วันที่ 16 มิถุนายน 2025

นายจ้าง-สถานประกอบการ จ้างงานคนพิการ นำมาลดหย่อนภาษีได้ 2-3 เท่า

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 15 พฤษภาคม 2568 รัฐบาลมุ่งส่งเสริมผลักดันให้คนพิการมีงานทำ หนุนนายจ้าง สถานประกอบการ จ้างงานคนพิการ นำมาลดหย่อนภาษีได้ 2-3 เท่า

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เดินหน้าผลักดันการมีงานทำของคนพิการ ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมให้คนพิการมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมั่นคงในการดำรงชีวิตอย่างเท่าเทียม เป็นธรรม และไม่เลือกปฏิบัติต่อคนพิการ ตามกฎหมายมาตรา 33 , 34 และ 35 โดยกำหนดให้นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการและหน่วยงานของรัฐ รับคนพิการเข้าทำงาน ในอัตรา 100 : 1 (คนปกติ 100 คน ต่อคนพิการ 1 คน) เศษเกิน 50 คน ต้องจ้างเพิ่มอีก 1 คน เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาศักยภาพคนพิการ และการส่งเสริมการจ้างงานคนพิการ

นายอนุกูล กล่าวว่า สำหรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีของนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการที่รับคนพิการที่มีบัตรประจําตัวคนพิการเข้าทํางาน มีสิทธินําค่าใช้จ่ายที่จ้างคนพิการเข้าทํางาน มาเป็นรายจ่ายในการคํานวณกําไรสุทธิ เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นจํานวน 2 เท่าของรายจ่ายที่ได้จ่ายไป กรณีการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นจํานวน 3 เท่าของรายจ่ายที่ได้จ่ายไป เมื่อจ้างคนพิการเข้าทํางานเกินกว่าร้อยละ 60 ของลูกจ้างในสถานประกอบการนั้น โดยมีระยะเวลาจ้างเกินกว่าหนึ่ง 180 วัน ในปีภาษี หรือรอบระยะเวลาบัญชีที่มีเงินได้

“หากนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการ ไม่มีการรับคนพิการที่มีบัตรประจําตัวคนพิการเข้าทํางาน และไม่ส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ แต่มีการให้สัมปทาน จัดสถานที่จําหน่ายสินค้าหรือบริการ จัดจ้างเหมาช่วงงาน หรือจ้างเหมาบริการ ให้ฝึกงาน หรือจัดให้มีอุปกรณ์ หรือสิ่งอํานวยความสะดวก ล่ามภาษามือ หรือให้ความช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการ โดยค่าใช้จ่ายที่ได้จ่ายไปจริงซึ่งเกี่ยวข้องกับกิจการของตนเอง นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการนั้น มีสิทธินําค่าใช้จ่ายนั้นมาลงเป็นรายจ่ายในการคํานวณกําไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ แต่รายจ่ายดังกล่าวจะต้องไม่เกินจํานวนเงินที่ต้องจ่ายเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ” นายอนุกูล กล่าว

Advertisement

รัฐบาลย้ำนโยบายพัฒนาคน-พัฒนาชาติ ให้โอกาส นร.-นศ.ที่กู้เงิน กยศ.

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 12 พฤษภาคม 2568 รัฐบาลย้ำนโยบายพัฒนาคน พัฒนาชาติ ต้องให้โอกาสนักเรียน นักศึกษา ที่กู้เงิน กยศ. ย้ำหนี้ลด-ผ่อนยาว-ไม่บีบคั้น ทยอยคืนเงินผู้จ่ายเกิน ขอเชิญรุ่นพี่กลับเข้าระบบ เพื่อประวัติและโอกาสที่ดีในอนาคต

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาหนี้สินของ กยศ. เพื่อให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา สามารถเรียนจนจบการศึกษาเพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาชาติ ขณะนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ได้เดินหน้าการปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ตาม พระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2566 สาระสำคัญคือ การตัดลำดับการชำระหนี้ใหม่เป็น “เงินต้น-ดอกเบี้ย-เบี้ยปรับ” แทนแบบเดิม พร้อมลดอัตราเบี้ยปรับจากสูงสุด 18% เหลือเพียง 0.5% ยืนยันผู้กู้ทุกคนจะเห็นยอดหนี้ลดลงทันที

การคำนวณหนี้แบบใหม่นี้ครอบคลุมผู้กู้ประมาณ 3.5 ล้านราย ขณะนี้ กยศ. ดำเนินการได้แล้วกว่า 2.3 ล้านราย หรือราว 70% ซึ่งผู้กู้สามารถตรวจสอบยอดหนี้ใหม่ได้ผ่านเว็บไซต์ www.studentloan.or.th สำหรับผู้กู้ที่เคยทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ก่อนการคำนวณหนี้แบบใหม่ แม้อาจเห็นยอดหนี้สูงขึ้นในช่วงแรก แต่ระบบจะปรับยอดหนี้ให้อัตโนมัติ หลังจากระบบใหม่แล้วเสร็จ

ทั้งนี้ กยศ. ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาแอปพลิเคชันใหม่ เนื่องจากแอปพลิเคชัน “กยศ. Connect” ยังไม่สามารถรองรับระบบใหม่ได้อย่างสมบูรณ์ และเมื่อระบบใหม่แล้วเสร็จแล้ว ผู้กู้จะสามารถตรวจสอบยอดหนี้ที่แท้จริงได้ผ่านทางเว็บไซต์ www.studentloan.or.th

สำหรับระบบการหักเงินเดือนผ่านองค์กรนายจ้าง ที่ผ่านมา กยศ. ได้ดำเนินการหักเฉพาะยอดหนี้ปีปัจจุบัน ไม่รวมยอดหนี้ค้างในปีก่อนหน้า ซึ่งบางรายจะมียอดหนี้ค้างเก่า ทำให้ในเดือนเมษายน 2568 มีผู้กู้ที่ถูกหักเงินเดือนเพื่อชำระยอดหนี้ค้างเก่า จำนวน 490,225 ราย (510,716 บัญชี) และในเดือนพฤษภาคม อีกจำนวน 251,083 ราย (258,151 บัญชี)

ในส่วนของการรองรับผู้กู้ที่ได้รับผลกระทบจากการหักเงินเดือนเพิ่ม 3,000 บาทต่อบัญชี กยศ. มีแนวทางดูแลเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 1.ผู้กู้ยืมเงินที่ได้ทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้กับ กยศ. ในเดือนพฤษภาคม 2568 จะต้องชำระตามยอดหนี้ที่ปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ในงวดแรกด้วยตนเอง และต้องแจ้งให้นายจ้างทราบเพื่อจะได้ไม่ถูกหักเงินเดือนเพิ่มอีก 3,000 บาท ในเดือนนั้น ซึ่งนายจ้างจะเริ่มหักเงินเดือนตามสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ตั้งแต่งวดที่ 2 เป็นต้นไป

ผู้กู้ยืมเงินที่ยังไม่ได้ทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้และยังคงมียอดหนี้ค้างชำระ หากผู้กู้ยืมเงินไม่สามารถให้หักเงินเดือนเพิ่ม 3,000 บาท ในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน 2568 จะต้องยื่นขอปรับลดจำนวนการหักเงินเดือนทางเว็บไซต์ กยศ. ภายในวันที่ 17 พฤษภาคม 2568 ซึ่งจะมีผลปรับลดจำนวนหักเงินเดือนเฉพาะเดือนพฤษภาคมนี้เท่านั้น หากดำเนินการไม่ทันสามารถยื่นขอปรับลดการหักเงินเดือนได้อีกครั้งในเดือนมิถุนายน 2568 โดยจะต้องยื่นขอปรับลดจำนวนการหักเงินเดือน ภายในวันที่ 14 มิถุนายน 2568 และ กยศ. จะแจ้งผลการพิจารณาให้ผู้กู้ยืมเงินทราบทาง SMS พร้อมแจ้งให้นายจ้างทราบในระบบ e-PaySLF ต่อไป

ด้านความคืบหน้าในการคืนเงินให้ผู้กู้ที่จ่ายเกิน หลังคำนวณหนี้ตามกฎหมายใหม่นั้น ณ วันที่ 7 พฤษภาคม 2568 มีบัญชีที่มียอดชำระเกิน 286,362 บัญชี เป็นเงิน 3,399.13 ล้านบาท กยศ. คืนแล้ว 2,528 บัญชี เป็นเงิน 73.81 ล้านบาท และในเดือนพฤษภาคม 2568 จะคืนเงินเพิ่มเติมอีก 1,215 บัญชี เป็นเงิน 2.95 ล้านบาท และจะทยอยคืนทั้งหมดภายในเดือนกันยายน 2569

ทั้งนี้ ข้อมูล ณ เดือน เมษายน 2568 ระบุว่า จังหวัดที่มีผู้ค้างชำระสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร (129,146 บัญชี), นครราชสีมา (78,816 บัญชี), นครศรีธรรมราช (77,687 บัญชี), ขอนแก่น (73,409 บัญชี) และเชียงใหม่ (63,346 บัญชี)

กลุ่มอายุที่ค้างชำระมากที่สุด คือ ช่วงวัยทำงาน 30-39 ปี (1,132,339 บัญชี) รองลงมาคือ อายุ 40-49 ปี (675,184 บัญชี), อายุ 20-29 ปี (356,209 บัญชี), อายุ 50-59 ( 25,906 บัญชี), มากกว่า 59 ปี (3,396 บัญชี)

อย่างไรก็ตาม หากผู้กู้ยืมเข้าทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ทั้งแบบสัญญากระดาษและแบบออนไลน์ จะได้รับสิทธิพิเศษโดยการปลดภาระผู้ค้ำประกันทันที พร้อมทั้งให้ผ่อนชำระหนี้เป็นรายเดือนได้นานถึง 15 ปี หรือไม่เกินอายุ 65 ปี นอกจากนี้ผู้กู้ยืมจะได้รับส่วนลดเบี้ยปรับ 100% เมื่อผู้กู้ชำระหนี้งวดสุดท้ายเสร็จสิ้น แต่หากผู้กู้ยืมผิดนัดชำระหนี้สะสมเกิน 6 งวด จะถือว่าสัญญาปรับโครงสร้างหนี้สิ้นสุดลงและผู้กู้ยืมจะไม่ได้รับส่วนลดเบี้ยปรับดังกล่าว

สำหรับผู้กู้บางรายประสบปัญหาในการเข้าระบบปรับโครงสร้างหนี้ออนไลน์ เช่น อินเทอร์เน็ตช้า มือถือสเปกต่ำ หรือขั้นตอนยืนยันตัวตนในระบบ ThaiD ใช้เวลานาน ขอให้ผู้กู้ติดตั้งและยืนยันตัวตนในแอปพลิเคชัน ThaiD ให้เรียบร้อยล่วงหน้า เพื่อป้องกันความล่าช้าในการปรับโครงสร้างหนี้ออนไลน์

นอกจากนี้ กยศ. ยังมีมาตรการลดหย่อนหนี้เพื่อจูงใจให้ผู้กู้ยืมชำระเงินคืน เพื่อให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้กู้ยืมที่อยู่ระหว่างระยะเวลาปลอดหนี้ และผู้กู้ยืมที่อยู่ระหว่างการชำระหนี้ที่ กยศ. ยังไม่ฟ้องคดี โดยจะได้รับส่วนลดต้นเงิน 5-10% และส่วนลดเบี้ยปรับ 100% เมื่อชำระหนี้ปิดบัญชีในคราวเดียว โดยผู้กู้ยืมสามารถตรวจรายละเอียดและลงทะเบียนขอรับสิทธิได้ที่ www.studentloan.or.th ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม-31 พฤษภาคม 2568

“กยศ. เป็นเครื่องมือสำคัญในการส่งเสริมโอกาสทางการศึกษาให้กับเยาวชนไทย โดยเฉพาะผู้ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำเพียง 1% ต่อปี และไม่ต้องมีผู้ค้ำประกัน ผู้กู้สามารถเริ่มชำระหนี้หลังจบการศึกษา 2 ปี และผ่อนชำระได้นานถึง 15 ปี

สำหรับผู้ที่ต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ อีเมล์ : self-debt@studentloan.or.th, LINE กยศ.หักเงินเดือน https://lin.ee/oecrHbM, LINE กยศ.องค์กรนายจ้าง https://lin.ee/HwgODCW

รัฐบาลขอเชิญชวนผู้กู้ กยศ.ทุกท่านที่เคยได้รับโอกาสทางการศึกษาให้หันกลับมาชำระหนี้ตามกำลัง เพื่อร่วมกันส่งต่อโอกาสให้รุ่นน้องได้เรียนต่ออย่างทั่วถึง และขอย้ำว่า กยศ. ไม่มีนโยบายกดดันหรือฟ้องร้องหากไม่จำเป็น แต่ขอเพียงให้ทุกคนกลับเข้าระบบ มาช่วยกันรักษาระบบที่เปิดโอกาสทางการศึกษาให้กับสังคมไทยให้คงอยู่ต่อไป” นางสาวศศิกานต์ ระบุ

Advertisement

เข้มรถรับ-ส่งนักเรียน ต้องผ่านการรับรองจากขนส่งจังหวัด

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 11 พฤษภาคม 2568 รัฐบาลเข้ม “รถรับ-ส่งนักเรียน” ต้องผ่านการรับรองจากสำนักงานขนส่งจังหวัด คนขับต้องมีใบอนุญาตมาแล้ว 3 ปี และต้องมีผู้ดูแลประจำรถ ละเลยโทษหนัก

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ข้อมูลจากสภาองค์กรของผู้บริโภค รายงานสถิติอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับรถรับ-ส่งนักเรียน ช่วงปี 2565 – 2566 เกิดเหตุรวมเฉลี่ย 30 ครั้ง ขณะที่ปี 2567 เพียงปีเดียวเกิดเหตุมากถึง 40 ครั้ง และมีเด็กเสียชีวิตมากถึง 10 คน และตั้งแต่ต้นปี 2568 พบ เดือน ม.ค. – ก.พ. เกิดเหตุแล้วมากถึง 6 ครั้ง ในจำนวนนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเดือน ก.พ. มากถึง 5 ครั้ง มีเด็กได้รับบาดเจ็บ 60 – 70 ราย

นายคารม กล่าวว่า จากการรวบรวมข้อมูลโดยสภาองค์กรของผู้บริโภคยังพบว่า รถรับ-ส่งนักเรียนส่วนใหญ่ยังเป็น “รถที่ไม่ได้ขออนุญาตจากนายทะเบียน” โดยจากข้อมูลของกรมการขนส่งทางบก ณ วันที่ 31 พ.ค. 2566 ระบุว่า มีรถยนต์ส่วนบุคคลและรถยนต์สาธารณะที่ได้รับอนุญาตให้ใช้เป็นรถรับส่งนักเรียนเพียง 3,342 คัน ขณะที่มีการประมาณการว่า มีรถรับ-ส่งนักเรียนมากกว่า 45,000 คัน ที่รับ-ส่งโดยไม่ได้ขออนุญาต หรือเท่ากับมีนักเรียนกว่า 540,000 คน (เปรียบเทียบรถรับ-ส่งนักเรียน 1 คัน บรรทุกนักเรียน 12 คน ตามกฎหมายกำหนด) ที่มีความเสี่ยงในการเดินทางด้วยรถรับ-ส่งนักเรียนที่ไม่มีมาตรการจัดการความปลอดภัย

รัฐบาลห่วงใยความปลอดภัยเด็ก นักเรียน เน้นย้ำให้ผู้ประกอบอาชีพรถรับ-ส่งนักเรียน ต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎระเบียบของกรมการขนส่งทางบกที่ได้กำหนดมาตรฐานความปลอดภัยของรถรับส่งนักเรียน โดยอนุญาตให้นำรถที่จดทะเบียนเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน แต่ไม่เกิน 12 คน ทั้งรถสองแถวและรถตู้มาใช้เป็นรถรับ-ส่งนักเรียนได้ ต้องมีการรับรองจากโรงเรียนหรือสถานศึกษา สำหรับมาตรฐานตามที่กรมการขนส่งทางบกกำหนด ดังนี้

ห้ามติดฟิล์มกรองแสงที่กระจกรอบคัน

ที่นั่งผู้โดยสารต้องยึดแน่นอย่างมั่นคงแข็งแรง และต้องไม่มีพื้นที่สำหรับนักเรียนยืน โดยรถสองแถวต้องมีประตูและที่กั้นป้องกันนักเรียนตก ส่วนรถตู้ต้องจัดวางที่นั่งเป็นแถวตอน ตามความกว้างของตัวรถเท่านั้น

รถที่รับส่งต้องผ่านการตรวจสอบจากสำนักงานขนส่งจังหวัดที่โรงเรียนหรือสถานศึกษาในสังกัดที่อยู่

มีเครื่องมือที่จำเป็นกรณีฉุกเฉิน อาทิ เครื่องดับเพลิง หรือค้อนทุบกระจก วัสดุภายในรถส่วนของผู้โดยสารต้องไม่มีส่วนแหลมคม

รถรับ-ส่งนักเรียนทุกคันต้องติดแผ่นป้ายพื้นสีส้ม มีข้อความตัวอักษรสีดำว่า “รถโรงเรียน” ติดอยู่ด้านหน้าและด้านท้าย พร้อมไฟสัญญาณ

ผู้ขับต้องมีใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะต้องได้รับแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี และมีผู้ดูแลนักเรียนประจำอยู่ในรถ

เช็กชื่อนักเรียนทั้งขึ้นและลงพร้อมมีคนคอยดูแลนอกจากคนขับรถตลอดเส้นทาง

“ใกล้เปิดเทอม ปี 2568 นักเรียนจำนวนมากจำเป็นต้องใช้บริการรถรับ-ส่งไปโรงเรียน/สถานศึกษา ผู้ประกอบการรถบริการรับ-ส่งนักเรียน ต้องตรวจสอบสภาพรถและการบริการให้ได้มาตรฐานความปลอดภัย มีการรับรองการใช้รถจากโรงเรียน ตามมาตรฐานตามที่กรมการขนส่งกำหนด รวมทั้งขอให้สถานศึกษาทุกแห่ง ตรวจสอบความเรียบร้อยของโครงสร้างพื้นฐานทางการจราจรที่ปลอดภัยทั้งในสถานศึกษาและบริเวณโดยรอบ เช่น การติดตั้งไฟสัญญาณและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ที่สามารถช่วยลดอุบัติเหตุได้อย่างมีประสิทธิภาพ ” นายคารม กล่าว

Advertisement

ประกาศผ่อนคลายขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บางพื้นที่ในวันสำคัญทางศาสนา

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 9 พฤษภาคม 2568 โฆษกรัฐบาล เผยราชกิจจาฯ ประกาศห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 5 วัน สำคัญทางศาสนา ยกเว้น 5 กรณี-สถานที่ “โรงแรม -สนามบินระหว่างประเทศ-สถานบริการ-ย่านธุรกิจและกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว” หนุน ปีท่องเที่ยวไทย มีผล 10 พ.ค.68

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า หลังจากที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ เมื่อเดือนมีนาคม 2568 เห็นชอบ ให้ผ่อนคลายการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บางพื้นที่ในวันหยุดพิเศษ 5 วันทางศาสนา ซึ่งนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่ากระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ได้สรุปผลการพิจารณาในทุกมิติเพื่อดูความเหมาะสมกับโลกปัจุบัน และที่ประชุมได้เห็นชอบให้ผ่อนคลายการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งจากนั้นจะเป็นขั้นตอนในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งได้เผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ดังกล่าวในวันศุกร์ ที่9 พฤษภาคม 2568 ปรับปรุงประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การกำหนดวันห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2567 เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบัน โดยคำแนะนำของคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ

โดยประกาศดังกล่าวฉบับนี้ ยังห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในวันสำคัญทางศาสนา 5 วันเป็นการทั่วไปแต่ยกเว้นอนุญาตให้ขายได้เฉพาะ

(1) ในอาคารที่ให้บริการแก่ผู้โดยสารภายในสนามบินที่ให้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศ

(2) ในสถานบริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ

(3) ในสถานประกอบการที่เปิดให้บริการในลักษณะที่คล้ายกับสถานบริการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่หรือบริเวณที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ทั้งนี้ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนด โดยคำแนะนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

(4) ในโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม

(5) ในสถานที่ซึ่งใช้จัดกิจกรรมพิเศษระดับชาติหรือนานาชาติ และมีคนจำนวนมากไปทำกิจกรรมร่วมกัน ตามรายชื่อสถานที่ ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนด โดยคำแนะนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

ทั้งนี้ผู้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามในข้างต้น จะต้องจัดให้มีการคัดกรองและมาตรการที่จำเป็น เพื่อการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม ความปลอดภัยของประชาชน และการจำกัดการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของเด็กและเยาวชนตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด

“การออกประกาศดังกล่าว เพื่อให้สอดคล้องกับประกาศนโยบายของรัฐบาลที่ให้ปี 2568 เป็นปีแห่งการท่องเที่ยวไทย Amazing Thailand Grand Tourism and Sports year 2025 ซึ่งจะเป็นประโยชน์โดยตรงต่อผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ส่งผลให้สามารถจัดกิจกรรมการท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ทั้งนี้ ช่วงที่ผ่านมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการศึกษาถึงความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการแก้ไขและปรับปรุงกฎหมายดังกล่าว โดยได้คำนึงถึงความสงบเรียบร้อยของสังคม ความปลอดภัยของประชาชนเป็นสำคัญ” นายจิรายุ ระบุ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป (มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป) พร้อมให้ยกเลิกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดวันห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พ.ศ. 2567 ลงวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2567 และห้ามผู้ใดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา และวันออกพรรษา ยกเว้นการขายในกรณีข้างต้น

สำหรับประกาศฉบับนี้มีผลบังคับใช้ก่อนถึงวันวิสาขบูชา ที่จะมาถึงในวันที่ 11 พฤษภาคม 2568

Advertisement

ลุยปราบ “บุหรี่ไฟฟ้า” ขันนอต จนท.คุมเข้ม

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 5 พฤษภาคม 2568 “จิรายุ” ชี้ ยังมีพวก “2-3 ดาวมงกุฎครอบ” ไม่สนใจนโยบายรัฐบาลปราบ “บุหรี่ไฟฟ้า” แถมอ้างว่าเคลียร์ผู้ใหญ่แล้ว ย้ำต้องขันนอต หลังพบผู้ค้าบุหรี่ไฟฟ้าปรับรูปแบบจากรุ่นสูบจากปากมาเป็นสูบทางจมูก คล้ายยาดมและของเล่น เร่งจับกุมอย่างต่อเนื่อง

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัจจุบันแม้นายกรัฐมนตรีจะมีข้อสั่งการในที่ประชุม เรื่องการแก้ไขปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าไปแล้ว ซึ่งได้รับความร่วมมือจากทุกส่วนราชการเป็นอย่างดี ซึ่งจากผลการดำเนินงานปราบปรามอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ส่งผลให้ร้านค้าที่เปิดขายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างโจ่งครึ่ม ปัจจุบันไม่มีแล้ว แต่ยังพบว่ามีการลักลอบใช้วิธีการขายทั้งทางโซเชียลมีเดียและแบบไดเร็คเซลล์คือการขายตรงระหว่างคนขายกับคนซื้อ ทำให้ผู้เสพต้องไปซื้อด้วยตัวเอง ซึ่งในปัจจุบันยังพบว่ามีการลักลอบนำเข้าและจำหน่ายอยู่

“หน่วยข่าวรายงานว่า ยังมีหลายจังหวัดโดยเฉพาะรอบกรุงเทพมหานคร เป็นเจ้าหน้าที่ระดับ 2-3 ดาวมีมงกุฎครอบ อ้างว่าเคลียร์ผู้ใหญ่แล้วยังเปิดขายอยู่ในพื้นที่ได้ รัฐบาลขอยืนยันว่าที่ผ่านมาไม่ว่าจะมีตำแหน่งใหญ่โตแค่ไหน หากเข้าไปพัวพันมีส่วนเกี่ยวข้องรัฐบาลจะดำเนินการตามกฎหมายทันที โดยได้กำชับให้สืบสวนเพื่อหาบุคคลมีสี และผู้มีอิทธิพลที่แอบอ้างผู้หลักผู้ใหญ่ ทั้งนี้หน่วยเฉพาะกิจอยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลเพื่อดำเนินการหากลงพื้นที่จับกุมแล้ว เจ้าหน้าที่ในท้องที่จะอ้างว่าไม่รู้ไม่ได้” นายจิรายุ กล่าว

นายจิรายุ กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้าล้ำหน้าพัฒนาไปไกลจาก Gen 5 Toy pod ที่ใช้ปากสูบ ไปเป็นบุหรี่ Gen 6 หน้าใหม่ที่แตกต่างจากบุหรี่ทุกรุ่นที่ผ่านมา คือ “พอดจมูก” หรือบุหรี่ไฟฟ้าที่สูบทางจมูก แทนการสูดควันทางปาก โดยบุหรี่ Gen6 “พอดจมูก” นี้ ถูกพัฒนามาเพื่อให้สูบทางจมูกทดแทนการสูบทางปาก บางรุ่นสามารถสูบได้ทั้งสองทางเพียงเปลี่ยนหัว เป็นบุหรี่ไฟฟ้าแบบใช้แล้วทิ้ง ชาร์จได้ ขนาดเล็ก บางรุ่นหน้าตาคล้ายยาดมสองหัว บางรุ่นมีสายคล้องคอ มีนิโคติน 5 % กลิ่นรสถูกพัฒนาให้มีความหลากหลาย โดยกลุ่มผู้ลักลอบขายจะโฆษณาว่ารุ่น Gen6 นี้ปลอดภัยกว่าบุหรี่ไฟฟ้าชนิดสูบทางปากนั้น ทางการแพทย์ระบุชัดเจน พอดจมูกยังคงมีนิโคตินสูงถึง 5% ทำให้เสพติดได้ ไม่ว่าจะเป็นการสูบทางใด นิโคตินยังคงก่อการเสพติด ทำร้ายร่างกายได้เสมอ จึงขอเตือนภัยพ่อแม่ผู้ปกครอง สถาบันการศึกษาและเยาวชน ควรรู้เท่าทันอันตรายบุหรี่ไฟฟ้าที่ปัจจุบันถูกผลิตในรูปลักษณ์ที่ลวงตามากยิ่งขึ้น จนดูไม่ออกว่าเป็นผลิตภัณฑ์ยาสูบ ยิ่งพอดจมูกหน้าตาและหัวสูบบางรุ่นดูคล้ายยาดม กลิ่นรสหอมหวาน บรรจุภัณฑ์น่ารักเหมือนกล่องของเล่น จึงขอเตือนไม่ให้เยาวชนริลอง เนื่องจากนิโคตินก่อการเสพติดและก่อโรคปอดอักเสบได้ และถึงตายได้ ทั้งนี้รัฐบาลขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกัน กวดขันการนำเข้าทุกด่านชายแดน รวมทั้งฝ่ายปราบปรามต้องเร่งดำเนินการจับกุมอย่างต่อเนื่องตามนโยบายของรัฐบาล

Advertisement

 

เช็กด่วน..!! เริ่มแล้วรัฐบาลมอบเงินสงเคราะห์บุตรอัตราใหม่ ของผู้ประกันตน ม.33 และ 39

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 1 พฤษภาคม 2568 เช็กด่วน..!! เริ่มแล้วรัฐบาลมอบเงินสงเคราะห์บุตรอัตราใหม่ ของผู้ประกันตน ม.33 และ 39 ย้ำเน้นยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ประกันตน

วันนี้ (1 พฤษภาคม 2568) นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามนโยบายรัฐบาลในการปรับเพิ่มเงินสงเคราะห์บุตรจาก 800 บาทเป็น 1,000 บาทต่อเดือนต่อคน ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไป และเริ่มจ่ายงวดแรกในวันที่ 30 เมษายนนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของรัฐบาลที่มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนในทุกกลุ่มอย่างเป็นรูปธรรม

โดยผู้ประกันตนมาตรา 33 และมาตรา 39 ที่มีบุตรอายุตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 ขวบ มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์บุตรเดือนละ 1,000 บาท ต่อคน ต่อเดือนได้คราวละไม่เกิน 3 คน มาตรการนี้เป็นผลสืบเนื่องจากการที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาโครงสร้างประชากรของประเทศ ที่อัตราการเกิดลดลง ขณะที่ประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยการปรับเพิ่มเงินสงเคราะห์บุตรไม่เพียงช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ประกันตน แต่ยังสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมการเกิดและเติบโตอย่างมีคุณภาพของเด็กทุกคนอย่างเท่าเทียม และยกระดับคุณภาพชีวิตในระยะยาว

สำหรับการจ่ายเงินสงเคราะห์บุตร 2568 จะโอนเข้าบัญชีธนาคารให้ผู้ประกันตน ทุก ๆ สิ้นเดือน ซึ่งอัตราใหม่ 1,000 บาท  ตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขการจ่ายเงินสงเคราะห์บุตร มีดังนี้

– สิทธิในเดือนมกราคม จะได้รับเงินในเดือนเมษายน

– สิทธิในเดือนกุมภาพันธ์ จะได้รับเงินในเดือนพฤษภาคม

– สิทธิในเดือนมีนาคม จะได้รับเงินในเดือนมิถุนายน

– สิทธิในเดือนเมษายน จะได้รับเงินในเดือนกรกฎาคม

– สิทธิในเดือนพฤษภาคม จะได้รับเงินในเดือนสิงหาคม

– สิทธิในเดือนมิถุนายน จะได้รับเงินในเดือนกันยายน

– สิทธิในเดือนกรกฎาคม จะได้รับเงินในเดือนตุลาคม

– สิทธิในเดือนสิงหาคม จะได้รับเงินในเดือนพฤศจิกายน

– สิทธิในเดือนกันยายน จะได้รับเงินในเดือน ธันวาคม

– สิทธิในเดือนตุลาคม จะได้รับเงินในเดือนมกราคม (ปีถัดไป)

– สิทธิในเดือนพฤศจิกายน จะได้รับเงินในเดือนกุมภาพันธ์ (ปีถัดไป)

– สิทธิในเดือนธันวาคม จะได้รับเงินในเดือนมีนาคม (ปีถัดไป)

“ความสำเร็จครั้งนี้เป็นผลจากการบูรณาการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วน ทั้งนายจ้าง ผู้ประกันตน และภาครัฐ ซึ่งต่างเห็นชอบให้ปรับเพิ่มเงินสงเคราะห์บุตร อายุ 0–6 ปี สำหรับผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และ 39 จากเดิม 800 บาท เป็น 1,000 บาทต่อเดือน รัฐบาลให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการเกิด และการเติบโตอย่างมีคุณภาพของเด็กทุกคนอย่างเท่าเทียม จนนำไปสู่การประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับใหม่ และเกิดผลเป็นรูปธรรมในวันนี้ สำหรับประชาชนที่มีต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการได้รับเงินสงเคราะห์บุตรของสำนักงานประกันสังคม สามารถติดต่อสอบถามได้ผ่านทาง เพจ Facebook “สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน” หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.sso.go.th” นางสาวศศิกานต์  ระบุ

Advertisement

“ประเสริฐ” ระบุ พ.ร.ก.ไซเบอร์ ตัดวงจรมิจฉาชีพ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 30 เมษายน 2568 ทำเนียบ – “ประเสริฐ” ระบุ พ.ร.ก.ไซเบอร์ ตัดวงจรมิจฉาชีพ เตรียมออกระเบียบเพิ่ม เปิดบัญชีธนาคารต้องยากขึ้น-ส่ง SMS ต้องเป็นไปตามแนวทางที่กำหนด

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ให้สัมภาษณ์กรณี การประกาศใช้ พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และพ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล เมื่อวันที่ 12 เม.ย. มีผลอย่างไรบ้าง ว่า ดี ตัวเลขการปราบปรามการหลอกลวงดีขึ้นอย่างมีนัย เพราะเราได้ตัดวงจรเรื่องการเงินการสื่อสารของมิจฉาชีพให้ทำงานยากขึ้น โดยหลังจากกฎหมายประกาศไปแล้ว เราได้เรียกหน่วยวงานที่เกี่ยวข้องตามพ.ร.ก.มาพูดคุยเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย โดยหลังจากนี้เตรียมออกระเบียบในทางปฏิบัติอีกหลายฉบับ เช่น การเปิดบัญชีธนาคารต้องยากขึ้น การส่งข้อความผ่านระบบโทรศัพท์มือถือ ต้องเป็นไปตามแนวทางที่กำหนด เพื่อให้ พ.ร.ก.มีผลบังคับใช้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยทั้งพ.ร.ก.ฉบับนี้จะเข้าสู่สภาฯในวันที่ 28 พ.ค. เพื่อให้สภาฯรับรอง จากนั้นจะมีการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 68 ต่อไป

Advertisement

รัฐบาลเผย 3 เดือน ปิดเว็บพนันออนไลน์แล้ว 29,185 URL

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 27 เมษายน 2568 รัฐบาลเดินหน้ากวาดล้างพนันออนไลน์ สถิติ 3 เดือน ปิดแล้ว 29,185 URL จับผู้กระทำความผิด 4,627 ราย เตือนหากมีเอี่ยวระวังติดคุก

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลโดย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ดำเนินการเฝ้าระวังและติดตาม ปราบปรามการกระทำความผิดที่เป็นอาชญากรรมออนไลน์อย่างต่อเนื่อง ข้อมูลล่าสุด (1 มกราคม – 31 มีนาคม 2568) ได้ดำเนินการปิดกั้นโซเชียลมีเดีย เพจ และเว็บไซต์ URLs ที่เกี่ยวข้องกับพนันออนไลน์แล้ว 29,185 URL ทั้งนี้ สามารถจับกุมผู้กระทำผิดและผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดีพนันออนไลน์ได้ จำนวน 4,627 ราย

ส่วนประเด็นการปิดกั้นเว็บไซต์ URLs พนันออนไลน์ การดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดและเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ในตระกูล 888 . bet รวมที่เปลี่ยนชื่อข้างหน้าหรือข้างหลังนั้น ได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2565 โดยปิดกั้นไปแล้วจำนวน 200 URLs และอยู่ระหว่างรอคำสั่งศาลอีก 118 URLs

“การพนันออนไลน์ไม่เพียงแต่ทำให้สูญเสียทรัพย์สิน แต่ยังเสี่ยงต่อการถูกหลอกลวง สูญเสียข้อมูลส่วนบุคคล และถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งการยุ่งเกี่ยวกับการพนันออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้จัดให้เล่น ผู้เล่นหรือผู้ที่เผยแพร่ข้อความ (ประกาศชักชวน) นั้น มีความผิดตาม พ.ร.บ.การพนัน ซึ่งโทษตามมาตรา 12 จำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากพบเห็นการเชิญชวน หรือมีส่วนเกี่ยวข้องในลักษณะใดก็ตาม ขอให้หลีกเลี่ยงทันที หรือแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันสร้างสังคมปลอดภัยและปราศจากการพนัน” นางสาวศศิกานต์ กล่าว

Advertisement

 

“ศุภมาส” เผย อว. จ่อหารือ ตรวจเข้ม นศ.ต่างชาติใช้วีซ่าเรียนลอบทำงาน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 22 เมษายน 2568 “ศุภมาส” เผย อว. เตรียมหารือ สตม. 23 เม.ย.นี้ กำหนดแนวทางเข้ม ตรวจนักศึกษาต่างชาติใช้วีซ่าเรียนลอบทำงานในไทย หากพบสถานศึกษาใดมีส่วนรู้เห็น จะดำเนินการตามกฎหมายเด็ดขาด

เมื่อวันที่ 22 เม.ย. 2568 น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รมว.อุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยถึงการดำเนินการตรวจสอบกรณีที่มีข่าวว่าคนจีนได้วีซ่านักเรียนมาทำงานในไซต์งานก่อสร้างต่างๆ ของไทย โดยมีมหาวิทยาลัยบางแห่งเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง ว่าขณะนี้ตนได้สั่งการให้กระทรวง อว. มีหนังสือถึงวิทยาลัยสงฆ์ลำพูน มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย (มจร.) และมหาวิทยาลัยเอกชนที่มีทุนจีนถือหุ้นทั้ง 3 แห่ง ให้รายงานข้อมูลนักศึกษาจีนที่มาเรียน ทั้งจำนวนสาขาที่เรียน เวลาที่ใช้เรียนจนจบการศึกษา และวีซ่านักเรียนที่ได้รับ โดยขอให้ส่งรายละเอียดทั้งหมดมายังกระทรวง อว. ภายใน 1 สัปดาห์ นอกจากนี้สิ่งที่กระทรวง อว. กำลังจะดำเนินการควบคู่กัน คือ การทำงานร่วมกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) โดยตนได้มอบหมายให้ น.ส.สุชาดา ซาง แทนทรัพย์ เลขานุการ รมว.อว. เป็นผู้แทนร่วมหารือกับ สตม. ในวันที่ 23 เมษายน นี้ ที่กระทรวง อว. เพื่อกำหนดแนวทางการตรวจสอบและติดตามนักศึกษาต่างชาติที่เดินทางเข้ามาศึกษาในประเทศไทยอย่างเข้มงวดมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกรณีที่มีข้อสงสัยว่านักเรียนต่างชาติใช้วีซ่านักเรียนเป็นช่องทางในการเข้ามาทำงานผิดกฎหมาย

น.ส.ศุภมาส กล่าวต่อว่า การหารือร่วมกับ สตม. ในครั้งนี้ จะเป็นการบูรณาการข้อมูลระหว่างกระทรวง อว. กับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เพื่อให้สามารถตรวจสอบสถานะและพฤติกรรมของนักศึกษาต่างชาติได้อย่างเป็นระบบ และหากพบว่าสถานศึกษาใดมีส่วนรู้เห็นหรือปล่อยปละละเลยให้เกิดการใช้สถานะนักศึกษาในทางที่ไม่ถูกต้อง ก็จะดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาด

“กระทรวง อว. ยืนยันว่า ไม่ได้นิ่งนอนใจต่อกรณีที่เกิดขึ้น และจะเร่งดำเนินการให้เกิดความชัดเจนโดยเร็ว เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือของระบบการอุดมศึกษาไทย และไม่ให้ประเทศไทยถูกใช้เป็นช่องทางในการลักลอบเข้ามาทำงานโดยผิดกฎหมาย” รมว.อว. กล่าว

ทั้งนี้ กระทรวง อว. จะเร่งจัดทำฐานข้อมูลกลางของนักศึกษาต่างชาติในประเทศไทย เพื่อใช้ประกอบการตรวจสอบกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเตรียมทบทวนนโยบายและมาตรการในการรับนักศึกษาต่างชาติให้รัดกุมมากยิ่งขึ้นในอนาคต

Advertisement

กระทรวงดีอี เผย 10 อันดับข่าวปลอมยอดฮิต เตือนอย่าหลงเชื่อ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 20 เมษายน 2568 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ตรวจพบข่าวปลอมรายสัปดาห์ ที่ประชาชนให้ความสนใจสูงสุดอันดับที่ 1 เรื่อง “เตรียมรับมือภูเขาไฟระเบิด 5 แห่ง ในประเทศไทย” รองลงมาคือเรื่อง “เลขหลุดสลากกินแบ่งรัฐบาล งวดวันที่ 16 เม.ย. 68” โดยขอให้ประชาชน อย่าหลงเชื่อข่าวปลอม เลือกเชื่อ เลือกแชร์ ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ อาจทำให้เกิดความตื่นตระหนก วิตกกังวล เกิดความสับสนในสังคม

นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (BDE) ในฐานะโฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวถึงผลการมอนิเตอร์และรับแจ้งข่าวปลอมของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ระหว่างวันที่ 11 – 17 เมษายน 2568 พบข้อความที่เข้ามาทั้งหมด 834,632 ข้อความ โดยมีข้อความที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ (Verify) ทั้งสิ้น 474 ข้อความ

สำหรับช่องทางที่มีการพบเบาะแสมากที่สุด คือ ข้อความที่มาจาก Social Listening จำนวน 455 ข้อความ ตามมาด้วยการแจ้งเบาะแสผ่าน Line Official จำนวน 19 ข้อความ รวมเรื่องที่ต้องดำเนินการตรวจสอบทั้งหมด 166 เรื่อง และจากการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับผลการตรวจสอบกลับมาแล้ว 51 เรื่อง

ทั้งนี้ กระทรวงดีอี ได้แบ่งข่าวปลอมที่ได้รับความสนใจเป็น 5 กลุ่ม ประกอบด้วย

กลุ่มที่ 1 : นโยบายรัฐบาล ข่าวสารทางราชการ ความสงบเรียบร้อยของสังคม ขัดศีลธรรมอันดี และความมั่นคงภายในประเทศ จำนวน 63 เรื่อง

กลุ่มที่ 2 : ผลิตภัณฑ์สุขภาพ วัตถุอันตราย เครื่องสำอาง รวมถึงสินค้าและบริการที่ผิดกฎหมายจำนวน 45 เรื่อง

กลุ่มที่ 3 : ภัยพิบัติ จำนวน 27 เรื่อง

กลุ่มที่ 4 : เศรษฐกิจ จำนวน 8 เรื่อง

กลุ่มที่ 5 : กลุ่มอาชญากรรมออนไลน์ จำนวน 23 เรื่อง

นายเวทางค์ กล่าวต่อว่า เมื่อพิจารณาจากข่าวปลอมที่ได้รับความสนใจในลำดับต้นๆ ในสัปดาห์นี้ พบว่าเป็นข่าวเกี่ยวกับเรื่องของภัยพิบัติ โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องต่อเนื่องจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ซึ่งมีผลกระทบต่อสังคมส่วนใหญ่ ทำให้เกิดความตื่นตระหนก เข้าใจผิด สับสน และวิตกกังวลได้ นอกจากนี้ยังมีเรื่องโครงการของรัฐบาล และผลิตภัณฑ์สุขภาพ ซึ่งมีผลกระทบต่อประชาชนส่วนใหญ่ โดยข่าวที่ได้รับความสนใจจากประชาชนมากที่สุด 10 อันดับ ได้แก่

อันดับที่ 1 : เรื่อง  เตรียมรับมือภูเขาไฟระเบิด 5 แห่ง ในประเทศไทย

อันดับที่ 2 : เรื่อง เลขหลุดสลากกินแบ่งรัฐบาล งวดวันที่ 16 เม.ย. 68

อันดับที่ 3 : เรื่อง วันที่ 11 เม.ย. 68 อสม. อสส. เตรียมรับเงินเพิ่มคนละ 2,000 บาท

อันดับที่ 4 : เรื่อง  เตือนภัย! เสี่ยงสึนามิ 15, 17 และ 24-25 ก.ค. 68

อันดับที่ 5 : เรื่อง Carthisin เสริมความแข็งแรงให้กับกระดูกและข้อต่อ บรรเทาความรุนแรงของโรคกระดูก

อันดับที่ 6 : เรื่อง ผลิตภัณฑ์ Paratinol ทำลายปรสิตในร่างกาย ทำความสะอาดเลือด น้ำเหลือง และป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ HPV ในมนุษย์

อันดับที่ 7 : เรื่อง อสม. จะถูกยกเลิก เพื่อนำเงินมาสนับสนุนโครงการผู้สูงอายุ

อันดับที่ 8 : เรื่อง Sanderma ช่วยแก้ปัญหาโรคสะเก็ดเงิน ลมพิษ ผื่นคัน โรคผิวหนังต่าง ๆ

อันดับที่ 9 : เรื่อง  ด่วน! รัฐบาลให้เวลา 1 สัปดาห์ ยกเลิกธนบัตร 1,000 บาท

อันดับที่ 10 : เรื่อง ลูกชาวพม่าและเขมร สามารถเรียนหลักสูตรนักศึกษาวิชาทหารไทยได้

“เมื่อพิจารณาจากข่าวปลอมที่ประชาชนสนใจมากที่สุด จาก 10 อันดับข้างต้น พบว่าเป็นข่าวเรื่องของภัยพิบัติ ที่เกี่ยวข้องต่อเนื่องจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ซึ่งเป็นทำให้เกิดความตื่นตระหนก เข้าใจผิด ความสับสนในสังคม โดยหากมีการแชร์ส่งต่อกันไปในสังคม มีผลทำให้ประชาชนเกิดความหวั่นวิตก นอกจากนี้ยังมีเรื่องโครงการของรัฐบาล การให้บริการของหน่วยงานรัฐ และข่าวที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์สุขภาพ ที่อาจส่งผลกระทบกับประชาชนทั่วประเทศเป็นวงกว้าง” นายเวทางค์ กล่าว

สำหรับอันดับ 1 เรื่อง “เตรียมรับมือภูเขาไฟระเบิด 5 แห่ง ในประเทศไทย” กระทรวงดีอี โดยกรมอุตุนิยมวิทยา ตรวจสอบพบว่าเป็นข้อมูลเท็จ โดยขอชี้แจงว่า ตามที่มีคลิปกล่าวถึงการเตรียมตัวรับมือกับเหตุการณ์ภูเขาไฟระเบิด ที่จังหวัด ราชบุรี, ขอนแก่น, สุโขทัย, กาฬสินธุ์, บุรีรัมย์ นั้น ทางกรมอุตุนิยมวิทยาได้ตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นข่าวปลอม เนื่องจากปัจจุบัน ประเทศไทยไม่มีภูเขาไฟมีพลัง (Active Volcano) ที่จะทำให้เกิดการระเบิดได้ โดยขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อและติดตามข้อมูลข่าวสารจากช่องทางทางการเท่านั้น

ในส่วนข่าวปลอมอันดับ 2 เรื่อง “เลขหลุดสลากกินแบ่งรัฐบาล งวดวันที่ 16 เม.ย. 68” กระทรวงดีอี  ได้ประสานงานตรวจสอบร่วมกับสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล กระทรวงการคลัง พบว่าเป็นข้อมูลเท็จ โดยขอชี้แจงว่า ข่าวที่มีการเผยแพร่นั้นเป็นข่าวปลอม โดยการออกรางวัลของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ดำเนินการเป็นไปตามมาตรฐาน ISO 9001:2015 ที่มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ทุกขั้นตอน และไม่มีผู้ใดสามารถทราบผลรางวัลล่วงหน้าได้ หรือกำหนดผลสลากกินแบ่งรัฐบาลล่วงหน้าได้ จึงขอเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อมิจฉาชีพที่ส่งจดหมายหลอกลวงหรือแอบอ้างผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย

อย่างไรก็ตาม ดีอี มีความห่วงใยประชาชน เรื่องความตระหนักรู้เท่าทันข่าวปลอมที่ถูกแพร่กระจายบนสื่อออนไลน์ โซเชียล ซึ่งหากขาดความรู้เท่าทันส่งต่อข้อมูลข่าวปลอม ทำให้เกิดการหลงเชื่อ สร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เกิดความวิตกกังวล หรืออาจสร้างความเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สิน หรือข้อมูลส่วนบุคคล และอาจส่งผลกระทบต่อประชาชนในสังคมเป็นวงกว้าง ดังนั้นจึงควรตรวจสอบข้อเท็จจริงของข่าวหรือลิงก์เว็บไซต์ให้แน่ชัด

สามารถแจ้งเบาะแส ข่าวปลอม และอาชญากรรมออนไลน์ทุกรูปแบบ โทรสายด่วน 1111 (24 ชม.)

|  Line ID: @antifakenewscenter | เว็บไซต์ www.antifakenewscenter.com

Advertisement

 

Verified by ExactMetrics