วันที่ 16 ตุลาคม 2025

แบงก์ชาติเร่งปลดล็อกบัญชีไม่มีเอี่ยวบัญชีม้า

17 กันยายน 2568 ธปท. ย้ำทุกหน่วยงานร่วมกำหนดเงื่อนไขปลดล็อกบัญชีไม่มีเอี่ยวบัญชีม้า สิ้นเดือน ก.ย. 68 ย้ำร้านค้ามั่นใจรับโอนเงินซื้อสินค้า

นางสาวดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบชำระเงินฯ ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากปัญหาชาวบ้านถูกระงับธุรกรรมและระงับวงเงิน แต่ไม่ได้ระงับเงินในบัญชีในช่วงเดือนกันยายน 68 ตรวจพบบัญชีต้องสงสัยเฉลี่ย 10,000 บัญชี/สัปดาห์ ยอมรับว่าการคุมเข้มในช่วงที่ผ่านมา เพื่อต้องการกวาดเอาเส้นทางบัญชีที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบ ทั้งโอนเงินผ่าน e-money และคริบโตฯ ทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ได้รับผลกระทบในบางส่วน ในการทำธุรกรรมทางการเงิน ธปท. จึงเร่งหารือกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกำหนดเงื่อนไขร่วมกันให้เสร็จภายในสิ้นเดือน ก.ย.นี้

“ธปท. ธนาคาร ตำรวจ ศปอท. พร้อมปลดล็อกให้กับผู้บริสุทธิ์ มุ่งเน้นบัญชีจำนวนไม่มาก เช่น วงเงิน 100-500 บาท หรือร้านค้าที่มีการซื้อของมาประกอบอาหารหรือสินค้าในร้านเป็นประจำในยอดที่ไม่สูงมากนัก กลุ่มเหล่านี้จะเร่งตรวจสอบเพื่อแจ้งข้อมูลให้ลูกค้าบัญชีรับทราบ พร้อมทำอย่างรวดเร็ว และมุ่งทำความเข้าใจกับร้านค้าให้เกิดความเชื่อมั่น และรับเงินโอนจากลูกค้า เพราะที่ผ่านมายอดปฏิเสธรับโอนเงินไม่สูงมากนัก หากตรวจสอบเสร็จแล้วคาดว่าใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง ถึง 1 วัน”

ธปท. มุ่งเน้นมาตรการจัดการบัญชีม้า โดยได้หารือกับหน่วยงานต่างๆ และเร่งแก้ไขในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อลดผลกระทบต่อผู้บริสุทธิ์แนวคิดของมาตรการแก้ปัญหาบัญชีม้าที่ต้องมีการตามอายัดหรือระงับธุรกรรมทุจริต ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกระบวนการทั้งหมดต้องรักษาสมดุลระหว่างการช่วยเหลือเหยื่อให้สูญเสียให้น้อยที่สุด กับความสะดวกในการใช้บริการ Mobile banking ของประชาชนทั่วไป หากรู้ตัวเองว่าสุจริตให้โทรแจ้ง 1441 ให้แจ้งเลขบัญชีธนาคารเจ้าของบัญชี และบัตรประชาชน เพื่อให้พิจารณาปลดออกจากการระงับ ยอมรับที่ผ่านมา แจ้งเข้ามา 100 สาย พิจารณาปลดให้ได้เพียง 11 รายเท่านั้น

ที่ผ่านมามาตรการแก้ไขบัญชีม้ามีออกมาต่อเนื่อง แต่ยังมีผู้เสียหายจำนวนมาก ดังนั้น ศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอท.) และ ธพ. ได้เพิ่มประสิทธิภาพแก้ปัญหาบัญชีม้าด้วยการขยายขอบเขตการติดตามเส้นเงินในการทำทุจริต เพื่อกักเงินมาคืนเหยื่อ/ผู้เสียหายให้ได้มากที่สุด ทำให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ในเส้นเงินมากขึ้น ยอมรับมีบัญชีม้าโทรเข้ามาแจ้งไปยังหลายแบงก์พร้อมกัน เพื่อขอให้ปลดด้วยเช่นกัน แต่ทางการมีข้อมูล จึงปลดให้ไม่ได้

ธปท. จึงได้หารือกับ ศปอท. สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) และ ธพ. เห็นชอบร่วมกัน เพื่อปรับแนวทางการระงับธุรกรรมและกระบวนการปลดการระงับ เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ โดยลดระยะเวลาการปลดการระงับให้เร็วขึ้น โดยไม่ต้องรอให้ถึง 72 ชั่วโมง หรือ 7 วันแล้วแต่กรณี ตามที่กำหนดใน พ.ร.ก. โดย ธพ. จะตรวจสอบข้อมูลของผู้ได้รับผลกระทบที่ได้รับจาก ศปอท. โดยเร็วที่สุด ไม่เกินกว่า 2 ชั่วโมง (วันละ 3 รอบ) เพื่อส่งกลับให้ ศปอท. ประมวลผล (ไม่เกิน 2 ชั่วโมง) และส่งกลับมาแจ้ง ธพ. เพื่อปลดกธุรกรรมเร่งปรับการแจ้งผู้ถูกระงับธุรกรรมให้มีความชัดเจน ถึงลักษณะการถูกระงับและสิ่งที่ผู้ได้รับผลกระทบนั้นต้องทำต่อ และให้เป็นมาตรฐานยิ่งขึ้น

การถูกอายัดบัญชีในกรณีการกระทำทุจริตทางการเงิน จะต้องเป็นผู้ที่มีหมายอายัดจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ และ ปปง. ได้พิสูจน์ความผิดแล้ว โดยการปลดอายัดในกรณีนี้จะมีกระบวนการที่ต่างออกไปจากการถูกระงับธุรกรรมข้างต้นสำหรับการพิจารณาระงับธุรกรรมในเส้นเงิน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังเร่งปรับกระบวนการ ลดผลกระทบต่อผู้บริสุทธิ์โดยเร็ว ขณะที่ยังต้องดูแลเหยื่อให้ยังได้รับความช่วยเหลือที่เหมาะสม

Advertisement

ซีอีโอ SCB ชี้ 3 โจทย์สำคัญที่รัฐบาลใหม่ต้องชัดเจน

16 กันยายน 2568 ซีอีโอ SCB ระบุรัฐบาลใหม่ต้องติดกระดุมเม็ดแรกด้วยการสร้างความเชื่อมั่น ฟื้นเศรษฐกิจไทย ซีอีโอ SCB ชี้ 3 โจทย์สำคัญที่รัฐบาลใหม่ต้องชัดเจน เร่งสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน-เร่งคลอดนโยบายการเงินการคลัง-สร้างความเข้มแข็งเอสเอ็มอี เชื่อหากบูรณาการได้ จะฟื้นเศรษฐกิจได้ จีดีพีปีหน้าอาจขยับขึัน

นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวถึงแนวโน้มเศรษฐกิจของไทยในช่วง 4 เดือนที่เหลือของปีนี้ว่า ภาพรวมเศรษฐกิจยังคงมีความท้าทายอย่างมาก จากความไม่แน่นอนนโยบายการค้าโลก ส่งผลการส่งออกจะขยายตัวต่ำลงมากในช่วงครึ่งปีหลัง สินค้าจีนตีตลาดไทยมากขึ้น ขณะที่การเข้าถึงสินเชื่อรายย่อยยังมีข้อจำกัด จากสถานการณ์หนี้ครัวเรือนที่ยังสูง ส่งผลการบริโภคที่อาจจะขยายตัวชะลอลง เงินบาทที่แข็งค่ากดดันการส่งออก และภาคการท่องเที่ยวชะลอตัวจากนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลง

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ารัฐบาลชุดใหม่ที่เข้ามาทราบโจทย์ดี และเชื่อว่าแผนงานทางเศรษฐกิจที่เตรียมออกมาน่าจะช่วยบรรเทาความท้าทายลงได้บ้าง ขณะที่ภาคธนาคารต้องช่วยภาครัฐด้วยเช่นกัน ด้วยการช่วยให้ลูกค้าที่ยังพอไปต่อได้เพื่อให้เดินหน้าต่อ ด้วยการให้คำปรึกษาทางการเงินอย่างรอบคอบ ทันสถานการณ์ แนะนำผลิตภัณฑ์การเงิน ที่เหมาะสม ยั่งยืน อย่างไรก็ตามยอมรับว่าภาคธนาคารเพิ่มความระมัดระวังในการอนุมัติสินเชื่อ และเฝ้าระวังความเสี่ยงธุรกิจที่พึ่งพาการท่องเที่ยว

ทั้งนี้มองว่าสิ่งที่รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งแก้ปัญหาเพื่อประคองเศรษฐกิจให้ผ่านพ้นวิกฤติในช่วงนี้ไปให้ได้นั้น มีอยู่ 3 ประเด็นหลัก อันดับแรกการสร้างความเชื่อมั่นสำคัญที่สุด การติดกระดุมเม็ดแรกที่สร้างความไว้ใจ ความวางใจ และสบายใจ สร้างความเชื่อมั่นใน ครม.ชุดใหม่ แม้จะเจอโจทย์ที่ท้าทายเพียงใด รัฐบาลก็จะสามารถพาประชาชนไปตลอดรอดฝั่ง ประการที่สอง คือนโยบายการเงินการคลังที่สอดคล้องและต้องออกมาอย่างรวดเร็ว เพื่อเร่งกระตุกเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว และประการที่สาม การกลับมาดูโครงสร้างทางเศรษฐกิจผ่านการสร้างความเข้มแข็งของเอสเอ็มอี

“ผมเชื่อว่าทั้งสามเรื่องนี้ ถ้าทำได้ในระยะเวลาอันสั้น ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลชุดนี้ต้องทำให้สำเร็จ แต่หมายความว่าทำให้สามข้อนี้ชัดเจนได้ และมีนโยบายที่บูรณาการกันใน 3 เรื่องนี้ เชื่อว่าประเทศไทยมีโอกาสฟื้นตัวได้“ นายกฤษณ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม สำหรับการขยายตัวของเศรษฐกิจปี 2568 หลายสำนักยังคงประมาณการเดิม รวมถึง SCB EIC ที่ยังคงไว้ที่ 1.8% และปีหน้าที่ 1.4% แต่หากรัฐบาลมีสัญญาณที่เป็นเชิงบวกในช่วงระยะเวลาอันสั้น ตอบโจทย์สร้างความเชื่อมั่นกระตุ้นเศรษฐกิจ และดูแลเอสเอ็มอี เป็นไปได้ว่าจีดีพีปีหน้าแนวโน้มจะปรับเพิ่มขึ้น

Advertisement

บอร์ดดุสิตธานี ตั้ง “ชนินทธ์” ควบกรุ๊ปซีอีโอ หลัง “ศุภจี” ตอบรับนั่ง รมว.พาณิชย์

14 กันยายน 2568 คณะกรรมการดุสิตธานี มีมติแต่งตั้ง “ชนินทธ์ โทณวณิก” รักษาการประธานกรรมการ ควบตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม (กรุ๊ปซีอีโอ) หลังจาก “ศุภจี สุธรรมพันธุ์” ขอเกษียณก่อนครบกำหนดจากการปฏิบัติหน้าที่ มีผลตั้งแต่วันนี้ (12 กันยายน 2568) เป็นต้นไป มั่นใจไม่กระทบการดำเนินงานของกลุ่มดุสิตธานี ย้ำ “ดุสิตธานี” ผ่านการวางรากฐานอย่างแข็งแกร่ง และพร้อมที่จะเติบโตอย่างมั่นคงภายใต้บริบทใหม่

บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้รับแจ้งจากนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ว่าหลังจากได้รับการทาบทามจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ให้เข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนางศุภจีได้ตัดสินใจตอบรับการทาบทามเพื่อดำรงตำแหน่งดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงมีความประสงค์จะขอเกษียณอายุก่อนครบกำหนดจากตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ. ดุสิตธานี เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของทีมเศรษฐกิจ ที่จะร่วมขับเคลื่อนนโยบายสำคัญ เพื่อพัฒนาประเทศในช่วงที่ต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน และเพื่อให้การดำเนินงานของบริษัทฯ เป็นไปอย่างต่อเนื่องและมั่นคง คณะกรรมการบริษัทฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2568 ได้มีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นายชนินทธ์ โทณวณิก รักษาการประธานกรรมการ เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มควบอีกหนึ่งตำแหน่ง เพื่อให้การบริหารจัดการและนโยบายต่าง ๆ ในระยะเปลี่ยนผ่าน สามารถดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่น

นายชนินทธ์ โทณวณิก รักษาการประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ดุสิตธานี เปิดเผยว่าในฐานะองค์กรที่ดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับความรับผิดชอบต่อสังคมและประเทศชาติ ดุสิตธานีรู้สึกเป็นเกียรติและภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ นางศุภจีได้รับโอกาสอันสำคัญนี้ ซึ่งจะเป็นการอุทิศตนเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติในช่วงรอยต่อที่สำคัญของบ้านเมือง

“บริษัทขอขอบคุณคุณศุภจีสำหรับความทุ่มเท ความเป็นผู้นำ และวิสัยทัศน์ที่ได้หล่อหลอมองค์กรตลอดที่ผ่านมา จนภารกิจในการวางรากฐานให้กลุ่มดุสิตธานีพร้อมที่จะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง สามารถสำเร็จลุล่วงด้วยดี ในขณะที่ภาพรวมทางเศรษฐกิจของประเทศในช่วงเวลานี้ต้องการผู้ที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาเป็นแรงขับเคลื่อน ซึ่งนับเป็นเรื่องเร่งด่วน ภายใต้เงื่อนเวลาที่จำกัด กลุ่มดุสิตธานีจึงมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่คุณศุภจีจะได้ใช้ความรู้ความสามารถทำงานรับใช้ชาติและประชาชน ซึ่งเป็นช่วงเวลาสั้นๆ และหากภารกิจของชาติเสร็จสิ้นเป็นเรียบร้อย กลุ่มดุสิตธานีก็พร้อมจะต้อนรับคุณศุภจีกลับมาเสมอ โอกาสนี้ ผมขอร่วมแสดงความยินดีและอวยพรให้คุณศุภจีประสบความสำเร็จอย่างสูงในภารกิจอันทรงเกียรตินี้ เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนอย่างยั่งยืน” นายชนินทธ์กล่าว

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ปีที่ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ดุสิตธานี รู้สึกเป็นเกียรติและภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างแบรนด์ไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับโลก และสามารถทำให้ “ดุสิตธานี” เป็นหมุดหมายที่สำคัญของประเทศไทยจากนักเดินทางทั่วทุกมุมโลก พร้อมกันนี้ ขอขอบคุณทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำงาน ทั้งผู้ถือหุ้น กรรมการบริษัท ผู้บริหาร พนักงาน ลูกค้า และคู่ค้าของดุสิตธานี ที่ร่วมแรงร่วมใจฝ่าฟันวิกฤติรวมทั้งปัจจัยท้าทายจนทำให้แบรนด์ “ดุสิตธานี” เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง สง่างาม และน่าภาคภูมิใจ สำหรับการดำเนินงานของกลุ่มดุสิตธานีหลังจากนี้ จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากแผนงานเดิมที่ได้ถูกวางรากฐานไว้อย่างมั่นคงตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจโรงแรม ธุรกิจการศึกษา ธุรกิจอาหาร และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงโครงการ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” (Dusit Central Park) มูลค่ากว่า 46,000 ล้านบาท ที่จะเดินหน้าสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งตามเป้าหมายเดิมที่วางไว้ ด้วยทีมบุคลากรที่มีคุณภาพของกลุ่มดุสิตธานีที่ยังคงทุ่มเททำงานอย่างเต็มกำลังเหมือนที่ผ่านมา ดังนั้น ขอให้ผู้ลงทุน ลูกค้า คู่ค้า พันธมิตรทางธุรกิจ รวมถึงทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง มั่นใจและเชื่อมั่นในสิ่งที่ “ดุสิตธานี” ดำเนินการมาโดยตลอด

“อยากให้ทุกคนมั่นใจว่า สิ่งที่ถูกส่งต่อและวางไว้บนมือของผู้บริหารและพนักงานของกลุ่มดุสิตธานีหลังจากนี้ คือการเติบโตอย่างแข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของดุสิตธานี บนรากฐานที่มั่นคง ที่ดิฉันและทีมดุสิตธานีทุกคนร่วมกันสร้างไว้และนี่คือ สิ่งที่เราพยายามทำมาตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา นั่นคือ ไม่ว่าจะเผชิญกับปัจจัยท้าทาย หรือความเปลี่ยนแปลงใดๆ ก็ยังเชื่อมั่นได้ว่า ทั้งโครงสร้างองค์กร โครงสร้างธุรกิจ และโครงสร้างทางการเงินของกลุ่มดุสิตธานีจะรองรับกับทุกความเปลี่ยนแปลงนั้นได้เป็นอย่างมั่นคง สุดท้ายนี้ ดิฉันขอขอบคุณคุณชนินทธ์ โทณวณิก รักษาการประธานกรรมการ ที่ให้โอกาสและมอบหมายให้ทำภารกิจสำคัญจนลุล่วง รวมถึงยินดีและเต็มใจที่จะให้ดิฉันมีโอกาสใช้ความรู้ความสามารถในการรับใช้ประเทศชาติและประชาชน และดิฉันเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ดุสิตธานีจะสามารถยืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่งในฐานะแบรนด์ไทยในระดับโลกได้อย่างยั่งยืน” นางศุภจี กล่าว

Advertisement

ชี้ 2 ปัจจัยช่วยดันเศรษฐกิจไทย การเบิกจ่ายงบประมาณ-โครงการคนละครึ่ง

11 กันยายน 2568 ม.หอการค้าไทย  เผย ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวลดลงต่อเนื่อง คาด การเร่งการเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาล และโครงการคนละครึ่งช่วยดันเศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัวร้อยละ 2.5

นายธนวรรธน์  พลวิชัย  อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยว่า จากผลของการสำรวจความเชื่อมั่นหอการค้าไทย เดือนสิงหาคม 2568 ปรับตัวลดลงต่ำที่สุดในรอบ 33 เดือนสอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวลดลงทุกรายการต่อเนื่อง เป็นเดือนที่ 7  ต่ำสุดในรอบ 32  เดือน ปัจจัยหลักมาจาก ความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนทางการเมือง ผลกระทบจากสงครามการค้าสหรัฐอเมริกา และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ส่งผลให้ผู้บริโภครู้สึกว่าเศรษฐกิจไทยกำลังชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง และฟื้นตัวได้ช้า อย่างไรก็ตามคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ขยายตัวที่ร้อยละ 2 จากเศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งปีแรกเติบโตได้ดีจากการเร่งการส่งออกและไทยน่าจะประคองสถานการณ์ด้านภาษีกับสหรัฐได้ รวมถึงเศรษฐกิจประเทศจีนขยายตัวเพิ่ม ซึ่งจะส่งผลต่อกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางมาไทยเพิ่มขึ้น พร้อมกับการส่งออกจากไทยไปจีนจะขยายตัว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการเข้ามาดูแลของคณะรัฐบาลที่กำลังจัดตั้งขึ้น มีโอกาสที่ไตรมาส 4 จะทำให้นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเป็น 33-34 ล้านคนได้ ในส่วนของโครงการคนละครึ่ง หากรัฐบาลมีการอัดงบประมาณ 25,000 ล้านบาท จะทำให้มีเงินเข้าไปหมุนเวียนในเศรษฐกิจกว่า 50,000 ล้านบาท ประชาชนที่มีเงินออมเหลืออาจมีการจับจ่ายเพิ่มขึ้นทำให้เงินที่หมุนเวียนในระบบสามารถอยู่ในระดับ 70,000-100,000 ล้านบาทได้ เมื่อรวมกับการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 2569 และการเร่งขับเคลื่อนนโยบายการคลัง จะสามารถดันให้เศรษฐกิจไทยขยายได้ที่ร้อยละ 2.5

อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ทางมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยมองว่าหากรัฐบาลสามารถขยายกรอบวงเงินโครงการคนบะครึ่งได้เป็น 50,000 ล้านบาท ก็จะทำให้เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4 โตได้ถึงร้อยละ 3-4 ซึ่งภายในต้นปีหน้า(2569) เศรษฐกิจไทยจะแข็งแกร่งพอที่จะรองรับการยุบสภา ทั้งนี้การกำหนดการใช้จ่าย วงเงิน และหลักเกณฑ์ต่างๆในโครการจะส่งผลต่อการกระตุ้นการใช้เงินที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งต้องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่เป็นผู้กำหนด

Advertisement

สหรัฐฯ “ตัดท่อน้ำเลี้ยง” แก๊งคอลฯ “กัมพูชา-เมียนมา”

10 กันยายน 2568 ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปัญหาการหลอกลวงทางออนไลน์ หรือแก๊งคอลเซนเตอร์ ได้สร้างความเสียหายให้กับคนทั่วโลก โดยมีรายงานว่า ศูนย์กลางของอาชญากรรมเหล่านี้ ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ของประเทศเมียนมา และกัมพูชา ที่มีตะเข็บชายแดนติดกับประเทศไทย

เมื่อบางประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้กลายเป็นศูนย์กลางเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ระดับโลก  เปิดทางให้เกิดอาชญากรรมข้ามชาติ ทั้งการค้ามนุษย์ ปัญหายาเสพติด และล่าสุดคือการสร้าง “ศูนย์หลอกลวงออนไลน์” ที่มีการบังคับใช้แรงงาน เป็นจำนวนมาก

ล่าสุดรัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ทนกับการระบาดของอาชญากรรมเหล่านี้ ประกาศคว่ำบาตร “องค์กรและบุคคล 9 ราย” ในเมือง Shwe Kokko (ชเวก๊กโกะ) ของเมียนมา ที่ถูกควบคุมโดยกองกำลังแห่งชาติกะเหรี่ยง (Karen National Army – KNA) และพื้นที่ “10 แห่งในกัมพูชา” ที่ดำเนินการโดยเครือข่ายอาชญากรรมชาวจีน ที่มุ่งเน้นไปที่การฉ้อโกงสกุลเงินดิจิทัล

ทั้งนี้ข้อมูลจากรัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่า ปี 2567 เพียงปีเดียว ชาวอเมริกันต้องสูญเสียเงิน ไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 360,000 ล้านบาท ให้กับเครือข่ายการหลอกลวงออนไลน์ที่มีฐานปฏิบัติการในภูมิภาคนี้

การที่สหรัฐฯ ออกมาตรการคว่ำบาตรเหล่าอาชกรรมออนไลน์ครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงเพื่อปกป้องพลเมืองอเมริกัน ที่ถูกหลอกลวงเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ การละเมิดสิทธิมนุษยชน ที่ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น

สำหรับประเทศไทย ที่ผ่านมาปัญหาอาชญากรรมออนไลน์และแก๊งคอลเซนเตอร์ ได้สร้างความเสียหายให้กับคนไทยเป็นอย่างมาก และในช่วงของรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ได้เริ่มปฏิบัติการกวาดล้างอย่างจริงจัง โดยเริ่มจากพื้นที่ชายไทยแดนไทย-เมียนมา และต่อมาลุยพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยใช้มาตรการระงับการจ่ายกระแสไฟฟ้า พลังงาน และเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐาน ที่หล่อเลี้ยงให้กับแก๊งอาชญกรรมออนไลน์ ขยายตัวอย่างรวดเร็ว

เมื่อยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐฯ ขยับตัวที่จะแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง และแม้ไทยจะไม่ใช่เป้าหมายโดยตรงของการคว่ำบาตรครั้งนี้ แต่ในทางปฏิบัติต้องยอมรับว่า ไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบ เพราะในสายตาต่างชาติ ไทยถูกใช้เป็นทางผ่านของขบวนการเหล่านี้ นอกจากนี้ยังมีภาคเอกชนของไทย ที่อาจเข้าไปเกี่ยวพันกับเครือข่ายเหล่านี้โดยไม่รู้ตัว เช่น การให้บริการเครือข่ายสื่อสาร ให้บริการเซิร์ฟเวอร์ หรือให้บริการทางการเงิน

เพื่อให้การดำเนินการกวาดล้างต่อเนื่อง ล่าสุด “กัณวีร์ สืบแสง” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม ได้กระทุ้งไปถึงรัฐบาลชุดใหม่ ที่นำโดย “อนุทิน ชาญวีรกูล” ให้เร่งจัดทำนโยบายการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ เป็น 1 ในนโยบายรัฐบาลที่จะแถลงต่อรัฐสภา ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

และนี่จะเป็นโอกาสดีที่นายกฯ คนใหม่ จะได้แสดงฝีมือ ทั้งการทำให้สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา กลับมาสู่สภาวะปกติโดยเร็ว และนำเรื่องการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติต่างๆ ขึ้นมาหารือ เพื่อให้ปัญหานี้ ทุเลาบางบางลง

การที่หลายประเทศเริ่มออกมาตรการสกัด “แก๊งหลอกลวงออนไลน์” ถือเป็นการส่งสัญญาณเตือนว่า ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แต่เป็นภัยร้ายที่ทั่วโลกจะต้องร่วมกันแก้ไข

และการที่ประเทศไทย มีพื้นที่ชายแดนที่ติดกับ “เมียนมา” และ “กัมพูชา” ที่ถูกตีตราว่าเป็นศูนย์กลางเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ระดับโลก ดังนั้นไทยจะต้องมีมาตรการแก้ไขปัญหานี้ที่ชัดเจน เพราะหากขืนปล่อยให้อาชญากรรมเหล่านี้ขยายตัวออกไป นอกจากคนไทยจะถูกหลอกให้สูญเสียเงินมากขึ้น จะยิ่งทำให้ปัญหานี้ ทวีความรุนแรงและซับซ้อนมากขึ้นไปด้วย

Advertisement

ต่ออายุคง VAT 7% อีก 1 ปี

9 กันยายน 2568 ครม. อนุมัติต่ออายุภาษีมูลค่าเพิ่ม VAT เหลือ 7% อีก 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 68 ถึง 30 ก.ย. 69 เพื่อรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ

แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาลเปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ (9 ก.ค.) มีมติเห็นชอบต่ออายุมาตรการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) อยู่ที่ 7% ต่อไปอีก 1 ปี (1 ต.ค. 68-30 ก.ย. 69) เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชน เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่

ก่อนหน้านี้ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่าการจะขยายมาตรการคง VAT ที่ 7% หรือปรับอัตราใหม่ต้องชั่งน้ำหนัก

โดยยอมรับว่าแม้อัตราปัจจุบันต่ำกว่าหลายประเทศ แต่ต้องพิจารณาความเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจไทย ซึ่งยังขยายตัวต่ำ หากเพิ่มอัตราภาษีรัฐบาลต้องมั่นใจว่างบประมาณที่จัดเก็บได้จะถูกนำไปลงทุนเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ สร้างการจ้างงาน และช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ไม่ใช่เพียงการนำไปลดหนี้สาธารณะเท่านั้น

ด้านนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568 เห็นชอบขยายระยะเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เหลือ 7% จากเดิม 10% ออกไปอีก 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568-30 กันยายน 2569

“เรื่องนี้เป็นการตัดสินใจที่อยู่ในกรอบอำนาจหน้าที่ และมีความเร่งด่วน เพื่อรักษาศักยภาพของประเทศในการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หากรอให้รัฐบาลใหม่ดำเนินการอาจเกิดปัญหาในช่วงรอยต่อของการจัดตั้งรัฐบาล จึงมีมติให้คงอัตราภาษีที่ลดลงจาก 10% เหลือ 7% ต่อไปก่อน” นายจุลพันธ์กล่าว

ส่วนกรณีค่าเงินบาทแข็งค่า นายจุลพันธ์ระบุว่าขอรอให้กระบวนการจัดตั้งรัฐบาลใหม่เสร็จสิ้น และรอฟังการแถลงนโยบายก่อน จึงจะให้ความเห็นต่อทิศทางนโยบายเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้รับรายงานผลการดำเนินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยการเติมเงิน 10,000 บาทให้ประชาชน ซึ่งพบว่ามีผลลัพธ์เชิงบวก เป็นไปตามกรอบวินัยการเงิน การคลัง และกรอบวิธีการงบประมาณ

ด้านนายปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากรกล่าวว่า การขยายระยะเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เหลือ 7% จะสิ้นสุดลงในวันที่ 30 ก.ย. 2568 กระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพากรตระหนักในความสำคัญของการสร้างความเชื่อมั่นและการสนับสนุนการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจประเทศ จึงได้เสนอร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่..) พ.ศ. …. ขยายระยะเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มเหลือ 7% (รวมภาษีท้องถิ่น) ออกไปอีก 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2569”

“การขยายระยะเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าว จะช่วยรักษาระดับการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ อันจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ตามเป้าหมาย” อธิบดีกรมสรรพากรกล่าว

Advertisement

‘คนละครึ่ง’ มาแน่ ชูเงินหมุนเวียนกว่า 2 แสนล้าน

8 กันยายน 2568 “วรภัค” ว่าที่ รมช.คลัง ในรัฐบาล “อนุทิน1” ย้ำถึงเวลาฟื้นโครงการ “คนละครึ่ง” หลังค่าครองชีพสูงเศรษฐกิจฐานรากยังเปราะบาง ช่วยลดภาระประชาชน เงินสะพัดกว่า 2 แสนล้าน

นายวรภัค ธันยาวงษ์ อดีตซีอีโอกรุงไทย ว่าที่ รมช.คลัง ใน ‘รัฐบาลอนุทิน1’ โพสต์เฟซบุ๊กเมื่อคืนวันที่ 8 ก.ย.68 ที่ผ่านมาว่า ถึงโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลว่า “คนละครึ่ง” อาจถึงเวลาที่ต้องกลับมาอีกครั้ง

หลายคนยังจำได้ “โครงการคนละครึ่ง” ที่รัฐบาลเคยทำในช่วงวิกฤติโควิด เป็นหนึ่งในมาตรการที่ “ประชาชนรู้สึกได้จริง” ว่าช่วยลดภาระค่าครองชีพ และยังทำให้ร้านค้าเล็กๆ ท้องถิ่นมีรายได้หมุนเวียนมากขึ้น

หลักการก็ง่าย ๆ รัฐช่วยจ่าย 50% ประชาชนจ่ายอีก 50% ไม่เพียงช่วยแบ่งเบาภาระ แต่ยังทำให้เงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจทันที

ผลลัพธ์ในครั้งนั้นชัดเจนมาก :

-ประชาชนกว่า 20–28 ล้านคนเข้าร่วม

-เงินสะพัดในระบบกว่า 2 แสนล้านบาท

-ร้านค้ารายย่อย และหาบเร่แผงลอยได้ลูกค้ากลับมา

นายวรภัค ระบุด้วยว่า ในวันนี้ค่าครองชีพยังสูง เศรษฐกิจฐานรากยังเหนื่อยการพิจารณานำ โครงการคนละครึ่ง กลับมา อาจเป็นอีกหนึ่งทางออกระยะสั้น ที่จะช่วยทั้ง “ผู้ซื้อ” และ “ผู้ขาย” ไปพร้อมกัน

แน่นอนว่าไม่ใช่คำตอบถาวร แต่ในช่วงที่ประชาชนกำลังรับภาระหนัก การมีมาตรการที่ “สัมผัสได้จริง” อาจเป็นพลังใจ และแรงขับเคลื่อนสำคัญให้เศรษฐกิจเดินต่อ

Advertisement

“คนละครึ่ง” คัมแบ็ค กระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น

6 กันยายน 2568 “สิริพงศ์” รับจ่อฟื้นนโยบาย “คนละครึ่ง” หวังกระตุ้น เศรษฐกิจระยะสั้น เชื่อดีกว่า “ดิจิทัลวอลเล็ต”  ปัดปูทางหาเสียงเลือกตั้ง

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวที่รัฐบาลอนุทิน ต้องการฟื้นคืนโครงการคนละครึ่ง ว่า กรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทย มีแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทีมนโยบายมีการพูดคุยกันว่านโยบายที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในระยะสั้น จะมีอะไรบ้าง ซึ่งโครงการคนละครึ่ง ก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่อาจจะมีอะไรที่มากกว่า เช่น เรื่องสิทธิประโยชน์ที่มากขึ้น ซึ่งเรามีการรับฟังโครงการต่าง ๆ ที่เป็นโครงการที่ดีในอดีต ซึ่งโครงการเหล่านี้น่าจะนำมาต่อยอดได้ และทำให้ดีขึ้น ข้อผิดพลาดของหลายโครงการที่ผ่านมาในอดีตไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยใด ถ้าดีแต่ยังมีข้อผิดพลาดเราจะนำมาปรับปรุง

ทั้งนี้โครงการคนละครึ่งได้ประโยชน์มากกว่าโครงการ ดิจิทัลวอลเลต ใช่หรือไม่ นาย สิริพงศ์ กล่าวว่า ถ้าดูจากกระแสการตอบรับจาก โซเซียลมีเดีย และสื่อต่าง ๆ และคิดว่าน่าจะเป็นเช่นนั้นและตัวเม็ดเงินที่ใช้ในระบบไม่ได้มากเท่า แต่ความรู้สึกของคนเรื่องการหมุนของเงินน่าจะดีกว่า ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะมีการสั่งการ และยืนยันว่าจะทำให้เร็วที่สุด แต่แนวทางที่คุยกันไม่เน้นการลงทุนกับแอปพลิเคชันใหม่ หากระบบรัฐที่ดีก็จะใช้ต่อ สำหรับงบประมาณที่ใช้นั้นยังไม่ได้ดูในรายละเอียดเป็นการพูดคุยในหลักการเท่านั้น และต้องดูว่า มีงบประมาณเท่าใด ซึ่งนโยบายหลักต้องรอนายกรัฐมนตรี

เมื่อถามว่า การแถลงนโยบายคาดว่าจะแล้วเสร็จเมื่อใด รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ระบุว่า นายกรัฐมนตรีมีเวลาทำงาน แค่ 4 เดือน ทั้งหมดต้องเกิดขึ้นเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

ส่วนการนำนโยบายนี้กลับมาใช้เพื่อเป็นการปูทางในการหาเสียงเลือกตั้งหรือไม่ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า เป็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ

Advertisement

ธ.ก.ส. เปิดตัวโรงเรียนเกษตรธนากร สร้างเยาวชนเข้าภาคเกษตร ทดแทนเกษตรสูงอายุ นำร่อง 18 โรงเรียนทั่วประเทศ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 11 สิงหาคม 2568 ธ.ก.ส. เปิดตัวโครงการโรงเรียนเกษตรธนากร สร้างเยาวชนเข้าสู่ภาคการเกษตร ผ่านการยกระดับการเกษตรเพื่อการบริโภคเป็น “เกษตรการค้า” เพื่อก้าวไปสู่การเป็นเกษตรกรหัวขบวน หรือผู้ประกอบการในภาคการเกษตร ทดแทนเกษตรกรสูงวัยในอนาคต พร้อมเติมเงินทุน องค์ความรู้ ระบบการออม ช่องทางการตลาดและการจัดจำหน่าย ประเดิมนำร่องในช่วงเทศกาลวันแม่ใน 18 โรงเรียนจากทั่วประเทศ ครอบคลุมเยาวชนที่จะได้รับความรู้และประสบการณ์ตรงกว่า 7.7 พันคน

นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า เพื่อเป็นการสร้างเยาวชน รวมถึงทายาทของเกษตรกรให้เข้าสู่ภาคการเกษตร เพื่อแก้ไขปัญหาโครงสร้างของประเทศไทยในปัจจุบันที่พบว่าเกษตรกรส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ ธ.ก.ส. จึงได้จัดทำ โครงการโรงเรียนเกษตรธนากร โดยมุ่งเพิ่มทักษะให้กับเยาวชนมีความรู้และเข้าใจการทำ “เกษตรการค้า” ทั้งด้านการบริหารเงิน การออม การลงทุน การจัดจำหน่าย และด้านการตลาด เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและประสบการณ์ในการทำการเกษตร ผ่านกิจกรรมทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ เพื่อให้เยาวชนสามารถก้าวเข้าสู่การเป็นเกษตรกรหัวขบวน หรือผู้ประกอบการในภาคการเกษตรได้ต่อไป โดยธนาคารคัดเลือกโรงเรียนที่มีความพร้อมทั่วประเทศมา 18 โรงเรียน พร้อมเสริมการพัฒนาใน 4 ด้านหลัก ประกอบด้วย

1.ด้านเงินทุน แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ การพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ การก่อสร้างหรือปรับปรุงโรงเรือนหรือแปลงปลูกผัก โรงเลี้ยงไก่ โรงเพาะเห็ดหรือพืชผักสวนครัว บ่อปลา ระบบรดน้ำอัตโนมัติ/น้ำหยด ถังหมักปุ๋ย ระบบบำบัดน้ำเสีย และซื้อเครื่องมือหรือปัจจัยการผลิต อาทิ เมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย อาหารสัตว์ เครื่องจักร และเทคโนโลยี เป็นต้น และเงินทุนหมุนเวียน คือ การนำเงินออกไปใช้ในการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับโครงการ โดยจะต้องนำกลับมาคืน เพื่อทำให้เยาวชนได้เรียนรู้การวางแผนงบประมาณ การลงทุน การคืนเงินตามรอบที่กำหนด ช่วยสร้างนิสัยการใช้เงินอย่างรอบคอบ ไม่ใช้จ่ายเกินความจำเป็น ฝึกการบริหารความเสี่ยง เปรียบเหมือนการลงทุนทำธุรกิจจริง และโรงเรียนสามารถนำเงินที่ได้รับกลับมาไปใช้ในการลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง

2.ส่งเสริมองค์ความรู้ ด้านการทำการเกษตรในรูปแบบต่าง ๆ โดยพนักงานของ ธ.ก.ส. ด้านการพัฒนา ที่มีความรู้และประสบการณ์เข้าไปให้คำแนะนำและติดตามการดำเนินงานในโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการโดยตรง พร้อมกับเปิดให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ทาง “Facebook : โรงเรียนเกษตรธนากร” ซึ่งจะรวบรวมสื่อการเรียนการสอนที่เป็นข้อมูลสำคัญในการทำการเกษตรที่นำไปปฏิบัติได้จริง ทั้งในเรื่องเทคนิคการปลูกพืช การทำโรงเรือน การพัฒนาใช้ระบบน้ำ การผลิตปุ๋ย การจัดการขยะ เพิ่มมูลค่าด้วยการแปรรูปสินค้า ตลอดจนแนวทางการออกแบบบรรจุภัณฑ์ การเล่าเรื่องเพื่อสร้างคุณค่าให้กับสินค้า และการทำการตลาด เป็นต้น

3.พัฒนาระบบการออม ตามรูปแบบของโครงการโรงเรียนธนาคารของ ธ.ก.ส. เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนได้มีทักษะ ด้านการบริหารเงิน และการออมเงินอย่างสม่ำเสมอ มีการบันทึกบัญชีรายรับ – รายจ่าย และสร้างนิสัยการใช้เงินแบบมีเป้าหมายให้กับเยาวชน ลดโอกาสในการใช้เงินเกินตัวหรือมีภาระหนี้สินในอนาคต และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้ปกครองอีกด้วย

4.ช่องทางการตลาด และการจัดจำหน่าย อาทิ การนำผลิตภัณฑ์สินค้าของโครงการไปจำหน่ายที่ BAAC Branch Outlet ในที่ทำการสาขาของ ธ.ก.ส. ทั่วประเทศ ตลาด BAAC Farmer Market ที่ ธ.ก.ส. สำนักงานใหญ่ และการเชื่อมโยงการจำหน่ายสินค้าไปยังภาคีเครือข่ายของธนาคาร อาทิ ผู้ประกอบกิจการโรงแรมที่พัก ชุมชนท่องเที่ยว หรือส่วนราชการอื่น ๆ รวมถึงให้คำแนะนำแนวทางการจำหน่ายให้กับตลาดของโรงเรียนและตลาดชุมชนโดยรอบ หรือจัดจำหน่ายให้กับผู้ที่สนใจผ่านช่องทางออนไลน์ที่โรงเรียนสามารถพัฒนาได้โดยไม่มีต้นทุนค่าใช้จ่าย

“โครงการโรงเรียนเกษตรธนากร ถือเป็นการบูรณาการโครงการเดิมที่ ธ.ก.ส. จัดทำขึ้น เพื่อเยาวชน จำนวน 2 โครงการ คือ โรงเรียนธนาคาร ที่มุ่งส่งเสริมการออมของเยาวชน และโครงการปลูกความรู้ด้านการเกษตรเพื่ออาหารกลางวันในโรงเรียน ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้ด้านการทำการเกษตรเพื่อเป็นอาหารกลางวันภายในโรงเรียนมายกระดับจากเกษตรเพื่อการบริโภคเกิดเป็น “เกษตรการค้า” โดยมุ่งส่งเสริมความรู้ให้กับเยาวชน โดยเฉพาะในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ซึ่งถือเป็นวัยเริ่มต้นของความสนใจต่ออาชีพ ได้มีประสบการณ์และรายได้จากการเรียนรู้การทำการเกษตรไปพร้อมกัน เพื่อสะท้อนให้เยาวชนเห็นว่า อาชีพเกษตรกรมีความมั่นคง สามารถสร้างรายได้ประจำ เพื่อใช้ดำรงชีพได้จำนวนไม่น้อยไปกว่าการเดินทางออกจากบ้านเกิดไปประกอบอาชีพอื่น ๆ เช่น ไปเป็นพนักงานประจำในกรุงเทพฯ และจังหวัดหัวเมืองหลักได้เช่นกัน” นายฉัตรชัย กล่าว

สำหรับ “โรงเรียนเกษตรธนากร” เต็มรูปแบบ จำนวน 18 โรงเรียน และยังมีอีก 9 โรงเรียนจะได้รับการสนับสนุนในฐานะ “โรงเรียนสาธิตเกษตรธนากร” ก่อนจะต่อยอดไปสู่การเป็นโครงการโรงเรียนเกษตรธนากรอย่างเต็มรูปแบบได้ต่อไปในอนาคต รวมจำนวนเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการ 7,795 คน เริ่มดำเนินการ ตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป และจะสรุปผลการดำเนินโครงการภายในเดือนมกราคม 2569 ทั้งนี้ ธ.ก.ส. พร้อมขยายผลโครงการไปทุกจังหวัด และเปิดให้ผู้ที่สนใจสามารถร่วมสมทบทุนกับกองทุนโครงการโรงเรียนเกษตรธนากร เพื่อมีส่วนร่วมในการส่งเสริมให้เกิดเยาวชนในภาคการเกษตรได้มากขึ้นต่อไป สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ www.baac.or.th หรือ Call Center 02 555 0555

Advertisement

แบงก์ชาติเร่งปรับปรุงกระบวนการปลดอายัดบัญชีผู้บริสุทธ์

2 กันยายน 2568 น.ส.ดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ชี้แจงประเด็นที่มีกระแสข่าวลูกค้าของธนาคารพาณิชย์ ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์การแสดงผลยอดเงินในบัญชีติดลบ และการปลดอายัดบัญชีล่าช้า

โดยระบุว่า กรณียอดเงินในบัญชีติดลบนั้น ธปท. ได้เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงจากธนาคารที่เกี่ยวข้องแล้ว พบว่าเกิดจาก 2 สาเหตุ คือ

1.เมื่อวันที่ 1 ก.ย. 2568 มีการปรับปรุงข้อมูลรายการเคลื่อนไหวของเงินฝากช่วงสิ้นวันไม่ครบถ้วน ส่งผลให้บัญชีเงินฝากจำนวนหนึ่ง มียอดเงินคงเหลือไม่เป็นปัจจุบัน ซึ่งธนาคารได้แก้ไขให้ถูกต้องเสร็จสิ้นแล้ว ตั้งแต่วันที่ 2 ก.ย. 2568 ที่ผ่านมา

โดย ธปท. ได้สั่งการให้ธนาคารดูแลลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทุกราย รวมถึงได้เข้าตรวจสอบ และติดตามให้ธนาคารมีมาตรการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในลักษณะนี้อีกในอนาคต ตลอดจนกำชับให้ทุกธนาคารมีมาตรการเชิงป้องกันเช่นกัน

2.เกิดจากกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ แจ้งธนาคารให้อายัดเงินในบัญชีต้องสงสัย แต่เงินในบัญชีเหลือน้อยกว่าจำนวนเงินที่ตำรวจแจ้งให้อายัด ระบบจึงแสดงยอดเงินในบัญชีติดลบ ซึ่งแต่ละธนาคาร มีแนวทางการแสดงข้อมูลที่แตกต่างกัน

โดย ธปท. ได้สั่งการให้ธนาคารเร่งสร้างความเข้าใจกับลูกค้าให้ชัดเจนแล้ว

สำหรับประเด็นการอายัดบัญชีต้องสงสัย เพื่อติดตามเงินกลับมาคืนผู้เสียหายให้ได้มากที่สุด ซึ่งอาจจะกระทบการทำธุรกรรมของประชาชนส่วนหนึ่งนั้น น.ส.ดารณี กล่าวว่า ธปท. ธนาคารพาณิชย์ และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ได้รับทราบปัญหา และอยู่ระหว่างเร่งปรับปรุงกระบวนการอายัด และการปลดอายัด ให้สามารถจัดการกับมิจฉาชีพและดูแลผู้เสียหายได้อย่างมีประสิทธิผล โดยไม่กระทบต่อผู้ใช้บริการปกติ รวมทั้งมีความรวดเร็วมากขึ้น โดยเฉพาะการปลดอายัดบัญชีกรณีผู้บริสุทธิ์

ทั้งนี้ หากประชาชนพบปัญหาในการใช้บริการทางการเงิน และไม่ได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงทีจากสถาบันการเงิน สามารถติดต่อศูนย์รับเรื่องร้องเรียน ธปท. ที่หมายเลข 1213 โดย ธปท. จะเร่งให้สถาบันการเงินตรวจสอบ และแก้ปัญหาอย่างเร็วที่สุด

Advertisement

Verified by ExactMetrics