วันที่ 2 กรกฎาคม 2025

ค่าฝุ่น PM2.5 วันนี้ เกินมาตรฐานค่อนประเทศ 60 จังหวัด สูงต่อเนื่องถึง 27 ม.ค.

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 22 มกราคม 2568 กรมควบคุมมลพิษ เผยวันนี้ค่าฝุ่น PM2.5 เกินมาตรฐาน 60 จังหวัด สูงต่อเนื่องถึง 27 ม.ค. ประสานทุกหน่วยงานยกระดับการแก้ไขปัญหา พร้อมเตือนประชาชนเฝ้าระวังสุขภาพและปฏิบัติตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข

นางสาวปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษกล่าวว่า ปริมาณฝุ่น PM2.5 ในประเทศยังมีค่าเกินมาตรฐานในหลายพื้นที่ สาเหตุหลักมาจากสภาพอุตุนิยมวิทยาที่ไม่เอื้อต่อการระบายของฝุ่นละออง สภาวะอากาศปิดใกล้ผิวพื้น อัตราการระบายอากาศต่ำ อีกทั้งยังพบจุดความร้อนทั้งในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน

จากรายงานผลตรวจปริมาณ PM2.5 ในประเทศวันนี้ (22 มกราคม 2568) ซึ่งพบว่า เกินค่ามาตรฐาน 60 จังหวัดได้แก่ จ.ปทุมธานี กรุงเทพฯ จ.นนทบุรี จ.นครปฐม จ.สมุทรสาคร จ.สมุทรปราการ จ.เชียงราย จ.น่าน จ.พะเยา จ.ลำพูน จ.ลำปาง จ.แพร่ จ.อุตรดิตถ์ จ.สุโขทัย จ.พิษณุโลก จ.ตาก จ.กำแพงเพชร จ.พิจิตร จ.เพชรบูรณ์ จ.นครสวรรค์ จ.อุทัยธานี จ.สิงห์บุรี จ.ลพบุรี จ.สระบุรี จ.อ่างทอง จ.พระนครศรีอยุธยา จ.สุพรรณบุรี จ.กาญจนบุรี จ.ราชบุรี จ.สมุทรสงคราม จ.เพชรบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ จ.ปราจีนบุรี จ.สระแก้ว จ.ฉะเชิงเทรา จ.ชลบุรี จ.ระยอง จ.จันทบุรี จ.ตราด จ.ชุมพร จ.บึงกาฬ จ.หนองคาย จ.เลย จ.อุดรธานี จ.นครพนม จ.หนองบัวลำภู จ.สกลนคร จ.มุกดาหาร จ.ขอนแก่น จ.กาฬสินธุ์ จ.มหาสารคาม จ.ร้อยเอ็ด จ.อำนาจเจริญ จ.ชัยภูมิ จ.ยโสธร จ.อุบลราชธานี จ.ศรีสะเกษ จ.นครราชสีมา จ.บุรีรัมย์ และ จ.สุรินทร์

ส่วนผลตรวจวัดตามรายภาคมีดังนี้

-ภาคเหนือ เกินค่ามาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ ตรวจวัดได้ 14.5 – 84.0 มคก./ลบ.ม.

-ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เกินค่ามาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ ตรวจวัดได้ 39.1 – 77.5 มคก./ลบ.ม.

-ภาคกลางและตะวันตก เกินค่ามาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ ตรวจวัดได้ 39.3 – 94.0 มคก./ลบ.ม.

-ภาคตะวันออก เกินค่ามาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ ตรวจวัดได้ 31.2 – 84.9 มคก./ลบ.ม.

-ภาคใต้ เกินค่ามาตรฐาน 1 พื้นที่ ตรวจวัดได้ 17.9 – 52.4 มคก./ลบ.ม.

-กรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยสถานีตรวจวัดของ คพ. ร่วมกับ กทม. เกินค่ามาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ ตรวจวัดได้ 45.7 – 85.0 มคก./ลบ.ม.

สำหรับผลการคาดการณ์สถานการณ์ฝุ่นละออง 7 วันข้างหน้า ระหว่างวันที่ 23 – 29 มกราคม 2568 พบว่า พื้นที่ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก รวมทั้งกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นวันที่ 23 – 27 ม.ค. 2568 และยังคงต้องเฝ้าระวังในบางพื้นที่ โดยภาคใต้อยู่ในเกณฑ์ดีดีอย่างต่อเนื่อง

อธิบดีกรมควบคุมมลพิษกล่าวด้วยว่า จากการติดตามจุดความร้อนพบว่ามีการเผาโดยเฉพาะในพื้นที่เกษตรเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น จึงต้องเน้นย้ำและให้ความสำคัญกับการควบคุมการเผาอย่างเข้มข้น พร้อมประสานทุกหน่วยงานยกระดับการเฝ้าระวังและลดผลกระทบจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก

สำหรับพื้นที่กรุงเทพมหานครซึ่งประสานงานใกล้ชิดกับกรมควบคุมมลพิษ กรุงเทพมหานครจึงประกาศใช้มาตรการ Low Emission Zone ห้ามรถบรรทุกตั้งแต่ 6 ล้อขึ้นไปเข้าพื้นที่วงแหวนรัชดาภิเษก โดยมาตรการดังกล่าวมีผลบังคับใช้ วันที่ 23 ม.ค.เวลา 00.01 น. – วันที่ 24 ม.ค.เวลา 23.59 น. (2วัน) ยกเว้นรถยนต์ไฟฟ้า แก๊ส NGV รถเครื่องยนต์ดีเซลมาตรฐาน EURO 5 – 6 และรถที่ลงทะเบียน Green List รวมถึงมาตรการ WORK FROM HOME (WFH) กทม. ประกาศขยายระยะเวลา WFH เพิ่มเติมไปถึงวันที่ 24 มกราคม 2568 เพื่อลดการเดินทาง ลดปริมาณรถยนต์ในการจราจรซึ่งเป็นต้นตอหนี่งของฝุ่นในกรุงเทพฯ ก็ต้องขอความร่วมมือ ปัจจุบันมีหน่วยงานร่วมเครือข่าย WFH กับกรุงเทพมหานครแล้ว 278 บริษัท เกือบ 100,000 คน

กรมควบคุมมลพิษขอความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประชาชน วางแผนการทำงานล่วงหน้า (Work From Home) หรือใช้รถโดยสารสาธารณะ เพื่อลดปริมาณการจราจรบนท้องถนน งดการเผาในที่โล่งทุกชนิด เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการบรรเทาความรุนแรงของสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 และผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ผู้ป่วย เด็ก ผู้สูงอายุ สตรีมีครรภ์ ขอให้พี่น้องประชาชนดูแลสุขภาพ ลดกิจกรรมกลางแจ้ง หากมีความจำเป็นควรสวมใส่หน้ากากอนามัยและอุปกรณ์ป้องกันตัวเองเมื่อออกนอกบ้าน ปฏิบัติตนตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข ทั้งนี้ สามารถติดตามสถานการณ์ฝุ่นละอองได้ผ่านเว็บไซต์ Air4Thai.pcd.go.th หรือ ทางแอปพลิเคชัน Air4Thai

Advertisement

รัฐบาลเตือน มิจฉาชีพอ้างเป็น “กรมบัญชีกลาง” ลวงดูดเงินผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ ข้าราชการเกษียณ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 21 มกราคม 2568 รัฐบาลเตือน มิจฉาชีพอ้างเป็น “กรมบัญชีกลาง” ส่งหนังสือแจ้งให้ผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รวมถึงข้าราชการเกษียณอายุ ลวงดูดเงินประชาชนผ่าน QR Code ปลอม ย้ำกรมบัญชีกลางไม่มีนโยบายติดต่อหาผู้เกษียณ

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลเตือนประชาชนระมัดระวังไม่ตกเป็นเหยื่อกลโกงมิจฉาชีพ โดยปัจจุบันมิจฉาชีพมีจำนวนมากขึ้น มีการเตรียมการเป็นอย่างดี และทำกันเป็นขบวนการเพื่อหลอกลวงให้ประชาชนสูญเสียทรัพย์สินจากทุกช่องทาง และมาในรูปแบบที่หลากหลาย โดยกลุ่มมิจฉาชีพปรับเปลี่ยนรูปแบบและวิธีการหลอกลวงผ่านรูปแบบการโทรศัพท์แจ้งให้ดำเนินการต่าง ๆ เช่น การขอรับบำเหน็จดำรงชีพ บำเหน็จตกทอด โดยแอบอ้างชื่อชื่อผู้บริหารหรือเจ้าหน้าที่หน่วยงาน และการใช้เอกสารราชการปลอมของกรมบัญชีกลาง

นายคารม กล่าวว่า จากข้อมูลล่าสุด พบกลุ่มมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นกรมบัญชีกลาง แจ้งให้ผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญรวมถึงข้าราชการเกษียณอายุ ประจำปี 2567 ให้ดำเนินการแจ้งรหัสบัญชีย่อย เพื่อใช้ประกอบการขอเบิกจ่ายเงินในระบบบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ใหม่ (New GFMIS Thai) โดยให้ผู้รับบำนาญตรวจสอบรหัสบัญชีย่อยของตัวเองในระบบ New GFMIS Thai และให้สแกน QR Code ท้ายหนังสือ ขอย้ำเตือนผู้รับบำนาญ อย่าหลงเชื่อหนังสือแอบอ้างดังกล่าว และอย่าสแกน QR Code ท้ายหนังสือ เพราะจะทำให้ตกเป็นเหยื่อเป็นมิจฉาชีพ ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ ขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสารจากช่องทางการประชาสัมพันธ์ของกรมบัญชีกลาง และขอเน้นย้ำว่า “กรมบัญชีกลาง” ไม่มีนโยบายให้เจ้าหน้าที่ติดต่อหาผู้รับบำนาญหรือทายาท เพื่อให้ดำเนินการต่าง ๆ เกี่ยวกับการขอเบิกจ่ายเงินบำเหน็จบำนาญแต่อย่างใด

“รัฐบาลห่วงใยพี่น้องประชาชน เนื่องด้วยปัจจุบันที่เทคโนโลยีมีความก้าวหน้าและพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ทำให้วิถีชีวิตและกิจกรรมต่าง ๆ มีการใช้เทคโนโลยีมากยิ่งขึ้น ทำให้กลุ่มมิจฉาชีพมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบ ในการหลอกลวงอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเป้าหมายหลอกลวงไปที่กลุ่มผู้สูงอายุ และผู้เกษียณเพิ่มขึ้น ด้วยวิธีการต่าง ๆ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ ขอให้ประชาชนติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดเพื่อเป็นการสร้างการตระหนักรู้และเท่าทันภัยรูปแบบใหม่ ๆ และสิ่งที่สำคัญที่สุด อย่าหลงเชื่อทำตาม ไม่คุย ไม่บอกข้อมูลส่วนตัว ไม่ต้องดำเนินการใด ๆ ตามที่มิจฉาชีพแจ้ง หากพบไลน์ปลอมหรือไลน์ที่ไม่น่าเชื่อถือ รวมทั้งได้รับ SMS ที่ส่งลิงก์ต่างๆ ห้ามคลิกกดลิงก์โดยเด็ดขาด” นายคารม กล่าว และว่าหากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ call center ของกรมบัญชีกลาง หมายเลขโทรศัพท์ 0 2270 6400 ในวันและเวลาทำการ

Advertisement

เช็กด่วน..!! เงินหมื่นอายุ60+ สิทธิของท่านไม่หายใน 2 วันสุดท้าย ก่อนรัฐบาลกดปุ่มโอนจ่าย 27 ม.ค.นี้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 20 มกราคม 2568 เช็กด่วน..!! เงินหมื่นอายุ60+ สิทธิของท่านไม่หายใน 2 วันสุดท้าย ก่อนรัฐบาลกดปุ่มโอนจ่ายเช้าจันทร์ 27 ม.ค.นี้ รัฐบาลฝากลูกหลานช่วยตรวจสิทธิพ่อแม่ปู่ย่าตายายผ่านแอป “ทางรัฐ” ให้ด้วย

วันนี้ (20 มกราคม 2568) นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ โดยภาครัฐจะสนับสนุนเงินจำนวน 10,000 บาท ในเฟส 2 นี้ให้กับผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปกว่า 4 ล้านคนนั้น ขอย้ำเตือนผู้ที่มีสิทธิตามโครงการฯ เร่งตรวจสอบสิทธิในสองวันสุดท้าย ทั้งนี้หากผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ไม่สะดวกหรือไม่เชี่ยวชาญในเรื่องการลงทะเบียนรัฐบาลขอความกรุณาให้ลูกหลานหรือคนในครอบครัว ช่วยเร่ง ตรวจสอบและดำเนินการผูกบัญชีพร้อมเพย์กับเลขประจำตัวประชาชนของผู้มีสิทธิ ให้แล้วเสร็จภายในวันพุธที่ 22 มกราคม นี้เพื่อรอรับการจ่ายเงินในวันจันทร์ที่ 27 มกราคม 2568

“เรื่องสำคัญที่จะทำให้ไม่พลาดในการรับเงินสนับสนุน 10,000 บาทดังกล่าว ควรตรวจสอบกับธนาคารด้วยว่าบัญชีของผู้มีสิทธิ ยังคงมีสถานะปกติที่สามารถรับเงินโอนได้หรือไม่ เพื่อให้มั่นใจว่าพร้อมรับเงินในวันที่ 27 มกราคม 2568 นี้”

สำหรับผู้ที่มีคุณสมบัติครบตามเงื่อนไข สามารถตรวจสอบสิทธิการได้รับเงินในโครงการฯ ผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” ได้ตั้งแต่วันพุธที่ 22 มกราคม 2568 นี้เป็นต้นไปด้วยวิธีการ ดังนี้ 1.เปิดแอปทางรัฐ เข้าสู่ระบบให้เรียบร้อย จากนั้นกดปุ่มตรวจสอบสถานะ 2.ระบบจะขออนุญาตเข้าถึงข้อมูล และขอยืนยันเบอร์โทรศัพท์มือถือ เพื่อใช้ในการยืนยันตัวตน ให้กดปุ่มยืนยันข้อมูล 3.กรอกเบอร์โทรศัพท์และกดปุ่มรับรหัสทาง SMS (OTP) 4.กรอกรหัส OTP และกดปุ่มยืนยันโทรศัพท์มือถือ 5.กดปุ่มอนุญาต ให้แอปพลิเคชันเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล และ 6.ระบบจะแสดงผลสถานะในการรับสิทธิตามโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ว่าอยู่ในขั้นตอนใด หากอยู่ในขั้นตอนที่ 3 คือระบบอยู่ระหว่างการตรวจสอบสิทธิ หากอยู่ในขั้นตอนที่ 4 คือไม่ได้รับสิทธิ หากอยู่ในขั้นตอนที่ 5 คือได้รับสิทธิตามโครงการเติมเงินดิจิทัล 10,000 บาท

รองโฆษกรัฐบาลกล่าวต่อไปว่า “การดำเนินโครงการดังกล่าวเป็นการขยายผลกลุ่มเป้าหมายเพิ่มเติมจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย ควบคู่กับการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายและเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพให้แก่กลุ่มเปราะบางให้ครอบคลุมกว้างขวางมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ผู้สูงอายุจะสามารถใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการตามความจำเป็นของตน ช่วยสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจและช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว นอกจากนี้การดำเนินโครงการฯ จะช่วยส่งเสริมความอยู่ดีมีสุข (Well-being) ของผู้สูงอายุให้ดีขึ้นรอบด้านอีกด้วย” นางสาวศศิกานต์ กล่าว

Advertisement

รัฐบาลเอาจริงสั่งจับหนัก ยาเสพติดรูปแบบใหม่ มาพร้อมบุหรี่ไฟฟ้า “พอตเค” ใช้ยาเคผสม คนสูบถึงตาย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 19 มกราคม 2568 รัฐบาลเอาจริงสั่งจับหนักหลังยาเสพติดรูปแบบใหม่ มาพร้อมบุหรี่ไฟฟ้า “พอตเค” ใช้ยาเคผสมในน้ำยา เผยคนสูบมีสิทธิ์ตาย คนขายติดคุกแน่นอน

วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม 2568 เวลา 10.30 น. นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า  รัฐบาลได้สั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานทางปกครอง และกระทรวงสาธารณสุข ให้ความสำคัญต่อการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด เพื่อให้ประเทศมีความมั่นคงปลอดภัยจากยาเสพติด โดยได้รับรายงานว่า ปัจจุบันมียาเสพติดแฝงเข้ามาในรูปแบบ “หัวน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าผสมยาเค” หรือ ที่เรียกกันว่า “พอตเค” ซึ่งขณะนี้กำลังเป็นที่ระบาดหนักในกลุ่มนักเที่ยวกลางคืน

ทั้งนี้ “เคตามีน” เป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ผู้เสพมีโทษ ทั้งจำคุกและปรับ ส่วนโทษของผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาตมีโทษจำคุกสูงถึง 7 ปี และโทษปรับไม่เกิน 7 แสน กรณีเป็นการกระทำเพื่อการค้าหรือการก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน มีโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 15 ปี และโทษปรับอาจสูงถึง 1.5 ล้านบาท โดยยาเคตามีน (ketamine) หรือ “ยาเค” เป็นยาควบคุม เป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ในประเภท 2 โดยเคตามีนจะถูกใช้ในทางการแพทย์ แต่ในปัจจุบันมีการลักลอบนำยาเคตามีนไปใช้ในทางที่ผิดเพื่อหวังฤทธิ์ในการหลอนประสาท โดยผ่านวิธีการสูดดม หรือสูบควัน ทั้งนี้ หากใช้เคตามีนติดต่อกันเป็นเวลานานจะทำให้เกิดการติดยาทั้งทางร่างกาย และจิตใจ ซึ่งทำให้เกิดโรคจิตได้ (psychosis) นอกจากนี้ การใช้เคตามีนที่มีปริมาณที่สูง ทำให้ร่างกายเกิดการอาเจียน ชัก สมองและกล้ามเนื้อขาดออกซิเจนได้ ซึ่งในบางรายถึงขั้นก่อให้เกิดการเสียชีวิต

นโยบายปราบปรามยาเสพติด เป็นนโยบายหลักของรัฐบาล การนำเคตามีนไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมาย รัฐบาลพร้อมทุกภาคส่วนได้เดินหน้าปราบยาเสพติดทุกประเภท และร่วมกันป้องกัน แก้ไข หยุดยั้งการลักลอบผลิต นำเข้า หรือจำหน่าย และการปราบปรามการแพร่ระบาดของ “หัวน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าผสมยาเค” หรือ “พอตเค”

ทั้งนี้ หากพบเห็นการลักลอบนำยาดังกล่าวไปใช้ในทางที่ผิด สามารถแจ้งความได้ที่สถานีตำรวจทั่วประเทศหรือสายด่วน อย. 1556 กด 3 หรือโทร 0 2590 7343 หรือผ่าน Facebook : FDA Thai”

Advertisement

 

รัฐบาลโดย ก.เกษตรฯ เตรียมรับซื้อปลาหมอคางดำ 600,000 กก. เริ่มเดือน ก.พ. นำแปรรูปเป็นน้ำหมักชีวภาพใช้กับสวนยาง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 19 มกราคม 2568 รัฐบาลเดินหน้าแก้ไขปัญหาปลาหมอคางดำระบาด ตั้งเป้ารับซื้อ 600,000 กก. เริ่มต้นเดือน ก.พ. นำแปรรูปเป็นน้ำหมักชีวภาพใช้ในการเกษตร

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งแก้ไขปัญหาปลาหมอคางดำที่ยังคงมีการแพร่ระบาด ผ่านมาตรการเชิงรุก ตามข้อสั่งการของ ศ.ดร. นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งได้มอบหมายให้การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ร่วมกับกรมประมงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมหารือกำหนดแนวทางการรับซื้อ รวมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์ และหลักปฏิบัติของการเข้าร่วมโครงการรับซื้อปลาหมอคางดำ พร้อมกำชับให้ทุกหน่วยงานภายใต้กำกับเร่งประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจแก่ประชาชน ทั้งนี้  ได้กำหนดให้มีการประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดปลาหมอคางดำครั้งที่ 1/2568 ในวันที่ 22 มกราคม 2568 นี้

นายอนุกูล กล่าวว่า  การยางแห่งประเทศไทยจะดำเนินการมาตรการเชิงรุก รับซื้อปลาหมอคางดำภายใต้โครงการผลิตน้ำหมักชีวภาพเพื่อเกษตรกรชาวสวนยาง ต่อเนื่องเป็นเฟส 2 โดยใช้งบประมาณเงินทุนหมุนเวียนจากทุน กยท. มาตรา 13 แผนปฏิบัติการดำเนินงานด้านธุรกิจ เป็นเงินจำนวน 12 ล้านบาท ซึ่งจะสามารถรับซื้อปลาหมอคางดำได้ 600,000 กิโลกรัม โดย กยท. จะรับซื้อปลาหมอคางดำในราคา 15 บาท/กิโลกรัม (จ่ายให้กับชาวประมงหรือผู้จับปลามาขาย)  ส่วนค่าขนส่งและค่าบริหารจัดการรวบรวมจ่าย 5 บาท/กิโลกรัม  (จ่ายให้กับผู้รวบรวมหรือแพปลาที่ขึ้นทะเบียนกับกรมประมงและสหกรณ์ประมงที่เข้าร่วมโครงการฯ โดยจะต้องนำส่งปลาให้ถึงโรงงานที่ กยท. ว่าจ้างในพื้นที่ จ.กาญจนบุรี) ทั้งนี้ กยท. เร่งดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อให้สามารถรับซื้อปลาหมอคางดำได้เร็วที่สุด ซึ่งคาดว่าเริ่มรับซื้อได้ต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้

นายอนุกูล กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา การยางแห่งประเทศไทย กระทรวงเกษตรฯ ได้ดำเนินการรับซื้อปลาหมอคางดำ เพื่อนำมาผลิตเป็นน้ำหมักชีวภาพในเฟสแรก (1-24 สิงหาคม 2567) สามารถช่วยลดปริมาณปลาหมอคางดำจากระบบนิเวศน์ถึง 581.44 ตัน (581,436.50 กก.) และสามารถผลิตน้ำหมักชีวภาพปลาหมอคางดำ ทั้งหมด 930,298.40 ลิตร โดย กยท. จัดสรรน้ำหมักชีวภาพปลาหมอคางดำให้กลุ่มเกษตรกรชาวสวนยางที่อยู่ในโครงการสนับสนุนแปลงใหญ่ยางพาราทั่วประเทศ ทั้งสิ้น 353 แปลง ให้เกษตรกร และสมาชิก จำนวน 14,552 ราย ซึ่งพบว่าชาวสวนยางที่นำน้ำหมักชีวภาพไปฉีดพ่น สามารถช่วยให้การเจริญเติบโตของต้นยางดี สามารถกรีดยางได้ง่ายขึ้น เนื่องจากผิวหน้ายางนิ่ม และมีปริมาณน้ำยางไหลเพิ่มขึ้น ช่วยเกษตรกรได้รับผลผลิตยางเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ มีเกษตรกรนำไปใช้ในสวนทุเรียน ทำให้ต้นทุเรียนที่เสียหายจากน้ำท่วมฟื้นคืนกลับมาแข็งอย่างรวดเร็ว

“รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจต่อปัญหาการแพร่ระบาดปลาหมอคางดำ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่พบการแพร่ระบาดได้ดำเนินการผ่านมาตรการต่างๆ เกิดผลเป็นรูปธรรม สามารถช่วยบรรเทาให้วิกฤตการระบาดของปลาหมอคางดำในประเทศไทยดีขึ้นและจะขับเคลื่อนการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน” นายอนุกูล ย้ำ

Advertisement

รัฐบาลจัด “ห้องเรียนปลอดฝุ่น” ลดผลกระทบ PM 2.5 ให้ รร.เปิด – ปิด ตามเห็นสมควร

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 18 มกราคม 2568 รัฐบาลจัด “ห้องเรียนปลอดฝุ่น” ลดผลกระทบ PM 2.5 ให้น้องๆนักเรียน มอบโรงเรียนขับเคลื่อนแผนการเรียนการสอน เปิด – ปิด ตามเห็นสมควร ย้ำความปลอดภัยเด็กนักเรียนเป็นสำคัญ

วันนี้ (18 มกราคม 2568) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลห่วงใยความปลอดภัยของเด็กและเยาวชน นักเรียน  ครู และบุคลากรทางการศึกษา เนื่องด้วยในช่วงนี้ประเทศไทยพบกับการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิและสภาพอากาศที่หนาวเย็นที่สุดในรอบหลายปี ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้เรียน ครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยเฉพาะสิ่งที่ตามมาในช่วงหน้าหนาวของทุกปีคือการเผชิญกับปัญหาฝุ่น PM2.5 ซึ่งมีสาเหตุเกิดจาก “การล้อมเกาะของอากาศ” ทำให้ฝุ่นและมลพิษที่สะสมอยู่ในอากาศไม่สามารถกระจายออกไปได้และอยู่ในพื้นที่จุดนั้นเป็นเวลานานปริมาณฝุ่นในอากาศจึงสูงขึ้น ซึ่งการเผชิญปัญหาฝุ่น PM2.5 นั้นได้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยเฉพาะกลุ่มผู้เรียนที่เปราะบางต่อการเจ็บป่วยและโรคทางเดินหายใจ  ทำให้เด็กมีอาการแสบแน่นจมูก แสบตา ตาแดง มีไข้ ตัวร้อน หากทิ้งอาการเหล่านี้ไว้นานเด็กจะนอนกรน หลับไม่ลึก สมองขาดออกซิเจนทำให้ง่วง ความจำไม่ดี ส่งผลต่อการเรียน สมาธิสั้น มีพัฒนาการช้าหรือร้ายแรงสุดคือเสียหายถาวร

นายคารม กล่าวว่า เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยในการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5  รัฐบาลได้เน้นย้ำให้มีการหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งที่เด็กต้องเผชิญกับฝุ่นและควันพิษโดยตรง เช่น การเข้าแถวหน้าเสาธงตอนเช้า การออกกำลังกายในที่โล่งแจ้ง กิจกรรมวิชาลูกเสือ โดยควรให้เด็กอยู่ภายในอาคารให้มากที่สุด หรือหากมีความจำเป็นควรสวมหน้ากาก และซึ่งหากค่าฝุ่นสูงจนถึงขั้นวิกฤติให้สถานศึกษาพิจารณา เปิด – ปิดการเรียนการสอนตามที่เห็นสมควร ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ฝุ่นในพื้นที่เพราะมีความเข้มข้นของปริมาณค่าฝุ่นไม่เท่ากัน โดยหากพื้นที่ใดอยู่ในระดับที่เป็นอันตรายอาจต้องมีการปรับเปลี่ยนการเรียนการสอน จากการเรียนในรูปแบบ On –site ตามปกติที่โรงเรียน ให้เปลี่ยนเป็นการนำส่งเอกสารแบบ On–hand ที่บ้านนักเรียน ผ่านการเรียนการสอนในรูปแบบการเรียน Online หรือเรียนแบบผสมผสานหลายรูปแบบแล้วแต่การวางมาตรการของสถานศึกษา เพื่อหลีกเลี่ยงการให้เด็กต้องอยู่กลางแจ้งในสภาพอากาศที่มีมลพิษสูง

นายคารม กล่าวต่อไปว่า และเพื่อให้มาตรการดังกล่าวมีความครอบคลุมและเหมาะสมตามพื้นที่ ขอให้โรงเรียนได้มีการเตรียมมาตรการ “ห้องเรียนปลอดฝุ่น” โดยให้ดำเนินการวางแผนทั้งในด้านระบบการกรองอากาศที่ได้มาตรฐาน มีห้องที่ปิดมิดชิด พร้อมด้วยการเสริมความปลอดภัยให้ห้องเรียนด้วยการใช้พัดลมดูดอากาศ ฉีดละอองน้ำจับฝุ่น เปิดช่องระบายให้อากาศถ่ายเทเล็ก ๆ เพื่อให้ฝุ่นเข้าได้น้อยที่สุด และรวมถึงมีการสื่อสารสร้างการรับรู้ให้ผู้เรียนตระหนักถึงปัญหาฝุ่นพิษ พร้อมวางแนวทางการป้องกันและติดตามผลกระทบด้านสุขภาพ เพื่อให้เด็กสามารถใช้ชีวิตในช่วงวิกฤตและเรียนรู้ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“ปัจจุบันสถานการณ์ปัญหาฝุ่น PM2.5 ได้สร้างผลกระทบอย่างเป็นวงกว้างต่อสุขภาพของผู้เรียน ครูและบุคลากรทางการศึกษา รัฐบาลวางมาตรการป้องกันดูแล โดยการมอบอำนาจให้โรงเรียนทั่วประเทศได้สามารถตัดสินใจได้อย่างอิสระ ในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการเรียนการสอน ให้มีความเหมาะสมตามแต่ละพื้นที่ ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะเป็นส่วนช่วยสำคัญที่จะทำให้โรงเรียนได้สามารถดูแลนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นายคารม กล่าว

Advertisement

กรมอุตุฯ ระบุช่วงหนาวเย็นที่สุดผ่านพ้นไปแล้ว แต่จะเย็นต่อเนื่องถึง 20 ม.ค. เผยฤดูร้อนปีนี้ไม่ร้อนเท่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากลานีญา

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 15 มกราคม 2568 อากาศหนาวต่อเนื่องถึง 20 ม.ค. ฤดูร้อนนี้ร้อนน้อยกว่าปีที่แล้ว กรมอุตุนิยมวิทยา ระบุช่วงอากาศหนาวเย็นที่สุดของประเทศไทยผ่านพ้นไปแล้ว แต่จะยังคงเย็นต่อเนื่องถึงวันที่ 20 ม.ค. จากนั้นจะค่อยๆ อุ่นขึ้น แล้วเข้าสู่ฤดูร้อนกลางเดือน ก.พ. โดยฤดูร้อนปีนี้จะไม่ร้อนเท่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากอยู่ในสภาวะลานีญากำลังอ่อน ทำให้มีความชื้น และจะมีฝนตกลงมาคลายความร้อนเป็นระยะ ๆ

นายสมควร ต้นจาน ผู้อำนวยการกองพยากรณ์อากาศ กรมอุตุนิยมวิทยา กล่าวว่า มวลอากาศเย็นกำลังแรงที่แผ่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนมีกำลังอ่อนลง โดยช่วงที่หนาวเย็นที่สุดผ่านพ้นไปแล้ว วันที่อากาศหนาวเย็นที่สุดคือ วันที่ 13 ม.ค.68 ระยะ 2 – 3 วันที่ผ่านมา ซึ่งอากาศหนาวเย็น โดยหนาวถึงหนาวจัดบริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน เป็นสภาพอากาศที่หนาวที่สุดในรอบ 2 – 5 ปี

ในช่วงวันที่ 16 – 20 มกราคม 2568 บริเวณความกดอากาศสูง หรือมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงระลอกใหม่จากประเทศจีนจะแผ่เสริมเข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ภาคใต้ตอนบน และทะเลจีนใต้ จะทำให้อุณหภูมิลดลงอีกครั้งกับมีลมแรง ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนจะได้สัมผัสกับความหนาวเย็นต่อเนื่อง แต่จะไม่หนาวถึงหนาวจัดเหมือนกับช่วงวันที่ 12 – 13 มกราคม ส่วนภาคกลาง กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก อากาศจะเย็นในตอนเช้า จนถึงประมาณวันที่ 20 มกราคม จากนั้นจะค่อยๆ อุ่นขึ้น แล้วเข้าสู่ฤดูร้อนกลางเดือนกุมภาพันธ์ตามปกติ

ปัจจุบันปรากฏการณ์เอนโซอยู่ในสภาวะลานีญากำลังอ่อน โดยในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่เข้าสู่ฤดูร้อนจะยังคงเป็นลานีญาและเข้าสู่สภาวะเป็นกลางประมาณกลางเดือนมีนาคมถึงต้นเมษายน คาดว่าฤดูร้อนปีนี้อุณหภูมิจะไม่สูงเท่ากับปีที่ผ่านมา โดยฤดูร้อนปี 2567 อยู่ในสภาวะเอลนีโญ ทำให้ปีนี้มีความชื้นมากกว่า

ในเดือนมีนาคมและเมษายนปีนี้ซึ่งปกติเป็นช่วงที่ร้อนที่สุด อาจมีวันที่ร้อนถึงร้อนจัด บางพื้นที่ที่อุณหภูมิจะสูงกว่า 40 องศาเซลเซียส แต่คาดว่าจะไม่ร้อนต่อเนื่องหลายวันและอาจมีฝนตกลงมาคลายความร้อนได้บ้าง ดังนั้นจึงถือว่าในปี 2568 เป็นปีที่ฝนมาเร็ว คาดว่าจะเข้าสู่ฤดูฝนประมาณกลางเดือนพฤษภาคมตามปกติและการกระจายตัวของฝนในต้นฤดูจะกระจายได้ดี แต่การประเมินฝนตลอดฤดูว่า จะฝนมากหรือน้อยนั้น ต้องติดตามในช่วงใกล้ฤดูฝนอีกครั้งเนื่องจากปรากฏการณ์เอนโซจะประเมินทุก 3 เดือน

นายสมควร กล่าวว่า ตั้งแต่ 15 ม.ค. ภาคใต้ฝั่งอ่าวไทยต้องเตรียมรับสถานการณ์ฝนเนื่องจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามันจะมีกำลังแรงขึ้น จึงทำให้ภาคใต้ฝนฟ้าคะนอง โดยภาคใต้ตอนล่างต้องระวังฝนตกหนักบางแห่ง

นอกจากนี้ยังต้องระวังคลื่นลมที่มีกำลังแรงขึ้นทั้งบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามัน โดยอ่าวไทยมีคลื่นสูง 2 – 3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ส่วนทะเลอันดามันมีคลื่นสูง 1 – 2 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร และบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร เรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง ประชาชนที่อยู่ตามแนวชายฝั่งต้องระวังอันตรายจากคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่งตั้งแต่วันที่ 16 – 18 มกราคมนี้

Advertisement

กต. เตือนอย่าหลงเชื่อมิจฉาชีพอ้างโทรจากสถานทูตหลอกโอนเงิน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 10 มกราคม 2568 กระทรวงการต่างประเทศ – กต. ย้ำเตือนคนไทยในยุโรป อย่าหลงเชื่อมิจฉาชีพอ้างโทรจากสถานทูตหลอกโอนเงิน พร้อมเตือนคนไทยที่จะไปทำงานในตะวันออกกลางระวังถูกหลอกไปขายบริการ

นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า ขณะนี้ กระทรวงการต่างประเทศ ได้รับรายงานว่า มีการหลอกลวงคนไทยในยุโรปหลายประเทศ อาทิ ฝรั่งเศส สเปน เยอรมนี และเนเธอร์แลนด์ ซึ่งหลายกรณีมิจฉาชีพใช้อุบายในการขอข้อมูลส่วนบุคคลว่า เป็นเจ้าหน้าที่จากสถานเอกอัครราชทูต หรือในบางกรณีได้มีการปลอมแปลงหมายเลขโทรศัพท์ของสถานเอกอัครราชทูต เพื่อหลอกลวงให้โอนเงิน

นอกจากนั้น ยังมีรายงานว่า มีกลุ่มคนไทยถูกชักชวน และหลอกลวงผ่านสื่อออนไลน์ ให้ไปทำงานในพื้นที่ตะวันออกกลางจำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือ UAE และประเทศโอมาน เพื่อเป็นพนักงานนวดไทย หรือนวดสปา โดยอ้างว่า สามารถเข้าประเทศได้ง่าย ผ่านมาตรการยกเว้นการตรวจลงตรา หรือ ฟรีวีซ่า หรือการขอวีซ่าท่องเที่ยวได้สะดวก และมีสวัสดิการการทำงานที่ดีเกินจริง เช่น มีการออกค่าใช้จ่ายในการดำเนินการต่าง ๆ ให้ล่วงหน้า แต่เมื่อไปถึงสถานที่ทำงานจะพบว่า เป็นร้านนวดที่แอบแฝงการขายบริการทางเพศ และจะถูกบังคับให้ขายบริการอย่างหนัก ถูกโกงค่าแรง และอาจถูกขายไปยังสถานบริการอื่น ๆ ต่อเป็นทอด ๆ ได้

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ จึงขอให้ผู้ที่ประสงค์จะไปทำงานในต่างประเทศ ตรวจสอบ ความน่าเชื่อถือและเงื่อนไขของงานที่จะไปทำอย่างรอบคอบและระมัดระวัง เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์ พร้อมย้ำว่า สถานเอกอัครราชทูตไทยทุกแห่ง ไม่มีนโยบายเป็นตัวกลางรับฝากเอกสารจากหน่วยงานใด ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงจะไม่ติดต่อชุมชนไทยเพื่อขอเอกสารส่วนตัว หรือขอให้ทำธุรกรรมด้านการเงินใด ๆ ทั้งสิ้น

Advertisement

10-13 ม.ค. เหนือ-อีสาน ลดฮวบ 5-7 องศาฯ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 9 มกราคม 2568 กรมอุตุฯ ออกประกาศเตือนอากาศหนาวเย็นบริเวณประเทศไทย วันที่ 10-13 ม.ค.นี้ เหนือ-อีสาน เย็นลง 5-7 องศาฯ ส่วน กทม.-ปริมณฑล อุณหภูมิลดลง 3-5 องศาฯ

ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา เรื่อง อากาศหนาวเย็นบริเวณประเทศไทย และคลื่นลมแรงบริเวณอ่าวไทยรวมทั้งทะเลอันดามัน มีผลกระทบตั้งแต่วันที่ 10-13 มกราคม 2568 ฉบับที่ 3 (3/2568)

ในช่วงวันที่ 10-13 ม.ค. 68 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังแรงอีกระลอกจากประเทศจีนจะแผ่เสริมลงมาปกคลุมประเทศไทยและทะเลจีนใต้ ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวจะมีอุณหภูมิลดลงกับมีลมแรง โดยภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะมีอุณหภูมิลดลง 5-7 องศาเซลเซียส ส่วนภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออกและภาคใต้ตอนบน จะมีอุณหภูมิลดลง 3-5 องศาเซลเซียส ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวดูแลรักษาสุขภาพ เนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นลง รวมถึงให้ระวังอันตรายจากอัคคีภัยที่อาจจะเกิดขึ้นเนื่องจากสภาพอากาศแห้งและลมแรง

สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้จะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณตอนล่างของภาค ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันจะมีกำลังแรง โดยอ่าวไทยมีคลื่นสูง 2-4 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 4 เมตร ส่วนทะเลอันดามันทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 2-3 เมตรและบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ขอให้ประชาชนบริเวณภาคใต้ฝั่งตะวันออกระวังอันตรายจากคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่ง ชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง สำหรับเรือเล็กบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันควรงดออกจากฝั่งในช่วงวันที่ 10-13 ม.ค. 68

Advertisement

 

ด่วน รัฐบาลคุมเข้ม “แม่สอด” จ.ตาก เฝ้าระวังอหิวาฯ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 2 มกราคม 2568 รัฐบาลคุมเข้ม “แม่สอด” จ.ตาก เฝ้าระวังอหิวาฯ “ศศิกานต์” ย้ำ กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ วาง 6 มาตรการเข้ม ขอผู้ประกอบการเข้มงวดความสะอาดตามหลักสุขาภิบาล

วันนี้ (2 มกราคม 2568) นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากกรณีพบผู้ป่วย ติดเชื้อ “อหิวาตกโรค” ในพื้นที่เขตเทศบาลแม่สอด จังหวัดตาก รัฐบาลโดยสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดตาก กระทรวงสาธารณสุข เปิดศูนย์ปฏิบัติการฯ เฝ้าระวังและควบคุมโรคอย่างใกล้ชิด ล่าสุดสถานการณ์ผู้ป่วยในพื้นที่สามารถควบคุมได้เป็นอย่างดีแล้ว ปัจจุบันมีผู้ป่วยสะสม 4 ราย แบ่งเป็นชาวต่างชาติ 2 ราย คนไทย 2 และมีผู้ป่วยที่ติดเชื้อไม่มีอาการ 3 ราย ซึ่งผู้ป่วยทั้งหมดได้รับการรักษาจนหายดีแล้ว และไม่มีผู้เสียชีวิตจากสถานการณ์ดังกล่าว

นางสาวศศิกานต์  กล่าวว่า แม้ว่าสถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดตากจะอยู่ในการควบคุมแล้ว แต่ยังต้องมีการเฝ้าระวังป้องกันอหิวาตกโรคอย่างต่อเนื่อง โดย WHO “องค์การอนามัยโลก” ได้มีการประกาศ “อหิวาตกโรค” ถือเป็นภาวะฉุกเฉินใหญ่ หลังพบมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นในหลายประเทศ ทั้งนี้ เพื่อให้มีความตระหนักและร่วมกันป้องกันการแพร่ระบาดและติดต่อของโรค โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงจังหวัดตาก ที่มีพื้นที่อยู่ติดชายแดน ชเวโก๊กโก่ ประเทศเมียนมา กระทรวงสาธารณสุข ได้กำหนดมาตรการเพื่อป้องกันโรค ดังนี้

1.เจ้าของตลาดทุกประเภททุกแห่ง ให้ล้างตลาด ห้องสุขา ตามหลักการสุขาภิบาล รวมทั้งให้มีการฆ่าเชื้อทุกวัน และให้เจ้าของประกอบการร้านอาหาร เครื่องดื่ม รถเข็น หาบเร่ แผงลอยทุกชนิดดำเนินการตามหลักการสุขาภิบาล ปฏิบัติตามสุขลักษณะของสถานที่จำหน่ายอาหาร รวมถึงผู้สัมผัสอาหารทุกคน 2.หน่วยงานราชการ โรงเรียน ศาสนสถาน องค์กร เอกชน ผู้รับผิดชอบห้องสุขาสาธารณะ ให้ล้างทำความสะอาดห้องสุขาตามหลักการสุขาภิบาล รวมทั้งให้มีการฆ่าเชื้อทุกวัน 3.หน่วยงาน องค์กร เอกชน ผู้รับผิดชอบระบบประปา ให้ปรับปรุงคุณภาพน้ำประปาตามมาตรฐาน โดยกำหนดให้มีค่าคลอรีนอิสระคงเหลือในน้ำต้นท่อจ่ายไม่น้อยกว่า 1.0 มิลลิกรัมต่อลิตร (ppm) ปลายท่อจ่าย ไม่น้อยกว่า 0.5 มิลลิกรัมต่อลิตร (ppm) 4.ให้ผู้ที่เป็นหรือมีเหตุอันสมควรสงสัยติดเชื้ออหิวาตกโรค มารับการตรวจคัดกรองหรือรักษา จนกว่าจะพ้นระยะติดต่อของโรค 5.ให้เจ้าของ ผู้ครอบครอง หรือผู้พักอาศัยในบ้าน โรงเรือน สถานที่ เช่น ร้านอาหารและเครื่องดื่ม สถานที่ผลิตน้ำดื่ม/น้ำแข็ง ที่มีอหิวาตกโรคเกิดขึ้นหรือมีเหตุว่าปนเปื้อนเชื้อ ให้ความร่วมมือกับเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อในการตรวจคัดกรองโรคและกำจัดเชื้อ หรือทำลายเชื้อ และ 6.ขอความร่วมมือหน่วยงานราชการ นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชน และเครือข่ายภาคประชาชน สื่อสารข้อมูลความรู้การป้องกัน การปฏิบัติตัว ให้กับประชาชนในพื้นที่ โดยเน้นการประชาสัมพันธ์ทุกช่องทาง

“รัฐบาลห่วงใยสุขภาพประชาชน ขอให้ประชาชนดูแลตัวเอง แนะนำให้ล้างมืออย่างสม่ำเสมอและขอให้ยึดหลัก “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ” และขอให้ผู้ประกอบการอาหารมีความเข้มงวดในเรื่องของความสะอาดและสุขอนามัยในการนำวัตถุดิบที่นำมาปรุงสุก” นางสาวศศิกานต์ กล่าว

Advertisement

Verified by ExactMetrics