วันที่ 9 พฤษภาคม 2025

8 พรรคมีมติส่ง “พิธา” โหวตนายกฯรอบ 2 เจ้าตัวลั่นคะแนนไม่ถึง 344 ถึงยอมถอยให้ “เพื่อไทย”

People Unity News : 17 กรกฎาคม 2566 ที่อาคารไทยซัมมิท ทาวเวอร์ 8 พรรคการเมืองร่วมจัดตั้งรัฐบาล นัดหารือกันภายใน โดยไม่ได้แจ้งต่อสื่อมวลชนอย่างเป็นทางการ เพื่อหารือทิศทางในการลงมติเลือกแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีครั้งที่ 2 ที่จะมีขึ้นในวันที่ 19 กรกฎาคมนี้ โดยมีการนัดหมายแกนนำทั้ง 8 พรรค มาพบกันในเวลา 17.00 น. ทำให้ผู้สื่อข่าวทุกแขนงมาดักรอทำข่าว เกาะติดทั้งที่ลานจอดรถและบริเวณด้านหน้าทางเข้าอาคาร จึงพบว่ามีแกนนำ 8 พรรค ทยอยเดินทางมา ทั้งนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ แกนนำพรรคเพื่อไทย นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการ​พรรค​ก้าวไกล​ นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล​ นายกัณวีร์ สืบแสง ส.ส.พรรคเป็นธรรม นายสวรรธน์ พวงพรศรี หัวหน้าพรรคเพื่อไทยรวมพลัง ทำให้สื่อมวลชนแน่ใจว่ามีการประชุมเกิดขึ้นที่นี่

จนกระทั่งเวลา 18.30 น. แกนนำของทั้ง 8 พรรค ได้ลงมาร่วมแถลงข่าว นำโดยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการ​พรรค​ก้าวไกล​ นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย นายภูมิธรรม เวชยชัย แกนนำพรรคเพื่อไทย นายทวี สอดส่อง ตัวแทนจากพรรคประชาชาติ นายสุพันธ์ มงคลสุธี ตัวแทนจากพรรคไทยสร้างไทย และ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้า​พรรคเสรีรวมไทย​ ลงมาแถลงข่าวอย่างพร้อมเพรียง​

นายพิธา กล่าวถึงผลการหารือว่า ในวันที่ 19 กรกฎาคมนี้ 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล ยังคงเสนอชื่อของตนเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่กังวลเรื่องข้อกฎหมายที่เกรงว่าจะเป็นการเสนอญัตติซ้ำ แต่หากมีการตีความกฎหมายที่ต่างกัน เสนอชื่อนายพิธาไม่ได้ ก็ต้องมีการหารือกัน ส่วนตัวเชื่อว่าญัตติคือญัตติ การเสนอชื่อนายกฯ เป็นคนละเรื่องกัน โดยพรุ่งนี้จะมีการประชุมวิปสองฝ่าย รอฟังเหตุและผลของวิป รวมถึงฝ่ายตรงข้ามก่อน

เมื่อถามว่าจะตั้งหลักอย่างไรหากเสียงไม่พอในวันที่ 19 กรกฎาคมนี้ นายพิธา กล่าวว่า จะได้เป็นไปตามที่แถลงผ่านวิดีโอ โดยในสมรภูมิแรกหากคะแนนไม่ได้เพิ่มอย่างมีนัยสำคัญ หรือเพิ่มร้อยละ 10 คือ 344 เสียง ก็พร้อมถอย ถอยให้กับประเทศชาติและพรรคการเมืองอันดับ 2 ที่อยู่ใน MOU เดิม ส่วนจะเพิ่มเท่าไร ขอให้รอดู ยังทำงานและยังสู้อยู่

ขณะเดียวกันยังมีเรื่องของการแก้ไขมาตรา 272 ที่ยื่นเข้าไปแล้วและต้องบรรจุภายใน 15 วัน ขอย้ำว่าเป็นการดำเนินการของพรรคก้าวไกลเพียงพรรคเดียว ไม่ได้ผูกมัดกับพรรคอื่น

นายพิธา ยังย้ำว่า ความสัมพันธ์ของ 8 พรรคร่วมยังเป็นไปได้ด้วยดี ยืนยันจะตั้งรัฐบาลของประชาชนให้ได้ใน 8 พรรค จึงมีมติออกมาในวันนี้ ส่วนการพูดคุยกับพรรคชาติไทยพัฒนา ตอนนี้ยังไม่ได้เป็นมติของ 8 พรรค รวมถึงยังไม่ได้มีการเตรียมชื่อสำรองเอาไว้ ยังเป็นชื่อตนเพียงคนเดียวอยู่

ขณะที่การหารือกับ ส.ว. นายพิธา กล่าวว่า หลังจากวันที่ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมา มีการพูดคุยกับ ส.ว.อย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่พรรคก้าวไกล แต่เป็นพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล หวังจะได้เสียงเพิ่มจากคนที่ไม่ได้เข้าร่วมประชุมในวันนั้น พร้อมยอมรับว่ามีการต่อสายหาแกนนำพรรครัฐบาลเดิม เป็นเพียงการหารือถึงสถานการณ์การเมือง ไม่ได้เชิญเข้าร่วม

ส่วนที่มีกระแสงูเห่าที่จะไปเพิ่มคะแนนให้กับพรรคเสียงข้างน้อย นายพิธา กล่าวว่า เท่าที่ติดตามแต่ละพรรคบอกแล้วว่าจะไม่มีการตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย และในส่วนของพรรคก้าวไกลก็ติดตามตลอด จึงเชื่อว่าไม่มี ส.ส.คนใดไปเพิ่มเสียงให้ และที่ผ่านมาคนเป็นงูเห่าก็ได้รับบทเรียนแล้ว และพรรคเพื่อไทยยืนยันเช่นกัน

เมื่อถามว่าหากถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. ในวันที่ 19 กรกฎาคม​นี้ นายพิธา กล่าวว่า แม้จะถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ แต่ความเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของตนไม่ได้หายไป จึงไม่ใช่เรื่องน่ากังวล

เมื่อถามว่าการแก้ไขมาตรา 112 เป็นส่วนที่ ส.ว. และพรรคการเมืองไม่โหวตให้ นายพิธา กล่าวว่า เรื่อง 112 เป็นเพียงข้ออ้างที่อยู่ข้างหน้า แต่ข้างหลังมีอีกหลายเรื่อง ซึ่งเป็นไปตามที่สื่อได้มีการวิเคราะห์กัน ที่อาจจะไปกระทบต่อผลประโยชน์ รวมถึงเรื่องที่พรรคจะไปปฏิรูปงบ กอ.รมน. จึงเชื่อว่าหากเรื่อง 112 หายไปจะมีเรื่องอื่นเข้ามาเป็นข้ออ้างอีก ขณะเดียวกันตนต้องรักษาคำพูด หาเสียงพูดไว้อย่างไรเราก็ต้องทำตามนั้น ไม่ใช่ว่าทำเพื่อต้องการเข้าสู่อำนาจในทุกวิถีทาง

นายพิธา ให้สัมภาษณ์หลังการแถลงมีกระแสโซเชียลมีเดียเปรียบสามีเพื่อไทยและเจ้าสาวก้าวไกล ถามว่ารักกันดีไหม นายพิธา บอกว่ารักกันดี ส่วนประเด็นที่มีการโยงเรื่องมือเปรียบเปรยกันว่าความรักครั้งนี้ เหมือนจะต้องเจอเมียน้อย หรือ “อีหนู ล” นายพิธาบอกว่า พรรคเราไม่มีพูดเรื่องเพศ หรือเปรียบแบบนี้อยู่แล้ว

ส่วนที่ ส.ว.เสรี บอกว่าหากพรรคก้าวไกลยังอยู่ใน 8 พรรคร่วมรัฐบาล ส.ว. จะไม่โหวตให้ นายพิธา บอกว่า เป็นเรื่องของคุณเสรี แต่คณะทำงาน 8 พรรคร่วมรัฐบาล มีวิธีดำเนินการพูดคุยอยู่แล้ว และขอบคุณ 13 สมาชิกวุฒิสภาที่โหวตให้ ได้แสดงเจตนารมณ์อยู่ข้างพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง รวมไปถึงมั่นใจว่าวันที่ 19 กรกฎาคมนี้จะได้รับคะแนนเสียงมากขึ้น ตนมองว่าเป็นช่วงเวลาประจวบเหมาะทุกอย่าง 4 ประตู ในการถาโถมเข้ามาพอดิบพอดีกับการโหวตนายกรัฐมนตรี

Advertisement

รัฐบาลยกระดับจริยธรรมภาครัฐ

People Unity News : 15 กรกฎาคม 2566 รองโฆษกรัฐบาล เผยรัฐบาลยกระดับจริยธรรมภาครัฐ หนุนเกณฑ์กำหนดแนวทางและมาตรการลงโทษเจ้าหน้าที่รัฐที่ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรม

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมยกระดับจริยธรรมภาครัฐ โดยที่ผ่านมาได้ผลักดันกฎหมายสำคัญให้มีผลบังคับใช้คือพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) มาตรฐานทางจริยธรรม พ.ศ. 2562 ที่กำหนดให้องค์กรกลางบริหารงานบุคลากรรัฐและองค์กรที่มีหน้าที่ ต้องดำเนินการออกประมวลจริยธรรม วางแนวปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมสำหรับเจ้าหน้าที่อย่างเป็นรูปธรรม

โดยองค์กรกลางบริหารงานบุคคลที่ได้ดำเนินการออกประมวลจริยธรรมไปแล้ว ได้แก่ คณะรัฐมนตรี(ครม.) จัดทำประมวลจริยธรรมสำหรับข้าราชการการเมือง, สภากลาโหมจัดทำประมวลจริยธรรมสำหรับข้าราชการทหารและข้าราชการพลเรือนกลาโหม, สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ(สคร.) จัดทำประมวลจริยธรรมสำหรับผู้บริหารและพนักงานรัฐวิสาหกิจ และ คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน(กพม.) จัดทำประมวลจริยธรรมสำหรับผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ และผู้ปฏิบัติงานขององค์การมหาชน

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า เพื่อให้เป็นการปฏิบัติตาม พ.ร.บ.มาตรฐานจริยธรรมฯ เป็นไปอย่างครบถ้วน ล่าสุดคณะกรรมการมาตรฐานทางจริยธรรม (ก.ม.จ.) ได้อนุมัติแนวทางการจัดทำและการกำหนดมาตรการที่ใช้บังคับแก่เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐซึ่งมีพฤติกรรมที่เป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมหรือไม่ปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมและข้อกำหนดจริยธรรมของหน่วยงานของรัฐ ซึ่งสำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการของ ก.ม.จ. ได้เวียนหนังสือแจ้งให้องค์กรกลางบริหารงานบุคคลภาครัฐดำเนินการกำหนดมาตรการตามแนวทางที่ ก.ม.จ.กำหนดแล้ว พร้อมกับได้แจ้งการดำเนินการให้ ครม. ทราบเมื่อวันที่ 11 ก.ค. 66 ที่ผ่านมา

แนวทางฯ ที่ ก.ม.จ. กำหนดนั้น ได้ให้องค์กรกลางบริหารงานบุคคลและองค์กรที่มีหน้าที่ ต้องกำหนดกระบวนการพิจารณาและดำเนินการเรื่องร้องเรียนกรณีที่มีเจ้าหน้าที่ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรม หรือหากเดิมได้กำหนดกระบวนการพิจารณาอยู่แล้วก็ให้ปรับให้ให้สอดคล้องกับแนวทางล่าสุดของ ก.ม.จ.

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับกระบวนพิจารณาเรื่องร้องเรียนนั้นจะต้องประกอบด้วยการดำเนินการอย่างน้อย ดังนี้

1) พิจารณาเรื่องร้องเรียนซึ่งประกอบด้วยข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานเบื้องต้นที่เพียงพอ กำหนดการให้ความคุ้มครองบุคคลที่ให้ข้อมูลไว้เป็นพยาน

2) มีผู้รับผิดชอบในการดำเนินการ

3) กำหนดระยะเวลาดำเนินการที่ชัดเจน

ส่วนขั้นตอนการพิจารณาเรื่องร้องเรียน มีดังนี้

1) ให้ส่วนงาน คณะกรรมการที่ได้รับมอบหมายพิจารณาเรื่องร้องเรียนและรายงานต่อหัวหน้าหน่วยงานของรัฐภายใน 7 วัน นับแต่วันได้รับเรื่อง หากเป็นกรณีหัวหน้าหน่วยงานรัฐถูกกล่าวหาให้รายงานต่อผู้บังคับบัญชาเหนือขึ้นไปจากหัวหน้าหน่วยงาน

2)ให้หัวหน้าหน่วยงานของรัฐหรือผู้บังคับบัญชาเหนือขึ้นไป พิจารณาข้อเท็จจริงสั่งการเพื่อดำเนินการ (รวมทั้งสั่งลงโทษหากมีการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรม) ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับรายงาน และแจ้งให้ผู้ร้องทราบโดยเร็ว

3) ดำเนินการบันทึกพฤติกรรมการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมเป็นลายลักษณ์อักษรตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการประเภทนั้น

4) หน่วยงานรัฐรายงานการดำเนินการต่อองค์กรกลางบริหารงานบุคคลและองค์กรที่มีหน้าที่จัดทำประมวลจริยธรรม

5) องค์กรกลางบริงานงานบุคคลและองค์กรที่มีหน้าที่จัดทำประมวลจริยธรรม รายงานต่อ ก.ม.จ.

6) ให้หน่วยงานรัฐเปิดเผยรายงานการดำเนินงานต่อสาธารณะด้วย

Advertisement

“บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม-อนุทิน” ทยอยเก็บของในทำเนียบฯ

People Unity News : 14 กรกฎาคม 2566 “บิ๊กตู่” เก็บของในทำเนียบฯ เหลือของจำเป็นใช้ทำงาน ส่วนห้องคณะทำงาน “บิ๊กป้อม” ทยอยเก็บของจากตึกบัญชาการเช่นกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีรายงานว่า ภายหลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประกาศวางมือทางการเมือง ล่าสุด ได้เก็บของใช้ส่วนตัว บนห้องทำงานตึกไทยคู่ฟ้า ไปหมดแล้วตั้งแต่วันที่ 10 ก.ค.ที่ผ่านมา เหลือเพียงของที่จำเป็นต้องใช้ในการทำงาน และช่วงเช้าวันเดียวกันนี้ เจ้าหน้าที่ได้เก็บหนังสือต่างๆ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ชอบอ่าน ใส่ลังเตรียมขนกลับประมาณ 4-5 ลัง

ขณะที่ตึกบัญชาการ 1 ซึ่งเป็นห้องทำงานของรองนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้สั่งเจ้าหน้าที่เก็บของ ซึ่งมีไม่มาก เช่น หนังสือ ของตกแต่ง ส่วนของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มีเพียงห้องของคณะทำงาน 2 ห้อง ที่ทยอยเก็บของ เพราะมีเอกสาร หนังสือ และของใช้ส่วนตัว ออกบ้างแล้ว

Advertisement

ตื้นตัน ขรก.บอกรักพร้อมมอบกุหลาบแดง

People Unity News : 13 กรกฎาคม 2566 นายกฯ ตื้นตัน ข้าราชการสำนักงบประมาณมอบดอกกุหลาบแดง พร้อมสวมกอด บอกรักลุงตู่ที่สุด จะอยู่เคียงข้าง เผยยังไม่มีแผนไปพักผ่อนที่ไหน ไม่อยู่เบื้องหลังใคร วางมือแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเป็นประธานในพิธีทำบุญและเปิดอาคารสำนักงานแห่งใหม่ของสำนักงบประมาณ ถนนพหลโยธิน เขตพญาไท พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ใช้เวลาร่วมรับประทานอาหารกลางวันและพูดคุยกับอดีตผู้บริหารและผู้บริหารสำนักงบประมาณ จนถึงเวลา 13.10 น. จากนั้นได้ลงมาบริเวณโถงชั้นล่าง สำนักงานแห่งใหม่ของสำนักงบประมาณ ซึ่งมีข้าราชการและเจ้าหน้าที่พร้อมใจยืนรอส่ง มอบดอกกุหลาบสีแดงให้กำลังใจ บอกรักลุงตู่ จะอยู่เคียงข้าง รักที่สุด พร้อมขอกอด ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ขอบคุณทุกคน ตื้นตัน ๆ ที่ผ่านมาทำงานเต็มความสามารถให้กับพวกเราทุกคนอย่างเต็มที่

ผู้สื่อข่าวถามว่า หลังประกาศวางมือทางการเมืองได้วางแผนไว้อย่างไรบ้าง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้ประกาศไปแล้ว ไม่มีอะไร ตามนั้น ไม่มีแผน

เมื่อถามว่า พักผ่อนที่ไหน นายกรัฐมนตรี หัวเราะพร้อมย้อนถามว่า จะพักผ่อนที่ไหนอีก แล้วค่อยบอกอีกทีว่าจะไปพักผ่อนที่ไหน

เมื่อถามย้ำว่า ที่ประกาศวางมือทางการเมือง วางมือจริงหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตามนั้น เมื่อถามว่า นายกฯ ไม่ได้อยู่เบื้องหลังต่อใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่เคยอยู่เบื้องหลังใครทั้งสิ้น

เมื่อถามว่า มีความเป็นห่วงการชุมนุมหน้าสภาฯ หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ตนสั่งการไปแล้ว เจ้าหน้าที่ดูแลอยู่แล้ว เมื่อถามย้ำว่า มีรายงานสถานการณ์อะไรเข้ามาให้รับทราบแล้วหรือยัง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยังไม่มีอะไรที่เป็นปัญหา เป็นเรื่องของทางสภาฯ อย่าเอาเราไปยุ่งเลย

ส่วนคิดว่าวันนี้จะเลือกนายกฯ ได้หรือไม่ หรือว่าต้องรอ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เราไม่เกี่ยวแล้ว ลาออกแล้ว ส่วนจะเปิดแถลงอย่างเป็นทางการอีกหรือไม่เรื่องการประกาศวางมือทางการเมือง สื่อมวลชนอยากซักถามและพูดคุยในหลายประเด็น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่มี ไม่ต้องคุยแล้ว

Advertisement

พล.อ.ประยุทธ์ เข้าทำเนียบฯ เพจ PMOC โพสต์ “My Hero”

People Unity News : 12 กรกฎาคม 2566 “พล.อ.ประยุทธ์” เข้าทำเนียบฯ ทำงานตามปกติ หลังประกาศวางมือทางการเมือง ด้าน ศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี โพสต์ภาพ “บิ๊กตู่” ขึ้นข้อความ “My Hero”

ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 09.22 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาล ตามปกติ หลังเมื่อวานนี้(11 ก.ค.) พล.อ.ประยุทธ์ ได้ประกาศวางมือทางการเมือง และลาออกจากสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งเป็นการประกาศผ่านทางเพจเฟสบุ๊กพรรครวมไทยสร้างชาติ

ทั้งนี้ภายหลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศวางมือทางการเมือง เพจเฟซบุ๊กศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี หรือ PMOC ซึ่งเป็น เพจการทำงานด้านประชาสัมพันธ์ของนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความ “ขอบพระคุณ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์ โอชา นายกรัฐมนตรีของคนไทยทั้งประเทศ 11 ก.ค.2566” พร้อมโพสต์รูปภาพ พล.อ.ประยุทธ์ เดินขึ้นบันไดบนตึกไทยคู่ฟ้า ชูมือสัญญลักษณ์ไอเลิฟยู และระบุข้อความ “มายฮีโรบนภาพ”

Advertisement

 

“พล.อ.ประยุทธ์” ประกาศวางมือทางการเมือง

People Unity News : 11 กรกฎาคม 2566 “พล.อ.ประยุทธ์” ประกาศวางมือทางการเมือง ลาออกสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ

ผู้สื่อขาวรายงานว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ โพสต์เฟซบุ๊ก พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศวางมือการเมือง ลาออกจากสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ ขอให้หัวหน้าพรรค -​กก.บห. -​ สมาชิก ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองและอุดมการณ์ที่แข็งแกร่ง ปกป้อง รักษา สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ดูแลประชาชนชาวไทยต่อไป

ทั้งนี้ เพจเฟซบุ๊ก​พรรครวมไทยสร้างชาติ โพสต์ข้อความระบุว่า พ่อแม่พี่น้องประชาชนคนไทยที่เคารพรัก และสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติทุกท่าน

ผมต้องขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่งที่พี่น้องประชาชนได้ให้การสนับสนุนพรรครวมไทยสร้างชาติและผม ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ผ่านมา จนทำให้ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบเขตเลือกตั้งของเรา ได้รับเลือกตั้งเป็นจำนวน 23 คน และเรายังได้รับการสนับสนุนในการเลือกพรรครวมไทยสร้างชาติอีกถึง 4,766,408 เสียง จากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่มาใช้สิทธิ 38,057,074 คน หรือร้อยละ 12.52 สูงเป็นอันดับสามของประเทศ ทำให้เรามีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่ออีก 13 คน รวมทั้งสิ้น 36 คน ซึ่งนับว่าเป็นจำนวนไม่น้อยสำหรับพรรคการเมืองที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นใหม่

การที่ผมตัดสินใจเข้ามาเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาตินั้น เพราะผมต้องการร่วมสร้างพรรครวมไทยสร้างชาติ เพื่อให้เป็นพรรคการเมืองที่มีคุณภาพ มีอุดมการณ์ที่แข็งแกร่ง มีความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเป็นหลักให้กับบ้านเมืองต่อไปในอนาคต

ช่วงเวลาที่ผมได้ร่วมเดินทางกับพรรคไปพบปะพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ ผมได้รับฟังข้อคิดเห็นของสมาชิกพรรคและประชาชนที่ให้การสนับสนุนอย่างล้นหลาม ผมสัมผัสได้ถึงความเข้าใจ ความเห็นอกเห็นใจ และความเชื่อมั่นในตัวผมตลอดมา ผมรู้สึกซาบซึ้งอย่างยิ่ง และเป็นประสบการณ์ที่ผมจะไม่มีวันลืม

ผมเชื่อว่าทุกท่านทราบดีว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเก้าปีเศษ ผมในฐานะนายกรัฐมนตรี ได้ทำงานอย่างมุ่งมั่นทุ่มเทอย่างเต็มกำลัง เพื่อปกป้องรักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเพื่อประโยชน์ของประชาชนอันเป็นที่รักยิ่ง และสิ่งเหล่านี้กำลังผลิดอกออกผลให้กับประเทศชาติโดยส่วนรวม ผมได้ใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดในการที่จะทำให้ประเทศชาติแข็งแกร่งขึ้นในทุกๆ ด้าน มีเสถียรภาพ มีความสงบ และฟันฝ่าอุปสรรคทั้งในประเทศและต่างประเทศ จนมีความสำเร็จก้าวหน้าเป็นรูปธรรมหลายๆ ด้าน อาทิ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ทั้งทางด้านคมนาคม ขนส่ง การสื่อสาร เครือข่ายอินเทอร์เน็ต สาธารณูปโภค การเร่งรัดการลงทุนจากต่างประเทศในพื้นที่เศรษฐกิจต่างๆ การสนับสนุนการวิจัยพัฒนา การจัดหาที่ดินทำกิน การจัดระบบการบริหารจัดการน้ำเพื่อให้มีน้ำใช้และบรรเทาการเกิดอุทกภัย การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลในการอำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชนทั้งการทำมาค้าขาย การใช้ชีวิตประจำวัน และการรับบริการจากภาครัฐ การต่อสู้กับการระบาดของโรคไวรัสโควิด๑๙ จนได้รับการยอมรับจากนานาชาติว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีระบบการบริหารจัดการโรคอุบัติใหม่ที่ดีที่สุดในโลก การแก้ไขสิ่งที่เป็นปัญหาต่อการค้าการลงทุนมายาวนาน เช่น การค้ามนุษย์ การทำประมงผิดกฎหมาย การรักษามาตรฐานกิจการการบิน ตลอดจนการดูแลประชาชนอย่างเป็นระบบอย่างทั่วถึงด้วยความเป็นธรรมกับทุกกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มประชาชนผู้เปราะบาง มีรายได้น้อย เด็ก คนชรา คนพิการ เป็นต้น ซึ่งผมได้บริหารราชการแผ่นดินอย่างเต็มความสามารถ ระมัดระวังการใช้จ่ายงบประมาณซึ่งเป็นภาษีของพี่น้องประชาชน ให้ถูกต้องตามระเบียบกฎหมาย วินัยการเงินการคลัง มาโดยตลอดเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผมในฐานะนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลได้ทำให้กับประเทศชาติและประชาชนตลอดเก้าปีเศษที่ผ่านมา ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารัฐบาลต่อไปจะดำเนินการพัฒนาต่อไป

จากนี้ไป ผมขอประกาศวางมือทางการเมือง ด้วยการลาออกจากสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ และขอให้หัวหน้าพรรค กรรมการบริหาร และสมาชิกพรรคได้ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองด้วยอุดมการณ์ที่แข็งแกร่ง ปกป้องรักษาสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และดูแลพี่น้องประชาชนชาวไทยต่อไป และขอให้พี่น้องประชาชนให้ความไว้วางใจสนับสนุนการทำงานของพรรครวมไทยสร้างชาติต่อไปด้วย

ขอขอบพระคุณครับ

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา

Advertisement

รัฐบาลยุค “พล.อ.ประยุทธ์” ผลักดันรถไฟฟ้าเปิดบริการแล้ว 8 เส้นทาง

People Unity News : 9 กรกฎาคม 2566 “ไตรศุลี” เผยรัฐบาลยุค “พล.อ.ประยุทธ์” ผลักดันโครงการรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล เปิดให้บริการแล้ว 8 เส้นทาง ส่งโครงการระหว่างก่อสร้างทั้งรถไฟฟ้าในเมือง 5 เส้นทาง ไฮสปีด และทางคู่ให้รัฐบาลหน้าสานต่อ

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมอำนวยความสะดวกกับประชาชน เป็นพื้นฐานสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

ทั้งนี้ เฉพาะรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯและปริมณฑล ที่ปัจจุบันเปิดให้บริการรวมแล้วทั้งสิ้น 12 เส้นทาง ระยะทางรวม 242.34 กิโลเมตรนั้น เป็นโครงการที่ได้รับการผลักดันการก่อสร้างและเปิดให้บริการในช่วงที่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้นำรัฐบาล ทั้งหมด 8 เส้นทาง ระยะทางรวม 142.54 กม. ประกอบด้วย

1) สายสีม่วง บางใหญ่-เตาปูน ระยะทาง 23 กม. เปิดให้บริการ 6 ส.ค. 59

2) สายสีเขียว หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ระยะทาง 18.70 กม. ทยอยเปิดบริการรวม 4 ช่วง ในปี 62-63

3) สายสีน้ำเงิน ช่วง หัวลำโพง-บางแค(หลักสอง) ระยะทาง 14 กม. เปิดบริการ 29 ก.ย. 62

4) สายสีน้ำเงิน บางซื่อ-ท่าพระ ระยะทาง 13 กม. เปิดให้บริการ 30 มี.ค. 63

5) สายสีทอง กรุงธนุบรี-คลองสาน ระยะทาง 1.88 กม. เปิดให้บริการ ธ.ค. 63

6) รถไฟฟ้าชานเมือง สายสีแดง(เหนือ) บางซื่อ-รังสิต ระยะทาง 26.30 กม. เปิดให้บริการ 29 พ.ย. 64

7) รถไฟฟ้าชานเมือง สายสีแดง(ตะวันตก) บางซื่อ-ตลิ่งชัน ระยะทาง 15.26 กม. เปิดให้บริการ 29 พ.ย. 64

8) สายสีเหลือง ลาดพร้าว-สำโรง ระยะทาง 30.40 กม. เปิดให้ประชาชนทดลองนั่งฟรี 3 มิ.ย. 66 และเริ่มเก็บค่าโดยสารเมื่อ 3 ก.ค. 66 ที่ผ่านมา

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ในส่วนสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ สถานีรถไฟที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปัจจุบัน ซึ่งเริ่มต้นก่อสร้างในปี 56 รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็เล็งเห็นความสำคัญและผลักดันการก่อสร้างจนแล้วเสร็จในปี 64 เปิดให้บริการในปี 65 และให้บริการเต็มรูปแบบเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้ามหานคร รองรับทั้งรถไฟฟ้าชานเมืองและรถไฟทางไกลสายเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ และสายใต้ เพิ่มความสะดวกสบายในการเดินทางให้ประชาชนตั้งแต่ต้นปี 66 เป็นต้นมา

สำหรับโครการรถไฟฟ้าที่ได้รับการอนุมัติในรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ และขณะนี้อยู่ระหว่างก่อสร้าง โดยจะส่งต่อให้รัฐบาลต่อไปผลักดันจนเปิดให้บริการแก่ประชาชนในอนาคตประกอบด้วย โครงการรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล 5 โครงการ ระยะทางรวม 101.4 กม. ประกอบด้วย

1) สายสีชมพูเส้นทางแคลาย-มีนบุรี ระยะทาง 30.50 กม. ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะลงพื้นที่ตรวจความพร้อมก่อนเริ่มทดสอบการเดินรถในวันที่ 10 ก.ค. นี้

2) สายสีชมพู ส่วนต่อขยายช่วงสถานีศรีรัช-เมืองทองธานี ระยะทาง 3 กม.

3) สายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ-มีนบุรี ระยะทาง 22.50 กม. 4)สายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ(วงแหวนกาญจนาภิเษก) ระยะทาง 23.60 กม.

4) แอร์พอร์ตลิงก์ ช่วงพญาไท-ดอนเมือง ระยะทาง 21.80 กม.

นอกจากนี้ มีโครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ -หนองคาย ระยะที่1 ระยะทางรวม 250.77 กิโลเมตร รวมถึงโครงการรถไฟทางคู่ทั่วประเทศอยู่ระหว่างการก่อสร้างอีกหลายเส้นทาง

Advertisement

นายกฯ แนะนักกีฬาซีเกมส์ ใช้ประสบการณ์ที่ได้พัฒนาตัวเองต่อไป

People Unity News : 6 กรกฎาคม 2566 นายกฯ มอบเงินรางวัลแก่ทัพนักกีฬาซีเกมส์ ชื่นชมตัวแทนประเทศไทยพร้อมทีงานทุกคนร่วมกันคว้าชัยชนะกลับสู่ประเทศได้สำเร็จ เป็นอันดับที่ 2 จาก 11 ประเทศ แนะให้เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการแข่งขันนำไปพัฒนาศักยภาพต่อไป

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานมอบเงินรางวัลและแสดงความยินดีให้กับผู้เข้าร่วมการแข่งขันมหกรรมกีฬาการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 และการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 12 ณ ราชอาณาจักรกัมพูชา เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับนักกีฬาทีมชาติไทยและเจ้าหน้าที่ที่เข้าร่วมการแข่งขันมหกรรมกีฬาการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 และการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 12 โดยมี นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายอารัญ บุญชัย ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) และ นางสาวสุปราณี คุปตาสา ผู้จัดการกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ (NSDF) คณะนักกีฬา ผู้ฝึกสอน เจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องและสื่อมวลชนเข้าร่วมงานซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคักและอบอุ่น

นายกรัฐมนตรีมอบเงินรางวัลและของที่ระลึกให้แก่นักกีฬา ผู้ฝึกสอนและสมาคมที่ได้รับเหรียญรางวัล และเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 และการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 12 ดังนี้ 1) มอบของที่ระลึกให้แก่ประธานคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ 2) มอบของที่ระลึกแก่ประธานคณะกรรมการพาราลิมปิกแห่งประเทศไทย 3) มอบเงินรางวัลและของที่ระลึกแก่นักกีฬา ผู้ฝึกสอนและสมาคมที่ได้รับเหรียญรางวัลและเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 จำนวน 39 สมาคมกีฬา รวมเงินทั้งสิ้น 239,190,000 บาท 4) มอบเงินรางวัลและของที่ระลึกแก่นักกีฬา ผู้ฝึกสอนและสมาคมที่ได้รับเหรียญรางวัลและเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 12 จำนวน 4 สมาคมกีฬา รวมเงินทั้งสิ้น 99,365,000 บาท ทั้งนี้ มีนักกีฬา ผู้ฝึกสอน และสมาคมกีฬา ได้รับเงินรางวัลรวม 43 สมาคมกีฬา รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 338,555,000 บาท

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในนามรัฐบาลและประชาชนชาวไทยขอแสดงความยินดีกับความสำเร็จของทัพนักกีฬาไทยที่ได้เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 และการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 12 ณ ราชอาณาจักรกัมพูชา ซึ่งนับเป็นโอกาสดีที่นักกีฬาไทยได้แสดงความสามารถทางกีฬาให้เป็นที่ประจักษ์ในระดับนานาชาติ และเป็นโอกาสดีที่ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการแข่งขัน เพื่อนำไปพัฒนาศักยภาพของตนเองต่อไป ทั้งนี้ ความสำเร็จที่เกิดขึ้นที่ทุกคนได้รับมานั้นล้วนเกิดจากความ “มานะ บากบั่น และสู้สุดใจ” ของของทุกคน จึงทำให้ทุกคนมาอยู่ตรงจุดนี้ ซึ่งคำเหล่านี้ขอให้ทุกคนประทับไว้อยู่ในหัวใจและนำไปเป็นหลักในการปฏิบัติเพื่อให้เกิดผลสำเร็จในด้านกีฬาและด้านอื่น ๆ ของชีวิตต่อไป

“ขอชื่นชมสมาคมกีฬา ผู้จัดการทีม ผู้ฝึกสอน ตลอดจนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกคน ที่ทำหน้าที่ในฐานะตัวแทนประเทศไทยในการนำทัพนักกีฬาไปคว้าชัยชนะกลับมาสู่ประเทศชาติได้สำเร็จ ซึ่งความสำเร็จในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจ มีวินัยในการฝึกซ้อมอย่างดีของทุกคน และแสดงความสามารถ ศักยภาพออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม รางวัลเกียรติยศที่ได้รับในครั้งนี้จะเป็นขวัญและกำลังใจแก่ทุกคน เป็นเกียรติประวัติแก่ประเทศชาติ นำมาซึ่งความภาคภูมิใจแก่ชาวไทยทุกคน รวมทั้งตนเองและครอบครัว ขอให้ทุกคนพัฒนาความสามารถของตนเองให้ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น เพื่อจะได้ประสบความสำเร็จในการแข่งขันกีฬาในฐานะนักกีฬาทีมชาติไทย รัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนทุกด้าน เพื่อทำให้การกีฬาไทยมีศักยภาพสูงและสามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้อย่างทัดเทียม” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรียังแสดงความเชื่อมั่นว่าทุกคนทำหน้าที่ตัวแทนของคนไทยและประเทศไทยอย่างดีที่สุดแล้ว และขอเป็นกำลังใจให้กับนักกีฬาที่ไม่ได้รับเหรียญรางวัลจากการแข่งขัน ขอให้ตั้งใจพัฒนาทักษะและหมั่นฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอ และนำเอาประสบการณ์จากการแข่งขันในครั้งนี้ไปพัฒนาตนเอง ซึ่งจะทำให้นักกีฬาทุกคนประสบความสำเร็จในการแข่งขันในโอกาสครั้งต่อ ๆ ไปได้อย่างแน่นอน พร้อมขอขอบคุณบุคคลและหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ที่ร่วมแรงร่วมใจกันขับเคลื่อนพัฒนาการกีฬาของชาติให้ก้าวหน้าตลอดมา สร้างชื่อเสียงเกียรติภูมิมาสู่ประเทศชาติมาอย่างต่อเนื่อง และขอให้ระลึกไว้ว่าผลงานด้านกีฬาที่สร้างไว้นั้น จะถูกจารึกไว้ในหัวใจของประชาชนคนไทยทั้งประเทศตลอดไป

ทั้งนี้ ประเทศไทยได้ส่งนักกีฬา เจ้าหน้าที่ และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการแข่งขันมหกรรมกีฬาการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 ระหว่างวันที่ 5 – 17 พ.ค. 2566 และการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 12 ระหว่างวันที่ 3 – 9 มิ.ย. 2566 ณ ราชอาณาจักรกัมพูชา โดยผลงานของทัพนักกีฬาทีมชาติไทย ในการแข่งขันมหกรรมกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 สามารถคว้ารวมมาได้ 108 เหรียญทอง 95 เหรียญเงิน 108 เหรียญทองแดง ในอันดับที่ 2 ในตารางรวมเหรียญรางวัล จาก 11 ประเทศ ขณะที่ทัพนักกีฬาคนพิการทีมชาติไทย ทำผลงานในกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 12 สามารถคว้าเหรียญรางวัลมาได้ 126 เหรียญทอง 109 เหรียญเงิน และ 94 เหรียญทองแดง จบอันดับที่ 2 จาก 11 ประเทศ ในตารางรวมเหรียญรางวัลเช่นกันใช้ประสบการณ์ที่ได้พัฒนาตัวเองต่อไป

Advertisement

ครม. อนุมัติงบกลางให้ กกต. และ กสม.

People Unity News : 5 กรกฎาคม 2566 ครม. อนุมัติงบกลางให้ กกต. 19.96 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายของ 2 หน่วยงานในการควบคุมและจัดการเลือกตั้ง และอีก 17.38 ล้านบาท ให้ กสม. สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายบุคลากร

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เสนอ เพื่อใช้จ่ายในการควบคุมการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้งทั่วไป (เพิ่มเติม) รวมทั้งสิ้น 19.96 ล้านบาท ของหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจที่ร่วมดำเนินการ 2 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 10.50 ล้านบาท และ บริษัทโทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) จำนวน 9.45 ล้านบาท

พร้อมกันนี้ ครม. ได้อนุมัติงบประมาณรายจ่ายงบกลางฯ วงเงิน 17.38 ล้านบาท ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ขอรับการจัดสรร เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายบุคลากรภาครัฐของสำนักงาน กสม. เนื่องจากปีงบประมาณ 2566 สำนักงาน กสม. ได้เสนอคำของบประมาณรายจ่ายตามแผนงานบุคลากรภาครัฐ 204.67 ล้านบาท และได้รับการจัดสรร 151.74 ล้านบาท แยกเป็นค่าใช้จ่ายบุคลากร 149.94 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายดำเนินงาน 1.8 ล้านบาท ซึ่งไม่เพียงพอไปจนสิ้นปีงบประมาณ 2566 จึงมีความจำเป็นต้องเสนอให้ ครม. พิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลางฯ เพิ่มในวงเงิน 17.38 ล้านบาท แยกเป็น ค่าใช้จ่ายบุคลากร 16.69 ล้านบาท และ ค่าใช้จ่ายดำเนินงาน 6.82 แสนบาท

น.ส.ไตรศุลี ยังกล่าวว่า หลังจากได้รับอนุมัติจาก ครม. แล้วหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง 2 กรณีที่ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลางฯ ในครั้งนี้ จะต้องให้ดำเนินการตามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญมาตรา 169(3) และเมื่อ กกต.ให้ความเห็นชอบแล้วสำนักงบประมาณจึงจะสามารถจัดสรรงบประมาณให้ได้ต่อไป

Advertisement

พล.อ.ประยุทธ์ ฝากรัฐบาลใหม่แก้ปัญหากัญชาต่อ

People Unity News : 29 มิถุนายน 2566 นายกฯ ย้ำ ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันแก้ไขปัญหายาเสพติด อย่างจริงจังต่อเนื่อง ฝากรัฐบาลใหม่แก้ปัญหากัญชาต่อ

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวภายหลังเป็นประธานในพิธีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณบุคคลและองค์กรที่มีผลงานยอดเยี่ยมและดีเด่นในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ประจำปี 2566 โดยเป็นรางวัลเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหายาเสพติด จำนวนทั้งสิ้น 9 ราย แบ่งเป็น ผู้ได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณระดับยอดเยี่ยม จำนวน 4 ราย และระดับดีเด่น 4 ด้าน ได้แก่ ด้านการส่งเสริมการแก้ไขปัญหายาเสพติด  ด้านการปราบปรามยาเสพติด  ด้านการบำบัด พื้นฟู และพัฒนาผู้ติดยาเสพติด และด้านการป้องกันยาเสพคิด จำนวน 49 ราย ซึ่งในจำนวนนี้มีผู้ได้รับเงินสนับสนุนจากมูลนิธิ พล.ต.อ.เภา สารสิน จำนวน 5 ราย และผู้ได้รับโล่เชิดชูเกียรติในการปฏิบัติงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด จำนวน 46 ราย

นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณทุกคนที่ร่วมปฏิบัติหน้าที่ ยินดีและเป็นเกียรติ ที่ได้มอบโล่ให้กับองค์กรและบุคคลที่มีผลงานยอดเยี่ยมและดีเด่น ในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ภารกิจนี้ไม่มีวันสิ้นสุดและจะหนักไปเรื่อยๆ เพราะโลกกว้างไกล คนเดินทางมากขึ้นเป็นเรื่องที่เราต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่องในการแก้ไขปัญหายาเสพติด ต้องป้องกันให้ครบวงจร รวมทั้งการลงโทษ การใช้บังคับกฎหมายและความสำคัญวันนี้ คือการให้การบำบัดรักษา ที่รัฐบาลนี้จะเพิ่มและลดความรุนแรงกับผู้ติดยาเสพติด และผู้กระทำการเกี่ยวกับยาเสพติด ซึ่งมีเจตนารมณ์แก้ไขปัญหาอย่างเข้มงวดและต่อเนื่อง ในฐานะที่ตนเป็นนายกรัฐมนตรีและดูแลความมั่นคงเป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง

ดังนั้นประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดต่อกันทั้งหมด ก็มีปัญหาภายในของประเทศเพื่อนบ้าน  การดูแลเพื่อให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ในและต่างประเทศก็คงต้องประสานงานกันอย่างใกล้ชิดเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างที่ต้องการ  ซึ่งตนได้รับรายละเอียดมาตลอด ตั้งแต่ตามแนวชายแดน และขอให้ทำงานอย่างเข้มแข็งสุจริตสิ่งใดยังเป็นปัญหาก็ต้องนำมาแก้ไข โดยเฉพาะบุคลากรของเราเองที่สร้างปัญหาไว้มากพอสมควรที่จะต้องทำให้มากที่สุด และเราต้องดูแลทั้งประชาชนและให้เจ้าหน้าที่ได้ทำงานร่วมกันกับประชาชน ทำงานด้วยความทุ่มเททำให้เกิดผลงาน พร้อมขอเป็นกำลังใจให้กับผู้ได้รับรางวัลและครอบครัวผู้ปฏิบัติหน้าที่ รวมทั้งหน่วยงานในสังกัด ขอให้ทุกคนรักษาความดี

ทั้งนี้การแก้ปัญหา ต้องบูรณาการด้านกฎหมาย โดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือ ป.ป.ส. ต้องบูรณาการอย่างใกล้ชิดในทุกมิติ และการแก้ไขต้องลงไปถึงประชาชนและภาคสังคม เพื่อให้มีความมั่นคงและสังคมจะปลอดภัย นอกจากนี้ ได้มีการสั่งการไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการเข้าถึงชุมชนและช่วยกันดูแลแบ่งแยกผู้ที่ต้องบำบัดที่แตกต่างกัน  โดยการจัดหาที่ดูแลและบำบัด อย่างไรก็ตาม ต้องมีการแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะดำเนินการกับผู้ค้ายาเสพติด ที่ทุกคนต้องช่วยกัน

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าในโซเชียลมีการพูดเรื่องไม่เป็นความจริง ก็ให้ช่วยกันชี้แจงข้อเท็จจริงว่ารัฐบาลให้ความเข้มงวดอย่างไร ทุกคนต้องร่วมมือกัน ไม่ใช่ความรับผิดชอบของใครคนใดคนหนึ่ง  ทั้งนี้นายกรัฐมนตรี ได้พูดกับพลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่มารับรางวัลในวันนี้ด้วย ในการแก้ไขปัญหายาเสพติด ทำเพื่อประเทศชาติและประชาชน

ส่วนการเสนอให้กัญชากลับไปเป็นยาเสพติด นายกรัฐมนตรี ระบุว่า เป็นเรื่องที่ต้องหารือกันก่อน เพราะ พ.ร.บ.กัญชากัญชง ยังไม่เรียบร้อย รัฐบาลใหม่คงจะนำไปพิจารณาอีกครั้ง คงต้องมีมาตรการเพิ่มเติม เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นในเรื่องจะไม่ทำให้เกิดอันตราย เพราะเดิมเรากำหนดให้ใช้สำหรับทางการแพทย์ ซึ่งรัฐบาลได้เตรียมการไว้ แต่ระหว่างนี้ปิดสภาฯแล้ว ก็ควรจะเริ่มในรัฐบาลใหม่ให้เรียบร้อย เพราะมีกฎหมายหลายฉบับให้พิจารณา

Advertisement

Verified by ExactMetrics