วันที่ 1 พฤษภาคม 2025

รัฐบาลปลื้ม เทศกาลสงกรานต์ไทยปีนี้กลายเป็นจุดเช็กอินระดับโลก นักท่องเที่ยวมุ่งหน้ามาไทยสุดคึกคัก

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 27 มีนาคม 2568 เทศกาลสงกรานต์ไทยปีนี้กลายเป็นจุดเช็กอินระดับโลก…นักท่องเที่ยวมุ่งหน้ามาไทยสุดคึกคัก ยอดจองโรงแรมฮอต “เกาะสมุย” นำโด่งเป็นจุดหมายปลายทางยอดฮิตสร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 2 หมื่นล้านบาท

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว และมาตรการสร้างความเชื่อมั่นของรัฐบาลส่งผลให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ มีการวางแผนเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยจำนวนมาก โดยข้อมูลของ SiteMinder ผู้นำแพลตฟอร์มการจัดจำหน่ายห้องพักและจัดการรายได้ระดับโลก พบว่า เทศกาลสงกรานต์ของประเทศไทย ยังคงสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ดี  โดยปี 2568 นักท่องเที่ยวต่างชาติคิดเป็น 86% ของยอดจองโรงแรมที่มีกำหนดเช็กอินระหว่างวันที่ 10-17 เมษายน ซึ่งเพิ่มขึ้น 15% โดยเกาะสมุยซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทำของซีรีส์ The White Lotus  มียอดจองเพิ่มขึ้นถึง 65% ตามมาด้วยเชียงใหม่ เพิ่มขึ้น 41% และกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้น 20%

สำหรับระยะเวลาการเข้าพักในโรงแรมทั่วประเทศไทยช่วงสัปดาห์สงกรานต์เพิ่มขึ้น 7.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยเฉลี่ยจาก 2.41 คืน เป็น 2.59 คืน และเกาะสมุยังคงเป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวเข้าพักนานที่สุด มีระยะเวลาการเข้าพักเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 1.5% จาก 3.74 คืน เป็น 3.80 คืน คาดว่าอัตราค่าห้องพักในโรงแรมบนเกาะสมุยและภูเก็ตจะเพิ่มขึ้น โดยอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อวัน (ADR) เพิ่มขึ้น 38% เป็น 11,073 บาทในเกาะสมุย และในภูเก็ต เพิ่มขึ้น 8.1% เป็น 5,889 บาท

“เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกต่างให้ความสนใจ เทศกาลสงกรานต์ในประเทศไทย ซึ่งได้รับการการันตีจากยูเนสโกที่ประกาศขึ้นทะเบียนให้ “สงกรานต์ในประเทศไทย” เป็นรายการในบัญชีตัวแทนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ (Representative List of the Intangible Cultural Heritage of Humanity) บวกกับมาตรการของรัฐบาลที่นำมากระตุ้นการเดินทางและการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติตลอดเดือนเมษายน คาดว่าจะสามารถสร้างรายได้ท่องเที่ยวกว่า 2 หมื่นล้านบาท” นายอนุกูล กล่าว

ต่างชาติร่วมงานไหว้ครูมวยไทยโลกกว่า 1.8 พันคน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 13 มีนาคม 2568 ทำเนียบ – ซอฟต์พาวเวอร์ “มวยไทย” ฮอตฮิต ต่างชาติร่วมงานไหว้ครูมวยไทยโลกกว่า 1.8 พันคน จาก 43 ประเทศ คาดเม็ดเงินสะพัดร้อยล้านบาท

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่ารัฐบาลโดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และหน่วยงานต่าง ๆ เช่น จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สมาคมสถาบันศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวแบบไทย สหพันธ์มวยไทยโลก และสมาคมกีฬามวยไทยและมวยโบราณ กำหนดจัดงานไหว้ครูมวยไทยโลก ครั้งที่ 17 ขึ้นระหว่างวันที่ 16-17 มีนาคม 2568 ณ อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ภายใต้แนวคิด “ครั้งหนึ่งในชีวิต การเรียนมวยไทย ต้องมาร่วมพิธีไหว้ครูที่ประเทศไทย” ถือเป็นโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสความยิ่งใหญ่ของ Soft Power “ศิลปะการต่อสู้ของไทย” ซึ่งงานนี้ถือเป็นหนึ่งใน Grand Festivity ของเทศกาล Thailand Summer Festivals 2025 ภายใต้ปี Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025 ที่รัฐบาลมุ่งส่งเสริมให้มวยไทยเป็นเอกลักษณ์ของชาติที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก

สำหรับไฮไลท์สำคัญของการจัดงานฯ ประกอบด้วย การสาธิตและฝึกสอนมวยไทยโบราณ 4 สาย ได้แก่ มวยไชยา มวยโคราช มวยท่าเสา และมวยลพบุรี การสาธิตหัตถศิลป์ไทย เช่น การสักยันต์ การเขียนยันต์ และการตีดาบ นอกจากนี้ยังมีการจัดนิทรรศการมงคลมวยไทย 19 ขั้น กิจกรรม Interactive เกี่ยวกับมวยไทย การแสดงวัฒนธรรมและการแสดงร่วมสมัย ตลาดย้อนยุค และการแข่งขันชกมวยไทย

ส่วนพิธีไหว้ครูมวยไทยโลก จัดขึ้นในวันที่ 17 มีนาคม 2568 เวลา 17.00-21.00 น. ณ วัดมหาธาตุ ในวันดังกล่าว จะมีนักมวยไทยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เข้าร่วมพิธีสวมมงคลโดยปรมาจารย์ครูมวยไทยและรำไหว้ครูมวยไทย โดยผู้นำรำไหว้ครู ได้แก่ พระจันทร์ฉาย พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม แชมป์โลกมวยไทยรุ่นสตรอว์เวต คนปัจจุบัน เฟอร์รารี่ แฟร์เท็กซ์ เจ้าของรางวัล ยอดมวย ปี 2564 และแชมป์สนามมวยช่อง 7 สี ยอดไก่แก้ว แฟร์เท็กซ์ เจ้าของฉายา Y2K ผ่านสังเวียนมากกว่า 100 ไฟต์ และเสมาเพชร แฟร์เท็กซ์ แชมป์ MTGP รุ่นเวลเตอร์เวต ได้รับคัดเลือกให้เป็นนักกีฬาในชุด วัน ซูเปอร์ ซีรีส์

“การจัดงานครั้งนี้ จะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไทย คาดว่าจะมีจำนวนผู้เข้าร่วมงานทั้งคนไทยและคนต่างชาติกว่า 5,300 คน โดยเป็นชาวต่างชาติราว 1,800 คน จาก 43 ประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่จะมาจากฝั่งยุโรปและอเมริกาใต้ เกิดเงินหมุนเวียนทางเศรษฐกิจประมาณ 158 ล้านบาท” นายคารม กล่าว

Advertisement

นายกฯ ยัน เงินหมื่นได้ทุกคน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 11 มีนาคม 2568 ทำเนียบ – นายกฯ ให้ความมั่นใจเงินหมื่นได้ทุกคน​ แจง แจกกลุ่ม​ 16-20​ ปี​ก่อน​ เพราะเป็นเรื่องเทคโนโลยี​ ย้ำเป็นเป้าหมายหลักของนโยบายรัฐบาลตั้งแต่หาเสียง​ ขอ ประชาชนโหลดแอปทางรัฐ​ ชี้​ มีสิทธิประโยชน์จากรัฐอีกมากทั้งเยียวยา-แจงข้อมูล​

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจเฟส 3 ที่จะให้กลุ่มอายุ 16 – 20 ปี ว่า ให้กระทรวงการคลัง​ ชี้แจงในรายละเอียด แต่ขอให้ทุกคนโหลดแอปพลิเคชัน​ทางรัฐไว้ก่อน​ เพราะรับเงินผ่านช่องทางนี้แน่นอน​ และนอกจากรับเงินดิจิทัลวอลเล็ตแล้ว ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ มากมายที่รัฐบาลเตรียมไว้มอบให้กับประชาชนผ่านทางแอปทางรัฐ รวมถึงเรื่องการสื่อสารการรับประโยชน์จากภาครัฐ และเมื่อเรามีฐานข้อมูล จริงๆ แล้ว ก็ทำให้ถูกกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ขอให้โหลดทุกคน

เมื่อถามว่ากลุ่มอายุ 20 -​ 59 ปี กังวลจะไม่ได้เงินให้นายกฯ ย้ำสร้างความมั่นใจ​ น.ส.แพทองธาร​ กล่าวว่า ขอย้ำให้มั่นใจอีกครั้งว่าทุกกลุ่มจะได้รับเงินดิจิทัลวอลเล็ต​ โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจนี้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องเป็นกังวล และการเลือกกลุ่มแรกมาก่อน เป็นเรื่องของเทคโนโลยี บางคนอาจจะพูดว่า ​ทำไมไม่ให้เงินสดเหมือนเดิม แต่เป็นนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตตั้งแต่แรก ซึ่งเป็นพื้นฐานของที่มาคือการกระตุ้นเศรษฐกิจ สุดท้ายต้องกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย​ และเข้าไปสู่เทคโนโลยีด้วย นั่นคือสิ่งที่ตั้งใจ​ตั้งแต่ตอนหาเสียงเลือกตั้งแล้ว

แต่เนื่องจากระบบต้องใช้เวลา และเข้าใจว่าประชาชนเดือนร้อน เพราะฉะนั้น การกระตุ้นเศรษฐกิจรอบแรก​ จึงจำเป็นต้องแจกเงินสดไป​ พอตอนนี้ระบบเรียบร้อยแล้ว ก็กลับมาเป็นดิจิทัลวอลเล็ต ผ่านเทคโนโลยีไปด้วย และแน่นอนว่าการให้ข้อมูลไม่จบแค่นี้ ยังมีประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย ในการที่มีฐานข้อมูลของประชาชนไว้ เวลาเกิดอะไรขึ้นหรือการเยียวยาต่างๆ เราจะจับกลุ่มเฉพาะว่าคนพื้นที่นี้ อายุเท่าไหร่ และจะทำได้เร็วขึ้น เพราะเมื่อก่อนบอกว่ารอนานมากกว่าจะได้อะไรจากรัฐบาล แต่นี่จะลดขั้นตอนให้สั้นลง และช่วยเหลือประชาชนได้ทั่วถึงจริงๆ

Advertisement

 

กรมบัญชีกลางยันฐานะการคลังยังแกร่ง งบใช้จ่ายภาครัฐไม่สะดุด เน้นย้ำภาครัฐเร่งเบิกจ่าย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 9 มีนาคม 2568 ตามที่มีรายการข่าวกล่าวถึงฐานะเงินคงคลังของรัฐบาลว่า ณ สิ้นเดือนมกราคม 2568 มีจำนวน 245,494 ล้านบาท ซึ่งลดต่ำลงอย่างน่าเป็นห่วง จากที่ปกติจะอยู่ในระดับ 400,000 – 500,000 ล้านบาท นั้น

นางแพตริเซีย มงคลวนิช อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 รัฐบาลได้ดำเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุล ซึ่งต้องคำนึงถึงปัจจัยด้านรายได้ รายจ่าย และเงินกู้ โดยการบริหารเงินคงคลังดำเนินการภายใต้คณะทำงานมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ และกรมบัญชีกลาง ซึ่งจะทำการติดตามความเคลื่อนไหวของเงินคงคลังให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสมและเพียงพอต่อการเบิกจ่ายเงินของส่วนราชการในแต่ละเดือน กล่าวคือ เงินคงคลังจะต้องมีจำนวนไม่น้อยเกินไปจนเป็นปัญหาต่อการเบิกจ่ายเงินตามปกติของส่วนราชการ และต้องไม่มากเกินไปจนเกิดความสูญเปล่า เพราะรัฐบาลยังมีภาระต้องจ่ายดอกเบี้ยจากหนี้สาธารณะที่รัฐบาลกู้เงิน ซึ่งระดับเงินคงคลังที่เหมาะสมจึงขึ้นอยู่กับความต้องการเบิกจ่ายเงินของส่วนราชการที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้น จึงได้บริหารเงินคงคลังให้คงเหลือ ณ สิ้นเดือนมกราคม 2568 จำนวน 245,494 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับที่เพียงพอต่อการเบิกจ่ายเงินของส่วนราชการในช่วงเวลาดังกล่าว

“กรมบัญชีกลางมีการดูปริมาณเงินคงคลังอย่างใกล้ชิดให้เพียงพอต่อความต้องการการใช้เงินของส่วนราชการ เพราะกรมบัญชีกลางกำหนดเป้าหมายการเบิกจ่ายเงินของส่วนราชการเป็นรายเดือน โดยได้มีการเร่งรัดการเบิกจ่ายให้เป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่ง ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์มีการเบิกจ่ายเงินที่กันเหลื่อมปีมาจากปีงบประมาณ 67 ไปแล้วประมาณ 53% และมีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณปี 68 ไปแล้วกว่า 45% ซึ่งต้องขอเน้นย้ำให้ส่วนราชการเร่งรัดการเบิกจ่ายให้ได้ตามเป้าหมายที่กรมบัญชีกลางวางไว้ เพื่อเป็นการฉีดเม็ดเงินสู่ระบบเศรษฐกิจ” อธิบดีกรมบัญชีกลางกล่าว

Advertisement

พม. ดันนิคมสร้างตนเอง สร้างมูลค่าเศรษฐกิจชุมชน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 17 กุมภาพันธ์ 2568 พัทลุง – “วราวุธ” เผย พม. ดันนิคมสร้างตนเอง สร้างมูลค่าเศรษฐกิจชุมชน ขยายผล ช่วยกลุ่มเปราะบางทั่วประเทศ

นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ลงพื้นที่นิคมสร้างตนเองควนขนุน ตำบลลานข่อย อำเภอป่าพะยอม จังหวัดพัทลุง เพื่อติดตามการขับเคลื่อนการดำเนินงานในการพัฒนาทุนมนุษย์ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจสังคม ส่งเสริมอัตลักษณ์ในนิคมสร้างตนเอง (นิคม NEXT) เยี่ยมชมกิจกรรมแปรรูปผลิตภัณฑ์จากมะพร้าว เป็นการส่งเสริมอาชีพด้านเกษตรกรรม มอบวัวให้กับครอบครัวเปราะบางจำนวน 2 ตัว เป็นการส่งเสริมด้านการปศุสัตว์ และร่วมกิจกรรมทักทอผ้าลายโบราณ เป็นการส่งเสริมด้านหัตถกรรม การสาธิตการทอ “ผ้าลานข่อย”

นายวราวุธ กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นหน่วยงานที่มีภารกิจสำคัญในการพัฒนาสังคม สร้างความเป็นธรรม และความเสมอภาคในสังคม อีกทั้งส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพและความมั่นคงในชีวิต สถาบันครอบครัว และชุมชน ซึ่งในปีที่ผ่านมาได้มีการขับเคลื่อนนโยบาย 5×5 ฝ่าวิกฤตประชากร เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนกลุ่มเป้าหมายคนทุกช่วงวัย และในปีนี้ได้มีการกำหนดพันธกิจสำคัญ (Flagship Project ) 9 ด้าน เพื่อเป็นแนวทางการขับเคลื่อนงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. ส่งเสริมพันธกิจสำคัญที่ 3 คือการสร้างงาน สร้างรายได้ พัฒนาคุณภาพชีวิตคนเปราะบาง โดยมีการขับเคลื่อน โครงการนิคม Next เริ่มต้นที่นิคมสร้างตนเองกระเสียว จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นแห่งแรก จากนั้นขยายผลไปยังพื้นที่นิคมสร้างตนเองทั้งสิ้น 25 แห่ง โดยในปีหน้าจะขยายผลให้ครอบคลุมครบทุกแห่งทั้งสิ้น 43 นิคม

นายวราวุธ กล่าวว่า ครั้งนี้มาลงพื้นที่ติดตามการขับเคลื่อนโครงการนิคม Next ที่นิคมสร้างตนเองควนขนุน จังหวัดพัทลุง มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการพัฒนาทุนมนุษย์ ทุนทางสังคม พร้อมมอบโอกาสและสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อคนทุกช่วงวัย ผนวกกับการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และ BCG โมเดล การพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวม ซึ่งเป็นหลักสำคัญในการขับเคลื่อนเชิงพื้นที่ โดยใช้พื้นที่นิคมสร้างตนเองที่มีกฎหมายเฉพาะด้านการบริหารจัดการที่ดิน และการดูแลราษฎรในพื้นที่ภายใต้การกำกับดูแลของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) กระทรวง พม. เป็นการยกระดับพัฒนาคุณภาพชีวิตทั้งด้านอาชีพและรายได้ของประชาชนที่ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย ผ่านการบูรณาการระหว่างหน่วยงานของกระทรวง พม. กับภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม

Advertisement

ออมสิน คว้า 7 รางวัลรัฐวิสาหกิจ ปี 2567 มากสุดเป็นประวัติการณ์ ผลจากความสำเร็จ ธนาคารเพื่อสังคม

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 11 กุมภาพันธ์ 2568 ออมสิน ท็อปฟอร์ม!  คว้า 7 รางวัลรัฐวิสาหกิจ ปี 2567 “ระดับดีเด่น” มากสุดเป็นประวัติการณ์ นับเป็นรัฐวิสาหกิจที่ได้รับรางวัลสูงสุด พร้อมครองรางวัลเกียรติยศ “รัฐวิสาหกิจยอดเยี่ยม” 2 ปีซ้อน

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น (SOE Award) ประจำปี 2567 ให้แก่ นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน คณะกรรมการธนาคารออมสิน และผู้บริหาร รวมทั้งสิ้น 7 รางวัล ประกอบด้วย รางวัลรัฐวิสาหกิจยอดเยี่ยม รางวัลคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจดีเด่น รางวัลการบริหารจัดการองค์กรดีเด่น รางวัลการพัฒนาสู่รัฐวิสาหกิจดิจิทัล รางวัลการพัฒนาสู่รัฐวิสาหกิจยั่งยืน รางวัลการดำเนินงานเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมดีเด่น และ รางวัลความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมดีเด่น (ด้านนวัตกรรม) จัดขึ้นโดยคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารออมสินได้รับรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น ประจำปี 2567 ถึง 7 รางวัล มากสุดในประวัติศาสตร์ของธนาคารในการได้รับรางวัลในระดับดีเด่นทั้งหมด และเป็นรัฐวิสาหกิจที่ได้รับรางวัลมากที่สุดในครั้งนี้ ที่สำคัญได้รับรางวัลเกียรติยศรัฐวิสาหกิจยอดเยี่ยม 2 ปีติดต่อกัน ความสำเร็จในการได้รับรางวัลดังกล่าว นับเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งของบุคลากรธนาคารออมสินทุกคน ที่มุ่งมั่นตั้งใจในการรักษามาตรฐานการดำเนินงานในฐานะสถาบันการเงินของรัฐ ที่มีธรรมาภิบาล โปร่งใส ให้ความสำคัญกับการดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มอย่างสมดุล โดยเฉพาะการเดินหน้าตามภารกิจการเป็นธนาคารเพื่อสังคม เพื่อสร้าง Social Impact ให้กับผู้คนและสังคมในวงกว้าง และขยายขีดความสามารถการแข่งขันในระยะยาว

สำหรับรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น ประจำปี 2567 ที่ธนาคารออมสินได้รับ ประกอบด้วย รางวัลรัฐวิสาหกิจยอดเยี่ยม มอบให้รัฐวิสาหกิจที่มีมาตรฐานการดำเนินงานที่โดดเด่นในทุก ๆ ด้าน สามารถตอบสนองความต้องการและความคาดหวังของประชาชน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ตลอดจนเป็นแรงขับเคลื่อนในการพัฒนาประเทศ รางวัลคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจดีเด่น มอบให้คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจซึ่งปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้แทนของผู้ถือหุ้นภาครัฐ ในความมุ่งมั่นและมีบทบาทสำคัญในการกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ และผลักดันการบริหารงานของฝ่ายจัดการให้บรรลุเป้าหมายขององค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส สอดคล้องกับหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี รางวัลการบริหารจัดการองค์กรดีเด่น ได้รับติดต่อกันเป็นปีที่ 6 มอบให้รัฐวิสาหกิจที่รักษามาตรฐานการบริหารจัดการดำเนินงานได้เป็นเลิศ สามารถสร้างศักยภาพในการแข่งขันและพร้อมรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงเพื่อนำพาองค์กรเติบโตอย่างยั่งยืนในทุกมิติ รางวัลการพัฒนาสู่รัฐวิสาหกิจดิจิทัล จากความมุ่งมั่นในการยกระดับขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีดิจิทัล มาบริหารจัดการและพัฒนาองค์กรในมิติต่าง ๆ เพื่อลดความเสี่ยงขององค์กร ยกระดับประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ตลอดจนพัฒนาผลิตภัณฑ์บริการใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

พร้อมกันนี้ ยังได้รับ รางวัลการพัฒนาสู่รัฐวิสาหกิจยั่งยืน จากการที่ธนาคารให้ความสำคัญในการดำเนินธุรกิจอย่างสร้างสรรค์และแบ่งปันคุณค่ารวม โดยคำนึงถึงมิติสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม รางวัลการดำเนินงานเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมดีเด่น จากโครงการ “ออมสินฮ่วมใจ๋ฮักขุนน่าน” ที่ธนาคารใช้กลยุทธ์การพัฒนาชุมชนแบบองค์รวม โดยยึดโยงกับบริบทแวดล้อมของพื้นที่ เพื่อสร้างคุณค่าร่วมให้ธุรกิจเติบโตควบคู่กับการสร้างประโยชน์ให้แก่ชุมชนและสังคม รางวัลความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมดีเด่น ธนาคารได้รับรางวัลด้านนวัตกรรม จากโครงการ GSB ESG Score : Portfolio Low-Carbon โดยนำนวัตกรรมทางการเงินมาพัฒนาเป็น ESG Score เครื่องมือในการพิจารณาสินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล เพื่อสร้างความยั่งยืนต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกส่วน ทั้งองค์กรธุรกิจ ธนาคาร ประเทศชาติ และโลกได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

Advertisement

เผยปีที่แล้วสถาบันการเงินรับไม้ยืนต้นเป็นหลักประกันเงินทุนเกษตรกร-SME จำนวน 167,302 ต้น วงเงิน 185 ลบ.

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 5 กุมภาพันธ์ 2568 ไม้ยืนต้นก็ค้ำเงินกู้ได้ รัฐบาลย้ำต้องอำนวยความสะดวกกับเกษตรกรให้มากที่สุดสั่งบูรณาการความร่วมมือเดินหน้าช่วยเกษตรกร-SME ให้ใช้ไม้ยืนต้นค้ำประกันนำเงินทุนไปต่อยอดธุรกิจ ได้เร็วขึ้น เผยปีที่ผ่านมา สถาบันการเงินรับไม้ยืนต้นเป็นหลักประกันแล้วจำนวน 167,302 ต้น วงเงินกว่า 185 ล้านบาท

วันนี้ (5 กุมภาพันธ์ 2568 ) นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้าและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ตกลงความร่วมมือว่าด้วยการพัฒนาระบบจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจแบบ Host to Host ซึ่งจะช่วยรับส่งข้อมูลการจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจระหว่างกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กับ ธ.ก.ส. ได้สะดวก รวดเร็ว และแม่นยำขึ้น และช่วยให้เกษตรกร ผู้ประกอบการ SME นำไม้ยืนต้นมาเป็นหลักประกันทางธุรกิจ ได้เงินทุนไปต่อยอดธุรกิจได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ จะร่วมกันส่งเสริมและสนับสนุนด้านวิชาการ ในการสร้างความรู้ ความเข้าใจ และประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกร ผู้ประกอบการ และบุคคลทั่วไป มีความรู้เกี่ยวกับการปลูกต้นไม้ ปลูกป่า และใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน รวมถึงการนำไม้ยืนต้นมาใช้เป็นหลักประกันทางธุรกิจ เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนต่อไป

สำหรับทรัพย์สินที่สามารถนำมาเป็นหลักประกัน ตามกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจ ได้แก่ 1.กิจการ เช่น ร้านอาหารเคลื่อนที่ (ฟู้ดทรัค) 2.สิทธิเรียกร้อง เช่น สิทธิในเงินฝาก 3.สังหาริมทรัพย์ที่ผู้ให้หลักประกันใช้ในการประกอบธุรกิจ เช่น เครื่องจักร 4.อสังหาริมทรัพย์ในกรณีที่ผู้ให้หลักประกันประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยตรง เช่น คอนโดมิเนียม 5.ทรัพย์สินทางปัญญา เช่น เครื่องหมายการค้า สิทธิบัตร ลิขสิทธิ์ และ 6.ทรัพย์สินอื่น ได้แก่ ไม้ยืนต้น ปัจจุบัน ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธ.ค.2567 สถาบันการเงินมีการจดทะเบียนรับไม้ยืนต้นเป็นหลักประกันแล้วจำนวน 167,302 ต้น วงเงินหลักประกันกว่า 185 ล้านบาท และเฉพาะ ธ.ก.ส. ซึ่งเป็นธนาคารแห่งแรกที่รับไม้ยืนต้นเป็นหลักประกันทางธุรกิจ ได้รับไม้ยืนต้นเป็นหลักประกันแล้ว จำนวน 1,520 ต้น วงเงินหลักประกันมากกว่า 10 ล้านบาท

“การใช้ไม้ยืนต้นมาเป็นหลักประกันทางธุรกิจ เกษตรกรและผู้ประกอบการ SME สามารถนำไม้ยืนต้นที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจมาเป็นหลักประกันการขอสินเชื่อได้โดยไม่ต้องตัดต้นไม้ และยังสามารถสร้างรายได้ให้เพิ่มขึ้นในอนาคต จากการเติบโตของต้นไม้ รวมทั้งเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนเครดิต สอดรับกับการพัฒนาธุรกิจของไทยสู่อนาคตที่ทั่วโลกต่างให้ความสำคัญกับการสร้างเศรษฐกิจสีเขียว” นายอนุกูล ย้ำ

Advertisement

บลจ.ทิสโก้ ชี้สงครามการค้าเริ่มเร็วขึ้น หลัง ”ทรัมป์” ลงนามขึ้นภาษีสินค้าเม็กซิโก-แคนาดา-จีน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 3 กุมภาพันธ์ 2568 บลจ.ทิสโก้ ระบุสงครามการค้าเริ่มเร็วขึ้น หลัง ”ทรัมป์” ลงนามขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากเม็กซิโก-แคนาดา-จีน ชี้แม้ไทยยังไม่ใช่เป้าหมายหลัก แต่หวั่นปัญหาสินค้าจีนทะลักเข้าไทย ภาพรวมลงทุนหุ้นครึ่งปีแรกยังเสี่ยง คาดฟื้นตัวช่วงครึ่งปีหลัง ตาด SET Index สิ้นปี 2568 ที่ 1,500-1,530 จุด เพิ่มขึ้น 10% จากปี 2567

นายสุพงศ์วร เมี้ยนโภคา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด (TISCOASSET) กล่าวถึงกรณี นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เปิดเผยผ่านทรูธ โซเชียลของตนเองว่า ได้เริ่มบังคับใช้มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโก และแคนาดา ร้อยละ 25 และขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน ร้อยละ 10 เพื่อแก้ปัญหาผู้อพยพผิดกฎหมายและยาเสพติดที่ทะลักเข้าสู่สหรัฐฯ ว่า การขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดามากกว่าที่มีการคาดการณ์ ขณะที่การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนต่ำกว่าที่มีการคาดการณ์ มองว่าน่าจะมีการเว้นช่องสำหรับการเจรจา อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้น ชี้เห็นว่าสงครามการค้าได้เริ่มต้นเร็วขึ้น มองว่าปีนี้เศรษฐกิจโลกจะมีความผันผวนสูงมาก จากนโยบายทั่วโลกที่มีความไม่แน่นอน

สำหรับประเทศไทยที่ได้ดุลการค้ากับสหรัฐเป็นอันดับที่ 12 แม้ยังไม่ใช่เป้าหมายลำดับต้นๆ แต่ก็ยังวางใจไม่ได้เนื่องจากเมื่อมีการตั้งกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนจึงมีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดปัญหาสินค้าจีนทะลักเข้าไทย แทน ซึ่งไทยจึงต้องเตรียมการรับมือในเรื่องดังกล่าว

ขณะที่ภาพรวมการลงทุนในปี 2568 ยังคงมีความท้าทายอย่างมาก เนื่องจากปัจจุบันราคาหุ้นทั่วโลกมีมูลค่า (Valuation) ค่อนข้างแพง โดยเฉพาะฝั่งตลาดประเทศพัฒนาแล้วประกอบกับความไม่แน่นอนของนโยบายทรัมป์ที่เดินหน้ามาตรการสงครามการค้าส่งผลกระทบต่อการเติบโตเศรษฐกิจทั่วโลก ซึ่งบลจ.ทิสโก้คาดว่าทรัมป์จะดำเนินนโยบายทรัมป์ 2.0 ที่หาเสียงไว้ในครั้งนี้อย่างจริงจังมากกว่าการดำรงตำแหน่งครั้งก่อนอย่างแน่นอน โดยคาดว่าหุ้นกลุ่มสถาบันการเงินของสหรัฐฯ หุ้นกลุ่มการบริโภคที่เกี่ยวข้องกับประเทศสหรัฐฯ หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ (Healthcare) จะเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่สร้างผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่นในปีนี้ โดยหุ้นกลุ่มสถาบันการเงินจะได้ประโยชน์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจของทรัมป์ ขณะที่หุ้นกลุ่มการบริโภคของสหรัฐฯ จะได้รับประโยชน์จากการบริโภคในประเทศที่แข็งแกร่ง และหุ้นกลุ่ม Healthcare ที่ราคาหุ้นไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นมากนักในช่วงปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นจีนเป็นอีกตลาดหุ้นหนึ่งที่น่าจับตาเพราะราคาหุ้นอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐฯ เริ่มเห็นผล แต่ยอมรับว่าความเสี่ยงต่างๆ ที่จีนได้เผชิญในปีที่ผ่านมาก็ยังคงอยู่ และยังมีความเสี่ยงจากนโยบายของทรัมป์เข้ามาเพิ่มในปีนี้

สำหรับตลาดหุ้นไทยในปี 2568 บลจ.ทิสโก้ คาดว่าดัชนีจะปิดปีที่ 1,500- 1,530 จุด หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 10% เมื่อเทียบกับปี 2567 แม้ในปีนี้เศรษฐกิจไทยจะมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน แต่เป็นการเติบโตในกลุ่มอุตสาหกรรมที่กระจุกตัวอยู่เฉพาะบางอุตสาหกรรมเท่านั้น เช่น อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก พลังงาน อาหาร และซอฟต์แวร์ ซึ่งไม่ได้เป็นการเติบโตในวงกว้างจึงยังไม่ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวม ขณะที่อุตสาหกรรมที่มีแรงงานจำนวนมากนั้นยังไม่เติบโตดีเท่าที่ควร

ด้าน นายสาห์รัช ชัฏสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด (TISCOASSET) เปิดเผยผลการดำเนินงาน มูลค่าสินทรัพย์รวมภายใต้การจัดการ (AUM) ของ บลจ.ทิสโก้ เติบโต 40% จาก 290,239 ล้านบาท ในปี 2562 เพิ่มขึ้นเป็น 406,802 ล้านบาท ในปี 2567 หรือเฉลี่ยเติบโต 7% ต่อปีในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยปี 2567 เปิดเสนอขายกองทุนทริกเกอร์ทั้งหมด 6 กองทุน สามารถบริหารและถึงเป้าหมายในระยะเวลาได้ทั้งหมด 5 กองทุน ถึงเป้าหมายเร็วที่สุดคือภายใน 8 วัน

สำหรับในปีนี้ ยังคงมุ่งเน้นการเติบโต การขยายฐานลูกค้า และ AUM ในทั้ง 3 ธุรกิจ ทั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนส่วนบุคคล และโดยเฉพาะธุรกิจกองทุนรวม

ทั้งนี้ ณ วันที่ 27 มกราคม 2568 บลจ.ทิสโก้ออกกองทุนทริกเกอร์ฟันด์มาแล้วทั้งหมด 152 กองทุน (ถึงเป้าหมายในระยะเวลา 88 กองทุน และถึงเป้าหมายนอกระยะเวลาลงทุน 32 กองทุน) มีกองทุนที่อยู่ระหว่างลงทุน 1 กองทุน (ยังไม่ถึงเป้าหมายและเกินกว่ากำหนดเวลาลงทุน 11 กองทุน) และกองทุนไม่ถึงเป้าหมายและเลิกกองทุนแล้ว 20 กองทุน

ขณะเดียวกัน บลจ.ทิสโก้ จะเดินหน้าแนะนำ 2 ธีมกองทุนรวมที่โดดเด่นของปี 2568 ได้แก่ ธีมที่ได้ประโยชน์จากนโยบาย 2.0 ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประกอบด้วย กองทุนที่มีนโยบายลงทุนในธุรกิจ AI ของสหรัฐฯ กองทุนหุ้นขนาดใหญ่ที่มีคุณภาพ และกองทุนหุ้นกลุ่มการเงินสหรัฐฯ รวมถึงธีมกองทุนที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นช้ากว่าตลาด (Laggard Play) ในปีที่ผ่านมา ประกอบด้วย กองทุนหุ้นขนาดกลาง – เล็กของสหรัฐฯ กองทุนหุ้นเอเชีย และกองทุนหุ้นเวียดนาม

Advertisement

บอร์ดบีโอไอเห็นชอบ 5 ยุทธศาสตร์ ดึงลงทุนปี 2568 ผลักดันไทยขึ้นแท่นฐานอุตสาหกรรมชั้นนำโลก

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 29 มกราคม 2568 บอร์ดบีโอไอ ชิงจังหวะเร่งเครื่องต่อเนื่องดึงลงทุนต่อเนื่อง ประเดิมปี 68 อนุมัติโครงการลงทุนกว่า 1.7 แสนล้านบาท บิ๊กโปรเจกต์ TikTok และ Siam AI ทุ่มทุนปักหลักโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล – AI ในไทย พร้อมเดินหน้าส่งเสริมกิจการเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) และนิคมอุตสาหกรรมชีวภาพ เร่งขับเคลื่อน 5 ยุทธศาสตร์ ดึงลงทุนปี 2568 ผลักดันไทยขึ้นแท่นฐานอุตสาหกรรมชั้นนำระดับโลก

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนนัดแรกของปี 2568 ที่มี นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุน 3 โครงการสำคัญ มูลค่าลงทุนรวมกว่า 1.7 แสนล้านบาท ประกอบด้วยกิจการโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลขนาดใหญ่ 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ Data Hosting ของบริษัทในเครือ TikTok Pte. Ltd. ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มวิดีโอคอนเทนต์ยอดนิยม โดยจะลงทุนติดตั้ง Server และอุปกรณ์ต่าง ๆ ใน Data Center ที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อใช้ในการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ และฉะเชิงเทรา มูลค่าลงทุนรวม 126,790 ล้านบาท และกิจการ AI Cloud Service ของบริษัท สยาม เอไอ คอร์เปอเรชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทไทยรายแรกที่ได้รับเลือกให้เป็น NVIDIA Cloud Partner (NCP) จะตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรีและปทุมธานี มูลค่าลงทุนรวม 3,250 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังได้อนุมัติโครงการลงทุนผลิตโพแทสเซียมคลอไรด์ ซึ่งใช้เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตปุ๋ย ของบริษัท เอเซีย แปซิฟิค โปแตช คอร์ปอเรชั่น จำกัด จะตั้งอยู่ที่จังหวัดอุดรธานี มูลค่าลงทุนรวม 40,400 ล้านบาท

“ปี 2567 ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้รับการลงทุนในอุตสาหกรรมดิจิทัลจำนวนมาก โดยเฉพาะในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานสำคัญอย่าง Data Center และ Cloud Service โดยบริษัทชั้นนำจากทั้งสหรัฐอเมริกา จีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย และไทย รวม 16 โครงการ เงินลงทุนรวมกว่า 240,000 ล้านบาท ถือเป็นอุตสาหกรรมที่ลงทุนสูงเป็นอันดับหนึ่ง สำหรับในปีนี้ คาดว่าจะมีบริษัทชั้นนำระดับโลกตัดสินใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลที่เพิ่มสูงขึ้นทั้งในไทยและภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะจากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ AI รวมทั้งการจัดเก็บและประมวลผล Big Data การลงทุนของทั้งสองโครงการนี้จึงเป็นอีกก้าวสำคัญในการพัฒนาประเทศไทยสู่การเป็น Digital Hub ของภูมิภาค” นายนฤตม์ กล่าว

นอกจากนี้ เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจชีวภาพ รวมทั้งกระตุ้นให้เกิดการลงทุนเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับวัตถุดิบทางการเกษตรในประเทศมากขึ้น บอร์ดบีโอไอ ได้มีมติเห็นชอบ ดังนี้

1.เปิดส่งเสริม “กิจการผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel หรือ SAF)” ซึ่งใช้ผลผลิตทางการเกษตร เศษวัสดุหรือของเสียจากการเกษตร เป็นวัตถุดิบในการผลิตเชื้อเพลิงสำหรับอากาศยาน จะช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ถึงร้อยละ 80 เมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน และกำลังจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของเชื้อเพลิงสำหรับอากาศยานระหว่างประเทศ โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี และ “กิจการผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืนแบบผสม” ซึ่งจะนำ SAF มาผสมกับเชื้อเพลิงอากาศยานทั่วไป (JET Fuel) เพื่อให้สามารถนำมาใช้กับเครื่องบินพาณิชย์ได้ทันที โดยไม่ต้องดัดแปลงเครื่องยนต์ จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี

2.ปรับปรุงกิจการนิคมหรือเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร ให้เป็น “กิจการนิคมหรือเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมชีวภาพ” เพื่อให้มีขอบข่ายธุรกิจที่กว้างขึ้น ครอบคลุมทั้งด้านเกษตร อาหาร พลังงานทดแทน และบริการสนับสนุน ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการส่งเสริมอุตสาหกรรม BCG โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 ปี

บอร์ดบีโอไอ ยังได้เห็นชอบแผนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนปี 2568 โดยมุ่งยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการลงทุนของภูมิภาคใน 5 ด้านสำคัญที่ประเทศไทยมีศักยภาพสูง ได้แก่ ศูนย์กลางอุตสาหกรรมด้าน BCG (Bio-Circular-Green Industries Hub) ศูนย์กลางเทคโนโลยีและนวัตกรรม (Tech Hub) ซึ่งจะครอบคลุมหลายสาขา เช่น รถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และดิจิทัล ศูนย์รวมบุคลากรทักษะสูงจากทั่วโลก (Talent Hub) ศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์และธุรกิจระหว่างประเทศ (Logistics & International Business Hub) และศูนย์กลางอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Soft Power and Creative Hub)

นายนฤตม์ กล่าวว่า สถานการณ์ความผันผวนของโลก อันเนื่องมาจากปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ และวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้น เป็นทั้งโอกาสและความท้าทายของประเทศไทยในการช่วงชิงฐานการลงทุน บีโอไอจึงได้มีแผนขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนในปี 2568 เพื่อเร่งเปลี่ยนผ่านประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็นฐานผลิตของอุตสาหกรรมชั้นนำระดับโลก และพร้อมรับกระแสการโยกย้ายเงินลงทุนระหว่างประเทศที่จะเพิ่มสูงขึ้น โดยมีแผนดำเนินงาน 5 ด้านสำคัญ ดังนี้

1) เสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันและดึงการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยมุ่งดึงดูดการลงทุนใน 5 อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย อุตสาหกรรม BCG, ยานยนต์ไฟฟ้า (xEV), เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง, ดิจิทัล และกิจการศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ ด้วยการบูรณาการผ่านคณะกรรมการระดับชาติ ทั้งบอร์ดอีวี บอร์ดเซมิคอนดักเตอร์ และคณะกรรมการสิทธิประโยชน์ด้านซอฟต์พาวเวอร์ รวมถึงการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อดึงดูดการลงทุน และเตรียมขยายสำนักงานบีโอไอเพิ่มอีก 2 แห่งที่นครเฉิงตู ประเทศจีน และสิงคโปร์

2) ยกระดับผู้ประกอบการไทย และสนับสนุนการเชื่อมโยงเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานระดับโลก โดยจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs และสร้างโอกาสในการเข้าสู่อุตสาหกรรมใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าและแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ด้วยการส่งเสริมการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต การเพิ่มความเข้มข้นของมาตรการสนับสนุนการใช้ชิ้นส่วนจากผู้ผลิตในประเทศ และการจัดกิจกรรมการเชื่อมโยงอุตสาหกรรม

3) พัฒนาบุคลากรทักษะสูง โดยบีโอไอทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และภาคเอกชน เพื่อเตรียมพร้อมบุคลากรสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยเฉพาะด้าน Semiconductor, PCB, ดิจิทัล และ AI ทั้งการจัดทำ Roadmap ที่ชัดเจนและการกำหนดมาตรการสนับสนุน นอกจากนี้ จะดึงดูดบุคลากรทักษะสูงจากต่างประเทศ ผ่านมาตรการ LTR Visa และ Smart Visa รวมทั้งการขยายการให้บริการของศูนย์ One Stop Service ด้านวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน

4) ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานและระบบนิเวศการลงทุน โดยส่งเสริมการลงทุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งด้านกายภาพและดิจิทัลที่สำคัญเพื่อรองรับการลงทุน พร้อมร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดหาและเตรียมพื้นที่รองรับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม รวมถึงประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการปรับปรุงกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคในการลงทุน และพัฒนาเครื่องมือเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการเก็บภาษีส่วนเพิ่ม (Global Minimum Tax) ร่วมกับกระทรวงการคลัง

5) การพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียวและอุตสาหกรรมยั่งยืน ด้วยการเดินหน้าสนับสนุนการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน การรีไซเคิล และการผลิตผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงส่งเสริมการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร เพื่อการลดการใช้พลังงาน การใช้พลังงานทดแทน หรือลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

นอกจากนี้ บีโอไอจะทำงานร่วมกับกระทรวงพลังงานและสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ในการออกแบบกลไกการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ทั้งกลไก Utility Green Tariff (UGT) และการทำสัญญาซื้อขายพลังงานไฟฟ้าได้โดยตรง (Direct PPA)

Advertisement

โอดตรุษจีนเยาวราชปีนี้จับจ่ายไม่คึกคักเท่าปีที่แล้ว

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 27 มกราคม 2568 ผู้ค้า-ปชช. เผยตรุษจีนเยาวราชปีนี้จับจ่ายไม่คึกคักเท่าปีที่แล้ว โอดเศรษฐกิจไม่ดี ด้านร้านทอง เผยยอดขายลดลง 20-30% จากตรุษจีนจีนปีที่แล้ว

บรรยากาศการจับจ่ายช่วงเทศกาลตรุษจีน 2568 วันนี้ยังมีประชาชนทยอยออกมาจับจ่ายกันอย่างต่อเนื่อง จากการสอบถามผู้ค้าย่านเยาวราชหลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ายอดขายลดลงจากปีที่แล้วค่อนข้างมากเนื่องจากเศรษฐกิจไม่ดี ส่วนใหญ่ประชาชนออกมาจับจ่ายใช้สอยในช่วงเสาร์-อาทิตย์กันไปแล้ว วันนี้จึงค่อนข้างบางตา ผู้ค้าบางราย ยอมรับว่าสั่งของมาน้อยลงจากปีที่แล้ว และปีนี้ไม่ได้ปรับราคาเพิ่มขึ้น ยังคงขายราคาเดิม

ขณะที่ประชาชนที่มาจับจ่ายใช้สอย มีทั้งที่สามารถซื้อได้เหมือนเดิม โดยให้เหตุผลว่าเป็นประเพณียังอยากทำเหมือนเดิม แต่หลายคนยอมรับ ต้องปรับตัว ซื้อของลดลงจากปีที่แล้ว เช่น ผลไม้ที่ซื้อลดลงจำนวนลง ส่วน ของสด เช่น หมู เลือกที่จะเปลี่ยนเป็น หมูแผ่น หมูหยอง ซึ่งเป็นของแห้ง ยังสามารถเก็บไว้กินได้

ผู้สื่อข่าวสำรวจราคาสินค้าย่านเยาวราช พบว่าราคาขนมเข่ง ขนมเทียน บางร้านปรับราคาขึ้นมาเล็กน้อย เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบมีการปรับเพิ่มขึ้นทั้ง น้ำตาลทราย น้ำตาลปี๊บ แป้งข้าวเหนียว ทำให้ต้องขายขนมเข่ง คู่ละ 30-40 บาท ขนมเทียนไส้เค็ม-หวาน ลูกละ 10 บาท

ส่วนราคาหมูสามชั้นต้ม ชิ้นละ 250-280 บาท ไก่สด กิโลกรัมละ 150 บาท ไก่ไทยต้มตัวละ 550-600 บาท แล้วแต่ขนาด ไก่เนื้อ ตัวละ 350 บาท แล้วแต่ขนาด เป็ดพะโล้ ตัวละ 420-500 บาท แล้วแต่ขนาดเช่นกัน และกระดาษไหว้บรรพบุรุษและเทพเจ้า ราคาทรงตัวจากปีที่ผ่านมา ส่วนผลไม้ที่นิยมนำไปไหว้เทพเจ้าอย่างส้มโลละ 150 บาท แอปเปิ้ลฟูจิญี่ปุ่น กิโลกรัมละ 100 บาท องุ่น ครึ่งโล 250 บาท

ขณะที่บรรยากาศการซื้อขายทองคำในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้ นายวรชัย ตั้งสิทธิ์ภักดี รองเลขาธิการสมาคมค้าทองคำ เปิดเผยว่า ยอดขายลดลงประมาณ 20-30% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากราคาทองปรับสูงขึ้นจากปีที่ผ่านมาค่อนข้างมาก โดยราคาทองรูปพรรณปีนี้อยูที่ระดับ 44,050 บาทต่อบาททองคำ จากช่วงเดียวกันปีก่อนปีมี่ระดับ 33,000 บาทต่อบาททองคำ เพิ่มขึ้นราว 10,000 บาท ทำให้ห้างร้านบางแห่งเปลี่ยนจากเดิมที่เคยซื้อทองเป็นของขวัญตรุษจีนไปซื้อผลิตภัณฑ์อย่างอื่น เนื่องจากสู้ราคาทองคำในขณะนี้ไม่ไหว ขณะที่ประชาชนทั่วไป เลือกที่จะนำทองรูปพรรณที่มีอยู่เดิมมาเปลี่ยนลาย ทดแทนการซื้อใหม่

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ตลาดคาดการณ์ว่าหลังจากที่โดนัล ทรัมป์ รับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ราคาทองคำจะย่อลง นักลงทุนจึงรอเข้าซื้อ แต่กลับพบว่าเมื่อทรัมป์ เข้ารับตำแหน่ง ราคาทองคำยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนยังชะลอการซื้อทองคำ นอกจากนี้ยังต้องจับตา ความขัดแย้งทางภูมิศาสตร์ที่ยังยืดเยื้อ รวมถึงประเทศสมาชิกกลุ่ม BRICS และหลายธนาคารกลางทั่วโลกยังคงเดินหน้าสะสมทองคำ โดยคาดว่าปีนี้อาจได้เห็นราคาทองคำไปแตะที่ 48,000 บาทต่อบาททองคำ

Advertisement

 

Verified by ExactMetrics