วันที่ 28 มีนาคม 2024

นายกฯอยากเห็น ปตท. ลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น นำคนไทยไปร่วมทุน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 13 ธันวาคม 2566 นายกฯแสดงความยินดีครบรอบ 45 ปี ปตท. หวังให้ช่วยสร้างนักธุรกิจรุ่นใหม่ เป็นเจ้าสัวน้อย

ค่ำวานนี้ (12 พ.ย. 66) เวลา 18.30 น.  ณ เพลนารี ฮอลล์ ชั้น 1 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ถนนรัชดาภิเษก เขตคลองเตย กรุงเทพฯ  นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานงานเลี้ยงรับรองขอบคุณผู้มีส่วนได้เสีย เนื่องในวาระครบรอบ 45 ปี บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)  โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ผู้แทนภาครัฐ ผู้แทนภาคเอกชน  ผู้บริหารและพนักงานบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)  เข้าร่วมงาน

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า นายกรัฐมนตรี กล่าวแสดงความยินดีที่ได้มาร่วมงานในวาระครบรอบ 45 ปี ของบริษัทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทยเป็นบริษัทที่นำธงชาติไทยไปปักในนิตยสาร ฟอร์จูน โกลบอล 500 และเคยไต่อันดับถึง TOP 100 แต่เมื่อมีบริษัทอื่นมาก็ถูกเบียดไป  แต่บริษัท ปตท. มีการเติบโตอย่างยั่งยืน สร้างความภาคภูมิใจสูงสุดให้กับคนไทยที่มีบริษัทระดับโลกได้   ไม่ต้องพูดถึงความสำเร็จในธุรกิจ ปตท. ที่ได้ดำเนินการในช่วง 45 ปีที่ผ่านมา ได้เข้าร่วมกับทุกรัฐบาลในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสังคมในการดูแลคนไทยทุกคนไม่ว่าจะเป็นวิกฤตเศรษฐกิจครั้งไหน  รวมถึงวิกฤตโรคระบาดโควิด 19  ในอดีต 45 ปีที่ผ่านมา บริษัท ปตท.เป็นบริษัทที่ยืนเคียงข้างพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน  เป็นที่พึ่งของทุกคนเป็นบริษัทที่ไม่ได้คำนึงถึงแค่ผลตอบแทนผู้ถือหุ้นอย่างเดียว  แต่ยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ความสุขสบายของพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เนื่องในโอกาส 45 ปีของบริษัทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย  ตนมีข้อคิด 2-3 ข้อ ข้อแรกด้วยงบดุลของบริษัทที่แข็งแกร่งมาก สิ่งที่ต้องการคือ บริษัท ปตท. ไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้นนำพาผู้มีความรู้จากประเทศไทยไปร่วมทุนไปทำการเจรจาการค้าไปพัฒนาประเทศนั้นๆ ด้วยทุนของคนไทยด้วยองค์ความรู้ของคนไทย  ตนเชื่อว่า ยังมีอีกหลายประเทศที่เราสามารถไปลงทุนได้ทำการค้าขายได้  รัฐบาลพร้อมสนับสนุนทั้งการลงทุนและให้มาลงทุนในประเทศไทย  พร้อมเชื่อว่า ปตท. พร้อมที่จะเป็น partner กับบริษัทข้ามชาติทั้งหลายที่มาลงทุนในประเทศไทย  อีกทั้ง รัฐบาลพร้อมที่จะนำ ปตท.เดินเคียงคู่ไปกับรัฐบาลเพื่อที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา  พร้อมทั้งให้ ปตท.เดินทางออกไปต่างประเทศเพื่อไปร่วมทุนกับบริษัทยักษ์ใหญ่ในหลายบริษัทเพื่อทำให้คนไทยมีความภาคภูมิใจ

นายกรัฐมนตรี กล่าวถึง พลังงานบริสุทธิ์ถือเป็นเรื่องที่สำคัญเป็นเรื่องที่ปัจจุบันนี้ได้มีการพูดคุยกันมาก ถ้าประเทศไหนบริษัทไหนจะมาลงทุนที่ประเทศไทยเขารู้เรื่องนี้อยู่แล้ว ประเทศไทยมีความพร้อมสูงสุดประเทศหนึ่งในภูมิภาคนี้ในการที่จะรองรับการลงทุนที่ต้องการพลังงานบริสุทธิ์  ปตท. เป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นองค์กรที่ทำให้ประเทศไทยมีจุดแข็งในด้านนี้  อย่างไรก็ตาม นายกฯ ขอให้ทุกคนอย่า ลด ละ ในการที่จะพัฒนาเรื่องนี้ต่อไป  ต้องทำให้เราไปถึงจุดมุ่งหมายได้และดึงดูดนักลงทุนที่มีความต้องการลงทุนในการพึ่งพาพลังงานบริสุทธิ์ ซึ่งเชื่อว่า ปตท. สามารถทำได้และทำดีอยู่แล้ว

ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรี  กล่าวถึง การสร้างแรงบันดาลใจของคนรุ่นใหม่ที่มองเข้ามาบริษัทใหญ่ๆอย่าง ปตท. บริษัทที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก อยากให้ ปตท.มีส่วนปั้นพัฒนาดูแลเยาวชนที่เพิ่งเข้ามาในวงการธุรกิจ  ปั้นพัฒนาให้เขาเป็นเจ้าสัวน้อยให้ได้ไม่ใช่แค่ให้เขามาอยู่ภายใต้ของบริษัท ปตท. หลายคนอาจจะเข้าใจว่า ปตท.จ้างสนับสนุนเป็นแหล่งงานให้กับคนรุ่นใหม่มากมาย  ตนเชื่อว่า หลายคนมีความต้องการที่จะแตกต่างกันไป หลายคนมีความต้องการทำงานเป็นพนักงานของ ปตท. หลายคนต้องการให้เป็นหน่วยงานช่วยปั้นให้เขาเป็นเจ้าสัวตัวน้อยได้และพัฒนาต่อไปเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติ

“วันนี้ถือเป็นวันดีที่มีนักธุรกิจชั้นนำ มีอดีตผู้ว่าการ ปตท. มีผู้ที่มีอุปการคุณ  คณะกรรมการที่มารวมตัวกันอยู่ในที่นี้  มาเฉลิมฉลองความสำเร็จของ ปตท.  ซึ่งเชื่อว่าภารกิจอันยิ่งใหญ่ของบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยยังไม่จบเพียงแค่นี้ ขอเป็นกำลังใจเป็นแรงใจ ขอเป็นเพื่อนที่เดินเข้ามาไปด้วยกันในอนาคตที่สดใสเพื่อจะยกระดับความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนให้ดีขึ้นควบคู่ไปกับ ปตท.” นายกฯ กล่าว

Advertisement

นายกฯ ไม่สบายใจตัวเลขค่าแรงขั้นต่ำ ระบุ เป็นนโยบายหลักรัฐบาลต้องถูกยกระดับขึ้น

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 12 ธันวาคม 2566 นายกฯ ไม่สบายใจตัวเลขค่าแรงขั้นต่ำ ระบุ เป็นนโยบายหลักรัฐบาลต้องถูกยกระดับขึ้น

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เดินทางไปตรวจราชการจังหวัดกาญจนบุรี พบปะพี่น้องประชาชน โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รมว.อุตสาหกรรม นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม รอ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รมช.คมนาคม ในฐานะอดีตนายก อบจ. กาญจนบุรี ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่เก่า และมี สส.กาญจนบุรี ให้การต้อนรับ ได้แก่ นายอัครนันท์ กัณณ์กิตตินันท์ สส.เขต 1 พรรคเพื่อไทย นายชูศักดิ์ แม้นทิม สส.เขต 2 พรรคเพื่อไทย นายยศวัฒน์ มาไพศาลสิน สส.เขต 3 พรรคภูมิใจไทย นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ สส.เขต 4 พรรคเพื่อไทย และ นายพนม โพธิ์แก้ว สส. เขต 5 พรรคเพื่อไทย

ขณะเดียวกันยังมีประชาชนถือป้ายต้อนรับนายกรัฐมนตรี และถือป้ายสนับสนุนเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท โดยนายกรัฐมนตรี เดินทักทายประชาชนที่มาให้กำลังใจ และกล่าวว่า ยินดีที่ได้กลับมาจังหวัดกาญจนบุรีอีกครั้ง หลังจากการเลือกตั้งผ่านไปแล้ว ทั้งนี้ตลอดระยะเวลาประมาณ 3 เดือน พบว่าบ้านเมืองเรามีปัญหาเยอะ แต่มีรัฐมนตรีและทีมงานที่พร้อมจะรับใช้ประชาชนอย่างเต็มที่ เสียงสะท้อน เสียงเรียกร้อง ไม่ว่าจะเป็นพรรคไหนที่มาที่นี่เหมือนกันหมด คือ เรื่องของปากท้อง ปัญหาหนี้สิน ปัญหายาเสพติด พื้นที่ทำกิน ราคาเกษตร การค้าขายระหว่างพรมแดน รัฐบาลนี้ไม่ได้นิ่งนอนใจ

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องของหนี้สิน รัฐบาลประกาศเป็นวาระแห่งชาติ เมื่อวันที่ 8 ธันวาคมที่ผ่านมา หนี้นอกระบบต้องหมดไป จะเป็นการทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ มีการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน ระหว่างนายอำเภอกับผู้กำกับการตำรวจทุกจังหวัด เมื่อมีเสียงเรียกร้อง หรือมีปัญหากับการถูกเรียกทวงหนี้อย่างไม่เป็นธรรม หรือการข่มขู่เจ้าหน้าที่ ทุกคนพร้อมที่จะให้บริการกับประชาชน ดังนั้นอย่ากลัว ให้เดินออกมาพูดคุยกัน รัฐบาลให้ความเป็นธรรมและคุ้มครองเจ้าหนี้และลูกหนี้ให้เป็นไปตามกฎหมาย ไม่ยอมรับการรีดไถที่ไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรม

ส่วนเรื่องปัญหายาเสพติด นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นปัญหาที่กัดก่อนสังคมไทยมานานมาก เรื่องของวงจรการค้ายาเสพติด ไม่ว่าจะจากชายแดน ได้มีการแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงเข้ามาจัดการประสานงานกับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ฝ่ายความมั่นคง ตำรวจ และพื้นที่ โดยจะเร่งรัดตัดวงจรยาเสพติด หากจับได้พิสูจน์ทราบแล้ว จะทำลายทันที เพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัยของสังคม

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า เรื่องการค้าการลงทุน ยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน รัฐบาล ยืนยัน ทำงานอย่างเข้มแข็ง ดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามา เพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่พี่น้องประชาชน ทำให้ภาคอุตสาหกรรมไทยเข้มแข็งขึ้น แต่ก็มีเรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจ คือ เรื่องค่าแรงขั้นต่ำ เชื่อว่า พี่น้องหลายคนเป็นห่วง ซึ่งถือเป็นนโยบายหลักของรัฐบาล ที่จะยกระดับค่าแรงขั้นต่ำ โดยจะต้องมีการพูดคุยกันในเวทีที่เหมาะสม เพราะเป็นเรื่องที่เรายอมรับไม่ได้และต้องแก้ไขกันต่อไป

นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า วันนี้ถือเป็นโอกาสดีที่หลังจากการเลือกตั้งยังไม่มีรัฐมนตรี หรือ นายกรัฐมนตรีมาเยี่ยมเยียนที่จังหวัดกาญจนบุรีเลย จึงถือเป็นมิติใหม่หลังจากได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องให้เข้ามาบริหาร และเดินทางมารับฟังพูดคุยปัญหาที่พี่น้องทุกคนมีอยู่วันนี้ พร้อมมีรัฐมนตรีมาหลายคน ฝากการสื่อสารเข้ามาด้วยว่า อยากให้ทำอะไรบ้าง ขอให้ความมั่นใจว่า รัฐบาลนี้พร้อมและทำงานอย่างเต็มที่

Advertisement

นายกฯ ยืนยัน เดินหน้ารัฐบาลดิจิทัล นำเทคโนโลยี AI คลาวด์ ยกระดับเศรษฐกิจ ผลักดันไทยเป็นเป้าหมายการลงทุน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 9 ธันวาคม 2566 นายกฯ ยืนยัน เดินหน้ารัฐบาลดิจิทัล นำเทคโนโลยี AI คลาวด์ ยกระดับเศรษฐกิจ ผลักดันไทยเป็นเป้าหมายการลงทุน

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ปาฐกถาพิเศษในงาน “Google Digital Samart Thailand” ที่โรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ ถนนราชดำริ กรุงเทพฯ ระบุว่า รัฐบาลมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมทำงานอย่างใกล้ชิดกับ Google เพื่อช่วยผลักดันให้ประเทศไทยเติบโตอย่างมีเสถียรภาพในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังเทคโนโลยีสำคัญอย่างเช่น AI ในระบบคลาวด์ โดยความร่วมมือนี้จะช่วยสนับสนุนความจำเป็นเร่งด่วนของรัฐบาลที่อยู่ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติที่มุ่งเพิ่มโอกาสสร้างงานที่มีมูลค่าสูงและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย พร้อมทั้งยกระดับขีดความสามารถของประเทศไทยให้เป็นหนึ่งในจุดหมายหลักสำหรับการลงทุนของนักลงทุนชั้นนำจากทั่วโลก ผมต้องขอบคุณกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการส่งเสริมและผลักดันความร่วมมือกับ Google ทั้งในเรื่องของ AI คลาวด์ และความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์

ทั้งนี้ หลังจากการประชุมผู้นำความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก หรือ APEC รัฐบาลก็ได้เร่งดำเนินการในด้านต่างๆ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจไทย เรื่องแรกคือ การจัดทำนโยบาย Go Cloud First ที่เราได้ร่วมมือกับ Google ซึ่งเราตั้งเป้าที่จะนำนโยบายนี้ไปใช้โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ การนำเทคโนโลยีคลาวด์ไปใช้ในการดำเนินการของรัฐบาลจะช่วยปรับปรุงคุณภาพและความรวดเร็วในการให้บริการแก่ประชาชน เรื่องที่สอง เนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้เปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากในปัจจุบัน และรัฐบาลกำลังวางแนวทางสำหรับกรอบการดำเนินการด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ โดยคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ หรือ กมช. จะเป็นผู้ดำเนินการในส่วนนี้ และเรื่องที่สาม รัฐบาลจะเร่งส่งเสริมการใช้ Generative AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและปรับปรุงการให้บริการแก่ประชาชน โดย Google Cloud จะช่วยจัดฝึกอบรมและมอบเครื่องมือที่จำเป็นแก่บุคลากรของรัฐ ทั้งหมดนี้คือการดำเนินการเชิงรุกของรัฐบาลในการยกระดับเศรษฐกิจไทยไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจ AI ยุคใหม่

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังย้ำด้วยว่า รัฐบาลและ Google จะทำงานร่วมกันต่อไปโดยให้ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

Advertisement

รัฐบาล จับมือ Google ยกระดับเศรษฐกิจไทยสู่เศรษฐกิจดิจิทัลยุคใหม่ ไม่ทิ้งคนไทยคนไหนไว้ข้างหลัง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 8 ธันวาคม 2566 นายกฯ เชื่อมั่น Google สามารถช่วยพัฒนาคนไทยและธุรกิจไทย พร้อมร่วมมือกันยกระดับเศรษฐกิจไทยไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัลยุคใหม่ ไม่ทิ้งคนไทยคนไหนไว้ข้างหลัง Leave No Thai Behind

วันนี้ (8 ธันวาคม 2566) เวลา 14.00 น. ณ Magnolia Ballroom ชั้น 10 โรงแรม Waldorf Astoria Bangkok นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เข้าร่วมงาน Google Digital Samart Thailand พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ Uplift Thai Economy; Empower Digital Samart Thailand โดยนายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญ ดังนี้

นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงความร่วมมือระหว่าง Google และรัฐบาลในวันนี้ เป็นผลสำเร็จจากภาคธุรกิจและภาคประชาชนที่มีการนำเทคโนโลยีของ Google มาใช้ในการทำงานและชีวิตประจำวัน พร้อมกล่าวชื่นชม Google ซึ่งเป็นผู้นำทางด้านดิจิทัล และยังใส่ใจในความแตกต่าง หลากหลายของผู้คนในสังคม หน่วยงานในภาครัฐ และธุรกิจต่าง ๆ ทั้งขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก รวมทั้งผลิตภัณฑ์ โครงการ และการลงทุนต่าง ๆ ของ Google โดยเฉพาะในด้าน AI และ Cloud ตอบโจทย์พันธกิจที่จะไม่ทิ้งคนไทยไว้ข้างหลัง (Leave No Thai Behind) ของ Google จะสามารถช่วยพัฒนาคนไทยและธุรกิจไทยได้

สำหรับยุทธศาสตร์ของรัฐบาล นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับการทำงานเชิงรุกดำเนินนโยบายเร่งด่วนมาโดยตลอด เพื่อสร้างความอยู่ดีกินดีให้พี่น้องประชาชน และท่ามกลางความท้าทายของสภาพเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน นายกรัฐมนตรีได้ออกไปเชิญชวนนักธุรกิจทั่วโลก ประกาศให้โลกรู้ว่าประเทศไทย เปิดแล้วสำหรับการทำธุรกิจ (open for business) และรัฐบาลจะทำให้ประเทศไทยกลับมาเป็นจุดหมายของการลงทุนของนักลงทุนชั้นนำ ยกระดับเศรษฐกิจไทยให้ไปสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล นำ AI และ Cloud เข้ามาพัฒนาการให้บริการประชาชน นำไปสู่การสร้างเศรษฐกิจมูลค่าสูง (High Value Economy)

นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงความร่วมมือดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมในหลากหลายมิติ โดยในการเดินทางไปประชุม UNGA ที่สหรัฐฯ ได้พบปะหากับคณะผู้บริหารของ Alphabet และ Google เพื่อหารือถึงความร่วมมือระหว่าง Google และรัฐบาล ในการยกระดับเศรษฐกิจดิจิทัลให้กับประเทศไทย ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้ทำงานเชิงรุกร่วมกันอย่างแข็งขัน จนนำไปสู่การทำ MOU ความร่วมมือที่ได้ประกาศในระหว่างการประชุม APEC ที่ซานฟรานซิสโก ซึ่งครอบคลุมทั้งหมด 4 เรื่อง ได้แก่ 1) การต่อยอดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล เช่น การลงทุนขยาย Data Center ในประเทศไทย 2) การส่งเสริมการใช้ Cloud และ AI อย่างมีความรับผิดชอบและปลอดภัย เพื่อยกระดับการให้บริการของภาครัฐ 3) การวางหลักเกี่ยวกับนโยบายการใช้งานระบบคลาวด์เป็นหลัก (Cloud-First Policy) และ 4) การทำให้คนไทยสามารถเข้าถึงทักษะด้านดิจิทัลได้มากขึ้น

รัฐบาลได้ประกาศนโยบายการใช้งานระบบคลาวด์เป็นหลัก (Go Cloud First) ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างแข็งแรงในยุคเศรษฐกิจ AI โดยได้จัดทำนโยบายและแผนเพื่อเป็นกรอบการขยายการใช้งาน Cloud และเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีทั้งภาครัฐและภาคเอกชน โดยเน้นการใช้งาน Public Cloud และ Private Cloud ที่มีมาตรฐานในการดูแลข้อมูลของภาครัฐ

ทั้งนี้ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นผู้เร่งขับเคลื่อนโยบายที่เน้นการบูรณาการเทคโนโลยี Cloud กับการดำเนินงานของภาครัฐให้เกิดผลในทางปฏิบัติโดยเร็ว โดยอยู่ในการพิจารณาของคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ทั้งหมดนี้ นอกจากจะเร่งให้เกิดการยกระดับการให้บริการในภาครัฐแล้ว ยังจะยกระดับขีดความสามารถของไทย ให้เป็นหนึ่งในจุดหมายการลงทุนในระบบ Cloud ของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำทั่วโลกด้วย

สำหรับเรื่องความมั่นคงทางไซเบอร์ รัฐบาลกำลังวางแนวทางจัดทำแผน Cyber Security ในหน่วยงานรัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้มีมาตรฐาน ลดความซ้ำซ้อน เพิ่มการป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งเมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมา คณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติได้เดินหน้าการทำงานไปแล้ว และต้นปีหน้าก็จะได้เห็นแผนการทำงานที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

ด้านการเพิ่มทักษะด้านดิจิทัล นายกรัฐมนตรียินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นความร่วมมือระหว่าง Google กับกระทรวงและหน่วยราชการ ซึ่งจะพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากรและหน่วยงานภาครัฐ ทำให้การบริการประชาชนให้ดียิ่งขึ้นด้วยการเริ่มโครงการนำร่องในการใช้ Generative AI ในภาครัฐ

ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า ความร่วมมือเหล่านี้เป็นผลสำเร็จของการดำเนินงานของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่เป็นหน่วยงานหลักในการส่งเสริมและผลักดันความร่วมมือกับ Google และกับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอื่น ๆ ของโลก ทั้งในเรื่อง AI, Cloud, และความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พร้อมเน้นย้ำว่า การดำเนินการเชิงรุกของรัฐบาลในการยกระดับเศรษฐกิจไทยไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัลยุคใหม่ที่นำโดย AI และ Cloud จะเป็นไปอย่างเร่งด่วนและต่อเนื่อง

ซึ่งในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรียินดีที่รัฐบาลร่วมมือกับ Google เพื่อช่วยกันสร้างสภาพแวดล้อมทางนโยบาย และกฎระเบียบที่เอื้อต่อการพัฒนา AI และ Cloud ซึ่งทั้งรัฐบาลและ Google จะทำงานร่วมกันต่อไป โดยไม่ทิ้งคนไทยคนไหนไว้ข้างหลัง Leave No Thai Behind

Advertisement

ผู้ว่า กทม. เร่งหาแนวทางช่วยบรรเทาแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบให้ประชาชน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 4 ธันวาคม 2566 ผู้ว่า กทม. เร่งหาแนวทางช่วยบรรเทาแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบให้ประชาชน

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยหลังการประชุมคณะผู้บริหารกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 25/2566 ณ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ว่า หลังจากที่มีการเปิดบริการ ให้ประชาชนลงทะเบียนขอรับความช่วยเหลือแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ ตามนโยบายรัฐบาล ตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา มีผู้ลงทะเบียนขอรับความช่วยเหลือฯ ในพื้นที่กรุงเทพมหานครแล้วรวม 3,043 โดยแบ่งเป็นการลงทะเบียนในระบบ Online จำนวน 2,971 ราย และลงทะเบียนด้วยตนเอง ที่ ศูนย์อำนวยการแก้ไขหนี้นอกระบบ ณ สำนักงานเขต จำนวน72 ราย เจ้าหนี้ 1,809 ราย มูลหนี้รวมกว่า 169.7 ล้านบาท ( ข้อมูลจากวันที่ 3 ธ.ค. 66 เวลา 19.00 น. ) ซึ่งถือว่าผู้ลงทะเบียนยังมีจำนวนไม่มาก แต่กรุงเทพมหานครไม่ได้นิ่งนอนใจ และได้สั่งการเพิ่มเติมไปอีก 2 ส่วน โดยให้แต่ละชุมชนทำการสำรวจ หาข้อมูลเจ้าหนี้ด้วยเพื่อประกอบกับข้อมูลลูกหนี้ให้ครอบคลุมมากขึ้น และส่วนต่อมาคือกำชับให้สถานธนานุบาล (โรงรับจำนำของกรุงเทพมหานคร) ให้เร่งหาแนวทางช่วยเหลือเพื่อที่จะสนองนโยบายของรัฐบาลให้เกิดผลสำเร็จให้ได้มากที่สุดเพิ่มเติมด้วย

นอกจากนี้ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้เน้นย้ำว่า กรุงเทพมหานครไม่มีอำนาจในการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบโดยตรง แต่ในเบื้องต้นกรุงเทพมหานครจะช่วยโดยการไม่ให้เกิดรายจ่ายที่เพิ่มมากขึ้นของประชาชนในทางอ้อมแทน เช่น การส่งเสริมให้สามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลฟรีตามสิทธิ์ การเรียนฟรี เพื่อช่วยลดแบ่งเบาค่าใช้จ่ายไม่ให้เกิดการกู้ยืมในเรื่องดังกล่าวอีก และหลังจากนี้จะมีการประชุมมอบนโยบายให้กับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ โดยมีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังใน เป็นประธานผู้มอบนโยบาย ในวันที่ 8 ธันวาคมนี้ ที่ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ซึ่งสำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหาจะต้องรอติดตามกันต่อไป

ทั้งนี้ หากประชาชนท่านใดยังได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาหนี้นอกระบบ ยังคงสามารถลงทะเบียนเพื่อขอรับความช่วยเหลือจากภาครัฐ ผ่านระบบออนไลน์ ได้ที่ Website : debt.dopa.go.th หรือลงทะเบียนด้วยตนเองที่ศูนย์อำนวยการแก้ไขหนี้นอกระบบ ณ สำนักงานเขตของกรุงเทพมหานครทุกแห่ง และสำหรับจังหวัดอื่น ๆ สามารถลงทะเบียนได้ที่ ศาลากลางจังหวัด ที่ว่าการอำเภอ ทั่วประเทศ ซึ่งข้อมูลของผู้ลงทะเบียนจะถูกรักษาไว้เป็นความลับ และหากมีข้อสงสัยสามารถขอรับคำปรึกษาและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางสายด่วนศูนย์ดำรงธรรม 1567 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

Advertisement

ททท. เนรมิตริมน้ำเจ้าพระยา ยามค่ำคืน ด้วย แสง สี พลุ ยิ่งใหญ่ ในงาน “VIJIT CHAO PHRAYA 2023” ตลอดเดือนธันวาคม

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 2 ธันวาคม 2566 ททท. ชวนชม งาน VIJIT CHAO PHRAYA 2023 ตลอดเดือนธันวาคม กระตุ้นการท่องเที่ยวส่งท้ายปี คาดสร้างรายได้กว่า 600 ล้านบาท

น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดกิจกรรม “VIJIT CHAO PHRAYA 2023” งานแสดง แสง สี ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ผ่านวัดวาอารามและย่านสำคัญริมน้ำเจ้าพระยา รวม 7 พื้นที่  ระหว่างวันที่ 1-31 ธันวาคมนี้ จัดโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับพันธมิตรภาครัฐและเอกชน เนตรมิตรสีสันเจ้าพระยาเพื่อกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวส่งท้ายปี คาดงานปีนี้จะสร้างรายได้กว่า 600 ล้านบาท

ด้าน น.ส.ฐาปนีย์  ผู้ว่าการ ททท. กล่าวว่า งานนี้เป็นอีกหนึ่งบิ๊กอีเวนต์ภายใต้โครงการ Thailand Winter Festivals โดยปีนี้ ททท. ขยายเวลาการแสดงเป็น 1 เดือนเต็ม โดยใช้ 7 พื้นที่สำคัญที่มีชื่อเสียง ริมน้ำเจ้าพระยา มาแต่งแต้มสีสันยามค่ำคืนด้วยนวัตกรรม แสง สี และสื่อผสมสมัยใหม่ ทั้ง Projection Mapping & Lighting ควบคู่กับการผสมผสานวัฒนธรรมอย่างสร้างสรรค์ให้มีความทันสมัย เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับนักท่องเที่ยวได้มาสัมผัสและอยากเดินทางกลับมาอีกครั้ง

Advertisement

S&P คงอันดับความน่าเชื่อถือประเทศไทยที่ BBB+ และคงมุมมอง Stable Outlook

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 29 พฤศจิกายน 2566 S&P คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทยอยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook)

นางจินดารัตน์ วิริยะทวีกุล ที่ปรึกษาด้านหนี้สาธารณะ โฆษกสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เปิดเผยว่า วันที่ 28 พฤศจิกายน 2566 บริษัท S&P Global Ratings (S&P) ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) ที่ระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้

1) เศรษฐกิจไทยคาดว่าจะฟื้นตัวและเติบโตอย่างรวดเร็วจากร้อยละ 2.5 ในปี 2566 เป็นร้อยละ 4.2 ในปี 2567 เนื่องจากการดำเนินมาตรการทางการคลังและการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว อีกทั้งอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่แท้จริง (Real GDP Growth) จะเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 3.2 ในช่วงปี 2566 – 2569 ขณะที่สัดส่วนการขาดดุลงบประมาณต่อ GDP เฉลี่ยคาดว่าจะอยู่ต่ำกว่าร้อยละ 4 ในช่วงปี 2567 – 2569 นอกจากนี้ รัฐบาลไทยจะยังคงเน้นการลงทุนตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ซึ่งรวมถึงโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) และโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งตามแผนแม่บท โดยคาดว่าการลงทุนของรัฐวิสาหกิจและความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน (Public-Private-Partnerships) จะมีบทบาทสำคัญในขับเคลื่อนโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ซึ่งการลงทุนอย่างต่อเนื่องจะช่วยฟื้นฟูความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป

2) หนี้ภาครัฐบาลสุทธิ (Net General Government Debt) อยู่ในระดับปานกลาง ขณะที่ภาคการเงินต่างประเทศ (External Finance) แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะยังคงเกินดุลตั้งแต่ปี 2567 – 2569 เนื่องจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว (Services Exports) เป็นสำคัญ

3) ปัจจัยที่มีผลต่อการปรับอันดับความน่าเชื่อถือ คือ การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ระดับรายได้ต่อหัว (Per Capita Income) ความเข้มแข็งทางการคลัง และเสถียรภาพทางการเมือง

Advertisement

ก.พลังงาน ขู่ ใช้ กฏหมายเข้าควบคุมค่าการตลาดน้ำมันเบนซิน

People Unity News : 22 พฤศจิกายน 2566 กระทรวงพลังงาน ขอความร่วมมือผู้ค้าทุกรายควบคุมค่าการตลาดน้ำมันเบนซินให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อช่วยเหลือประชาชนผู้ใช้น้ำมัน หากไม่ได้รับความร่วมมือ จะประสานกับกระทรวงพาณิชย์ในการใช้มาตรการด้านกฎหมายในการควบคุมค่าการตลาด

นายวัฒนพงษ์  คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน  (สนพ.) กล่าวว่า หลังจากที่มีการร้องเรียนเกี่ยวกับค่าการตลาดน้ำมันเบนซินของผู้ค้าที่สูงกว่าที่กระทรวงพลังงานขอความร่วมมือผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ให้ปรับลดราคาขายปลีกให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม  ทางกระทรวงฯได้ขอความร่วมมือมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ประชาชน และได้มีการศึกษามาแล้วว่า ถึงแม้ต้นทุนค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นจาก ค่าแรง ค่าเช่า อัตราภาษีที่ดิน ตลอดจนค่าสาธารณูปโภคที่เพิ่มขึ้น ผู้ค้ายังควรต้องรักษาระดับค่าการตลาดให้อยู่ในระดับที่มีความเหมาะสม และเป็นธรรมกับผู้บริโภค

ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานได้ติดตามสถานการณ์การปรับขึ้น-ลงค่าการตลาดมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบางช่วงก็อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 2 บาท แต่ในบางช่วงก็อยู่ในระดับที่สูงกว่า 2 บาท พบว่า ค่าการตลาดน้ำมันเบนซิน มีค่าสูงเกินค่าที่เหมาะมาอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด 4.8 บาทต่อลิตร และ ก.พลังงานได้ขอให้ผู้ค้าให้ความร่วมมือไม่ให้ค่าการตลาดน้ำมันกลุ่มเบนซินในภาพรวมสูงเกินกว่า 2 บาทเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านราคาน้ำมันให้แก่ประชาชน  ซึ่งหากมีความจำเป็นกระทรวงพลังงานจะร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ใช้มาตรการด้านกฎหมายในการเข้ากำกับดูแล

อย่างไรก็ตาม ค่าการตลาดคือ ส่วนที่เป็นต้นทุน ค่าใช้จ่าย และกำไรของธุรกิจค้าปลีกน้ำมันทั้งระบบ ตั้งแต่การจัดการคลังน้ำมัน การขนส่งน้ำมันมายังสถานีบริการ รวมถึงการให้บริการของสถานีบริการที่เติมน้ำมันแต่ละลิตรให้กับประชาชน

“ผมได้ขอให้ผู้ค้าน้ำมันทุกรายควบคุมค่าการตลาดกลุ่มเบนซินให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เป็นธรรมกับทั้งผู้ค้าน้ำมันและประชาชนผู้บริโภค ซึ่งที่ผ่านมา ผู้ค้าน้ำมันจะมีการปรับขึ้น-ลงค่าการตลาดน้ำมันเฉลี่ยทุกชนิด  ในช่วงนี้ ค่าการตลาดสูงเกินไป ถึงแม้ว่า ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีความผันผวน แต่อยากให้ผู้ค้าน้ำมันคำนึงถึงประชาชนที่กำลังได้รับความเดือดร้อน ดังนั้น หากยังไม่ได้รับความร่วมมือ อาจจำเป็นต้องประสานกับกระทรวงพาณิชย์ในการใช้มาตรการด้านกฎหมายเข้ากำกับดูแล ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานจะสร้างสมดุลด้านราคา โดยเฉพาะค่าการตลาดระหว่างผู้ค้าน้ำมันกับผู้บริโภคให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและเป็นไปตามข้อกฎหมาย แต่จะคำนึงถึงผลประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ” นายวัฒนพงษ์ กล่าว

Advertisement

สภาพัฒน์ ปรับคาดการณ์จีดีพีปี 66 ขยายตัวร้อยละ 2.5

People Unity News : 20 พฤศจิกายน 2566 สภาพัฒน์ ปรับคาดการณ์จีดีพีปี 66 ขยายตัวร้อยละ 2.5 แรงส่งหนุนปี 67 ขยายตัวร้อยละ 3.5  แนะปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม ขยายตลาดส่งออก สำคัญกว่าการบริโภคในประเทศ ลุ้นกฤษฎีกา พิจารณากู้เงินดิจิทัลวอลเล็ต

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า สภาพัฒน์ ปรับคาดการณ์จีดีพีในปี 66 ขยายตัวร้อยละ 2.5 จากเดิมร้อยละ 2.5-3 นับว่าขยายตัวต่อเนื่องจากร้อยละ 2.6 ในปี 65 คาดอัตราเงินเฟ้อในปีนี้ร้อยละ 1.4 ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 1.0 อัตราการว่างงานต่ำสุดในรอบ 15 ไตรมาส ทุนสำรองระหว่างประเทศ 2.1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หนี้สาธารณะ ณ ก.ย. 66 ร้อยละ 62.1 ของจีดีพี

สภาพัฒน์ ยอมรับว่า การประเมินจีดีพีในปี 67 ยังไม่คำนวณข้อมูลจากโครงการโอนเงินดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท เพราะต้องรอดูความชัดเจนผลการพิจารณาของกฤษฎีกา จากแผนกู้เงินผ่าน พ.ร.บ. เงินกู้ 5 แสนล้านบาท โดยมองว่า การกระตุ้นเศษฐกิจให้เติบโตยั่งยืนในช่วงนี้ ควรปรับโครงสร้างภาคการผลิตและอุตสาหกรรม การขยายตลาดส่งออก เนื่องจากไทยพึ่งพาจากทั้งสองปัจจัยเป็นหลัก เพราะมองว่าการกระตุ้นการบริโภค ด้วยการใช้เงินดิจิทัลกระตุ้นการใช้จ่าย อาจหมดแรงส่งได้ และการโอนเงินดิจิทัลวอลเล็ต ต้องมีเงินหนุนหลังในจำนวนเท่ากับจำนวนที่ใช้จ่ายออกไป จึงต้องลุ้นว่าจะมีความชัดเจนอย่างไร จึงไม่ได้รวมข้อมูลดังกล่าวในคาดการณ์จีดีพีปี 67

ด้านการท่องเที่ยว มองว่าในช่วงไตรมาส 4 ช่วงไฮซีซั่น คาดว่านักท่องเที่ยวยุโรป จะเข้ามาจำนวนมาก หลังจากมาเลเซีย เป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มหลักเดินทางเข้าไทย แต่จะทำอย่างไรให้นักท่องเที่ยวอาศัยและใช้เงินท่องเที่ยวในประเทศให้มากขึ้น โดยคาดการณ์ว่านักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทยในปีนี้ 3 ล้านคน จากเดิม 5 ล้านคน และเพิ่มเป็น 7 ล้านคนในปี 67 โดยมองว่านโยบายแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน ตามที่นายกรัฐมนตรีเตรียมประกาศในช่วงสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้ จะช่วยลดภาระหนี้ครัวเรือนยังสูงถึงร้อยละ 90.7 ของจีดีพี รวมถึงการช่วยเหลือด้านทุนหมุนเวียนให้กับเอสเอ็มอี

ทิศทางเศรษฐกิจในปี 2567 คาดการณ์จีดีพีขยายตัวร้อยละ 3.2 การส่งออกขยายตัวร้อยละ 3.8 จากเดิมลดลงร้อยละ 2.6 ในปี 66 อัตราเงินเฟ้อร้อยละ 1.7-2.7 จึงเสนอให้รัฐบาลมุ่งขยายตลาดเพื่อการส่งออกไปยังประเทศมีศักยภาพ ในวันพรุ่งนี้นายกรัฐมนตรีเรียกประชุมทูตพาณิชย์จากทั่วโลก มองว่าจะเป็นการร่วมหาตลาด เพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศเพิ่มขึ้น รวมถึงกรณีนายกรัฐมนตรีโรดโชว์ดึงการลงทุนจากบริษัทยักษ์ใหญ่ในสหรัฐ จะเป็นอีกปัจจัย ส่งเสริมให้การลงทุนจากต่างชาติเพิ่มขึ้น สำนักงบประมาณจัดเตรียมแผนให้หัวหน้าส่วนราชการ จัดเตรียมขั้นตอนจัดซื้อจัดจ้าง เมื่องบประมาณผ่านสภา จะได้ทำสัญญาได้ทันที เริ่มใช้ได้ในช่วงเดือนเมษายนปี 67 จะได้เริ่มเบิกจ่ายงบลงทุน เพื่อเร่งรัดการใช้เงินด้านงบลงทุนให้ได้ตามเป้าหมายร้อยละ 90.4

การเตรียมแผนรองรับปัญหาภัยแล้งจากเอลนิญโญ่ หลังจากหลายหน่วยงานคาดการณ์ ส่งผลกระทบหนักต่อเกษตรกร รัฐบาลยังต้องเตรียมแผนหารายได้เพิ่ม สร้างความมั่นคงทางการคลัง รองรับความเสี่ยงในอนาคต ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ การลดสร้างภาระให้กับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ด้วยการแนะให้ประชาชนปรับตัวรองรับปัญหาพลังงานปรับสูงขึ้น จีดีพีของไทย หากไม่ทำอะไรเพิ่มเติมจะขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพประมาณร้อยละ 3 ดังนั้น จึงต้องเร่งปรับโครงสร้างภาคการผลิต ขยายฐานการส่งออก

สภาพัฒน์ เปิดเผยว่า ตัวเลขจีดีพี ไตรมาส 3 ปี 66 ขยายตัวร้อยละ 1.5 ขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาส 2 เนื่องจากปัจจัยภายในประเทศเป็นหลัก เพราะการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 8.1 การลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ 1.5 เพราะการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวถึงร้อยละ 3.1  ขณะที่การลงทุนภาครัฐเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้า จึงหดตัวร้อยละ -2.6 จากปัจจัยจากต่างประเทศ จากการส่งออกหดตัวต่อกัน 4 ไตรมาส จากไตรมาส 4 ปีก่อน จากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ทำให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมในประเทศชะลอตัว การบริโภครัฐบาลน้อยหดตัวร้อยละ -4.9 ทำให้ช่วง 9 เดือนแรก จีดีพีขยายตัวเพียงร้อยละ 1.9 นับว่าเศรษฐกิจไทยยังมีแรงส่งฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง

Advertisement

ธอส. จัดทำโครงการบ้าน ธอส. สุขสบาย ปี 2566 ลดดอก ช่วยคนไทยมีบ้านง่ายขึ้น

People Unity News : 14 พฤศจิกายน 2566 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ขานรับนโยบายรัฐบาล เตรียมกรอบวงเงินรวม 10,000 ล้านบาท จัดทำโครงการบ้าน ธอส. สุขสบาย ปี 2566 สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ เพื่อช่วยเหลือลูกค้าสินเชื่อบ้านให้มีภาระค่าใช้จ่ายในการผ่อนชำระเงินงวดลดลง สำหรับลูกค้า 2 กลุ่ม ประกอบด้วย 1. ลูกค้าปัจจุบันของ ธอส. ที่มีความประสงค์เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ โดยธนาคารไม่พิจารณาประวัติการผ่อนชำระหนี้ หรือสถานะในการทำข้อตกลงประนอมหนี้ อัตราดอกเบี้ย 2 ปีแรก เท่ากับ MRR-2.00% ต่อปี (4.90% ต่อปี) และ 2. ลูกค้าใหม่ (รีไฟแนนซ์จากสถาบันการเงินอื่นมายัง ธอส.) อัตราดอกเบี้ย ปีที่ 1 เท่ากับ 3.75% ต่อปี เฉลี่ย 3 ปีแรกเพียง 4% ผู้ที่สนใจสามารถยื่นกู้/ยื่นคำร้อง ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ณ สาขาธนาคารทั่วประเทศ

นายกฤษณ์ เสสะเวช กรรมการธนาคาร และรักษาการกรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ตลอด 70 ปีที่ผ่านมา ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐ ที่มีพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” ได้สนับสนุนให้คนไทยได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองมาแล้วมากกว่า 4.4 ล้านครอบครัว และมีบทบาทในการขับเคลื่อนภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่มีผลต่อการเติบโตของภาวะเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันยังดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล ในการช่วยลดค่าครองชีพของลูกค้าประชาชนในการผ่อนชำระเงินงวดในระดับที่เหมาะสม โดยจัดทำสินเชื่อที่อยู่อาศัยอัตราดอกเบี้ยต่ำมาอย่างต่อเนื่อง และเพื่อสานต่อการช่วยเหลือลูกค้าประชาชน ธอส.จึงได้จัดสรรกรอบวงเงินรวม 10,000 ล้านบาท จัดทำ “โครงการบ้าน ธอส. สุขสบาย ปี 2566” สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ เพื่อช่วยคนไทยให้ได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้ง่ายขึ้น ตามนโยบาย นายพชร อนันตศิลป์ ประธานกรรมการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ โดยโครงการดังกล่าวจัดทำสำหรับลูกค้า 2 กลุ่ม ประกอบด้วย

1.สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำสำหรับลูกค้าปัจจุบันของ ธอส. ที่มีความประสงค์เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ กรอบวงเงิน 5,000 ล้านบาท โดยในวันยื่นคำขอเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ต้องไม่มีหนี้ค้างชำระและผ่อนชำระหนี้เงินกู้กับธนาคารมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี นับจากวันทำสัญญาครั้งแรก คิดอัตราดอกเบี้ย ปีที่ 1-2 เท่ากับ MRR-2.00% ต่อปี (4.90% ต่อปี) ปีที่ 3 เท่ากับ MRR-1.00% ต่อปี (5.90% ต่อปี) และปีที่ 4 เป็นต้นไป กรณีลูกค้าสวัสดิการ อัตราดอกเบี้ย MRR-1.00% ต่อปี ลูกค้ารายย่อย อัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี และซื้ออุปกรณ์/ชำระหนี้ เท่ากับ MRR

2.สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำสำหรับลูกค้ากู้ใหม่ ที่ต้องการรีไฟแนนซ์บ้าน หรือห้องชุด(คอนโดมิเนียม) จากสถาบันการเงินอื่น กรอบวงเงิน 5,000 ล้านบาท วงเงินกู้สูงสุดไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อหลักประกัน คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ตลอดระยะเวลา 3 ปี ปีที่ 1 เท่ากับ 3.75% ต่อปี ปีที่ 2 เท่ากับ 4.00% ต่อปี ปีที่ 3 เท่ากับ 4.25% ต่อปี ปีที่ 4-5 เท่ากับ MRR-2.00% ต่อปี (4.90% ต่อปี) ปีที่ 6-7 เท่ากับ MRR-1.50% ต่อปี (5.40% ต่อปี) และปีที่ 8 เป็นต้นไป กรณีลูกค้าสวัสดิการ อัตราดอกเบี้ย MRR-1.50% ต่อปี ลูกค้ารายย่อย อัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี และกรณีกู้ชำระหนี้ = MRR (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ธอส. เท่ากับ 6.90% ต่อปี) กรณีกู้ 1 ล้านบาท ผ่อนชำระเริ่มต้นเพียง 4,400 บาท/เดือนเท่านั้น พิเศษ!! ยกเว้นค่าประเมินราคาหลักประกัน และค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการจำนอง

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถยื่นกู้/ยื่นคำร้อง ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป และทำนิติกรรมภายในวันที่ 28 มิถุนายน 2567 ณ สาขาธนาคารทั่วประเทศ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส.ทุกสาขาทั่วประเทศ G H Bank  Call Center โทร.0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และติดตามข่าวสารของธนาคารได้ที่ Mobile Application : GHB  ALLGEN และ  www.ghbank.co.th

Advertisement

Verified by ExactMetrics