วันที่ 18 เมษายน 2024

ผบ.ตร. รับนโยบายนายกฯ ลุยเข้มยกระดับการปฏิบัติระดมกวาดล้างอาวุธปืน

People Unity News : 5 ตุลาคม 2566 สตช. – ผบ.ตร.ขานรับนโยบายนายกรัฐมนตรี ยกระดับการปฏิบัติ สั่งเข้มทุกหน่วยระดมกวาดล้างอาวุธปืนเด็ดขาดและต่อเนื่อง จับมือมหาดไทย ศุลกากร บูรณาการแก้ไขปัญหาการถือครองอาวุธปืน การนำเข้า Blank Gun และเสนอปรับแก้กฎหมายให้รัดกุม พร้อมย้ำลุยต่อยอดฝึกอบรม ประชาสัมพันธ์ ป้องกันเหตุ ตามกลยุทธ์ หนี-ซ่อน-สู้ ฝากขอความร่วมมือผู้ปกครองสอดส่องพฤติกรรมบุตรหลาน

พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษก ตร. เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. กำหนดมาตรการในการป้องกันเหตุกราดยิง หลังเกิดเหตุคนร้ายกราดยิงที่ห้างพารากอน ผบ.ตร.ได้ขานรับนโยบายจากนายกรัฐมนตรี และสั่งการทันที กำชับทุกหน่วยที่เกี่ยวข้อง ในมาตรการป้องกันการก่อเหตุในทุกพื้นที่ โดยให้ดำเนินการ ดังนี้

1.ให้ทุกหน่วยระดมกวาดล้างความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน สิ่งเทียมอาวุธปืน อาวุธสงคราม และเครื่องกระสุนอย่างจริงจัง เด็ดขาด และต่อเนื่อง โดยให้รายงานผลการปฏิบัติทุกๆ 15 วัน ในกรณีที่มีการจับกุมให้สืบสวนขยายผล ดำเนินการผู้เกี่ยวข้อง

2.ประสานความร่วมมือ บูรณาการกับกระทรวงมหาดไทย กรมศุลกากร และหน่วยที่เกี่ยวข้อง ในการตรวจสอบและควบคุมการนำเข้า จำหน่าย รวมทั้งการออกใบอนุญาตอาวุธปืน ที่ยังพบว่ามีสถิติการถือครองอาวุธปืนและใบอนุญาตโดยง่าย โดยเฉพาะประเด็นแบลงค์กัน (Blank Gun) ซึ่งสามารถนำเข้าได้ พบสถิตินำเข้ากว่าหมื่นกระบอก จะได้ร่วมกับกรมศุลกากรชะลอ หรืองดการนำเข้า เพื่อไม่ให้คนร้าย หรือกลุ่มมิจฉาชีพนำมาดัดแปลงเป็นอาวุธปืนผิดกฎหมาย นอกจากนี้ หากพบว่ากฎหมาย ระเบียบ คำสั่ง เกี่ยวกับอาวุธปืน ที่ยังล้าสมัย ไม่ทันต่อสถานการณ์ ให้ร่วมกันพิจารณาปรับปรุง แก้ไข เพื่อควบคุมการใช้อาวุธปืนในการกระทำผิดทุกรูปแบบ ให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน

3.ให้ฝ่ายสืบสวนทุกหน่วยทั่วประเทศ จัดทำและตรวจสอบข้อมูลการจำหน่ายอาวุธปืนในพื้นที่ และให้ บช.สอท. เป็นหน่วยรับผิดชอบในการตัดวงจรการจำหน่ายและการสืบสวนขยายผล การนำซื้อขายอาวุธออนไลน์ การนำแบลงค์กัน (Blank Gun) ไปดัดแปลงเป็นอาวุธ โดยเฉพาะช่องทางออนไลน์ เพื่อตัดองค์ประกอบในการกระทำความผิด

4.จัดชุดวิทยากรฯ ต่อยอดการฝึกอบรมการสร้างความตระหนักรู้ ความเข้าใจ ฝึกปฏิบัติในการรับมือกับสถานการณ์ฯ ในพื้นที่โรงเรียน ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาลและพื้นที่ต่างๆ (Soft Target)

5.ขอความร่วมมือผู้ปกครองช่วยสอดส่องดูแลพฤติกรรมเด็ก เยาวชน บุตรหลาน เกี่ยวกับการใช้อาวุธปืนหรือความรุนแรงต่าง ๆ เพื่อไม่ให้เกิดพฤติกรรมลอกเลียนแบบ หรือเหตุความรุนแรงต่าง ๆ ในสังคม

โฆษก ตร.กล่าวอีกว่า ผบ.ตร. ได้ขอแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว มีความห่วงใยต่อสถานการณ์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะอยู่นี้อยู่ระหว่างดำเนินการตามข้อห่วงใยของนายกรัฐมนตรี ทุกประเด็น ทุกมิติ ทั้งนี้ ตร. ขอความร่วมมือในการงดแชร์ งดเผยแพร่ภาพ คลิป หรือข้อมูล ในกรณีดังกล่าว เพื่อป้องกันพฤติกรรมลอกเลียนแบบ อีกทั้งกระทบต่อจิตใจครอบครัวผู้สูญเสีย และสังคมวงกว้าง พร้อมประชาสัมพันธ์คลิปการรับมือเหตุกราดยิง หนี-ซ่อน-สู้ 3 กลยุทธ์สากล การเอาชีวิตรอดจากกรณีมือปืนกราดยิง ที่ได้จัดทำขึ้น เพื่อให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจ มีพื้นฐานแนวทางในการเอาชีวิตรอดจากเหตุการณ์ สามารถลดจำนวนทั้งผู้ที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ

Advertisement

จิตแพทย์เผยเด็ก 14 ยิงพารากอนไม่มีพฤติกรรมรุนแรงในโรงเรียน

People Unity News : 5 ตุลาคม 2566 ทีม MCATT กรมสุขภาพจิต เผยหลังลงพื้นที่โรงเรียนของผู้ก่อเหตุในพารากอน เด็กผู้ก่อเหตุไม่มีพฤติกรรมก้าวร้าวกับครูและเพื่อนนักเรียน ชี้ซึมซับพฤติกรรมความรุนแรงจากหลายปัจจัย

พญ.วิมลรัตน์ วันเพ็ญ ผอ.สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กรมสุขภาพจิต กล่าวหลังจากส่งทีม MCATT ลงพื้นที่โรงเรียนของผู้ก่อเหตุ ว่า จากการพูดคุยกับครูและนักเรียนของโรงเรียนดังกล่าว ทุกคนต่างทราบถึงอาการป่วยของนักเรียนที่ก่อเหตุมาตลอด และเมื่ออยู่ภายในโรงเรียน เด็กผู้ก่อเหตุก็ไม่มีพฤติกรรมก้าวร้าว เหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นหลังจากโรงเรียนปิดเทอมไปแล้ว 1 สัปดาห์ จึงไม่สามารถบอกได้ว่าสาเหตุเกิดจากอะไร เพราะจากการพูดคุยกับเพื่อนนักเรียนร่วมชั้น ต่างก็ไม่เชื่อว่าจะมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น

ส่วนข้อสงสัยเรื่องการซึมซับพฤติกรรมความรุนแรงของเด็ก มีปัจจัยใดเป็นสาเหตุหลัก พญ.วิมลรัตน์ กล่าวว่า การซึมซับพฤติกรรมความรุนแรง ไม่ได้มีแค่ปัจจัยเดียว ต้องมีหลายส่วนเข้ามาเกี่ยวข้อง และต้องสะสมเป็นเวลานาน โดยปัจจัยก่อพฤติกรรมของคนเรา มีทั้งจากโรงเรียน สื่อที่รับ และครอบครัว เด็กอยู่ใกล้สิ่งไหน ใช้เวลาอยู่กับสิ่งใดมากกว่า ก็จะซึมซับกับสิ่งนั้น ฉะนั้น ทุกฝ่ายต้องทำหน้าที่ของตนให้ดี

Advertisement

องค์การเภสัชกรรมเร่งผลิตยาโอเซลทามิเวียร์ รักษาไข้หวัดใหญ่เพิ่ม

People Unity News : 30 กันยายน 2566 องค์การเภสัชกรรมเร่งผลิตยาโอเซลทามิเวียร์รักษาไข้หวัดใหญ่สำรองเพิ่มเติม 26 ล้านเม็ด รองรับการระบาดไข้หวัดใหญ่และทำหนังสือถึง อย. นำยาฟาวิพิราเวียร์ เข้าบัญชียาหลักแห่งชาติใช้ในไข้หวัดใหญ่

องค์การเภสัชกรรมได้เร่งผลิตยาโอเซลทามิเวียร์ สำหรับเด็กและผู้ใหญ่ จำนวนรวม 26 ล้านเม็ด เพื่อรองรับการระบาดไข้หวัดใหญ่ที่ยังระบาดต่อเนื่อง เป็นวงกว้าง โดยเริ่มส่งมอบได้ตั้งแต่ วันที่ 4 ตุลาคม นี้ และล่าสุดทำหนังสือถึง อย. พิจารณานำยาฟาวิพิราเวียร์เข้าบัญชียาหลักแห่งชาติข้อบ่งใช้ในไข้หวัดใหญ่ พร้อมส่งโรงพยาบาลทันที จำนวน 1.6 ล้านเม็ด

พญ.มิ่งขวัญ สุพรรณพงศ์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม เปิดเผยว่า จากสถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่ที่ระบาดอย่างต่อเนื่อง ขยายเป็นวงกว้าง จนส่งผลให้มีผู้ป่วยเพิ่มจำนวนมากขึ้น องค์การเภสัชกรรมจึงได้เร่งจัดส่งยาโอเซลทามิเวียร์ ให้กับโรงพยาบาลที่มีการสั่งยาเข้ามาจนหมดแล้วตั้งแต่กลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา แต่เนื่องจากมีความต้องการยาเพิ่มสูงมาขึ้น 4–5 เท่า จึงได้มีการเร่งผลิต สำรองยาที่จะต้องผลิตเพิ่มขึ้นทั้ง 3 ขนาด ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ โดยเด็กเล็กขนาด 30 มิลลิกรัม เด็กโตขนาด 45 มิลลิกรัม ผู้ใหญ่ 75 มิลลิกรัม โดยขณะนี้มีวัตถุดิบประมาณ 2,800 กิโลกรัม ซึ่งสามารถผลิตเป็นยาโอเซลทามิเวียร์ ได้ประมาณ 26 ล้านเม็ด โดยยาโอเซลทามิเวียร์สำหรับเด็กเล็ก 30 มิลลิกรัม องค์การฯ จะจัดส่งได้หมดในวันที่ 4 ตุลาคมนี้ ขนาด 45 มิลลิกรัมจะส่งได้ไม่เกินวันที่ 9 ตุลาคมนี้ และขนาด 75 มิลลิกรัมสำหรับผู้ใหญ่จะทยอยจัดส่งได้ไม่เกินเดือนตุลาคม 2566

นอกจากนี้ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม กล่าวต่อไปว่า องค์การฯยังได้มีการสำรองยาฟาวิพิราเวียร์ จำนวน 1.6 ล้านเม็ด และมีวัตถุดิบที่สามารถผลิตยาได้อีก จำนวน 880,000 เม็ด และล่าสุดองค์การฯ ได้จัดทำหนังสือถึง อย. ไปยังคณะอนุกรรมการฯ บัญชียาหลักแห่งชาติ เพื่อพิจารณาขอให้นำยาฟาวิพิราเวียร์เข้าบัญชียาหลักแห่งชาติในข้อบ่งใช้การติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่อีกด้วย

“ขอให้ประชาชนมั่นใจได้ว่า องค์การฯสามารถจัดเตรียมยาที่มีประสิทธิภาพในการรักษา และสำรองวัตถุดิบไว้รองรับอย่างเพียงพอและทั่วถึง หากมีความจำเป็นต้องการใช้อย่างเร่งด่วนก็สามารถเร่งการผลิตเพิ่มเติมให้รวดเร็วทันการมากที่สุดได้ในทันที” ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม กล่าว

Advertisement

กรมการจัดหางานรุกกวาดล้างต่างชาติแย่งงานคนไทย

24 ครม เห็นชอบ

People Unity News : 27 กันยายน 2566 กรมการจัดหางาน รุกหนักกวาดล้างต่างชาติแย่งงานคนไทย ตรวจสอบทั่วประเทศแล้วกว่า 5 แสนคน มีการดำเนินคดีกว่า 3 พันคน

นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า จากกรณีสื่อมวลชนเผยแพร่ความทุกข์ใจของแม่ค้าชาวไทย ที่พบคนต่างชาติเปิดแผงค้าขายในตลาด เข็นรถขายน้ำผลไม้ ขับขี่จักรยานยนต์พ่วงข้างขายอาหาร หรือเข้ามาค้าขายเปิดกิจการย่านการค้าสำคัญในประเทศไทยเป็นจำนวนมากจนคล้ายแย่งอาชีพคนไทยนั้น กรมการจัดหางานขอยืนยันว่าตลอดปีที่ผ่านมากรมฯ ไม่เคยนิ่งนอนใจ สั่งการเจ้าหน้าที่จากกองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน และเจ้าหน้าที่จากสำนักงานจัดหางานจังหวัดทั่วประเทศลงพื้นที่กวาดล้างแรงงานต่างชาติที่แย่งอาชีพคนไทย และแรงงานต่างชาติที่ทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานอย่างต่อเนื่อง ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจในพื้นที่ และกรมการปกครอง โดยมีทั้งการสุ่มตรวจในพื้นที่ย่านการค้าแหล่งเศรษฐกิจสำคัญ อาทิ ย่านเยาวราช ห้วยขวาง แยกราชประสงค์ ตลาดหทัยมิตร ถนนจันทร์ และจังหวัดที่พบคนต่างชาติเป็นจำนวนมาก อาทิ นนทบุรี เชียงใหม่ ชลบุรี นครปฐม และระนอง รวมทั้งในพื้นที่ที่มีการแจ้งเบาะแสร้องทุกข์โดยประชาชน หรือสื่อมวลชน ทำให้ปีงบประมาณ 2566 (1 ต.ค.65-25 ก.ย.666) มีการเข้าตรวจสอบสถานประกอบการทั่วประเทศที่จ้างแรงงานต่างชาติแล้ว จำนวน 53,732 แห่ง ดำเนินคดี 1,587 แห่ง และตรวจสอบคนต่างชาติแล้ว จำนวน 528,683 คน มีการดำเนินคดีทั้งสิ้น 3,464 คน แยกเป็นสัญชาติเมียนมา 1,850 คน กัมพูชา 636 คน ลาว 562 คน เวียดนาม 145 คน และสัญชาติอื่น ๆ 271 คน ซึ่งพบเป็นความผิดแย่งอาชีพคนไทย ทั้งสิ้น 1,634 คน

จังหวัดที่พบนายจ้าง สถานประกอบการและแรงงานต่างชาติกระทำผิดมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.กรุงเทพมหานคร 2.สมุทรสาคร 3.นครปฐม 4. ชลบุรี และ 5.นนทบุรี และอาชีพที่พบคนต่างชาติแย่งอาชีพคนไทยมากที่สุด ได้แก่ งานเร่ขายสินค้า งานตัดผม งานขับขี่ยานพาหนะ งานนวด และมัคคุเทศก์ ตามลำดับ

นายไพโรจน์ กล่าวต่อว่า กรมการจัดหางานให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติ โดยผลักดันให้เกิดการจ้างงานที่ถูกต้องตามกฎหมายและเพียงพอต่อการขับเคลื่อนกิจการของนายจ้างในประเทศไทย พร้อมกับควบคุมให้มีจำนวนแรงงานต่างชาติเท่าที่จำเป็น และอนุญาตให้ทำเฉพาะงานที่คนไทยไม่ทำ เพื่อมิให้กระทบต่อโอกาสในการมีงานทำหรือรายได้ของคนไทย โดยแรงงานต่างชาติต้องมีเอกสารประจำตัวบุคคลและใบอนุญาตทำงานถูกต้อง รวมทั้งต้องทำงานตามสิทธิ ที่ระบุไว้ในประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง กำหนดงานที่ห้ามคนต่างด้าวทำ (มีทั้งสิ้น 40 งาน) ซึ่งหากคนต่างด้าวฝ่าฝืนทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือทำงานนอกเหนือสิทธิ จะมีโทษปรับตั้งแต่ 5,000-50,000 บาท และถูกส่งกลับประเทศต้นทาง รวมถึงห้ามขอใบอนุญาตทำงานเป็นเวลา 2 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้รับโทษ และนายจ้าง/สถานประกอบการ ที่รับคนต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาตทำงานเข้าทำงาน หรือให้คนต่างด้าวทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิ มีโทษปรับตั้งแต่ 10,000-100,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หากกระทำผิดซ้ำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000- 200,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน และห้ามจ้างคนต่างด้าวทำงานเป็นเวลา 3 ปี

“การลงพื้นที่ตรวจสอบดำเนินคดีอย่างเข้มงวด ควบคู่กับการประชาสัมพันธ์แนวทางขออนุญาตทำงานตามกฎหมายประเทศไทย ส่งผลให้จำนวนนายจ้าง/สถานประกอบการ และแรงงานต่างชาติที่กระทำผิดลดลง เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการแรงงานภายในประเทศ เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ ความมั่นคง และความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน สอดรับนโยบายสร้างรากฐานเศรษฐกิจ พัฒนาคุณภาพชีวิต ด้วยการคุ้มครองแรงงานของนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน

Advertisement

ก.ดีอีเอส ลั่น ลุยปิดเว็บพนันออนไลน์

People Unity News : 26 กันยายน 2566 ทำเนียบ – รมว.ดีอีเอส ย้ำ เดินหน้าปิดเว็บพนันออนไลน์ เตรียมประสาน ธนาคาร-ตำรวจ-ศาล คุยแก้ปัญหาบัญชีม้า

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวถึงกรณีพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ถูกค้นบ้านพัก และมีการขยายผลลูกน้องเกี่ยวข้องกับเครือข่ายพนันออนไลน์ว่า ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมากระทรวงดีอีเอส ได้ปิดเว็บไซต์เกี่ยวกับพนันออนไลน์ ไปแล้ว กว่า 4,400 เว็บไซต์ ตำรวจดำเนินคดีไปแล้ว 6,000 กว่าคดี  ส่วนเรื่องของการใช้บัญชีม้า จะต้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบไปถึงเส้นทางการเงินของผู้กระทำความผิดเพื่อให้รู้ที่มาที่ไปของเงิน

ส่วนที่นายกรัฐมนตรีมีแนวคิดดึงภาคเอกชนเข้ามาเป็นคณะกรรมการร่วม ในการปราบเรื่องพนันออนไลน์นั้น นายประเสริฐ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่สามารถช่วยได้ และตนขอเตือนทั้งเจ้าของเว็บ และผู้เล่น ว่าการกระทำดังกล่าวถือว่ามีความผิด มีโทษทั้งจำทั้งปรับ ผู้เล่นอาจจะถูกแฮกค์ข้อมูลส่วนตัว และอาจถูกติดตั้งแอบพลิเคชั่น

ทั้งนี้จะดำเนินการอย่างไรกับบัญชีม้าที่เป็นต้นเหตุให้สามารถเปิดพนันออนไลน์ได้โดยไม่สามารถสาวถึงตัวเจ้าของนั้น นายประเสริฐ กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องพูดคุยกับธนาคาร ตำรวจ และศาล เพื่อระงับยับยั้งบัญชี  ซึ่งตนมองว่าเป็นเรื่องจำเป็น ขยายผลไปทั้งคนเปิด คนรวบรวม และปลายทาง

Advertisement

กทม.เตรียมจัดเก็บค่าบำบัดน้ำเสียปีหน้า

People Unity News : 25 กันยายน 2566 กทม.เตรียมจัดเก็บค่าบำบัดนำเสียปีหน้า หลังรอกฎหมายลูกนานกว่า 20 ปี แก้ปัญหาใช้เงินภาษีส่วนรวมจ่ายค่าบำบัดปีละ 800 ล้านบาท ชี้ประชาชนผู้ใช้น้ำรายย่อยไม่ต้องกังวล นำร่องสถานประกอบการที่ใช้น้ำมากก่อน

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวภายหลังพิธีลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการสนับสนุนการปฏิบัติงานเพื่อการจัดเก็บค่าธรรมเนียมบำบัดน้ำเสียระหว่างกรุงเทพมหานคร กับการประปานครหลวง โดยมีนายมานิต ปานเอม ผู้ว่าการการประปานครหลวง (กปน.) ร่วมลงนาม ในวันนี้ (25 ก.ย.) ณ ห้องรัตนโกสินทร์ กทม.

ผู้ว่าฯ กทม. กล่าวว่า การเก็บค่าธรรมเนียมบำบัดน้ำเสียครั้งนี้ไม่ได้รบกวนประชาชน แต่เป็นการเก็บจากผู้ประกอบการที่มีขนาดใหญ่ โดยคิดคำนวณจากน้ำดีที่ใช้ประมาณ 80% ที่นำมาคำนวณ โดยได้รับการสนับสนุนข้อมูลน้ำมาจากการประปานครหลวง การนำมาตรวัดน้ำดีมาใช้เป็นไปตามหลักสากล ฝากถึงประชาชนไม่ต้องกังวล เพราะการจัดเก็บจากที่พักอาศัยของประชาชนยังไม่มีอยู่ในแผน เฉพาะผู้ประกอบการรายใหญ่ที่จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม ระยะแรกคาดว่าจะจัดเก็บได้ประมาณ 200 ล้านบาท ยังมีส่วนต่างอยู่บ้าง อย่างไรก็ตาม หัวใจคือ PPP หรือ Polluters Pay Principle ผู้สร้างมลภาวะต้องเป็นผู้จ่าย เพื่อให้เกิดความยุติธรรม ไม่ให้เกิดนำภาษีของประชาชนส่วนรวมมาจ่าย และเป็นกระตุ้นให้คนใช้น้ำน้อยลง

ด้าน ผู้ว่าการ กปน. กล่าวว่า การประปานครหลวงเห็นด้วยกับกรุงเทพมหานคร ตามหลักการที่ว่าผู้ที่ก่อไห้เกิดมลภาวะต้องมีส่วนร่วม ความร่วมมือในครั้งนี้การประปาพร้อมสนับสนุนข้อมูลให้กับกรุงเทพมหานครเพื่อให้นำไปใช้ให้เป็นประโยชน์กับการจัดเก็บค่าบำบัดน้ำเสีย ซึ่งอนาคตอาจจะมีความร่วมมือเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำเสียอื่น ๆ เพิ่มเติมอีก

นายวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าฯ กทม. กล่าวว่า การจัดเก็บค่าบำบัดน้ำเสียของกรุงเทพมหานครในครั้งนี้ คาดว่าจะเริ่มจัดเก็บได้ในต้นปีหน้า ขณะนี้อยู่ระหว่างการร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วน โดยการจัดเก็บแยกเป็น 2 กลุ่ม คือสถานประกอบการ (แหล่งกำเนิดน้ำเสียประเภทที่ 2) ที่ใช้น้ำจำนวนไม่เกิน 2,000 ลบ.ม. จะเก็บในอัตรา 4 บาท/ลบ.ม. แต่สถานประกอบการ โรงงานขนาดใหญ่ (แหล่งกำเนิดน้ำเสียประเภทที่ 3) ที่ใช้น้ำเกิน 2,000 ลบ.ม. จะเก็บในอัตรา 8 บาท/ลบ.ม. สำหรับวิธีการจัดเก็บ กทม.จะเป็นผู้ออกใบแจ้งหนี้เอง โดยในอนาคตจะหารือการประปาเพื่อให้การออกใบแจ้งหนี้เป็นใบเดียวกัน ในส่วนของสถานประกอบการหรือโรงแรมที่มีระบบบำบัดน้ำเสียที่มีคุณภาพได้มาตรฐานเองแล้วอาจจะไม่ต้องจ่ายค่าบำบัดนี้ และในส่วนของสถานประกอบการที่ตั้งอยู่นอกพื้นที่บริการของโรงบำบัดน้ำเสียของกรุงเทพมหานคร ทั้ง 8 แห่ง ก็ยังไม่จ่ายค่าบำบัดเช่นกัน

ทั้งนี้ กรุงเทพหมานครได้ออกข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง การจัดเก็บค่าธรรมเนียมบำบัดน้ำเสีย พ.ศ.2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 โดยที่ผ่านมาผู้แทนของกรุงเทพมหานครและการประปา ได้หารือร่วมกันอย่างต่อเนื่องเพื่อให้การดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างทั้ง 2 หน่วยงานเป็นไปตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562

แลกเปลี่ยนข้อมูลรหัสประจำบ้าน และข้อมูลการใช้น้ำรายเดือนสนับสนุนการทำงานระหว่างกัน สำหรับรายละเอียดความร่วมมือตามบันทึกข้อตกลง มีดังต่อไปนี้

กทม.สนับสนุนข้อมูลรหัสประจำบ้าน (House ID) แก่ กปน. เพื่อการให้บริการของ กปน. เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตาม พ.ร.บ. การประปานครหลวง พ.ศ. 2510 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

กปน. ตกลง ให้ความร่วมมือกับ กทม. ในการสนับสนุนข้อมูลการใช้น้ำรายเดือน ในพื้นที่บริการบำบัดน้ำเสียของกรุงเทพมหานคร ที่กรุงเทพมหานครประกาศจัดเก็บ เพื่อเป็นฐานข้อมูลใช้ประกอบในการจัดเก็บค่าธรรมเนียมบำบัดน้ำเสีย เช่น ข้อมูล ปีอ่านน้ำ เดือนอ่านน้ำ รหัสประจำบ้าน รหัสประเภทบุคคล ทะเบียนผู้ใช้น้ำ รหัสสถานะผู้ใช้น้ำ รหัสประเภทผู้ใช้น้ำ ชื่อผู้ใช้น้ำ สถานที่ใช้น้ำ ปริมาณการใช้น้ำ ประจำเดือน หรือข้อมูลอื่นตามที่ทั้งสองฝ่ายจะตกลงร่วมกัน

กทม. และ กปน. จะสนับสนุนในการปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน และตรวจสอบ ความถูกต้องของข้อมูลร่วมกัน เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงระบบข้อมูลระหว่างหน่วยงานได้

ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายตกลงเก็บรักษาข้อมูลทั้งหมดตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือนี้ให้เป็นความลับ

โดยพื้นที่บริการ จัดเก็บค่าธรรมเนียมบำบัดน้ำเสียในพื้นที่บริการบำบัดน้ำเสียของโรงควบคุมคุณภาพน้ำจำนวน 8 แห่ง ได้แก่ สี่พระยา รัตนโกสินทร์ ช่องนนทรี หนองแขม ทุ่งครุ ดินแดง จตุจักร และศูนย์การศึกษาและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม บางซื่อ กรุงเทพมหานคร ครอบคลุมพื้นที่ 22 เขตการปกครอง ได้แก่ เขตพระนคร ป้อมปราบศัตรูพ่าย สัมพันธวงศ์ บางรัก สาทร บางคอแหลม ยานนาวา ดินแดง ราชเทวี พญาไท ปทุมวัน บางซื่อ จตุจักร ห้วยขวาง หลักสี่ หนองแขม บางแค ภาษีเจริญ ดุสิต ทุ่งครุ จอมทอง ราษฎร์บูรณะ และหลักสี่

การคิดค่าบริการ คิดปริมาณน้ำเสียที่ร้อยละ 80 ของปริมาณการใช้น้ำประปาคูณด้วยอัตราค่าธรรมเนียมตามประเภทของแหล่งกำเนิดน้ำเสีย ซึ่งจะเริ่มเก็บในต้นปีหน้า แบ่งประเภทและอัตรา ดังนี้

แหล่งกำเนิดน้ำเสียประเภทที่ 2 อัตราไม่เกิน 4 บาท/ลูกบาศก์เมตร ได้แก่ (ก) หน่วยงานของรัฐหรืออาคารที่ทำการของเอกชนหรือองค์กร ระหว่างประเทศ (ข) มูลนิธิ ศาสนสถาน สถานสาธารณกุศล (ค) โรงพยาบาลหรือสถานพยาบาล (ง) โรงเรียนหรือสถานศึกษา (จ) สถานประกอบการ ที่มีการใช้น้ำเฉลี่ยย้อนหลังหนึ่งปีก่อนการจัดเก็บค่าธรรมเนียมบำบัดน้ำเสีย ไม่เกิน 2,000 ลูกบาศก์เมตรต่อเดือน

แหล่งกำเนิดน้ำเสียประเภทที่ 3 อัตราไม่เกิน 8 บาท/ลูกบาศก์เมตร ได้แก่ (ก) โรงแรม (ข) โรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน (ค) สถานประกอบการ ที่มีการใช้น้ำเฉลี่ยย้อนหลังหนึ่งปีก่อนการจัดเก็บค่าธรรมเนียมบำบัดน้ำเสีย เกินกว่า 2,000 ลูกบาศก์เมตรต่อเดือน

ชำระง่ายๆ ผ่าน 3 ช่องทาง

สถานที่รับชำระค่าธรรมเนียมบำบัดน้ำเสีย มี 3 ช่องทาง ประกอบด้วย

1.จุดบริการรับชำระเงินของกรุงเทพมหานคร (1) จุดบริการรับชำระเงิน ณ ฝ่ายการคลัง สำนักงานเลขานุการ สำนักการระบายน้ำศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ดินแดง (2) จุดบริการรับชำระเงิน ณ สำนักงานเขตทุกเขต

2.จุดบริการรับชำระเงินของธนาคารกรุงไทย ทุกสาขาทั่วประเทศ

3.ธนาคารที่ให้บริการชำระบิลข้ามธนาคาร (Cross-bank Bill Payment) ผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ได้แก่ บริการธนาคารบนอินเทอร์เน็ต (Internet Banking) บริการธนาคารบนโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Mobile Banking) และเครื่องรับจ่ายเงินอัตโนมัติโดยสามารถตรวจสอบรายชื่อผู้ให้บริการชำระบิลข้ามธนาคารได้จากเว็บไซต์ของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งค่าธรรมเนียมเป็นไปตามเงื่อนไขและข้อกำหนดของแต่ละธนาคารหรือผู้ให้บริการ

Advertisement

อธิบดีกรมสุขภาพจิต วิเคราะห์เหตุพ่อฆ่าลูก 5 ศพ จิตใจด้านชาต่อความรุนเเรง

People Unity News : 23 กันยายน 2566 อธิบดีกรมสุขภาพจิต วิเคราะห์เหตุพ่อฆ่าลูก 5 ศพ จิตใจด้านชาต่อความรุนเเรง เเนะสังคมร่วมใส่ใจกันเเละกัน

พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต เปิดเผยกับทีมข่าวกองบรรณาธิการข่าววิทยุสำนักข่าวไทย วิเคราะห์พฤติกรรม จากคดีพ่อแท้ๆ ฆ่าลูกตัวเองต่อเนื่อง 5 ศพ ซึ่งกำลังเป็นคดีสะเทือนใจ ว่า จากการวิเคราะห์สาเหตุจากนักจิตวิทยา จิตแพทย์ นักอาชญวิทยานั้น พฤติการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นความโหดร้ายอย่างมาก ในแง่ของผู้กระทำต่อคนในสายเลือดเดียวกัน สะท้อนสภาพจิตใจที่ด้านชาต่อความรุนแรง มีแนวโน้มใช้ความสุข ความต้องการตัวเองเป็นใหญ่ ไม่เห็นใจใครเลย และเกือบ 100% มักเคยเป็นเหยื่อ หรือคลุกคลีกับความรุนแรงตั้งแต่อายุยังน้อย และเรียนรู้การกลบความรุนแรง เพื่อปรับตัวให้อยู่ในสังคมได้ และปิดซ่อนเพื่อให้เหยื่อถูกทำร้ายไปเรื่อยๆ

อย่างไรก็ตาม แม้ข่าวนี้จะน่าสนใจ น่าติดตาม รับฟังข่าวด้วยความเป็นห่วง แต่ผลกระทบทางอ้อม จากการติดตามข่าวคือ เกิดความกดดันความรู้สึกอย่างมาก ช่วงแรกจะรู้สึกเจ็บปวดเมื่อรับรู้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทางอ้อม และน่าเป็นห่วงคือ ความชาชินต่อความรุนแรง หรือการชี้นำทิศทางให้เห็นความรุนแรง หากผู้ที่รับรู้ข่าวนี้มีภาวะจิตใจที่เอื้อต่อการก่อปัญหาได้

สำหรับการแก้ไขปัญหา ตั้งแต่ระดับเล็กที่สุด คือครอบครัว ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญ ต้องดูแลกันและกันโดยไม่ใช้ความรุนแรง รวมถึงการเป็นต้นแบบที่ดีในครอบครัว

นอกจากนี้ พฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงเกินกว่าปกติ อาจเกิดจากเด็กบางคนมีปัญหาสุขภาพกายเข้ามาเกี่ยวข้อง มีข้อมูลว่า บางคนมีปัญหาทางสมองบางเรื่อง อาจมีสมองบางจุดไม่พัฒนาเท่าที่ควร สติปัญญาบางด้านไม่สมบูรณ์

การเเก้ไขปัญหาระดับสังคม ต้องร่วมกันใส่ใจกันและกันอย่างถูกวิธี ไม่ปล่อยให้ผู้ใหญ่ใช้เด็กที่พิการ หรือน่าสงสาร น่าเห็นใจ กลายเป็นแหล่งเรียกร้องความช่วยเหลือแบบผิดๆ ซึ่งในคดีนี้ยังต้องรอการพิสูจน์จากตำรวจ แต่ที่ผ่านมาเคยเกิดกรณีแบบนี้ โดยการทำให้เด็กเกิดความพิการและนำไปขอทาน ดังนั้นสังคมต้องฉุกคิดว่ากำลังช่วยเหลือ หรือทำให้เด็กตกเป็นเหยื่อมากขึ้น และสังคมต้องช่วยกันสอดส่องเหยื่อที่กำลังถูกคุกคาม ว่ามีมากแค่ไหน ช่วยเหลืออย่างไร ยืนยันว่าทุกคนมีสิทธิในการช่วย และปกป้องเด็กตามกฎหมาย หากพบเห็นความรุนแรงสามารถแจ้งเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล อำเภอ ผู้ใหญ่บ้าน เพื่อเข้าช่วยเหลือได้ และสังคมต้องรีบปรับตัว อย่าเกรงกลัวต่อการต้องเผชิญกับเรื่องยุ่งยาก

Advertisement

เคาะแล้ว ระเบียบ คกก.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ

People Unity News : 21 กันยายน 2566 รมว.ยุติธรรม เคาะแล้ว ระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ ลั่นขอให้หน่วยงานถือปฏิบัติเป็นมาตรฐานเดียวกัน

วันที่ 21 ก.ย. 2566 พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ได้ลงนามประกาศใช้ระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายว่าด้วยการบันทึกภาพและเสียงในขณะจับและควบคุม การแจ้งการควบคุมตัว และการบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถูกควบคุมตัว พ.ศ. 2566 พร้อมทั้งแบบบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถูกควบคุมตัวตามมาตรา 23 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 (ปท.1) เพื่อเป็นแนวทางให้ทุกหน่วยงานยึดถือปฏิบัติตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ

โดยระเบียบฯ ดังกล่าว เป็นการกำหนดรายละเอียดแนวทางการปฏิบัติตามมาตรา 22 และมาตรา 23 เพื่อให้หน่วยงานปฏิบัติไปในทิศทางเดียวกัน อาทิ หลักในการบันทึกภาพและเสียงในขณะจับและควบคุม หน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้รับผิดชอบในการบันทึกภาพและเสียง การเก็บรักษา ระยะเวลาในการเก็บรักษา และการห้ามแก้ไขเปลี่ยนแปลงสิ่งบันทึกภาพและเสียง การแจ้งการควบคุมตัวแก่พนักงานอัยการและพนักงานฝ่ายปกครอง การจัดทำบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถูกควบคุมตัว (แบบ ปท.1) การตรวจสอบการแจ้งการควบคุมตัว เป็นต้น

ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ระเบียบฯ ฉบับนี้ จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้การปฏิบัติตามพระราชบัญญัติฯ ของเจ้าหน้าที่เกิดความชัดเจน ถูกต้อง และสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติฯ โดยจะนำมาซึ่งความยุติธรรม และสร้างความแข็งแกร่งให้กับหลักนิติธรรมต่อไป

Advertisement

เริ่มขายสลากดิจิทัล L6 ในแอปฯ เป๋าตัง งวดแรก 17 ก.ย.นี้

People Unity News : 16 กันยายน 2566 สำนักงานสลากฯ เพิ่มสลากดิจิทัล L6 ในแอปฯ เป๋าตัง งวดแรก 17 ก.ย.นี้ ยืนยันสลาก 80 บาท มีอยู่จริง

พันโท หนุน ศันสนาคม ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เปิดเผยว่า ขณะนี้สลากดิจิทัลในแอปฯ เป๋าตัง กว่า 20 ล้านใบ สามารถจำหน่ายได้หมดทุกงวด สะท้อนการแก้ปัญหาสลากฯ เกินราคา เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่า “สลาก 80 บาท มีอยู่จริง” และภายในปี 2566 สำนักงานสลากฯ เดินหน้าเพิ่มสลากดิจิทัล เพื่อให้ประชาชนผู้ซื้อเข้าถึงสลากฯ ราคา 80 บาท จึงเตรียมนำสลากดิจิทัล (L6) งวดวันที่ 1 ตุลาคม 2566 เริ่มขายในวันที่ 17 กันยายน 2566 เป็นงวดแรก ทำให้มีทั้งสลากใบ และสลากดิจิทัล รวม 101 ล้านฉบับ แบ่งเป็น สลากใบ 80 ล้านฉบับ และสลากดิจิทัล 21 ล้านฉบับ

ทั้งนี้ สลากใบจะมีลักษณะเหมือนกับสลากที่ขายอยู่ในปัจจุบันทุกประการ คือ มีการพิมพ์บนกระดาษป้องกันการปลอมแปลง มีลายน้ำ และเส้นไหมสอดแทรกอยู่ในเนื้อกระดาษ มีการพิมพ์สัญลักษณ์ป้องกันการปลอมแปลงต่างๆ รวมถึงพิมพ์ข้อความ L6 แบบใบ ลงบนสลากด้วย ในขณะที่สลากดิจิทัล ไม่ได้มีการพิมพ์ขึ้นมาเป็นใบ แต่เป็นข้อมูลอยู่ในระบบดิจิทัล มีการพิมพ์ข้อความ L6 แบบดิจิทัล บนสลาก และทำการซื้อขายผ่านแอปฯ เป๋าตัง

ส่วนการขึ้นเงินรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลหกหลัก (Lottery 6 : L6) แบบใบ สามารถขึ้นเงินรางวัลได้ที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล หรือที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารกรุงไทย และธนาคารออมสิน ทุกสาขา โดยนำสลากใบที่ถูกรางวัล พร้อมด้วยบัตรประจำตัวประชาชน เพื่อแสดงต่อเจ้าหน้าที่ ส่วนสลากกินแบ่งรัฐบาลหกหลัก (Lottery 6 : L6) แบบดิจิทัล ระบบจะตรวจสอบการถูกรางวัลให้อัตโนมัติ โดยผู้ซื้อสามารถเลือกรับเงินรางวัล โดยการโอนเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทย หรือเข้า G-Wallet ของผู้ซื้อได้ภายในไม่เกิน 2 ชั่วโมง

ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวว่า สำนักงานสลากฯ ตั้งเป้าหมายเพิ่มสลากดิจิทัล เพื่อให้ประชาชนผู้ซื้อในราคา 80 บาท เตรียมเพิ่มสลากดิจิทัล เป็น 30 ล้านใบ หรือเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 2 ล้านใบ/งวด ตามภาวะตลาดในแต่ละงวด และไม่กระทบสลากแบบใบในระบบที่มีอยู่ 80 ล้านใบ โดยจะทยอยเชิญรายย่อยที่ลงทะเบียนเป็นตัวแทนจำหน่ายสลากดิจิทัลมาทำสัญญา รวมทั้งยังเปิดให้ตัวแทนประเภทบุคคลรายย่อยทั่วไป คนพิการ สมาคม องค์กร มูลนิธิ และผู้มีสิทธิ์ทำรายการซื้อ-จองล่วงหน้าสลากกินแบ่งรัฐบาล แจ้งความประสงค์โดยสมัครใจเข้าร่วมเป็นตัวแทนจำหน่ายสลากดิจิทัล (Lottery 6 หรือ L6) ตั้งแต่วันที่ 28 สิงหาคม – 28 ตุลาคม 2566 ผ่านเว็บไซต์ www.glo.or.th อีกด้วย

Advertisement

“นพ.ชลน่าน” ประกาศ 12 นโยบายสุขภาพเริ่มทำทันที

People Unity News : 16 กันยายน 2566 “นพ.ชลน่าน” ประกาศ 12 นโยบายสุขภาพเริ่มทำทันที แต่เห็นผลเชิงประจักษ์ 100 วัน การรักษามะเร็งครบวงจร และบริการวัคซีนมะเร็งปากมดลูก

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข แถลงผลการหารือประชุมนัดพิเศษกับผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขขับเคลื่อน 12 นโยบาย อาทิ โรงพยาบาลกรุงเทพมหานคร 50 เขต 50 โรงพยาบาล, การดูแลสุขภาพจิตและบำบัดฟื้นฟูยาเสพติด, การรักษามะเร็งแบบครบวงจร, การสร้างขวัญและกำลังใจให้กับบุคลากร, สาธารณสุขชายแดนรวมถึงการพัฒนาโรงพยาบาลชุมชนแม่ข่ายและดิจิทัลสุขภาพ รวมถึงส่งเสริมการมีบุตร ซึ่งในส่วนของนโยบายที่เป็นควิกวินนั้น สามารถทำให้เห็นผลได้ภายใน 100 วัน คือมะเร็งครบวงจร และการให้วัคซีนมะเร็งปากมดลูก ซึ่งทั้งหมดนี้ยังคงจะครอบคลุม และเป็นส่วนหนึ่งในนโยบาย 30 บาทพลัส ส่วนพื้นที่ไหนที่จะระบุให้มีการนำร่องใช้บัตรประชาชนใบเดียวในการรักษาระบบหลักประกันสุขภาพนั้นยังคงอยู่ในระหว่างการหารือ

นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ส่วนเรื่องของการส่งเสริมการมีบุตรนั้นเนื่องจากตระหนักว่าขณะนี้อัตราวัยแรงงานลดลงและอัตราเกิดก็ลดลง เหลือ 500,000 คน ในปี 2565 ซึ่งหากจะให้มีอัตราแรงงานที่เหมาะสมและเกิดความสมดุลจะต้องมีอัตราเกิดต่อปีเพิ่มขึ้น ประมาณ 2.1% หรือมีอัตราเกิดประมาณ 1.5 ล้านคนต่อปี

Advertisement

Verified by ExactMetrics