์จินดา โรจนเมธินทร์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชวิถี กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิดโรค รวมถึงยังไม่ทราบว่าอะไรเป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคที่แน่ชัด โดยอาการของมะเร็งหัวใจมักจะมาด้วยอาการเหล่านี้ ได้แก่ เหนื่อยง่าย หอบ ไอเรื้อรัง มีไข้ต่ำๆ หน้าบวม คอบวม หลอดเลือดดำที่คอโป่ง ตับโต ท้องมานเพราะมีน้ำในช่องท้อง หรือขาบวมกดบุ๋มทั้งสองข้าง

สำหรับการตรวจวินิจฉัยมะเร็งหัวใจทำได้โดยการตรวจประวัติทางการแพทย์ต่างๆ ที่สำคัญคือประวัติอาการของผู้ป่วย การตรวจสัญญาณชีพ การตรวจฟังเสียงเต้นของหัวใจด้วยหูฟัง การตรวจร่างกาย การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ การตรวจเอคโคหัวใจ การตรวจสืบค้นอื่นๆ เพิ่มเติมตามดุลยพินิจของแพทย์ ซึ่งเป็นการตรวจที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น การตรวจภาพหัวใจด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT) และหรือเอ็มอาร์ไอ (MRI) การตรวจภาพและหลอดเลือดหัวใจด้วยการฉีดสีเข้าหลอดเลือดแดง (Cardiac angiography) และการตรวจก้อนเนื้อหรือรอยโรคด้วยการดูดเซลล์มาตรวจที่เรียกว่า การตรวจทางเซลล์วิทยา และหรือการตัดชิ้นเนื้อจากก้อนเนื้อเพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา

ทั้งนี้ การรักษาจะเป็นการผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออกให้หมด ด้วยการผ่าตัดเปิดหัวใจโดยตรง (Open heart surgery) และรักษาต่อเนื่องด้วยการให้ยาเคมีบำบัดตามชนิดของแต่ละเซลล์มะเร็ง ซึ่งการรักษาร่วม ทั้งผ่าตัด การให้ยาเคมีบำบัด การฉายแสง จะขึ้นกับระยะของโรค ขนาดและชนิดของมะเร็ง อย่างไรก็ตาม เมื่อร่างกายเกิดความผิดปกติควรรีบพบแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างถูกต้องต่อไป

Advertisement

 

เตือนอย่าหลงเชื่อ “ปลาเหล็ก-กระทะเหล็ก” รักษาโรคโลหิตจาง ชี้อาหารที่มีธาตุเหล็กดีที่สุด

People Unity News : 24 มกราคม กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เตือนอย่าหลงเชื่อกรณีการส่งต่อข้อมูลบนโลกออนไลน์เกี่ยวกับปลาเหล็กและกระทะเหล็กช่วยเพิ่มธาตุเหล็กจากการปรุงประกอบอาหาร เนื่องจากยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอในการป้องกันแก้ไขปัญหาโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก ชี้ร่างกายควรได้รับธาตุเหล็กจากการกินอาหารที่มีสารอาหารครบในปริมาณที่เพียงพอ และวิตามินตามคำแนะนำของแพทย์

ดร.นพ.สราวุฒิ บุญสุข รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า จากกรณีการส่งต่อข้อมูลบนโลกออนไลน์ เกี่ยวกับปัญหาการขาดธาตุเหล็ก โดยมีข้อมูลงานวิจัยที่ระบุว่าการนำปลาเหล็กลงไปร่วมปรุงประกอบอาหาร เพื่อจะช่วยเพิ่มธาตุเหล็กในอาหารนั้น จากข้อมูลเชิงวิชาการพบว่า ปลาเหล็กที่ได้รับการเตรียมตามสูตรดังกล่าว (Lucky Iron Fish) สามารถให้ธาตุเหล็กเมื่อต้มในน้ำเดือดได้จริง แต่ผลจากการวิจัยชี้ให้เห็นว่า การดูดซึมและการที่ร่างกายนำธาตุเหล็กไปใช้ (Iron Bioavailability) น้อยมาก เมื่อเทียบกับการได้รับวิตามินเสริมธาตุเหล็ก Ferrous Sulfate จึงไม่พบการเพิ่มขึ้นของระดับเฟอร์ริติน (Ferritin) ที่เป็นโปรตีนที่จับกับธาตุเหล็กในเม็ดเลือดแดง ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาการขาดธาตุเหล็กหรือโรคโลหิตจางได้ ดังนั้น ปลาเหล็กจึงไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอในการป้องกันแก้ไขปัญหาโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก

นอกจากนี้ ยังพบอีกว่า มีการส่งต่อข้อมูลการขายสินค้ากระทะเหล็ก ที่อวดอ้างสรรพคุณว่ามีธาตุเหล็กและช่วยเพิ่มธาตุเหล็กในอาหาร ถือเป็นการโฆษณาเกินจริง เพราะยังไม่มีงานวิจัยใดสามารถยืนยันได้ สาเหตุหลักที่ผู้ปรุงอาหารนิยมนำกระทะเหล็กมาใช้ปรุงประกอบอาหาร เพราะร้อนเร็ว ให้ความร้อนสูง ใช้เวลาในการปรุงอาหารน้อย และยังทำให้อาหารสูญเสียคุณค่าทางโภชนาการน้อยลง แต่ข้อเท็จจริงคือ ความร้อนสูงที่ใช้ในการปรุงจะทำให้อาหารไขมันสูงบางชนิดก่อให้เกิดสารเคมีที่ไม่ดีต่อสุขภาพ หากไม่ระวังให้ดี การปรุงอาหารด้วยกระทะเหล็กอาจทำให้อาหารไหม้ได้ง่าย ดังนั้น การปรุงอาหารด้วยกระทะเหล็กจะดีต่อสุขภาพหรือไม่ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ โดยเฉพาะอาหารหรือวัตถุดิบที่ใช้ ปริมาณ และชนิดของน้ำมันที่ใช้ในการปรุงอาหารอีกด้วย

ดร.นพ.สราวุฒิ กล่าวต่อไปว่า การขาดธาตุเหล็กส่วนใหญ่ก็มักจะเกิดกับผู้หญิง สาเหตุส่วนใหญ่มาจากการมีประจำเดือน และในกลุ่มคนที่ไม่กินเนื้อสัตว์ รวมไปถึงหญิงตั้งครรภ์ หญิงให้นมบุตร ร่างกายต้องการธาตุเหล็กเพื่อนำมาสร้างเม็ดเลือดแดง โดยสามารถสังเกตอาการของการขาดธาตุเหล็ก คือ อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ตัวซีด เปลือกตาด้านในซีด เจ็บป่วยง่าย เนื่องจากเลือดไม่มีธาตุเหล็กเพียงพอ ซึ่งนำไปสู่ภาวะโลหิตจาง ข้อมูลจากการสำรวจด้านโภชนาการของเด็กในภูมิภาคเอเชีย Southeast Asian Nutrition surveys (SEANUTS) ปี 2554-2555 พบว่าเด็กไทยอายุ 6 เดือน-12 ปี มีความชุกภาวะโลหิตจางร้อยละ 10.4 โดยพบความชุกในเขตชนบทสูงกว่าเขตเมืองถึง 2 เท่า และจากรายงานสำรวจสุขภาพประชาชนไทย โดยการตรวจร่างกาย

ครั้งที่ 5 พ.ศ.2556-2557 พบความชุกโลหิตจางในกลุ่มหญิงวัยเจริญพันธุ์ อายุ 15-45 ปี ร้อยละ 22.7 รวมถึงข้อมูลจากระบบคลังสุขภาพกระทรวงสาธารณสุข ยังพบความชุกโลหิตจางในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ ตั้งแต่ ปี 2562-2564 พบร้อยละ 16.4, 15.1 และ 14.6 ตามลำดับ

“การส่งเสริมสุขภาพในทุกกลุ่มวัย มีผลต่อการพัฒนาศักยภาพของประชากรไทยในระยะยาว กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข จึงเร่งดำเนินงานแก้ไข ผลักดันนโยบายและรูปแบบการบริการต่างๆ เพื่อให้หญิงไทยได้รับการส่งเสริมภาวะโภชนาการป้องกันภาวะโลหิตจาง โดยตั้งแต่ปี 2562-2564 เด็กอายุ 6 เดือน-5 ปี ได้รับยาน้ำเสริมธาตุเหล็กร้อยละ 47.28, 62.77 และ 70.57 ตามลำดับ และตั้งแต่ปี 2562-2564 เด็กอายุ 6-12 ปี ได้รับยาเม็ดเสริมธาตุเหล็ก ร้อยละ 43.20, 32.51 และ 30.02 ตามลำดับ นอกจากนี้ หญิงตั้งครรภ์ยังได้รับยาเม็ดเสริมไอโอดีน ธาตุเหล็ก และกรดโฟลิก ร้อยละ 75.89, 79.46 และ 80.61 ตามลำดับ รวมทั้งการส่งเสริมพฤติกรรมการกินอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง ได้แก่ 1) เนื้อสัตว์ต่างๆ โดยเฉพาะเนื้อแดง เลือด ตับ เครื่องในสัตว์ ไข่แดง ปลา เป็ด ไก่ และอาหารทะเล 2) ธัญพืช เช่น ซีเรียล ข้าวโอ๊ต จมูกข้าวสาลี แป้ง และถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ เป็นต้น และ 3) ผักใบเขียวเข้ม เช่น คะน้า ตำลึง ผักโขม ผักบุ้ง บรอกโคลี หน่อไม้ฝรั่ง เป็นต้น และควรกินผลไม้ที่เป็นแหล่งของวิตามินซี เช่น ส้ม ฝรั่ง มะละกอ สตรอว์เบอร์รี ส้มโอ กีวี เป็นต้น ร่วมกับอาหารในมื้อนั้น จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กไปใช้ได้ง่ายขึ้น” รองอธิบดีกรมอนามัยกล่าว

Advertisement

อันตราย!! อย.เตือน “ขนมควันทะลัก” ใส่ไนโตรเจนเหลว

People Unity News : 22 มกราคม 66 จากกรณีรัฐบาลอินโดนีเซียเตือนภัย พบเด็กป่วยหลังกินขนมผสมไนโตรเจนเหลว โดยทำตามคลิปที่มีการกินขนมพร้อมพ่นควันสีขาวออกมาจากปาก อย.มีความห่วงใย ขอให้หลีกเลี่ยงการกิน สัมผัส หรือสูดดมไนโตรเจนเหลวโดยตรง เสี่ยงอันตรายโดยคาดไม่ถึง

นพ.วิทิต สฤษฎีชัยกุล รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า จากกรณีรัฐบาลอินโดนีเซียเตือนการใช้ไนโตรเจนเหลวในอาหารพร้อมรับประทาน หลังพบเด็กมีอาการแสบท้องและท้องเสีย หลังกินขนมท้องถิ่น “ชิกิ เกบุล” ซึ่งทำตามคลิปวิดีโอกินขนมพร้อมพ่นควันสีขาวออกมาจากปากนั้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มีความห่วงใย การใช้ไนโตรเจนเหลวในอาหารพร้อมบริโภค เพื่อให้เกิดควันพวยพุ่งออกมา ซึ่งเป็นการปลุกกระแสสร้างความแปลกใหม่ ดึงดูดลูกค้าให้ซื้อสินค้าไปรับประทาน หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “ขนมควันทะลัก” หรือการดัดแปลงนำไนโตรเจนเหลวมาใช้ใส่ในอาหาร เพื่อทำให้แข็ง เช่น ราดหรือผสมลงในไอศกรีม ราดลงบนขนมให้แข็งตัว การใช้ในลักษณะดังกล่าว ผู้ใช้ต้องมีความระมัดระวัง และต้องใช้ไนโตรเจนเหลวที่มีคุณภาพตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 281) พ.ศ. 2547 เรื่อง วัตถุเจือปนอาหาร และปฏิบัติตามเงื่อนไขการใช้ที่กำหนดในประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 418) พ.ศ. 2563 หากตรวจพบว่ามีการใช้ไนโตรเจนเหลวในปริมาณมากจนเกินเหตุและเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค ถือว่าเป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายอาหารไม่บริสุทธิ์ มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

รองเลขาธิการ อย. กล่าวย้ำว่า สำหรับผู้บริโภค ขอให้หลีกเลี่ยงการกิน สัมผัส หรือสูดดมโดยตรง เสี่ยงได้รับอันตรายโดยคาดไม่ถึง เพราะไนโตรเจนเหลวมีอุณหภูมิที่ต่ำมาก เมื่อสัมผัสถูกผิวหนังหรือเนื้อเยื่อ ไนโตรเจนเหลวจะดูดซับความร้อนจากผิวหนัง เพื่อการระเหยอย่างรวดเร็ว และทำให้ผิวหนังหรือเนื้อเยื่อถูกทำลายจากความเย็นจัด หรือหากสูดดมโดยตรงอาจทำให้หมดสติได้ การกินอาหารประเภทนี้ ต้องรอให้ควันของไนโตรเจนเหลวระเหยออกไปให้หมดก่อน จึงจะกินได้ หากผู้บริโภคไม่แน่ใจในคุณภาพหรือความปลอดภัยของอาหาร พบเห็นผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือไม่ได้รับความปลอดภัยจากการบริโภค สามารถร้องเรียนมาได้ที่สายด่วน อย. 1556 Line @FDAThai, Facebook FDAThai หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ

Advertisement

ธ.ออมสินแนะวิธีป้องกันตัว มิให้ถูกมิจฉาชีพออนไลน์หลอกลวง

People Unity News : 18 มกราคม 66 รายงานข่าวจากธนาคารออมสิน แจ้งว่า ขณะนี้ได้มีกลุ่มมิจฉาชีพใช้กลอุบายหลากหลายสารพัดรูปแบบหลอกลวงประชาชนทำให้มีผู้เสียหายเพิ่มมากขึ้น ทั้งการส่งข้อความเข้าโทรศัพท์มือถือล่อลวงว่าได้รับวงเงินฟรีโดยให้กดลิงก์เพื่อดูดข้อมูลและเงินในบัญชี หรือ การแอบอ้างชื่อและโลโก้ของธนาคารทำโฆษณาหลอกลวงบนโซเชียลมีเดีย หากหลงเชื่อลงทะเบียนผ่านช่องทางต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Facebook  Line ทางโทรศัพท์มือถือ ทั้งที่เป็นส่งมาทางข้อความหรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทร.เข้า ประชาชนจะสูญเสียเงินแบบไม่ทันตั้งตัว โดยที่ธนาคารหรือหน่วยงานรัฐไม่อาจช่วยเหลือป้องกันใด ๆ ได้ทัน

ดังนั้น จึงขอย้ำเตือนให้ลูกค้าและประชาชนเพิ่มความระมัดระวังให้มากยิ่งขึ้น ไม่พูดคุยโทรศัพท์กับคนที่ไม่รู้จัก อย่าหลงเชื่อกดรับสิทธิ์จากลิงก์เงินกู้ผ่าน SMS หรือ Line ในเฟซบุ๊ก ไม่ดาวน์โหลดโปรแกรมนอกเหนือจากแหล่งที่ได้รับการควบคุมและรับรองความปลอดภัยจากผู้พัฒนาระบบปฏิบัติการที่เป็น Official Store อาทิ Play Store หรือ App Store ไม่กรอกข้อมูลส่วนตัว เลขรหัส OTP เลขที่บัญชีเงินฝาก เลขบัตรประจำตัวประชานชนในแอปพลิเคชันที่ส่งมาให้โดยที่ไม่รู้จักเด็ดขาด อัพเดท Mobile Banking ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดอยู่เสมอ และขอย้ำอีกครั้งว่าธนาคารไม่มีนโยบายสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลจากลูกค้าและไม่มีนโยบายแจ้งอนุมัติสินเชื่อให้ทำรายการผ่าน SMS หรือ Line ในเฟซบุ๊ก ทั้งนี้ ธนาคารได้มีการปรับปรุงพัฒนาระบบรักษาความปลอดภัยบน Mobile Banking อย่างต่อเนื่อง ขอให้สังเกต Line Official Account ของจริงจะปรากฏโล่สีเขียวหรือโล่สีน้ำเงินตรงกลางมีดาวสีขาว และขอให้ประชาชนติดตามข่าวสารที่ถูกต้องผ่านช่องทางต่างๆ ของธนาคารออมสิน อาทิ เว็บไซต์ธนาคารออมสิน www.gsb.or..th , แอปพลิเคชั่น MyMo , Social Media ช่องทาง GSB Society , GSB NOW หากผู้ใดพบพฤติกรรมเป็นที่น่าสงสัยไปในทางแอบอ้างหรือทุจริตหลอกลวง ให้รีบแจ้งธนาคารทาง GSB Contact Center โทร.1115

สำหรับประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สามารถขอคำแนะนำได้ที่ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) โทร.1441 (ตลอด 24 ชั่วโมง) และเพื่อความรวดเร็วในการยับยั้งความเสียหายและติดตามผู้ก่อเหตุควรแจ้งความ Online ทางเว็บไซต์สำนักงานตำรวจแห่งชาติ https://www.thaipoliceonline.com ทันทีจะทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถประสานงานไปยังธนาคารที่เกี่ยวข้องได้โดยเร็ว

Advertisement

“นอท กองสลากพลัส” แถลงตั้งพรรคการเมือง แก้ปัญหาหวยแพง

People Unity News : 16 มกราคม 2566 ที่บริษัท ลอตเตอรี่ออนไลน์ จำกัด (กองสลากพลัส) เลขที่ 555/57 อาคารเอสเอสพี ทาวเวอร์ 1 (SSP Tower 1) ซอยสุขุมวิท 63 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กทม. นอท พันธ์ธวัช CEO กองสลากพลัส หรือ นายพันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ประกาศเตรียมเปิดตัวเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง ภายใต้ชื่อ “พรรคเปลี่ยน” เปลี่ยนเพื่ออนาคต เปลี่ยนได้ ถ้ากล้าพอ ซึ่งได้ยื่นจดแจ้งพรรคต่อ กกต. แล้วตั้งแต่วันที่ 31 ส.ค. 2565 ขณะนี้อยู่ระหว่างรอคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประชุมรับรองพรรคการเมือง ซึ่งหลังจากรับรองพรรคแล้ว จะเปิดรับสมัครสมาชิกต่อไป ส่วนนโยบายหลักที่พรรคเปลี่ยนจะผลักดัน คือ เรื่องสลากกินแบ่งรัฐบาล และอาชีพคนขายหวย

ซีอีโอกองสลากพลัส กล่าวอีกว่า พรรคดังกล่าวเกิดจากความตั้งใจแก้ไขปัญหาสลากกินแบ่งรัฐบาลที่มีราคาแพง

นายพันธ์ธวัช กล่าวต่อว่า ในเร็วๆนี้ ตนจะเปิดแพลตฟอร์มให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นเพื่อกำหนดนโยบายพรรค โดยพรรคเปลี่ยนเน้นเป็นปากเสียงให้กับประชาชน โดยพูดถึงปัญหาที่มีอยู่ในสังคมและเรื่องที่พรรคอยากจะแก้ไขมากที่สุด คือ ปัญหาของสลากกินแบ่งรัฐบาลไทย ใครไม่กล้าพูด ใครไม่กล้าแก้ พรรคเปลี่ยนจะขออาสาทำเอง

Advertisement

ประธานสำนักงานสลากฯ ลั่นเอาผิดแพลตฟอร์มออนไลน์ ทุกฐานความผิด

People Unity News : 11 มกราคม 2566 สำนักงานสลากฯ เผยสลากดิจิทัลผ่านแอปเป๋าตังผลตอบรับดี สลาก 80 บาทมีอยู่จริง พร้อมเตรียมเพิ่มจำนวน ในปี 2566 ส่วนปัญหาสลากเกินราคาและแพลตฟอร์มออนไลน์ จะดำเนินการอย่างจริงจังในทุกฐานความผิดจากทุกกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

วันนี้ (11 มกราคม 2566) นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพากร ในฐานะประธานกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล เปิดเผยต่อผู้สื่อข่าวถึงการจำหน่ายสลากดิจิทัลงวด 17 มกราคม 2566 ซึ่งมีจำนวนสลากมากถึง 17,129,000 ใบ เป็นสลากของตัวแทนรายย่อย 34,258 ราย ได้รับความสนใจซื้อสลากเป็นอย่างมาก สลากขายหมดอย่างรวดเร็ว เนื่องจากผู้ซื้อเลือกซื้อเลขที่ต้องการได้ในราคาไม่เกิน 80 บาท  จากผลตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่องในปี 2566 สำนักงานสลากฯ จะเพิ่มจำนวนสลากดิจิทัลให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน เพื่อเป็นทางเลือกในการซื้อสลากราคา 80 บาท ปัจจุบันรูปแบบการขายสลากในราคา 80 บาท มีหลากหลายมากขึ้น ทั้งขายผ่านแอปเป๋าตัง และจุดจำหน่ายโครงการสลาก 80 ซึ่งขณะนี้กระจายอยู่เกือบ 2,000 จุดทั่วประเทศมีจำนวนสลากมากกว่า 2 ล้านใบ

ประธานกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวต่อไปอีกว่า ในส่วนของการดำเนินการแก้ปัญหาสลากเกินราคาและแพลตฟอร์มออนไลน์นั้น สำนักงานสลากฯ จะมีการดำเนินการอย่างจริงจังในทุกฐานความผิดจากทุกกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยได้มีการประชุมร่วมกับกรมสรรพากร กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมทรัพย์สินทางปัญญา กรมการปกครอง สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงาน ปปง. กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ไปเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2566 เพื่อวางกรอบแนวทางการบูรณาการการทำงานร่วมกัน ซึ่งจากนี้ไปจะเห็นการดำเนินคดีออกมาอย่างต่อเนื่อง

ในส่วนของการจำหน่ายสลากดิจิทัลผ่านแอปเป๋าตัง ของสำนักงานสลากฯ ขอยืนยันว่า เป็นการดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมายในทุกขั้นตอน มีการขออนุญาตประกอบธุรกิจตามพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 สลากทุกใบเป็นของตัวแทนรายย่อยและทุกใบราคา 80 บาท

Advertisement

6-8 ม.ค.นี้ ไทยตอนบน เย็นลง 1-3 องศาฯ

People Unity News : 6 มกราคม 2566 กรมอุตุฯ เผยวันที่ 6-8 ม.ค.66 ไทยตอนบน อากาศเย็นถึงหนาวตอนเช้า อุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาฯ โดยมีฝนเล็กน้อยบางแห่งบริเวณภาคอีสานตอนล่างและภาคตะวันออก

กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางอีกระลอกหนึ่งจากประเทศจีนได้แผ่ลงมาปกคลุมประเทศลาวตอนบนและทะเลจีนใต้แล้ว คาดว่าจะแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนในวันนี้ (6 มกราคม 2566) ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีอากาศเย็นถึงหนาวในตอนเช้า และอุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส กับมีลมแรง โดยมีฝนเล็กน้อยบางแห่งบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างและภาคตะวันออก ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง รวมถึงระวังอันตรายจากอัคคีภัยที่เกิดจากสภาพอากาศแห้งในระยะนี้ไว้ด้วย

สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังแรง ประกอบกับหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงที่ปกคลุมบริเวณทะเลจีนใต้ตอนล่างมีแนวโน้มเคลื่อนเข้าใกล้ปลายแหลมญวน ทำให้ภาคใต้ตอนล่างมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยตอนล่างมีกำลังแรง โดยมีคลื่นสูง 2-4 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 4 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณอ่าวไทยเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง ส่วนเรือเล็กในบริเวณดังกล่าวควรงดออกจากฝั่ง จนถึงวันที่ 8 มกราคม 2566 รวมทั้งระวังอันตรายจากคลื่นลมแรงที่ซัดเข้าหาฝั่งในระยะนี้ไว้ด้วย

กทม.-ปริมณฑล : อากาศเย็นในตอนเช้ากับมีลมแรง และอุณหภูมิจะลดลง 1-2 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 20-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-32 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.

ภาคเหนือ : อากาศเย็นถึงหนาวกับมีหมอกบางในตอนเช้า และอุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 13-19 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 27-32 องศาเซลเซียส บริเวณยอดดอยอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 2-10 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : อากาศเย็นถึงหนาวกับมีลมแรง และอุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส โดยมีฝนเล็กน้อยบางแห่ง ส่วนมากทางตอนล่างของภาค อุณหภูมิต่ำสุด 13-19 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 27-30 องศาเซลเซียส บริเวณยอดภูอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 6-15 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

ภาคกลาง : อากาศเย็นในตอนเช้ากับมีลมแรง และอุณหภูมิจะลดลง 1-2 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 18-21 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-32 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.

ภาคตะวันออก : อากาศเย็นในตอนเช้ากับมีลมแรง และอุณหภูมิจะลดลง 1-2 องศาเซลเซียส โดยมีฝนเล็กน้อยบางแห่งส่วนมากทางด้านตะวันออกของภาค อุณหภูมิต่ำสุด 20-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-32 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 1-2 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) : ตอนบนของภาค อากาศเย็นในตอนเช้า ตอนล่างของภาค มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 40 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส อุณหภูมิต่ำสุด 19-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-31 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-45 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 2-4 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 4 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) : มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 20 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดพังงา ภูเก็ต กระบี่ และตรัง อุณหภูมิต่ำสุด 21-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร

Advertisement

เตือน 6-8 ม.ค. ภาคใต้ตอนล่างฝนตกหนัก

People Unity News : 5 มกราคม 2566 กรมอุตุฯ เตือน 6-8 ม.ค.65 ภาคใต้ตอนล่างฝนเพิ่มขึ้นและตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง อาจเกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก ขณะที่อ่าวไทยตอนล่างคลื่นสูง 2-4 เมตร เรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง

กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นมีกำลังอ่อนลงแต่ยังคงปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้ประเทศไทยตอนบนยังคงมีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีหมอกบางในตอนเช้า สำหรับภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง และหนาวเย็นไว้ด้วย รวมถึงระวังอันตรายจากอัคคีภัยที่เกิดจากสภาพอากาศแห้งในระยะนี้ สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุม อ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามันเริ่มมีกำลังแรงขึ้น ทำให้อ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูง 2-4 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 4 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง ส่วนเรือเล็กบริเวณอ่าวไทยควรงดออกจากฝั่งจนถึงวันที่ 8 มกราคม 2566 รวมทั้งระวังอันตรายจากคลื่นลมแรงที่ซัดเข้าหาฝั่งไว้ด้วย

อนึ่ง ในช่วงวันที่ 6-8 มกราคม 2566 มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามันมีกำลังแรง ประกอบกับหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงใกล้เกาะบอร์เนียวบริเวณทะเลจีนใต้ตอนล่าง มีแนวโน้มจะเคลื่อนเข้าใกล้ปลายแหลมญวณ ทำให้บริเวณภาคใต้ตอนล่างมีฝนเพิ่มขึ้นและมีตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณภาคใต้ระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มในช่วงเวลาดังกล่าวไว้ด้วย

กทม.-ปริมณฑล : มีหมอกบางในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 22-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-32 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-15 กม./ชม.

ภาคเหนือ : อากาศเย็น กับมีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 16-20 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-33 องศาเซลเซียส บริเวณยอดดอย อากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 4-11 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-15 กม./ชม.

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : อากาศเย็นถึงหนาว กับมีหมอกบางในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 14-20 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 28-31 องศาเซลเซียส บริเวณยอดภูอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 8-17 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.

ภาคกลาง : มีหมอกบางในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 21-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-32 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-15 กม./ชม.

ภาคตะวันออก : มีหมอกบางในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 22-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-32 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 1-2 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) : มีหมอกบางในตอนเช้า กับมีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส อุณหภูมิต่ำสุด 22-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส ตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชขึ้นไป : ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ตั้งแต่จังหวัดสงขลาลงมา : ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-45 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2-4 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 4 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) : เมฆบางส่วน กับมีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 30 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดพังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร บริเวณฝนฟ้าคะนองคลื่นสูง 1-2 เมตร

Advertisement

5 วันเทศกาลปีใหม่ อุบัติเหตุ 1,960 ครั้ง เสียชีวิต 263 ราย

People Unity News : 3 มกราคม 2566 ศปถ. สรุปอุบัติเหตุทางถนนสะสมช่วง 5 วันช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 เกิดอุบัติเหตุรวม 1,960 ครั้ง บาดเจ็บรวม 1,938 ราย เสียชีวิตรวม 263 ราย เชียงราย มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด 13 ราย

นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เลขานุการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ในฐานะประธานการประชุมคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนตลอดทั้งปี เปิดเผยว่า ศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2566 โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและความร่วมมือของหน่วยงานภาคีเครือข่ายได้รวบรวมสถิติอุบัติเหตุทางถนนประจำวันที่ 2 มกราคม 2566 ซึ่งเป็นวันที่ห้าของการรณรงค์ “ชีวิตวิถีใหม่ ขับขี่อย่างปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ” เกิดอุบัติเหตุ 294 ครั้ง ผู้บาดเจ็บ 295 คน ผู้เสียชีวิต 40 ราย

“สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ขับรถเร็ว ร้อยละ 36.73 ดื่มแล้วขับ ร้อยละ 23.13 ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 79.40 ส่วนใหญ่เกิดบนเส้นทางตรง ร้อยละ 79.59 ถนนกรมทางหลวง ร้อยละ 37.41 ถนนใน อบต./หมู่บ้านร้อยละ 32.31 ช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ช่วงเวลา 00.01 – 01.00 น. ร้อยละ 8.50 ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตสูงสุดอยู่ในช่วงอายุ 20 – 29 ปี ร้อยละ 18.51 จัดตั้งจุดตรวจหลัก 1,880 จุด เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน 55,861 คน เรียกตรวจยานพาหนะ 397,459 คัน มีผู้ถูกดำเนินคดีรวม 57,635 ราย มีความผิดฐานไม่มีใบขับขี่ 16,783 ราย ไม่สวมหมวกนิรภัย 16,320 ราย ขับรถเร็วเกินกำหนด 7,394 รายจังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่  นครศรีธรรมราช (14 ครั้ง) จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสูงสุด ได้แก่ นครศรีธรรมราช (17 คน) จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด ได้แก่ ศรีสะเกษ (5 ราย)” อธิบดี ปภ. กล่าว

นายบุญธรรม กล่าวว่า สรุปอุบัติเหตุทางถนนสะสมในช่วง 5 วันของการรณรงค์ (29 ธ.ค.65 – 2 ม.ค.66) เกิดอุบัติเหตุรวม 1,960 ครั้ง ผู้บาดเจ็บรวม 1,938 คน ผู้เสียชีวิตรวม 263 ราย จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุดได้แก่ นครศรีธรรมราช และสกลนคร (จังหวัดละ 65 ครั้ง) จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด ได้แก่ นครศรีธรรมราช (70 คน) จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด ได้แก่ เชียงราย (13 ราย) จังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิต (ตายเป็นศูนย์) มี 6 จังหวัด ได้แก่ นราธิวาส บึงกาฬ พังงา ยะลา สตูล และสุโขทัย อย่างไรก็ตาม วันนี้คาดว่าเส้นทางสายหลักจะยังคงมีปริมาณการจราจรหนาแน่นในบางจุด ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ได้เน้นย้ำให้จังหวัดดูแลความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชนต่อเนื่อง สนธิกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจและอาสาสมัครเข้มข้นการปฏิบัติงานของจุดตรวจบนเส้นทางสายหลัก สายรอง ทางลัด และทางเลี่ยงเมือง เพื่ออำนวยการจราจรและดูแลความปลอดภัยแก่ประชาชนตลอดเส้นทาง รวมถึงคุมเข้มพฤติกรรมเสี่ยงอุบัติเหตุทั้งขับรถเร็ว ดื่มแล้วขับ และการไม่คาดเข็มขัดนิรภัย ตลอดจนกำชับให้เจ้าหน้าที่ประจำจุดตรวจกวดขันเรียกตรวจยานพาหนะเพื่อชะลอความเร็วรถและประเมินความพร้อมของผู้ขับขี่เพื่อป้องกันอุบัติเหตุจากการง่วงหลับใน

นายบุญธรรม กล่าวว่า วันนี้ (3 ม.ค.) ประชาชนส่วนใหญ่ได้เดินทางกลับจากภูมิลำเนาและท่องเที่ยวแล้ว ขณะที่ยังมีบางส่วนอยู่ระหว่างการเดินทาง ซึ่งจากการตรวจสอบสภาพการจราจร พบว่าหลายเส้นทางปริมาณรถเริ่มเบาบาง โดยเฉพาะถนนสายหลักของจังหวัดใหญ่และเส้นทางจากภูมิภาคต่าง ๆ เข้าสู่กรุงเทพฯ ทำให้ผู้ขับขี่สามารถใช้ความเร็วสูง จึงขอเน้นย้ำให้จังหวัดเข้มงวดควบคุมการใช้ความเร็วที่อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุรุนแรง ทั้งนี้ ศปถ.ขอฝากผู้ใช้รถใช้ถนนปฏิบัติตามกฎหมายจราจรอย่างเคร่งครัด และมีน้ำใจกับผู้ร่วมใช้เส้นทาง เพื่อให้เดินทางถึงจุดหมายอย่างปลอดภัย หากประสบหรือพบเห็นอุบัติเหตุ สามารถแจ้งเหตุได้ทางสายด่วนนิรภัย 1784 หรือแจ้งเหตุ ทางไลน์ “ปภ.รับแจ้งเหตุ1784” โดยเพิ่มเพื่อน Line ID @1784DDPM เพื่อประสานให้การช่วยเหลือต่อไป

Advertisement

รัฐบาลเตือน ดื่มคลายหนาว อันตรายถึงเสียชีวิต

People Unity News : 2 มกราคม 66 รัฐบาลห่วงใย เตือนอีกครั้ง ดื่มคลายหนาว อันตรายถึงเสียชีวิต แนะดูแลสุขภาพช่วงอากาศหนาวเย็น

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลมีความห่วงใยประชาชน ในการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงอากาศหนาวเย็น ตามความเชื่อที่ว่าการดื่มเหล้า เบียร์ ในช่วงอากาศหนาว จะช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นได้ ซึ่งสวนทางกับหลักวิชาการแพทย์ ที่พบว่าอันตรายจากการดื่มสุราช่วงฤดูหนาว มีตั้งแต่หมดสติ ภาวะหัวใจหยุดเต้น และเสียชีวิต เพราะเมื่อแอลกอฮอล์เข้าสู่ร่างกาย หลอดเลือดฝอยใต้ผิวหนังจะเกิดการขยายตัวเพื่อเป็นการระบายความร้อนในร่างกาย อุณหภูมิจึงลดต่ำลงมากกว่าปกติ ยิ่งถ้าหากเมาแล้วหลับ ไม่ได้สวมเสื้อผ้าที่อบอุ่น สัมผัสกับอากาศเย็นเป็นเวลานาน อาจทำให้มีโอกาสช็อกและเสียชีวิตสูง

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า กรมอุตุนิยมวิทยา ยังคงแจ้งเตือนมวลอากาศเย็นปกคลุมประเทศไทย หลายพื้นที่ยังคงมีอากาศเย็นถึงหนาวและมีลมแรง ประจวบกับขณะนี้เป็นช่วงของการฉลองเทศกาลปีใหม่ ซึ่งแต่ละปีมักพบผู้เสียชีวิตจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในหลายพื้นที่ จึงขอให้ประชาชนระมัดระวัง เพราะการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงอากาศหนาวเย็น มีความเสี่ยงจะเกิดสภาวะ “ไฮโปเทอร์เมีย (Hypothermia)” หรือ ภาวะตัวเย็น โดยร่างกายเกิดการสูญเสียความร้อนอย่างรวดเร็ว จนไม่สามารถสร้างและเก็บความร้อนได้ อาจส่งผลให้ช็อกและเสียชีวิตได้ในที่สุด

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ขอให้ประชาชนดูแลรักษาสุขภาพจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นลง สำหรับการป้องกันภาวะอากาศหนาว สามารถทำได้โดยดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ ดื่มน้ำอุ่นเพื่อช่วยปรับสมดุลร่างกาย ออกกำลังกายสม่ำเสมอกระตุ้นให้ร่างกายได้รับความอบอุ่นภายใน ไม่ควรอาบน้ำอุ่นบ่อยเกินไป อาจทำให้ผิวแห้งเสีย เตรียมเครื่องนุ่งห่มกันหนาวให้พร้อมและทำความสะอาดเสื้อผ้าหรือผ้าห่ม โดยเฉพาะเสื้อผ้ามือสองให้แช่ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อหรือต้ม เพื่อป้องกันโรคผิวหนัง งดดื่มสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดในช่วงภาวะอากาศหนาว เนื่องจากเป็นปัจจัยเสริมสำคัญทำให้เสี่ยงต่อการเสียชีวิตในช่วงอากาศหนาวได้

Advertisement

Verified by ExactMetrics