วันที่ 28 มีนาคม 2024

กยศ. ขยายเวลามาตรการลดหย่อนหนี้สู้ภัยโควิด ถึง 30 มิ.ย. 65 เป็นของขวัญปีใหม่ผู้กู้ยืม

People Unity News : กยศ. ขยายเวลามาตรการลดหย่อนหนี้สู้ภัยโควิด ถึง 30 มิ.ย. 65 เป็นของขวัญปีใหม่ผู้กู้ยืม

1 มกราคม 2565 กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา หรือ กยศ. มอบของขวัญปีใหม่ 2565 ให้กับผู้กู้ยืมเงินกองทุน ด้วยการขยายเวลามาตรการลดหย่อนหนี้เพื่อช่วยเหลือและให้โอกาสผู้กู้ยืมเงินที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 64 เป็นสิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย. 65

  • ลดดอกเบี้ย 100% กรณีผู้กู้ยืมเงินทุกกลุ่มชำระหนี้ปิดบัญชี
  • ลดดอกเบี้ย 80% กรณีผู้กู้ยืมเงินกลุ่มก่อนฟ้องคดีที่มาชำระหนี้ให้มีสถานะปกติ
  • ลดออกเบี้ยปรับเหลือ 0.5% กรณีผู้กู้ยืมที่ยังไม่ถูกดำเนินคดีและไม่สามารถชำระหนี้ตามกำหนด
  • ลดเงินต้น 5% กรณีผู้ไม่เคยเป็นผู้ผิดนัดชำระและปิดบัญชีคราวเดียว
  • ลดดอกเบี้ยจาก 1% เหลือ 0.01% สำหรับผู้ที่อยู่ระหว่างการชำระและไม่ผิดนัด

ผู้กู้ยืมเงินสามารถดูรายละเอียดช่องทางการชำระหนี้เพื่อรับสิทธิตามมาตรการดังกล่าวได้ที่ www.studentloan.or.th หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ กยศ. Call Center โทร. 0 2016 4888

Advertising

“ประยุทธ์” แถลงเตรียมเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยว 1 พ.ย.นี้ ระบุเพื่อไม่ให้ไทยเสียโอกาส

People Unity News : นายกรัฐมนตรีแถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจฯ ยืนยัน “เปิดรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ โดยไม่ต้องกักตัว” สำหรับผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว และเดินทางทางอากาศจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ เริ่ม 1 พฤศจิกายนเป็นต้นไป

วันนี้ (11 ตุลาคม 2564) เวลา 20.30 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ยืนยัน “เปิดรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ โดยไม่ต้องกักตัว” ว่า หนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา ถือเป็นความท้าทายครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ไม่มีประเทศไหนในโลกที่ไม่ได้รับผลกระทบ ที่สร้างความหนักใจที่สุด 2 ทางเลือก คือ การตัดสินใจเลือกระหว่างปกป้องชีวิตคน กับปกป้องการทำมาหากิน เมื่อเลือกที่จะปกป้องชีวิตประชาชน ทำให้พบกับความลำบากในการทำมาหาเลี้ยงชีวิต หากเลือกที่จะปกป้องการทำมาหากินตามปกติของประชาชน ต้องเจอกับการสูญเสียชีวิต ที่อาจจะเป็นคนในครอบครัว เพื่อน เพื่อนบ้าน หรือแม้กระทั่งคนที่เป็นเสาหลักที่หาเลี้ยงครอบครัว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้ปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญทางด้านสาธารณสุขที่ยอดเยี่ยม ที่มีอยู่มากมาย ลงมือทำอย่างรวดเร็ว ด้วยการใช้มาตรการที่เข้มงวดต่างๆ ด้วยความร่วมมือกันของทุกภาคส่วนในสังคม วันนี้ ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลกในการปกป้องรักษาชีวิตของประชาชน ขณะเดียวกัน ความเสี่ยงในเรื่องการสูญเสียชีวิตที่จะเกิดจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในไทยก็กำลังค่อยๆลดลง  แต่ยังต้องระวัง รักษาความสามารถของระบบสาธารณสุข โรงพยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ เตรียมพร้อมยารักษาและวัคซีนป้องกันมากขึ้นเรื่อยๆ  เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอยู่เหมือนกับโรคภัยอื่นๆที่กลายเป็นโรคประจำถิ่น

ในช่วงหนึ่งถึงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ประเทศที่เป็นนักท่องเที่ยวสำคัญของประเทศไทย ต่างค่อยๆเริ่มอนุญาตให้ประชาชนของเขาเดินทางได้ โดยไม่มีเงื่อนไขที่ยุ่งยากมากมาย อย่างเช่น อังกฤษ ตอนนี้เพิ่งจะอนุญาตให้ประชาชนเดินทางมาประเทศไทยได้โดยไม่ยุ่งยาก หรืออย่าง สิงคโปร์ และออสเตรเลีย ก็เพิ่งเริ่มผ่อนคลายเงื่อนไขในการเดินทางไปต่างประเทศของประชาชน  ความคืบหน้าที่เกิดขึ้นแบบนี้ ยังต้องระมัดระวัง แต่ก็ต้องเดินหน้าให้ไว เพื่อไม่ให้เสียโอกาส ดึงนักท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลเดินทางท่องเที่ยววันหยุดสิ้นปี ใน 3 เดือนข้างหน้านี้ เพื่อสนับสนุนส่งเสริมการทำมาหากินของประชาชนนับล้านๆคนในภาคการท่องเที่ยว การเดินทาง และภาคธุรกิจพักผ่อนหย่อนใจ และบันเทิง รวมถึงภาคธุรกิจอื่น อีกมากมายที่เกี่ยวข้อง

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ได้สั่งการให้ ศบค. และกระทรวงสาธารณสุข ร่วมพิจารณา โดยตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นต้นไป ประเทศไทยจะเริ่มเปิดรับการเดินทางเข้าประเทศไทย โดยไม่ต้องกักตัว สำหรับผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว และเดินทางเข้าประเทศไทยโดยทางอากาศจากประเทศที่กำหนดว่า เป็นประเทศความเสี่ยงต่ำ เมื่อเดินทางเข้าประเทศไทย ทุกคนต้องแสดงตัวว่าปลอดเชื้อโควิด-19 โดยต้องมีหลักฐานผลการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR ซึ่งทำการตรวจก่อนเดินทางออกจากประเทศต้นทาง และจะมีการตรวจหาเชื้อโควิด-19 อีกครั้ง เมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทย หลังจากนั้น จึงสามารถเดินทางไปพื้นที่ต่างๆได้อย่างอิสระ เช่นเดียวกับที่คนไทยปกติทั่วไปสามารถทำได้

ทั้งนี้ ได้เริ่มต้นกำหนดรายชื่อประเทศความเสี่ยงต่ำ ที่จะสามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้ โดยไม่ต้องกักตัว ไว้ที่อย่างน้อย 10 ประเทศ ซึ่งจะรวมประเทศอย่างเช่น อังกฤษ สิงคโปร์ เยอรมนี จีน และอเมริกา โดยตั้งเป้าจะเพิ่มจำนวนประเทศให้มากขึ้นอีกภายในวันที่ 1 ธันวาคม และหลังจากนั้น ภายในวันที่ 1 มกราคม เราจะเพิ่มจำนวนประเทศให้มากขึ้นอย่างกว้างขวาง อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มาจากประเทศที่ไม่ได้อยู่ในรายชื่อประเทศความเสี่ยงต่ำ เรายังให้การต้อนรับเข้าประเทศไทย แต่จำเป็นต้องมีการกักตัว ตามเงื่อนไขและข้อกำหนด

ภายในวันที่ 1 ธันวาคม จะพิจารณาอนุญาตให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหารได้ และจะพิจารณาอนุญาตให้สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ และสถานบันเทิง เปิดให้บริการได้ ภายใต้มาตรการด้านสาธารณสุขที่เหมาะสม เพื่อสนับสนุนและกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว การพักผ่อนและบันเทิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่กำลังจะเข้าสู่เทศกาลเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสปีใหม่

เมื่อเริ่มต้นการผ่อนคลายต่างๆ จะทำให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นการชั่วคราว ซึ่งต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และประเมินดูว่าจะรับมือกับสถานการณ์นั้นอย่างไร โดยต้องไม่ปล่อยให้เสียโอกาสในช่วงเวลาทองของการทำมาหากินไปอีก เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน อย่างไรก็ตามใน 2-3 เดือน หรือ 4 เดือนข้างหน้า อาจมีสายพันธุ์ใหม่ที่อันตรายมากๆเกิดขึ้นอีก จึงต้องจัดมาตรการที่เหมาะสมและพอเหมาะพอดี คุมสถานการณ์เอาไว้ให้ได้

นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ได้ตั้งเป้าเปิดรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ โดยไม่ต้องกักตัว ให้ได้ภายใน 120 วัน พร้อมเร่งเครื่องการฉีดวัคซีนให้ประชาชน ชื่นชมความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของเจ้าหน้าที่และบุคลากรสาธารณสุขทุกท่าน เจ้าหน้าที่และผู้ปฏิบัติงานส่วนงานอื่นๆ รวมถึงพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน สำหรับความร่วมมือที่ตอบสนองต่อคำร้องขอเมื่อเดือนมิถุนายน

หลังจากที่ตั้งเป้า 120 วัน ได้มีความพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อจัดหาวัคซีนมาให้ได้เพิ่มมากขึ้น การรับส่งมอบวัคซีนของไทย เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง 3 เท่าทันทีจากที่เดือนพฤษภาคมได้รับส่งมอบวัคซีนถึง 12 ล้านโดสในเดือนกรกฎาคม และได้รับส่งมอบวัคซีนอีกถึงเกือบ 14 ล้านโดสในเดือนสิงหาคม และวันนี้ ได้รับส่งมอบวัคซีนเข้าประเทศไทยถึงมากกว่า 20 ล้านโดสต่อเดือน ไปจนถึงสิ้นปี รวมเป็นวัคซีนจำนวนมากกว่า 170 ล้านโดส เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้เป็นอย่างมาก

เจ้าหน้าที่และบุคลากรสาธารณสุข เร่งการฉีดวัคซีน ประชาชนก็ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ในการลงทะเบียนรับการฉีดวัคซีน ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น การฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า และไทยติดอันดับ 1 ใน 10 ประเทศที่ฉีดวัคซีนได้เร็วที่สุดในโลก ปัจจุบันเฉลี่ยฉีดวัคซีนได้มากกว่า 700,000 โดสต่อวัน และบางวันเกินกว่า 1 ล้านโดส

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทั้งโลกต้องเจอกับการแพร่ระบาดที่รุนแรงของสายพันธุ์เดลต้า ทำให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นสูงมาก เช่นเดียวกับในประเทศไทย หลายคนคงทำใจว่า ไม่น่าจะสามารถเปิดประเทศโดยไม่ต้องกักตัวได้ภายในปีนี้  ขณะที่หลายๆประเทศยังคงต่อสู้กับเดลต้าอยู่ แต่เรากำลังจะสามารถเริ่มเปิดให้เข้าประเทศไทยได้ โดยไม่ต้องกักตัว ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของการที่คนไทยร่วมมือกัน ทำงานด้วยความมุ่งมั่น และเป็นหนึ่งเดียว ทั้งบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข หน่วยงาน องค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน รวมถึงความร่วมมือกันของประชาชนคนไทยทุกคน จึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมอย่างยิ่ง ที่จะเริ่มเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวให้เข้าประเทศไทยได้ โดยไม่ต้องกักตัว

Advertising

รมต.แรงงาน แจง ค่าจ้างขั้นต่ำ 492 บาทยังไม่ได้ข้อสรุป ขึ้นเท่าไหร่อยู่ที่ไตรภาคี

People Unity News : รมต.แรงงาน แจง ค่าจ้างขั้นต่ำ 492 บาทยังไม่ได้ข้อสรุป ขึ้นเท่าไหร่อยู่ที่ไตรภาคี

17 มีนาคม 2565 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงกรณีที่สื่อโซเซียลได้เผยแพร่ข่าวประกาศ!!! เตรียมขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจาก 300 บาท เป็น 492 บาท (รอการอนุมัติตัวเลข) นั้นว่า ข่าวดังกล่าวบิดเบือนไม่เป็นความจริง เนื่องจากข้อเท็จจริงในการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำแต่ละครั้งนั้น มีคณะกรรมการค่าจ้าง ซึ่งเป็นผู้แทนองค์กรไตรภาคีทั้ง 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายรัฐบาล นายจ้าง และลูกจ้าง พิจารณาและปรึกษาหารืออย่างรอบคอบก่อนจะได้ข้อยุติร่วมกัน แม้ว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในปัจจุบันมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 จนถึงปัจจุบันแล้วในปี 2565 คณะกรรมการค่าจ้างได้กำหนดแผนการทบทวนความเหมาะสมของอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างขั้นตอนการให้คณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัดและคณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำกรุงเทพมหานคร ดำเนินการจัดประชุมเพื่อพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัดและกรุงเทพมหานครให้แล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม 2565 ซึ่งยังไม่ได้ข้อสรุปแต่อย่างใด จากนั้นคณะกรรมการค่าจ้างจะพิจารณาข้อมูลทั้งหมดให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2565

นายสุชาติ กล่าวต่อว่า โดยปกติข้อเท็จจริงในการขึ้นค่าจ้างนั้น มีระบบไตรภาคีเป็นผู้พิจารณา ถึงความเหมาะสมตามหลักเกณฑ์สากลของไอแอลโอ ซึ่งเป็นผู้กำหนด ดำเนินการด้วยหลักเกณฑ์ที่มีเหตุมีผลสามารถตอบสังคมได้ ปัจจุบันค่าแรงขั้นต่ำของไทยอยู่ในระดับต้นๆของอาเซียน รองจากสิงคโปร์ สูงกว่าเวียดนาม มาเลเซีย เมียนมา นักลงทุนหลายประเทศจึงเลือกที่จะย้ายฐานการผลิตเพื่อไปหาแหล่งค่าจ้างที่ถูกกว่า

“ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเคยให้สัมภาษณ์และตอบกระทู้สดในสภาไปแล้วว่า การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นเรื่องของภาวะเงินเฟ้อกี่เปอร์เซ็นต์ บวกกับค่าครองชีพแต่ละจังหวัดนั้นๆ ถ้าจะขึ้นทั้ง 40% 30% ผมเชื่อว่าไม่มีนักลงทุนเข้ามาลงทุนในประเทศไทย และค่าแรงคนงานของประเทศไทยส่วนมากพี่น้องคนไทยมีทักษะความสามารถได้ค่าแรงสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำอยู่แล้ว ค่าแรงขั้นต่ำที่เราใช้อยู่ในปัจจุบันส่วนมากกว่า 80% เป็นส่วนของคนต่างด้าว 3 สัญชาติที่เข้ามาทำงานเป็นกรรมกร ถ้าเราจะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจาก 300 กว่าเป็น 400 กว่าเกือบ 40% ผมเชื่อว่าไม่มีบริษัทไหนอยู่รอดในสถานการณ์เช่นนี้ เพราะบริษัทต่างๆ รักษาการจ้างงานมา 2 ปี ขาดทุนจ่ายเงินให้ค่าจ้างแรงงาน เพื่อรักษาการจ้างงาน เมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวจะตัดทิ้ง 40% มันเป็นไปไม่ได้ ไม่มีเหตุผล การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำมีการปรับแน่นอน แต่จะต้องพิจารณาตามภาวะเงินเฟ้อกับค่าครองชีพแต่ละจังหวัดด้วย ขอให้ทุกคนรอฟังข่าวจากกระทรวงแรงงานเท่านั้น ส่วนข่าวที่ปรากฏออกมาตามสื่อโซเซียลนั้นมาจากกลุ่มเรียกร้องค่าแรง ซึ่งเป็นข่าวบิดเบือนไม่เป็นความจริง ผมได้เรียกกลุ่มที่เรียกร้องค่าแรงมาหารือแล้วและได้อธิบายเหตุผลไปทั้งหมดแล้วว่า นายจ้างเคยจ่ายค่าจ้างเดือนละ 1,000,000 บาท ขาดทุนมา 2 ปี พอเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวกลับต้องมาจ่ายค่าจ้างเพิ่มขึ้นเป็น 1.3 – 1.4 ล้านบาท”

นายสุชาติ ยังกล่าวต่อว่า แม้ว่าขณะนี้ยังไม่ได้ขึ้นค่าจ้าง แต่รัฐบาลช่วยเหลือเยียวยาตั้งแต่โครงการ ม33เรารักกัน คนละ 6,000 บาท โครงการคนละครึ่ง เยียวยากรณีถูกหยุดงานจากมาตรการของรัฐเป็นเวลา 3 เดือน คนละ 5,000 บาท เป็นเงิน 15,000 บาท ลดเงินสมทบประกันสังคมค่างวด 3 เดือน 4 ครั้ง เยียวยาอาชีพอิสระ คนกลางคืน ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่รัฐบาลทำไปแล้วและผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานไม่เคยนิ่งนอนใจ รัฐบาลโดยท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และท่าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งท่านกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ได้เป็นห่วงและให้ความสำคัญมาตลอด จึงนำนโยบายช่วยเหลือเยียวยาทางอ้อมทุกเรื่องให้กับพี่น้องประชาชน ผู้ใช้แรงงานมาตั้งแต่ปี 2563 จนถึงปัจจุบัน ได้ช่วยเหลือเยียวยาทุกมาตรการทุกอย่าง เพื่อชดเชยการที่ไม่ได้ขึ้นค่าแรงให้สถานการณ์ปี 2563 และ 2564 ซึ่งช่วงนั้นโควิด-19 ระบาดอย่างหนัก วัคซีนไม่มี อย่าว่าแต่การขึ้นค่าแรงเลยโรงงานทุกโรงงานต้องแก้ปัญหาเรื่องระบาดเอาวัคซีนฉีดให้เกิดโครงการแฟคทอรี่แซนด์บ็อกซ์ เพื่อส่งออกใน 4 ประเภทกิจการ ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ อาหารแช่แข็ง และอุปกรณ์การแพทย์ ได้เติบโต ซึ่งพนักงานได้โบนัส 7-8 เท่า ทั้งหมดนี้คือ สิ่งต่างๆที่เราได้ทำเพื่อพี่น้องประชาชน พี่น้องผู้ใช้แรงงาน

Advertising

รัฐบาลขอประชาชนอย่าไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจหาเชื้อโควิด-19 เองหากไม่เข้าเกณฑ์เสี่ยง

People Unity News : รัฐบาลขอความร่วมมือประชาชน อย่าไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจหาเชื้อโควิด-19 เอง หากไม่เข้าเกณฑ์เสี่ยง ร่วมใจกันสงวนทรัพยากรเพื่อผู้ป่วยจำเป็น

ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ขอความร่วมมือพี่น้องประชาชน ที่มีสุขภาพแข็งแรง ไม่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง  ไม่มีอาการไข้  ไม่มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย  ไม่เดินทางมาจากต่างประเทศที่ประกาศเป็นพื้นที่ติดโรคหรือพื้นที่ที่มีการระบาดอย่างต่อเนื่อง  อย่าตัดสินใจไปโรงพยาบาลเองเพื่อตรวจหาเชื้อโควิด-19 เพราะขณะนี้ มีคนจำนวนมาก ไปตรวจหาเชื้อโควิด-19 ทั้งที่โรงพยาบาลรัฐและโรงพยาบาลเอกชนจำนวนมาก ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถให้บริการได้ และน้ำยาที่ใช้ในการตรวจเชื้อไม่เพียงพอ ซึ่งรัฐบาลกำลังเร่งจัดหาให้สถานพยาบาลเป็นการด่วน

ทั้งนี้ อยากให้พี่น้องประชาชนเข้าใจว่า หากคนปกติทั่วไป ไม่มีอาการไข้ ไม่ไปอยู่ร่วมหรือมีประวัติสัมผัสกับกลุ่มเสี่ยงหรือเดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยง ไม่มีความจำเป็นต้องตรวจหาเชื้อโควิด-19 เพราะเมื่อไม่มีอาการอะไร ไม่มีไข้  ไปตรวจ เมื่อรู้ผล แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัย เพราะต้องกักตนเองอีก 14 วัน  จึงอยากขอให้เก็บน้ำยาให้สำหรับคนหรือผู้ป่วยที่แพทย์ประเมินว่ามีโอกาสสูงในการมีเชื้อโควิดดีกว่า

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังยืนยันตามคำแนะนำของแพทย์และกระทรวงสาธารณสุขว่า  ประชาชนทั่วไปที่มีสุขภาพแข็งแรง สามารถใช้หน้ากากผ้าแทนได้  เพื่อที่จะได้เก็บสำรองหน้ากากอนามัยให้หมอ พยาบาลและเจ้าหน้าที่ที่ต้องทำงานในด่านหน้ากับผู้ป่วยจริงในโรงพยาบาลขณะนี้ได้มีไว้ใช้ มั่นใจคนไทยจะร่วมมือร่วมใจฝ่าวิกฤตนี้ไปด้วยกัน

โฆษณา

กระทรวงสาธารณสุข ยืนยัน ขณะนี้ยังไม่พบโควิดสายพันธุ์ “โอไมครอน” ในไทย

People Unity News : สธ. ยืนยัน ขณะนี้ยังไม่พบโควิดสายพันธุ์ “โอไมครอน” ในไทย

29 พ.ย.64 กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เผยถึงกรณีเชื้อโควิด-19 กลายพันธุ์ สายพันธุ์ใหม่ B.1.1.529 ที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ให้ชื่อว่า โอไมครอน (Omicron) พบเมื่อกลางเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา เป็นสายพันธุ์ที่น่าห่วงกังวล ขณะนี้ WHO ขอความร่วมมือทุกประเทศช่วยกันตรวจสายพันธุ์นี้ เพื่อทราบข้อมูลสถานการณ์การระบาดอย่างใกล้ชิด

ยืนยันว่า จากระบบการเฝ้าระวังสายพันธุ์ทางห้องปฏิบัติการฯ ยังไม่พบสายพันธุ์โอไมครอน (Omicron) ในประเทศไทย ส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์เดลตา ส่วนอัลฟาและเบตาพบบ้างเล็กน้อย

สำหรับการตรวจไวรัสสายพันธุ์นี้ด้วยวิธีมาตรฐาน RT-PCR หรือการคัดกรองด้วย ATK ยังตรวจได้เหมือนสายพันธุ์อื่น

ขณะเดียวกัน กระทรวงสาธารณสุขได้ประสานกับ รพ. ที่เป็นคู่สัญญาของ ASQ ว่าเมื่อตรวจพบเชื้อโควิด-19 จากตัวอย่างของผู้เดินทางเข้าประเทศ ให้ส่งตัวอย่างมาตรวจสายพันธุ์ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ทุกราย เพื่อตรวจสอบและเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

ส่วนข้อควรปฏิบัติของประชาชน ยังจำเป็นต้องป้องกันตนเองอย่างต่อเนื่อง เว้นระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ เมื่อมีอาการสงสัยให้รีบตรวจหาเชื้อ และที่สำคัญประชาชนที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ควรเข้ารับการฉีดวัคซีน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในเกิดขึ้นโดยเร็ว

Advertising

รัฐบาลพร้อมรับมือผู้ป่วยโควิดพุ่ง เปิด 2 แอปพลิเคชันพบหมอออนไลน์ จัดยาส่งถึงบ้านฟรี

People Unity News : 16 กรกฎาคม 2565 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในขณะนี้ พบว่ามีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยกลุ่มอาการสีเขียว คือมีอาการเล็กน้อย เช่น มีไข้ อุณหภูมิ 37.5 องศาขึ้นไป จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส เจ็บคอ ไอ มีน้ำมูก มีเสมหะ เป็นต้น ซึ่งอาการเหล่านี้ทางกระทรวงสาธารณสุขได้ออกแนวทางปฏิบัติให้รับการรักษาแบบผู้ป่วยนอกและแยกกักตัวที่บ้าน โดยผู้ที่ตรวจ ATK แล้วขึ้น 2 ขีด ไปรักษาที่แผนกผู้ป่วยนอกที่หน่วยบริการตามสิทธิรักษาของตน รับยาแล้วกลับมากักตัวที่บ้าน 7+3 วันต่อ กรณีเป็นกลุ่มเสี่ยง กลุ่ม 608 การรักษาขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์

ในส่วนของผู้ป่วยโควิด-19 สิทธิบัตรทอง (สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) ที่อยู่ในพื้นที่ กทม.-ปริมณฑล 5 จังหวัด นนทบุรี นครปฐม ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร นอกจากการรักษาตามแนวทางดังกล่าวแล้ว สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้เพิ่มการให้บริการการรักษาด้วยระบบการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) เป็นความร่วมมือกับ 2 บริษัทผู้ให้บริการแอปพลิเคชันด้านสุขภาพดิจิทัล ผ่าน แอป “Good Doctor Technology” และ แอป “MorDee (หมอดี)” กล่าวคือ เมื่อผู้ป่วยโควิด-19 (เฉพาะสิทธิบัตรทอง) ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันเพียงอันใดอันหนึ่ง จะได้พบแพทย์ออนไลน์ ซึ่งจะทำการประเมินอาการ และจัดส่งยาถึงบ้านตามความจำเป็นโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย บางรายอาจได้รับยาฟาวิพิราเวียร์ซึ่งขึ้นอยู่กับอาการ ทั้งนี้ ประชาชนสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน สปสช. 1330 หรือช่องทางระบบออนไลน์ทั้งไลน์ สปสช. ไลน์ไอดี @nhso

“แม้โรคโควิด19 จะถูกปรับเป็นโรคประจำถิ่นแล้ว แต่การดูแลผู้ป่วยยังคงเป็นไปตามสิทธิการรักษาเหมือนเดิม และภายใต้สถานการณ์ที่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น รัฐบาลได้วางระบบการให้บริการสาธารณสุขเพื่อให้ผู้ติดเชื้อเข้าถึงการรักษาได้อย่างทั่วถึงและทันท่วงที ป้องกันอาการที่อาจรุนแรงขึ้น การเพิ่มระบบการให้บริการแพทย์ทางไกลนี้ เป็นอีกช่องทางที่มีประสิทธิภาพ ลดการแพร่ระบาดของโรค  ทั้งยังเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระของบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลด้วย” นางสาวรัชดา กล่าว

Advertisement

รัฐบาลเตือน ดื่มคลายหนาว อันตรายถึงเสียชีวิต

People Unity News : 2 มกราคม 66 รัฐบาลห่วงใย เตือนอีกครั้ง ดื่มคลายหนาว อันตรายถึงเสียชีวิต แนะดูแลสุขภาพช่วงอากาศหนาวเย็น

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลมีความห่วงใยประชาชน ในการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงอากาศหนาวเย็น ตามความเชื่อที่ว่าการดื่มเหล้า เบียร์ ในช่วงอากาศหนาว จะช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นได้ ซึ่งสวนทางกับหลักวิชาการแพทย์ ที่พบว่าอันตรายจากการดื่มสุราช่วงฤดูหนาว มีตั้งแต่หมดสติ ภาวะหัวใจหยุดเต้น และเสียชีวิต เพราะเมื่อแอลกอฮอล์เข้าสู่ร่างกาย หลอดเลือดฝอยใต้ผิวหนังจะเกิดการขยายตัวเพื่อเป็นการระบายความร้อนในร่างกาย อุณหภูมิจึงลดต่ำลงมากกว่าปกติ ยิ่งถ้าหากเมาแล้วหลับ ไม่ได้สวมเสื้อผ้าที่อบอุ่น สัมผัสกับอากาศเย็นเป็นเวลานาน อาจทำให้มีโอกาสช็อกและเสียชีวิตสูง

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า กรมอุตุนิยมวิทยา ยังคงแจ้งเตือนมวลอากาศเย็นปกคลุมประเทศไทย หลายพื้นที่ยังคงมีอากาศเย็นถึงหนาวและมีลมแรง ประจวบกับขณะนี้เป็นช่วงของการฉลองเทศกาลปีใหม่ ซึ่งแต่ละปีมักพบผู้เสียชีวิตจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในหลายพื้นที่ จึงขอให้ประชาชนระมัดระวัง เพราะการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงอากาศหนาวเย็น มีความเสี่ยงจะเกิดสภาวะ “ไฮโปเทอร์เมีย (Hypothermia)” หรือ ภาวะตัวเย็น โดยร่างกายเกิดการสูญเสียความร้อนอย่างรวดเร็ว จนไม่สามารถสร้างและเก็บความร้อนได้ อาจส่งผลให้ช็อกและเสียชีวิตได้ในที่สุด

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ขอให้ประชาชนดูแลรักษาสุขภาพจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นลง สำหรับการป้องกันภาวะอากาศหนาว สามารถทำได้โดยดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ ดื่มน้ำอุ่นเพื่อช่วยปรับสมดุลร่างกาย ออกกำลังกายสม่ำเสมอกระตุ้นให้ร่างกายได้รับความอบอุ่นภายใน ไม่ควรอาบน้ำอุ่นบ่อยเกินไป อาจทำให้ผิวแห้งเสีย เตรียมเครื่องนุ่งห่มกันหนาวให้พร้อมและทำความสะอาดเสื้อผ้าหรือผ้าห่ม โดยเฉพาะเสื้อผ้ามือสองให้แช่ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อหรือต้ม เพื่อป้องกันโรคผิวหนัง งดดื่มสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดในช่วงภาวะอากาศหนาว เนื่องจากเป็นปัจจัยเสริมสำคัญทำให้เสี่ยงต่อการเสียชีวิตในช่วงอากาศหนาวได้

Advertisement

เตือนผู้ประกอบการนำแรงงาน 4 สัญชาติต่อใบอนุญาตทำงานภายใน 13 ก.พ.นี้ ย้ำไม่ผ่อนผัน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 10 กุมภาพันธ์ 2567 ทำเนียบ – “คารม” ย้ำเตือนผู้ประกอบการนำแรงงาน 4 สัญชาติ ตามมติ ครม. 5 ก.ค. 65 ที่ใบอนุญาตทำงานจะหมดอายุ ภายในวันที่ 13 ก.พ. 67 เร่งต่ออายุใบอนุญาตทำงาน ที่เว็บไซต์ e-workpermit.doe.go.th ก่อนใบอนุญาตทำงานสิ้นอายุ

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2565 เห็นชอบให้คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม ซึ่งได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อทำงานถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 แล้ว อยู่ในราชอาณาจักรและทำงานต่อไปได้ ถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2567 หรือวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 ตามแต่ละกรณีนั้น สำหรับแรงงานต่างด้าวที่ใบอนุญาตทำงานจะหมดอายุในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2567 หากประสงค์จะทำงานต่อไปถึง 13 กุมภาพันธ์ 68 สามารถทำได้ โดยต้องยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาตทำงาน ที่เว็บไซต์ e-workpermit.doe.go.th พร้อมเอกสารหลักฐานตามที่ระบุไว้ในแบบคำขอ (บต. 50 อ. 5) และชำระค่าธรรมเนียมค่ายื่นคำขอ ฉบับละ 100 บาท และค่าธรรมเนียมต่ออายุใบอนุญาตทำงาน ฉบับละ 900 บาท ภายในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2567

หลังจากดำเนินการครบถ้วนแล้ว ให้ยื่นหลักฐานการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรฯ (Visa) ไม่น้อยกว่าวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 และหลักฐานการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตน หรือการทำประกันสุขภาพกับกระทรวงสาธารณสุข แล้วแต่กรณี ต่อกรมการจัดหางาน

กรมการจัดหางาน ยืนยันว่าไม่มีการขยายระยะเวลา หากต้องการให้แรงงานทำงานต่อไปถึงวันที่ 13 ก.พ. 2568 ให้เร่งดำเนินการยื่นเอกสารต่ออายุใบอนุญาตภายในกำหนด มิฉะนั้นการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรและทำงานจะเป็นอันสิ้นสุดแรงงานต่างด้าวต้องเดินทางกลับประเทศต้นทางและหากประสงค์จะกลับเข้ามาทำงาน ในประเทศไทย ต้องดำเนินการตามกระบวนการนำเข้า MOU

ทั้งนี้ หากติดปัญหาไม่สามารถดำเนินการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ด้วยตนเองได้ สามารถติดต่อขอรับบริการจากเจ้าหน้าที่ได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 ในท้องที่ซึ่งเป็นที่ตั้งสถานที่ทำงานของคนต่างด้าว หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694

Advertisement

ศบค.ทบทวนมาตรการคุมเข้ม-สอบสวนโรค ให้ครอบคลุมโรงแรมที่พัก หลังกรณีทหารอียิปต์

People Unity News : ศบค.ทบทวนมาตรการคุมเข้ม-มาตรการสอบสวนโรค ต้องครอบคลุมโรงแรมที่พักที่เป็นสถานที่สัมผัสกับผู้ติดเชื้อ เพื่อตรวจสอบโดยละเอียด ถึงแม้ผู้ที่พบผลตรวจจะเดินทางกลับประเทศแล้ว

13 ก.ค. 63 เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ประจำวัน และมาตรการในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สรุปสาระสำคัญ ดังนี้

สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในประเทศไทย มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 3 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสม 3,220 ราย เป็นผู้ที่อยู่ในสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ 283 ราย มีผู้หายป่วยเพิ่มขึ้น 2 ราย รวมผู้ที่หายป่วยแล้ว 3,090 ราย ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 72 ราย ไม่มีเสียชีวิตเพิ่ม ยังคงเดิมที่ 58 ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค.63 ถึงปัจจุบันรวม 49 วันแล้วที่ไม่พบผู้ติดเชื้อในประเทศ สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้ง 3 ราย เป็นผู้ที่เดินทางมาจากประเทศคูเวต 1 ราย เป็นชายไทย อายุ 48 ปี อาชีพรับจ้าง เดินทางถึงไทยเมื่อ 29 มิ.ย.เข้าพัก State Quarantine ที่กรุงเทพฯ ตรวจหาเชื้อ 11 ก.ค. ผลตรวจพบเชื้อ ไม่มีอาการ จากอียิปต์ 1 ราย เป็นหญิงไทย อายุ 22 ปี เดินทางถึงไทยเมื่อ 12 ก.ค. ผ่านการคัดกรอง ณ ด่านควบคุมโรค พบว่ามีอาการเข้าเกณฑ์ PUI มีไข้ จึงได้ส่งตรวจหาเชื้อวันที่ 12 ก.ค. ผลตรวจพบเชื้อ และจากบาร์เรน 1 ราย เป็นชายไทย สัญชาติอียิปต์ อายุ 43 ปี อาชีพทหาร เดินทางถึงไทยเมื่อ 8 ก.ค. เข้าพัก State Quarantine ที่จังหวัดระยอง ตรวจหาเชื้อวันที่ 10 ก.ค. ผลตรวจพบเชื้อ 12 ก.ค. แต่ไม่มีอาการ ส่วนอีก 30 รายเป็นลูกเรือที่เดินทางมาพร้อมกัน ยังไม่พบผลการติดเชื้อ

โฆษก ศบค. กล่าวถึง Timeline ของผู้ป่วยเพศชาย อายุ 43 ปี อาชีพทหาร (ลูกเรือเครื่องบินทหาร) จากประเทศในภูมิภาคแอฟริกา ในวันที่ 6 ก.ค. เดินทางออกจากสนามบินไคโร ประเทศอียิปต์ ไปสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 7 ก.ค. เดินทางจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ไปปากีสถาน 8 ก.ค. เดินทางถึงท่าอากาศยานอู่ตะเภา เข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดระยอง 9 ก.ค. ออกจากโรงแรม จังหวัดระยองไปท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภาเพื่อบินไปทำภารกิจทางทหารที่สาธารณรัฐประชาชนจีน ไป-กลับวันเดียวกัน กลับเข้าที่พักในโรงแรมจังหวัดระยอง 10 ก.ค. ได้มีทีมเจ้าหน้าที่ CDCU เข้าคัดกรองอาการของคณะเดินทางและลูกเรือ เพื่อเก็บตัวอย่างส่งตรวจ จำนวน 31 ราย และในวันที่ 11 ก.ค. คณะเดินทางออกจากประเทศไทยกลับอียิปต์  ซึ่งผลตรวจทางห้องปฏิบัติการไม่ชัดเจน จึงตรวจซ้ำอีกครั้ง จนกระทั่งวันที่ 12 ก.ค. ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการยืนยันพบเชื้อ ซึ่งที่ประชุม ศบค. ชุดเล็กมีการหารือว่า ถึงแม้จะเป็นคนที่เป็นลูกเรือที่มาจากต่างชาติเข้ามายังประเทศไทย ในข้อกำหนดที่เป็นลักษณะเฉพาะขึ้นมา และขณะนี้มีการเปิดสายการบินหลายสาย เดิมใช้สนามบินสุวรรณภูมิ แต่ในครั้งนี้ได้มาลงที่สนามบินอู่ตะเภา จึงทำให้มาตรการของการคุมเข้มในข้อดังกล่าวต้องมีการทบทวนและปฏิบัติกันใหม่ ซึ่งโรงแรมที่จังหวัดระยองแห่งนี้ถือเป็นสถานที่ที่สัมผัสกับผู้ที่พบเชื้อ ดังนั้น มาตรการการเข้าไปสอบสวนโรคจะต้องครอบคลุมโรงแรมนี้ทั้งหมด โดยอธิบดีกรมควบคุมโรคได้รับข้อสั่งการจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้ออกมาตรการคุมเข้มเรื่องดังกล่าว เพื่อการตรวจสอบโดยละเอียด ถึงแม้ผู้ที่พบผลตรวจจะเดินทางกลับไปแล้วก็ตาม นอกจากนี้ ทีมสอบสวนโรคจะเข้าไปสอบสวนโรคในพื้นที่สัมผัสที่ทางกลุ่มลูกเรือได้เดินทางไป อีกทั้งสำนักงานเขตสุขภาพจังหวัดระยองและทีมส่วนกลางจะเข้าไปร่วมสอบสวนโรคด้วย เพื่อความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่จังหวัดระยอง

นอกจากนี้ ยังมี Timeline ผู้ป่วยเด็กหญิงอายุ 9 ปี จากภูมิภาคแอฟริกา เดินทางมาพร้อมกับครอบครัว (คณะทูต) โดยในวันที่ 7 ก.ค. มารดานำผู้ป่วยและครอบครัว รวม 5 คน ไปตรวจหาเชื้อก่อนเดินทางที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ผลตรวจทุกคนไม่พบเชื้อ เดินทางถึงไทยวันที่ 10 ก.ค. เวลา 05.40 น. คัดกรองไม่มีอาการ เก็บตัวอย่างส่งตรวจผลพบเชื้อ แต่บิดานำส่งผู้ป่วยเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ มีการตรวจซ้ำ ผลพบเชื้อ สมาชิกที่เหลือกักกันในที่พำนักแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ และในวันที่ 11 ก.ค. ผลตรวจพบปอดอักเสบ จึงส่งต่อผู้ป่วยมารักษาต่อที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ  ซึ่งรายดังกล่าวอยู่ในประเภทที่ 3 คือ คณะทูต คณะกงสุล องค์การระหว่างประเทศ หรือผู้แทนรัฐบาล หรือหน่วยงานของรัฐต่างประเทศที่มาปฏิบัติงานที่ประเทศไทย ซึ่งจะอยู่ในมาตรการข้อ 4 ให้เข้ารับการกักกันในที่พำนักของบุคคลดังกล่าว ภายใต้การดูแลของหน่วยงานต้นสังกัดเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 14 วัน  ซึ่งรัฐต้องกำหนดมาตรการโดยละเอียดและครอบคลุมเพราะเป็นความเสี่ยง

Advertising

นายกฯ ชื่นชมความสำเร็จการวิจัยพัฒนา “ไซทิซีน” ยาเลิกบุหรี่

People Unity News : 5 มิถุนายน 2566 โฆษกรัฐบาล เผยนายกฯ ชื่นชมความสำเร็จภาครัฐ องค์การเภสัชฯ ร่วมมือคณะแพทยศาสตร์ มศว วิจัยพัฒนายาเม็ด “ไซทิซีน” ยาเลิกบุหรี่ ช่วยผู้ติดบุหรี่เข้าถึงยาเลิกสูบบุหรี่ที่มีประสิทธิภาพ คาดผลิตจำหน่ายได้ต้นปี 2567

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชื่นชมความสำเร็จของหน่วยงานภาครัฐ โดยองค์การเภสัชกรรม กระทรวงสาธารณสุข ได้วิจัยและพัฒนายาเลิกสูบบุหรี่ชนิดใหม่ คือ ยาเม็ด ไซทิซิน จีพีโอ (1.5 มิลลิกรัม) เป็นรายแรกในประเทศไทย เพื่อเป็นการช่วยผู้ที่ติดบุหรี่ได้เข้าถึงยาเลิกสูบบุหรี่ที่มีประสิทธิภาพ และช่วยลดการเกิดโรคต่างๆ ที่มีสาเหตุมาจากการสูบบุหรี่ เช่น โรคมะเร็งปอด มะเร็งหลอดอาหาร ถุงลมโป่งพอง และโรคหัวใจ ฯลฯ ทั้งนี้ ความสำเร็จดังกล่าวที่เกิดขึ้นสอดคล้องกับนโยบายนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลที่ให้ความสำคัญในเรื่องของการวิจัยพัฒนาในด้านต่างๆ ของประเทศ รวมถึงการวิจัยพัฒนาในเรื่องของยาและด้านการแพทย์ด้วย เพื่อให้ประชาชนในประเทศไทยสามารถเข้าถึงยาที่มีประสิทธิภาพในราคาที่เหมาะสม

ทั้งนี้ ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ พ.ศ. 2564 พบว่า คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป สูบบุหรี่ถึง 9.9 ล้านคน และเสียชีวิตจากการสูบบุหรี่ ด้วยโรคต่างๆ เช่น โรคมะเร็งปอด มะเร็งหลอดอาหาร ถุงลมโป่งพอง และโรคหัวใจ เป็นต้น สำหรับในประเทศไทย มียา 5 รายการที่ใช้สำหรับเลิกบุหรี่ ได้แก่ ยาเม็ด Varenicline ยาเม็ด Bupropion นิโคตินทดแทน (Nicotine replacement therapy) ยาเม็ด nortriptyline และยาชงสมุนไพรหญ้าดอกขาว ปัจจุบันมีเพียงยา 2 รายการ ที่บรรจุอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ ได้แก่ ยาเม็ด Nortriptyline และยาชงสมุนไพรหญ้าดอกขาว ดังนั้น การที่องค์การเภสัชกรรมได้วิจัยและพัฒนายาเลิกสูบบุหรี่ชนิดใหม่ คือ ยาเม็ด ไซทิซิน จีพีโอ ที่มีคุณภาพดีและราคาถูก ผลิตได้เองในประเทศไทย จึงถือเป็นก้าวย่างสำคัญของการเลิกบุหรี่ในประเทศที่จะช่วยให้คนไทยมีสุขภาพที่ดีขึ้น

“สำหรับยาเม็ดไซทิซิน จีพีโอ องค์การเภสัชกรรม (อภ.) ได้ร่วมมือกับคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ศึกษาวิจัยทางคลินิกในมนุษย์ ผลการวิจัยมีความปลอดภัย และมีประสิทธิผลดี ซึ่งอยู่ระหว่างการขออนุมัติทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ประเภทยาควบคุมพิเศษ ที่จำหน่ายได้ในสถานพยาบาลเท่านั้น โดย พญ.มิ่งขวัญ สุพรรณพงศ์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม ให้ข้อมูลระบุว่า หากเปลี่ยนมาใช้ยาเม็ดไซทิซิน จีพีโอ ในการรักษาแทนการรักษาในปัจจุบันที่ใช้ยาเม็ด Varenicline จะทำให้ประหยัดงบประมาณค่ายาต่อคอร์ส และลดระยะเวลาในการรักษาได้ 3-4 เท่า รวมทั้งลดการนำเข้ายาจากต่างประเทศได้ประมาณ 12 ล้านบาท/ปี โดยองค์การเภสัชกรรม จะเริ่มผลิตจำหน่ายยาในเดือนมกราคม 2567” นายอนุชา กล่าว

Advertisement

Verified by ExactMetrics