วันที่ 9 พฤษภาคม 2025

“วิษณุ” เผย “พล.อ.ประยุทธ์” กำชับทุกกระทรวงสรุปภารกิจรายงานรัฐมนตรีใหม่

People Unity News : 28 มิถุนายน 2566 “วิษณุ” แจง นายกฯ กำชับทุกกระทรวงเตรียมสรุปภารกิจรายงานรัฐมนตรีใหม่

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กำชับให้รัฐมนตรีแต่ละกระทรวงเตรียมส่งมอบงานให้รัฐบาลชุดใหม่ ว่า ไม่ใช่การส่งมอบงาน แต่เป็นการกำชับให้แต่ละกระทรวงสรุปรายงานการดำเนินการของตัวเองเพื่อเตรียมนำเสนอต่อรัฐมนตรีใหม่ที่เข้ามารับตำแหน่ง ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่มีมาทุกสมัย เพราะคนที่มาเป็นรัฐมนตรีใหม่ ก็อยากรู้งานของกระทรวงนั้นๆ ทั้งนี้ การส่งมอบงานระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาลแบบเป็นทางการนั้น ยังไม่เคยทำกัน แต่เคยมีดำริในรัฐบาลของนายบรรหาร ศิลปอาชา ซึ่งขณะนั้น นายบรรหารต้องการจะส่งมอบงานให้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ หัวหน้าพรรคความหวังใหม่ ที่จะมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไป แต่พรรคความหวังใหม่ปฏิเสธการรับมอบงาน เพราะเห็นว่าการส่งมอบงานหมายความว่า คนหนึ่งเป็นคนตั้งแล้วมอบงานไป เมื่อคนนี้เกษียณออกไปแล้วมีอีกคนเข้ามาแทน แต่พรรคความหวังใหม่ ถือว่าเขามาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน จึงไม่ต้องทำพิธีส่งมอบงานส่งแฟ้มอะไรกันให้เป็นสัญลักษณ์

นายวิษณุ กล่าวอีกว่า แต่ความอยากรู้ความเห็นของรัฐมนตรีในแต่ละเรื่องนั้น เป็นสิ่งที่รัฐมนตรีแต่ละคนไปทำกันเองในกระทรวง สำหรับตนเห็นว่าถ้าทุกกระทรวงทำได้ ก็จะเป็นเรื่องดี เพราะอย่างน้อยทำให้เห็นว่าในช่วงที่ผ่านมา แต่ละกระทรวงได้ทำอะไรไปแล้ว และมีอะไรที่จะต้องทำ เพราะบางครั้งรัฐมนตรีที่เข้ามาใหม่ไปเสียเวลาทำอย่างอื่นก่อน โดยไม่รู้ว่ามีอะไรเป็นเรื่องเร่งด่วน จึงถือเป็นหน้าที่ของปลัดกระทรวงต้องรายงานรัฐมนตรีคนใหม่ว่ามีงานอะไรที่ค้างอยู่ และมีเรื่องใดบ้างที่ต้องทำในเวลาจำกัด นี่คือสิ่งที่นายกรัฐมนตรีกำชับให้ทุกกระทรวงต้องทำ

Advertisement

‘วรวัจน์’ ชี้ประธานสภา ต้องเจรจาดึงความร่วมมือจากทุกฝ่ายได้

People Unity News : 24 มิถุนายน 2566 ‘วรวัจน์’ ชี้ คุณสมบัติประธานสภา คือต้องเจรจาดึงความร่วมมือจากทุกฝ่ายได้ เป้าหมายใหญ่คือทำให้ประชาชนได้นายกฯ จากฝ่ายประชาธิปไตย ชี้อย่ายึดติดว่าต้องเป็นของพรรคใด

นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส.แพร่ พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ความเห็นต่อกรณีประธานสภา ว่าประธานสภาจะต้องเป็นคนที่มีบารมีสูง สามารถประนีประนอม และเมื่อประธานสภาขึ้นนั่งเป็นประมุขทำหน้าที่ทั้ง 2 สภาแล้ว ต้องเป็นผู้ที่สามารถชี้แจงและโน้มน้าวให้เห็นถึงความจำเป็นในการที่จะให้ทุกคนลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีจากฝ่ายประชาธิปไตยให้เป็นไปตามความต้องการของพี่น้องประชาชน ประธานสภาไม่จำเป็นว่าจะต้องมาจากพรรคการเมืองใด แต่ต้องเป็นคนที่มีคุณลักษณะที่สามารถคุยกับทุกฝ่ายได้เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามความต้องการของพี่น้องประชาชน นี่คือสิ่งที่มีความสำคัญมากกว่าเพราะนี่คือความสำเร็จของฝ่ายประชาธิปไตย

นายวรวัจน์ กล่าวว่า เราไม่ควรไปมองว่าประธานสภาอยู่พรรคไหน แล้วต้องทำงานให้พรรคไหน แต่ประธานสภาจะต้องเป็นบุคคลที่วางตัวเป็นกลางระหว่างทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายสภาผู้แทนราษฎร และส.ว. เราต้องการคนที่มีความยืดหยุ่น ประนีประนอม ใช้เหตุและผลในการที่จะพูดคุยให้ทุกฝ่ายเห็นถึงสถานการณ์ของประเทศ วันนี้เราต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ความต้องการของประชาชนสำเร็จให้ได้ในที่สุดโดยไม่ยึดติดว่าประธานสภาจะเป็นคนของพรรคการเมืองใด

เมื่อถามว่า พรรคเพื่อไทยเป็นกังวลเรื่องการขอเสียงจาก ส.ว.ใช่หรือไม่ นายวรวัจน์ กล่าวว่า เราต้องดูว่าพรรคใดมีบุคลากรที่สามารถทำหน้าที่ตรงนี้ได้จนบรรลุผลสำเร็จ เพราะความสำเร็จนี้นั้นไม่ได้อยู่แค่เพียงการนั่งทำหน้าที่ประธานสภา แต่ต้องบรรลุผลในการเจรจากับทุกฝ่ายให้ได้นายกฯจากฝ่ายประชาธิปไตย ผลสำเร็จอยู่ตรงนี้ต่างหาก ดังนั้นตนจึงบอกว่าอย่าไปมองว่าต้องเป็นคนนั้นหรือคนนี้ แต่ควรมองว่าใครที่จะทำภารกิจตรงนี้ให้สำเร็จได้เพื่อความสำเร็จร่วมกันของฝ่ายประชาธิปไตย เพราะต้องบอกว่าตำแหน่งประธานสภาไม่ใช่หัวหน้าอย่างตำแหน่งนายกฯที่สั่งการ ครม. ได้ แต่ประมุขนิติบัญญัติไม่สามารถสั่งการใครได้ ไม่สามารถให้คุณให้โทษหรือปลดใครออกจากตำแหน่งได้ ดังนั้นหน้าที่สำคัญของประมุขฝ่ายนิติบัญญัติคือ การทำหน้าที่อย่างเป็นกลางเพื่อให้ทุกคนเชื่อใจ และยอมรับ เพราะเราจะต้องทำงานกันในสภาผู้แทนราษฎรในระยะยาว

Advertisement

ครม. รับทราบข้อเสนอแนะจาก ป.ป.ช. ป้องกันทุจริต อปท.

People Unity News : 20 มิถุนายน 2566 ครม. รับทราบข้อเสนอแนะจาก ป.ป.ช. เพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับเงินอุดหนุนของ อปท. กรณีเงินอุดหนุนที่รัฐอุดหนุนให้แก่ อปท. และกรณีที่ อปท. อุดหนุนไปยังหน่วยงานอื่น

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี มีมติรับทราบกรณี คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับเงินอุดหนุนของ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) กรณีรัฐอุดหนุนแก่ อปท. ดังนี้

1.ข้อเสนอด้านการจัดทำคำขอและการจัดสรรงบประมาณเงินอุดหนุน ซึ่ง 1) ควรมีนโยบายและแนวทางการปฏิบัติที่ชัดเจน ทั้งวิธีการและระยะเวลาในการส่งเสริมและพัฒนารายได้ให้กับ อปท. 2) ในขณะที่ อปท. ยังไม่มีเงินเพียงพอต่อการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ควรพิจารณาจัดสรรเงินอุดหนุนให้แก่ อปท. ในรูปแบบเงินอุดหนุนทั่วไป โดยลดการจัดสรรเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ ซึ่งมักมีปัญหาการทุจริตจากการวิ่งเต้นและการบริหารงานงบประมาณให้เหลือน้อยที่สุด 3) ควรกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และตัวชี้วัดอย่างชัดเจนในการจัดสรรเงินอุดหนุนเฉพาะกิจให้แก่ อปท. เพื่อลดอำนาจการใช้ดุลยพินิจในการจัดสรรโดยมิชอบ 4) ควรเร่งดำเนินการให้ อปท. เป็นหน่วยงานที่ขอรับเงินงบประมาณโดยตรง

2.ข้อเสนอด้านการนำเงินอุดหนุนไปจัดทำข้อบัญญัติ/เทศบัญญัติ และการบริหารจัดการงบประมาณเงินอุดหนุน 1) ควรกำหนดให้ประชาชนสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารงานของ อปท. อย่างเป็นรูปธรรมและเข้มข้นในทุกกระบวนการ 2) ควรส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของสมาชิกสภาท้องถิ่น และประชาชนให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาท หน้าที่ และอำนาจกฎหมาย ระเบียบ และข้อกำหนดต่าง ๆ 3) ควรส่งเสริมและพัฒนาระบบการตรวจสอบภายในของ อปท. ทั้งในด้านประสิทธิภาพ ความมีอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ 4) ควรกำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนในการดำเนินการของ อปท.

3.ข้อเสนอด้านการติดตามและประเมินผลการใช้จ่ายงบประมาณเงินอุดหนุน 1) ควรดำเนินการให้มีการจัดทำระบบฐานข้อมูลกลางขนาดใหญ่ (Big Data) 2) ควรกำหนดรูปแบบการรายงานผลการดำเนินงานของ อปท. ให้ประชาชนทราบอย่างทั่วถึง 3) ควรกำชับให้ผู้ใช้อำนาจในการกำกับดูแล อปท. ตรวจสอบติดตามและการรายงานผลการใช้จ่ายงบประมาณเงินอุดหนุนของ อปท. 4) ควรสนับสนุนให้ อปท. ทุกแห่งใช้ระบบการจ่ายเงินโดยให้จ่ายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) 5) ควรให้ความสำคัญกับการตรวจสอบการใช้จ่ายและการบริการเงินอุดหนุนของ อปท. ว่าเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และแบบแผนการปฏิบัติราชการหรือไม่

ทั้งนี้ ป.ป.ช. มีข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับเงินอุดหนุนของ อปท. กรณี อปท. อุดหนุนไปยังหน่วยงานอื่น ดังนี้

1.ประเด็น อปท. ตั้งงบประมาณเงินอุดหนุนให้แก่หน่วยงานอื่นโดยไม่เป็นไปตามระเบียบ หลักเกณฑ์ และแนวทางที่กำหนดรวมถึงหน่วยงานที่รับเงินอุดหนุนจาก อปท. ใช้จ่ายเงินไม่เป็นไปตามระเบียบและวัตถุประสงค์ อันอาจนำไปสู่การทุจริต 1) ควรแจ้งและกำกับให้ อปท. กำหนดมาตรการควบคุมภายใน โดยให้จัดทำแผนการตรวจสอบประเด็นขั้นตอนที่มีความเสี่ยงต่อการใช้จ่ายงบประมาณเงินอุดหนุน และควรให้ความสำคัญเกี่ยวกับการติดตามว่าเป็นไปตามวัตถุประสงค์หรือไม่ 2) ควรกำหนดระเบียบห้าม อปท. ตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่ออุดหนุนให้แก่หน่วยงานที่ไม่ปฏิบัติตามระเบียบฯ ในปีงบประมาณถัดไป 3) ห้าม อปท. ตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่ออุดหนุนโครงการที่มีลักษณะเกี่ยวกับการจัดหาครุภัณฑ์ ที่ดิน และสิ่งก่อสร้าง 4) ควรกำหนดให้ อปท. ต้องจัดให้มีวิธีการที่จะให้ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินการ 5) ควรให้ความสำคัญในการกำกับ ติดตาม ตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณ ต้องให้ความสำคัญทั้งในส่วนของ อปท. ที่ตั้งงบประมาณเงินอุดหนุน และการดำเนินการของหน่วยงานที่ขอรับเงินอุดหนุน พร้อมรายงานผลต่อสภาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและเปิดเผยต่อสาธารณะด้วย

2.ประเด็น อปท. ตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่ออุดหนุนให้หน่วยงานที่ทำการปกครองอำเภอ และสำนักงานจังหวัด ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีนายอำเภอ และผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ควบคุมกำกับดูแล อปท. ตามกฎหมายอันเป็นการขัดกันต่อการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้กำกับดูแลเพื่อให้เกิดความถูกต้องและปราศจากการทุจริตทุกรูปแบบ 1) แก้ไขระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยเงินอุดหนุนฯ โดยห้าม อปท. ตั้งงบประมาณเงินอุดหนุนให้ที่ทำการปกครองอำเภอและสำนักงานจังหวัด 2) กำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ ผู้กำกับดูแล อปท. ให้ อปท. ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ และหนังสือสั่งการของ มท.

3.ประเด็น อปท. ตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่ออุดหนุนให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ (การไฟฟ้า การประปา และองค์การจัดการน้ำเสีย) โดยไม่ปฏิบัติตามระเบียบ หลักเกณฑ์และแนวทางเช่นเดียวกับหน่วยงาน/องค์กรอื่นที่ขอรับเงินอุดหนุนจาก อปท. 1) ห้าม อปท. ตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่ออุดหนุนตามโครงการขยายเขตไฟฟ้าและประปา เพื่อจำหน่าย 2) ในกรณีที่ อปท. ตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่ออุดหนุนให้รัฐวิสาหกิจในภารกิจตามหน้าที่ของ อปท. จะต้องปฏิบัติเช่นเดียวกับการให้เงินอุดหนุนหน่วยงานอื่นคือให้นำเงินอุดหนุนนับรวมในอัตราส่วนไม่เกินร้อยละของรายได้จริงในปีงบประมาณที่ผ่านมา

Advertisement

นายกฯสนับสนุนดัดแปลงรถยนต์ราชการใช้พลังงานไฟฟ้า

People Unity News : 12 มิถุนายน 2566 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ สนับสนุนหน่วยงานภาครัฐนำร่องพัฒนารถยนต์ราชการมาดัดแปลงเป็นรถพลังงานไฟฟ้า ส่งเสริมแนวคิดอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สนับสนุนการนำร่องพัฒนารถยนต์ราชการดัดแปลงเป็นการใช้พลังงานไฟฟ้า ส่งเสริมแนวคิดอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม สอดคล้องนโยบายรัฐบาลในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ทั้งนี้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม เตรียมเปิดตัวรถยนต์ราชการไฟฟ้าดัดแปลงในช่วงเดือนมิถุนายนนี้ โดยได้พัฒนาต้นแบบยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลง สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ที่มุ่งเปลี่ยนผ่านจากอุตสาหกรรมยานยนต์แบบเดิมสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อความเป็นกลางทางคาร์บอน

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมนำรถยนต์ราชการสองคัน คือ รถมินิบัส และรถตู้ ที่สภาพเก่า และใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน ทำให้มีค่าบำรุงรักษาซ่อมแซม รวมถึงยังปล่อยก๊าซเรือนกระจก PM2.5 และไอเสีย มาดัดแปลงเป็นการใช้พลังงานไฟฟ้าที่อยู่ในแบตเตอรี่เป็นแหล่งพลังงาน เปลี่ยนต้นกำลังจากการใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในเป็นมอเตอร์ไฟฟ้า ทั้งนี้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมมุ่งหวังที่จะนำรถยนต์ราชการไฟฟ้าดัดแปลงมาใช้ในการปฏิบัติราชการ และใช้เป็นรถสวัสดิการรับ-ส่งเจ้าหน้าที่ พนักงาน และบุคลากรในกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ยังวางแผนถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่ผู้ประกอบการ และบุคลากรในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลง ทำให้เกิดการสร้างอาชีพในการดัดแปลงและการซ่อมบำรุงรักษายานยนต์ไฟฟ้า เพื่อส่งเสริมให้มีการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลงเพิ่มขึ้น

“นายกรัฐมนตรีสนับสนุนหน่วยงานภาครัฐที่มองเห็นความพยายามในการดำเนินนโยบายของรัฐบาล ส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า สอดคล้องกับแนวทางรัฐบาลที่มุ่งส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงผลักดันให้อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์สามารถเติบโตได้อย่างเข้มแข็งและยั่งยืน นอกจากนี้ รัฐบาลมุ่งผลักดันพัฒนาผู้ประกอบการและบุคลากรในอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เตรียมพร้อมรับมือกับเทคโนโลยียานยนต์รูปแบบใหม่ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับสากล และทำให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิต EV ที่สำคัญของโลก” นายอนุชา กล่าว

Advertisement

พล.อ.ประยุทธ์ กำชับปราบปรามเด็ดขาดค้ามนุษย์

People Unity News : 10 มิถุนายน 2566 “ทิพานัน” เผย พล.อ.ประยุทธ์ ห่วงใยประชาชนตกเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ผ่านช่องทางออนไลน์ กำชับทุกหน่วยบูรณาการแก้ไขปัญหาตามแผนบันได 5 ขั้น เข้มปราบปรามเด็ดขาดถอนรากถอนโคน พร้อมเร่งประชาสัมพันธ์เชิงรุกสร้างภูมิคุ้มกันประชาชน

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์อย่างจริงจังและต่อเนื่องในทุกมิติ จากผลการดำเนินการปราบปรามการค้ามนุษย์ที่ผ่านมาส่งผลให้ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้น โดยอยู่ในระดับ “เทียร์ 2” และมีเป้าหมายไปสู่สถานะ “เทียร์ 1” อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ ยังห่วงใยสถานการณ์ ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หรือ พม.ที่พบว่า ปัจจุบันขบวนการค้ามนุษย์เปลี่ยนรูปแบบการกระทำผิดผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มมากขึ้น เช่น การค้าประเวณี การหลอกเด็กหญิง เด็กชาย ผู้ชายและผู้หญิงเพื่อผลิตสื่อลามกอนาจาร และการหลอกลวงโฆษณาจัดหางาน เพื่อชักชวนคนไทยให้ไปทำงานต่างประเทศ เป็นต้น

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้ย้ำให้ทุกหน่วยงานบูรณาการแก้ไขปัญหา ตามแนวทางป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ดังนี้

1.เพิ่มขีดความสามารถของเจ้าหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมาย

2.ถอดบทเรียนแผนปฏิบัติการด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

3.ยกระดับศูนย์บัญชาการป้องกันการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน/จัดสรรอัตรากำลังเพิ่มเติม

4.ยกระดับระบบรับเรื่องร้องทุกข์ ร้องเรียนการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน การบริหารจัดการข้อมูล และการส่งต่อคดี

5.ตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจต่อต้านการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

“พล.อ.ประยุทธ์ยังได้กำชับให้ดำเนินการบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิดอย่างเด็ดขาด และสาวถึงต้นตอเพื่อถอนรากถอนโคนปัญหาให้ถึงผู้อยู่เบื้องหลัง พร้อมทั้งรณรงค์ให้ความรู้กับประชาชน ตระหนักถึงภัยการค้ามนุษย์รูปแบบใหม่ๆ โดยการประชาสัมพันธ์เชิงรุก เพื่อให้รู้เท่าทัน เพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับประชาชน” น.ส.ทิพานัน กล่าว

Advertisement

 

“อุ๊งอิ๊ง” เผย “ทักษิณ” ประสานกลับไทยไว้แล้ว

People Unity News : 7 มิถุนายน 2566 “อุ๊งอิ๊ง” เผย “ทักษิณ” ประสานปูทางกลับไทยไว้แล้ว ขอประเมินสถานการณ์และความเหมาะสมอีกครั้ง เชื่อแม้จะอยู่ในช่วงรัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์” ก็ไม่เป็นปัญหา

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หรืออุ๊งอิ๊ง แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกระบวนการเดินทางกลับประเทศไทยของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า ขณะนี้ยังไม่ทราบว่า นายทักษิณ ประสานอะไรไว้แล้วบ้าง  แต่ทราบว่าการวางแผนของนายทักษิณ ก็จะมีความคืบหน้าเป็นระยะ พร้อมยืนยันจะกลับมาเข้ากระบวนการตามปกติ และอาจจะต้องประสานกับหน่วยงานรัฐตามขั้นตอน

ส่วนการเตรียมการของครอบครัว ขณะนี้ได้เตรียมพร้อมไว้เบื้องต้น ทั้งเรื่องความสะดวกสบาย ความปลอดภัย ที่เตรียมการต้อนรับไว้หลายแบบ เพราะไม่รู้ต้องผ่านหรือเจออะไรบ้าง และยังต้องรอนายทักษิณให้สัญญานว่าจะให้เตรียมการอะไรเพิ่มเติมหรือไม่

สำหรับกำหนดการกลับประเทศ เบื้องต้นคิดว่ายังเป็นเดือนกรกฎาคมตามเดิม แต่ต้องดูสถานการณ์การเมือง และเหตุการณ์ประเทศประกอบด้วย เพราะการกลับมาของนายทักษิณนั้นสำคัญ อยากให้กลับมาในช่วงเวลาที่ดี ไม่มีความขัดแย้ง โดยจะเน้นดูที่ความเหมาะสมมากกว่า ทั้งนี้ไม่ทราบว่าเหตุใดจึงตัดสินใจเลือกเดือนกรกฎาคม แต่คิดว่าน่าจะตรงกับช่วงวันเกิดของคุณพ่อ

นางสาวแพทองธาร ยังมองว่า การกลับมาของนายทักษิณ ไม่ว่าจะอยู่ในรัฐบาลรักษาการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือรัฐบาลไหนก็ไม่มีปัญหา เพราะจะกลับมาเข้ากระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว

Advertisement

“วิษณุ” ยันรัฐบาลแห่งชาติ ทำไม่ได้ จะยกเว้น รธน.เพื่อทำเรื่องนี้ไม่ได้

People Unity News : 2 มิถุนายน 2566 “วิษณุ” แจงหลังถูกโจมตีกรณีพูดเรื่องเลือกตั้งใหม่ทั้งประเทศ ตอบเพราะสื่อถาม แต่เวลานำเสนอข่าว สื่อไม่ลงคำถามที่ถาม ยันรัฐบาลแห่งชาติ ทำไม่ได้ จะยกเว้น รธน.เพื่อทำเรื่องนี้ไม่ได้

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีก่อนหน้านี้ให้ความเห็นหากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยประเด็นการถือหุ้นของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล ขาดคุณสมบัติในการรับรองผู้สมัคร ส.ส. จะส่งผลให้เกิดการเลือกตั้งซ่อมใหม่ในพื้นที่ที่พรรคก้าวไกลได้ ส.ส. โดยยืนยันว่า เจตนารมณ์ที่สื่อสารในวันนั้น เพราะสื่อมวลชนถาม และเวลาไปออกข่าวก็ไม่ได้เสนอคำถาม เมื่อตนตอบไป มีผู้สื่อข่าวแย้งว่าเป็นไปได้หรือไม่ หากต้องเลือกตั้งใหม่ทั่วประเทศ ตนก็ตอบว่าเคยมีเท่านั้นเอง

“ไม่ได้ไปเปรียบเทียบและความเป็นจริงก็เปรียบเทียบไม่ได้ เพราะเป็นคนละกรณี ผมอธิบายตามหลักของกฎหมาย แต่จากนี้คงจะไม่ให้ความเห็นในประเด็นดังกล่าว เพราะจะไม่เกิดความเป็นธรรมกับพรรคก้าวไกล เนื่องจากพรรคก้าวไกลกำลังเดินไปในทางที่เขาควรจะทำอยู่แล้ว ดังนั้น อย่าไปทำให้กระบวนการของเขาสะดุด ถ้าพูดมากกว่านี้ไปก็เหมือนกับตั้งใจให้เขาสะดุด เมื่อผมไม่ได้ตั้งใจ ก็ไม่ควรพูดอะไรอีก” นายวิษณุ กล่าว

เมื่อถามย้ำว่า เป็นไปตามกฎหมายที่จะต้องเป็นอยู่แล้วใช่หรือไม่  นายวิษณุ กล่าวว่า ช่วยไปถามคนอื่นก็แล้วกัน

ส่วนกรณีนายจเด็ด อินสว่าง สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) เสนอให้มีรัฐบาลแห่งชาติ นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่ทราบ ไม่รู้เรื่องและไม่เข้าใจว่าคำนี้มาจากไหน เพราะประเทศไทยไม่เคยมี แต่ต่างประเทศเคยมี

เมื่อถามว่า เวลาบ้านเมืองเกิดปัญหาก็มักจะนึกถึงคำว่ารัฐบาลแห่งชาติ นายวิษณุ กล่าวว่า ก็เป็นธรรมดา เหมือนคนที่เจอเหตุจมน้ำ  ไฟไหม้ เจออะไรก็ต้องคว้า คิดอะไรออกก็คิด จึงไม่แปลกที่จะคิดและเสนอความคิดแบบนี้ออกมา แต่หากสังคมไม่ยอมรับ ก็ควรหยุดคิด รัฐธรรมนูญเปิดช่องให้ทำหรือไม่ ไม่ทราบ ต้องไปถามนายจเด็ด

เมื่อถามว่าหากยกเว้นการใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา ขั้นตอนจะต้องทำอย่างไร นายวิษณุ ตอบว่า ทำไม่ได้  ยกเว้นไม่ได้ รัฐธรรมนูญมีกว่า 200 มาตรา จะยกเว้นได้อย่างไร สมัยพระยามโนปกรณ์นิติธาดา อดีตนายกรัฐมนตรี เคยยกเว้นคือการยึดอำนาจ

ส่วนบ้านเมืองต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบใดจึงจะมีรัฐบาลแห่งชาติได้ นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่ทราบ ให้ไปถามคนอื่น หากตนตอบจะกลายเป็นไปรับลูก ส.ว.จเด็ด จะกลายเป็นคนหนึ่งเป็นปี่ คนหนึ่งเป็นขลุ่ย ไม่ควรตอบ

เมื่อถามว่า ส.ว.ควรจะโหวตตามเสียงข้างมากหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ขอไม่ตอบ เพราะท่านเป็น ส.ว.หรือ ส.ส. พรรคจะไปบังคับให้โหวตไม่ได้ ต้องมีอิสระ เนื่องจากรัฐธรรมนูญเขียนไว้ว่าเรื่องอื่นต้องโหวตตามพรรค และมีเรื่องใดบ้างที่ต้องโหวตตามใจ ยกตัวอย่างปี 2562 มี ส.ส.ของพรรคภูมิใจไทยที่ไม่โหวตเลือก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ก็ไม่เป็นอะไร และใครก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้ด้วย จะไล่ออกจากพรรค ต้องมีเรื่อง ทุกคนมีความรู้ มีหัวจิตหัวใจ ก็คิดกันเองแล้วกัน

Advertisement

โฆษกรัฐบาล ยืนยันรัฐบาลให้ส่วนลดค่าไฟฟ้า 4 เดือนจริงตามข่าว

People Unity News : 1 มิถุนายน 2566 โฆษกรัฐบาล ยืนยันรัฐบาลให้ส่วนลดค่าไฟฟ้า 4 เดือน แก่ผู้ใช้ไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน คืนจริงส่วนลดค่าไฟฟ้าเดือน พ.ค. 150 บาทต่อราย แก่ผู้ใช้ไม่เกิน 500 หน่วยต่อเดือน บรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่มีข้อมูลเผยแพร่เกี่ยวกับประเด็นเรื่องรัฐบาลคืนส่วนลดค่าไฟ 150 บาทในเดือนถัดไปหลังชำระบิลค่าไฟแล้ว ขอยืนยันว่าเป็นข้อมูลจริง โดยการไฟฟ้านครหลวง (MEA) ระบุชัดเจนว่า ใบแจ้งค่าไฟฟ้าประจำเดือนพฤษภาคม 2566 ที่จดหน่วยและส่งใบแจ้งค่าไฟฟ้าในวันที่ 14 – 17 พฤษภาคม 2566 ที่ยังไม่มีส่วนลด MEA จะปรับปรุงในระบบรับชำระเงินค่าไฟฟ้า โดยผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถตรวจสอบยอดเงินค่าไฟฟ้าประจำเดือนพฤษภาคม 2566 ที่มีการปรับปรุงแล้วได้ที่แอปพลิเคชัน MEA Smart life หรือที่ทำการ MEA ทั้ง 18 เขต หากผู้ใช้ไฟฟ้าที่ชำระค่าไฟฟ้าแล้ว MEA จะคืนเงินส่วนลดดังกล่าวให้ในเดือนถัดไป ทั้งนี้ ใบแจ้งค่าไฟฟ้าประจำเดือนพฤษภาคม 2566 จะเป็นการจดหน่วยในวันใดวันหนึ่งระหว่างวันที่ 14 พฤษภาคม ถึงวันที่ 13 มิถุนายน 2566

ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติเห็นชอบให้ดำเนินการมาตรการบรรเทาความเดือดร้อน และช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนจากสถานการณ์ราคาพลังงานที่ได้รับผลกระทบจากราคาไฟฟ้า ตามที่คณะรัฐมนตรีเสนอ โดยให้ส่วนลดค่าไฟฟ้าต่อเนื่อง 4 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2566 แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน และส่วนลดค่าไฟฟ้า (เพิ่มเติม) สำหรับงวดเดือนพฤษภาคม 2566 จำนวน 150 บาทต่อราย ให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 500 หน่วยต่อเดือน ทั้งนี้ กำหนดให้เป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าก่อนการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม

“กรณีการให้ส่วนลดค่าไฟฟ้า ต่อเนื่อง 4 เดือน และให้ส่วนลดค่าไฟฟ้า (เพิ่มเติม) ดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ และพยายามดำเนินการตามอำนาจที่มีตามกฎหมาย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน” นายอนุชากล่าว

Advertisement

ชื่นชมเด็กไทยสร้างชื่อแข่งฟิสิกส์โอลิมปิก

People Unity News : 29 พฤษภาคม 2566 โฆษกรัฐบาล เผย นายกฯ ชื่นชมเด็กไทย สร้างชื่อเสียงให้ประเทศในการแข่งขันฟิสิกส์โอลิมปิกระดับทวีปเอเชีย ครั้งที่ 23 ประจำปี 2566 เชื่อจะเป็นแรงบันดาลใจให้เด็กไทยอีกหลายคนพัฒนาความรู้ความสามารถต่อไป

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชื่นชมผลงานความสามารถของเด็กไทยที่ไปแข่งขันฟิสิกส์โอลิมปิกระดับทวีปเอเชีย ครั้งที่ 23 ประจำปี 2566 (The 23rd Asian Physics Olympiad : APhO 2023) ระหว่างวันที่ 19 – 29 พฤษภาคม 2566 ณ กรุงอูลานบาตอร์ (Ulaanbaatar) ประเทศมองโกเลีย ประสบความสำเร็จได้รับ 1 เหรียญทอง 1 เหรียญเงิน 2 เกียรติคุณประกาศ และ 4 เกียรติบัตร ซึ่งการแข่งขันฟิสิกส์โอลิมปิกระดับทวีปเอเชียในครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมการแข่งขัน 200 คน จาก 28 ประเทศ

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตัวแทนเด็กไทยด้วยความร่วมมือของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ทำผลงานการแข่งขันได้อย่างยอดเยี่ยม ประสบความสำเร็จรับ 1 เหรียญทอง 1 เหรียญเงิน 2 เกียรติคุณประกาศ และ 4 เกียรติบัตร ประกอบด้วย 1. นายธนัชสรศ์ จันทร์เกษมสัตย์ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กรุงเทพมหานคร เหรียญทอง 2. นายธงไชย อาชาบุณยเสก โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กรุงเทพมหานคร  เหรียญเงิน 3. นายณัฏฐ์เดช เผด็จสุวันนุกูล โรงเรียนเซนต์คาเบรียล กรุงเทพมหานคร รางวัลเกียรติคุณประกาศ 4. นายนพรุจ สอดศรี โรงเรียนกำเนิดวิทย์ จังหวัดระยอง รางวัลเกียรติคุณประกาศ 5. นายภัทรพล พันธ์เลิศระพี โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กรุงเทพมหานคร เกียรติบัตรเข้าร่วมการแข่งขัน 6. นายอัศวัศ บัวจงกล โรงเรียนชลราษฎรอำรุง จังหวัดชลบุรี เกียรติบัตรเข้าร่วมการแข่งขัน 7. นายปัณณธร เทียนกิ่งแก้ว โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กรุงเทพมหานคร เกียรติบัตรเข้าร่วมการแข่งขัน และ8. นายรวินภ โสดาดี โรงเรียนกำเนิดวิทย์ จังหวัดระยอง เกียรติบัตรเข้าร่วมการแข่งขัน

“นายกรัฐมนตรีชื่นชมในความสามารถของเยาวชนไทยที่เข้าร่วมในการแข่งขันครั้งนี้ ซึ่งทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม จนได้รับรางวัล แสดงถึงศักยภาพทางความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ของเยาวชนไทยให้เป็นที่ประจักษ์ในเวทีการแข่งขันระดับเอเชีย พร้อมเชื่อมั่นว่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้เด็กไทยอีกหลายคนในการพัฒนาความรู้ความสามารถต่อไป ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีขอขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คณะอาจารย์ผู้ควบคุมทีม และคณะอาจารย์ทุกท่านที่ร่วมกันฝึกฝน และผลักดันให้เยาวชนไทยได้เข้าร่วมการแข่งขัน เป็นผู้นำความสำเร็จ ความภาคภูมิใจ และชื่อเสียงกลับมาให้กับประเทศไทย” นายอนุชา กล่าว

Advertisement

นายกฯสั่งเตรียมรับมือหลังมาตรการลดภาษีดีเซลสิ้นสุด

People Unity News : 29 พฤษภาคม 2566 นายกรัฐมนตรีรับทราบข้อกังวลกรณีมาตรการลดภาษีน้ำมันดีเซลสิ้นสุด 20 ก.ค. เผยมีเวลาเกือบ 2 เดือน เตรียมการมอบคลัง-พลังงานวางแนวทางรองรับ ย้ำผลกระทบประชาชนน้อยที่สุด ไม่เป็นอุปสรรคเศรษฐกิจฟื้นตัว

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้รับทราบถึงข้อกังวลของประชาชนและภาคธุรกิจต่อกรณีที่ขณะนี้มีข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 5 บาทต่อลิตร จะสิ้นสุดในวันที่ 20 ก.ค. 66 โดยมีความกังวลว่าระยะเวลาดังกล่าวอาจจะยังไม่มีรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศและติดสินใจเกี่ยวกับมาตรการ จะทำให้ราคาน้ำมันดีเซลปรับขึ้นทันที 5 บาทต่อลิตร จนกระทบต่อค่าครองชีพและเศรษฐกิจในภาพรวม

นายกรัฐมนตรี ขอให้ประชาชนอย่าเพิ่งวิตกกังวล โดยมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลครั้งล่าสุด (ครั้งที่7) ที่รัฐบาลได้อนุมัติให้ดำเนินการเพิ่งเริ่มมีผลเมื่อวันที่ 21 พ.ค.ที่ผ่านมาและจะไปสิ้นสุดในวันที่ 20 ก.ค. 66 หรือเหลือเวลาอีก 2 เดือนจึงจะสิ้นสุดมาตรการ ยังมีเวลาที่รัฐบาลจะพิจารณาแนวทางต่างๆ มารองรับเพื่อให้ผลกระทบเกิดกับประชาชนน้อยที่สุด

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า  นายกรัฐมนตรีเห็นว่าตามความเหมาะสมแล้วมาตรการที่ต้องใช้จ่ายงบประมาณ หรือทำให้รัฐสูญเสียรายได้อย่างมีนัยสำคัญนั้น ควรต้องให้รัฐบาลใหม่ได้พิจารณา แต่รัฐบาลรักษาการโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก็ต้องดูสถานการณ์แต่ละช่วงเวลาว่าควรต้องดำเนินการอย่างไร เพื่อสามารถดูแลผลกระทบให้เกิดกับประชาชนน้อยที่สุด ไม่เป็นอุปสรรคต่อเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว และเป็นไปตามกฎหมาย

“นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังหารือกับกระทรวงพลังงาน เพื่อวางแนวทางรองรับกับมาตรการที่จะสิ้นสุดในปลายเดือน ก.ค. โดยให้พิจารณาปัจจัยต่างๆประกอบกัน เช่น สถานการณ์และแนวโน้มราคาน้ำมันโลก ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจในช่วงเปลี่ยนผ่านนโยบาย แนวทางไหนดำเนินการได้โดยอำนาจของหน่วยงาน หรือส่วนใดที่ต้องหารือคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้จัดทำแนวทางเสนอต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการตามความเหมาะสมต่อไป” น.ส.ไตรศุลี กล่าว

Advertisement

Verified by ExactMetrics