วันที่ 24 เมษายน 2024

นายกฯเผยกำลังดูข้อกฎหมายกรณีการเคลื่อนไหวของทักษิณในต่างประเทศ

People unity news online : นายกรัฐมนตรีเผยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังพิจารณาข้อกฎหมายการเคลื่อนไหวของนักการเมืองในต่างประเทศ

เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2561 เวลา 13.05 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงความเคลื่อนไหวปลุกระดมนักการเมืองในต่างประเทศของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า เรื่องนี้สื่อมวลชนก็รู้กันอยู่แล้วว่าเป็นอย่างไร ขณะนี้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างการตรวจสอบว่ามีความผิดตามกฎหมายอะไรหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้เคยเตือนไปแล้ว และเป็นเรื่องของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะพิจารณากันต่อไป ส่วนการสนับสนุนพรรคการเมืองต่างๆของคนนอก เรื่องนี้ต้องไปดูกฎหมายอีกครั้ง ไม่ใช่ว่าพอถึงเวลา มีการบังคับใช้กฎหมายแล้วกลายเป็นว่า ไม่มีความเป็นธรรมกันขึ้นมาอีก ซึ่งเรื่องนี้มีปัญหากันมาโดยตลอด สื่อมวลชนต้องช่วยกันทำความเข้าใจด้วย แต่สิ่งสำคัญคือ ผู้ที่เคลื่อนไหวในต่างประเทศ ซึ่งแต่ละประเทศก็มีกฎหมายเป็นของตัวเอง แตกต่างกันคนละอย่างสองอย่าง ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะดำเนินการอะไรได้มากนัก ทั้งนี้ เราต้องทำทุกอย่างให้ครบตามขั้นตอนและกระบวนการ อย่างครั้งที่แล้วก็ได้มีการดำเนินการไปแล้ว แต่ก็กลายเป็นว่ารัฐบาลไปไล่ล่า ถ้าทุกคนอยู่กันแบบสงบเงียบเรียบร้อย ก็ไม่มีปัญหาที่ต้องไปทำอะไรกันต่อเพราะต่างก็มีคดีกันอยู่ทั้งสิ้น

People unity news online : post 16 สิงหาคม 2561 เวลา 10.40 น.

“เสรีพิศุทธ์”เมิน”พปชร.”ส่ง”ไพบูลย์”นั่งกมธ.ป.ป.ช.

People Unity News : “เสรีพิศุทธ์”เมิน”พปชร.”ส่ง”ไพบูลย์”นั่งกมธ.ป.ป.ช. แทน “ดล” แจงยกเลิกคำสั่งลักไก่แต่งตั้งที่ปรึกษาประธาน กมธ.แล้ว

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ กล่าวถึงกรณีที่นายดล เหตระกูล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคชาติพัฒนา ลาออกจากการเป็นรองประธานกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริต โดยพรรคพลังประชารัฐ จะส่งนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ มาทำหน้าที่แทนว่า ยังไม่ได้รับการหนังสือลาออกจากนายดล และไม่กังวลที่พรรคพลังประชารัฐ จะส่งนายไพบูลย์มาทำหน้าที่แทน เพราะเชื่อว่า เป็นการกดดันจากฝั่ง ส.ส.รัฐบาล เพราะเมื่อมีการเปลี่ยนตัวให้นายสิระ เจนจาคะ และนางสาวปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.พลังประชารัฐ กรรมาธิการก็มีแต่ป่วน

ส่วนกรณีที่นางสาวปารีณาไปแจ้งความเอาผิดพลตำรวจเอกเสรีศุทธ์ กรณีฝืนมติที่ประชุมธรรมาธิการที่ให้ออกหนังสือเรียกนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรีแบบธรรมดา แต่พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ กลับสั่งการให้ออกเป็นหนังสือคำสั่งเรียกนั้น พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ ชี้แจงว่า เป็นความไม่เข้าใจของนางสาวปารีณา พร้อมยืนยันได้ดำเนินการตามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญที่ในเชิญนากยรัฐมนตรี แต่รูปแบบการออกหนังสือนั้นไม่มีการกำหนดรูปแบบ จึงต้องใช้รูปแบบของหนังสือคำสั่งเรียก

พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ ยังชี้แจงถึงการออกประกาศแต่งตั้งที่ปรึกษาประธานกรรมาธิการฯ ที่ระบุมติที่ประชุมในวันที่ 20 พฤศจิกายน แต่กลับมีการเผยแพร่ก่อนเมื่อ 18 พฤศจิกายนที่ผ่านมาว่า ได้ยกเลิกหนังสือดังกล่าวไปแล้ว เพื่อเปลี่ยนหนังสือใหม่ เป็นเพื่อให้ทราบ

“อนุทิน”วอนสภาฯ! ฉุกคิดสักนิดก่อนตัดงบ”ห้องฉุกเฉิน”

People Unity News : “อนุทิน”วอนสภาฯ! ฉุกคิดสักนิดก่อนตัดงบ”ห้องฉุกเฉิน” เผยปี 63 เสนอโครงการพัฒนาศักยภาพทั้งระบบเพียง 492 ล้าน

วันที่ 18 พฤศจิกายน 2562 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โพสต์เฟซบุ๊ก “อนุทิน ชาญวีรกูล” เปิดเผยว่า เมื่อวานนี้ ได้เซ็นหนังสือเสนอของบประมาณเพิ่มเติม ของกระทรวงสาธารณสุข กรณีมีการแปรญัตติ ร่างพรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ซึ่งกำลังพิจารณากันในชั้นกรรมาธิการวิสามัญ ของสภาผู้แทนราษฎร เรื่องหลักๆ ก็คือ ขอเพิ่มเติมงบประมาณก่อสร้าง ต่อเติม ขยายอาคารผู้ป่วย เพื่อรองรับผู้ป่วยได้เพิ่มขึ้น เครื่องมือแพทย์ให้บริการประชาชน ได้ดีขึ้น ทันสมัยขึ้น และ ระบบกำจัดขยะ ระบบบำบัดน้ำเสียของโรงพยาบาล ซึ่งต้องการการดูแลเป็นพิเศษ

ผมพิจารณากลั่นกรองหลายรอบแล้ว เห็นว่าเรื่องที่เสนอของบประมาณเพิ่มเติม ทุกเรื่องเป็นเรื่องที่จำเป็น และต้องได้รับงบประมาณ จึงจะดูแลประชาชน ให้ได้รับการรักษาพยาบาลที่ดีขึ้นได้

จึงอยากจะขอความกรุณาท่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทุกท่าน ได้โปรดให้การสนับสนุนงบประมาณของกระทรวงสาธารณสุข ตามที่เสนอให้ท่านพิจารณา ด้วย เรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง ที่ผมอยากจะกราบขอร้องทุกท่านช่วยกันพิจารณาสนับสนุนเป็นพิเศษ ก็คือ เรื่องการพัฒนาศักยภาพการทำงานของห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาล ทั้งด้านการบริการจัดการพื้นที่รองรับผู้ป่วย พื้นที่ญาติ การจัดหาเครื่องมือแพทย์ที่ต้องช่วยเหลือผู้ป่วยในสถานการณ์วิกฤต และ ค่าตอบแทนแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ และบุคลากรทางการแพทย์ ตามความเหมาะสม

ในปีงบประมาณ 2563 ได้เสนอจัดทำโครงการพัฒนาศักยภาพห้องฉุกเฉินทั้งระบบ ในโรงพยาบาลศูนย์ และ โรงพยาบาลทั่วไป รวม 39 แห่ง ต้องใช้งบประมาณ 492,733,800 บาท

อันที่จริง อยากจะทำมากกว่านี้ แต่ติดขัดเรื่องงบประมาณ และเข้าใจความจำเป็นของทุกหน่วยงาน เราจึงขอเพียงเท่านี้ก่อน ซึ่งประมาณการว่าน่าจะพัฒนาการทำงานของห้องฉุกเฉิน ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้ ช่วยเหลือผู้ป่วยได้ดีขึ้น และป้องกันเหตุทะเลาะวิวาท ในห้องฉุกเฉินได้

ขอความกรุณาทุกท่านช่วยกันสนับสนุน เพื่อการดูแลรักษาชีวิตของประชาชนทุกท่าน ที่มาถึงห้องฉุกเฉิน

รัฐบาลเปิดรายละเอียดงบฯปี 66 ด้านสวัสดิการสังคม เทียบกับงบปี 57 มากกว่า 1.8 แสนล้าน

People Unity News : 4 มิถุนายน 2565 ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 รัฐบาลยังคงให้ความสำคัญกับเด็กวัยเรียน ผู้สูงอายุ ผู้ด้อยโอกาส รวมถึงสวัสดิการด้านการรักษาพยาบาลต่อเนื่อง ซึ่งเมื่อเทียบกับงบประมาณปี 2557 ข้อเสนอในงบประมาณปี 2566 ด้านสวัสดิการสังคมมีงบประมาณเพิ่มขึ้นถึง 183,002.4412 ล้านบาท แบ่งเป็น

-กลุ่มเด็กเล็ก เช่น เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด (0 – 6 ปี) 600 บ./เดือน สำหรับครัวเรือนที่บิดามารดามีรายได้เฉลี่ยไม่เกิน 100,000 บาท/คน/ปี กลุ่มเป้าหมาย 2.58 ล้านคน

-กลุ่มเด็กวัยเรียน จะต้องได้รับการศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย 15 ปี ตั้งแต่อนุบาลจนจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน กลุ่มเป้าหมาย 10.77 ล้านคน รวมถึงการสนับสนุนกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา เพื่อช่วยเหลือนักเรียนที่ยากจนและยากจนพิเศษให้เข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพกว่า 2.62 ล้านคน

-กลุ่มผู้สูงอายุ มีการสนับสนุนเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุต่อเนื่อง ตั้งแต่ 600 – 1,000 บาท/คน/เดือน (ตามช่วงอายุ) กลุ่มเป้าหมาย 11.03 ล้านคน และในปี 2566 ได้มีการเพิ่มการปรับปรุง ซ่อมแซมบ้านผู้สูงอายุ ให้มีความเหมาะสมและปลอดภัย จำนวน 10,000 หลัง

-กลุ่มผู้ด้อยโอกาส ผู้พิการ ผู้มีรายได้น้อย โดยช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ กลุ่มเป้าหมาย 13.45 ล้านคน/ การพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย “บ้านพอเพียงในชนบท” 25,000 ครัวเรือน/ การปรับปรุงที่อยู่อาศัยเพื่อแก้ปัญหาชุมชนแออัด “บ้านมั่นคง” 3,750 ครัวเรือน/ เบี้ยยังชีพความพิการ 1,000 บาท/คน/เดือน กลุ่มเป้าหมาย 2.09 ล้านคน

-กลุ่มสวัสดิการด้านการรักษาพยาบาล ทั้งแรงงานในระบบประกันสังคม โดยได้เพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีทุพพลภาพ รับเงินทดแทนการขาดรายได้เป็น 70% ของค่าจ้าง/ เพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีคลอดบุตร ให้ได้รับเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตร 50% ของค่าจ้าง 98 วัน กลุ่มเป้าหมาย 23.34 ล้านคน/ การดูแล อสม. หมอประจำบ้าน เพื่อสนุนค่าป่วยการ การดูแลศักยภาพ ให้ดูแลสุขภาพตนเองและชุมชนได้อย่างยั่งยืน โดยมีค่าตอบแทน 1,000 บาท/คน/เดือน กลุ่มเป้าหมาย 1.05 ล้านคน

รัฐบาลมุ่งมั่นที่จะดูแลประชาชนตามช่วงวัย รวมถึงกลุ่มผู้ด้อยโอกาส เพื่อช่วยเหลือให้เข้าถึงสวัสดิการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสวัสดิการสังคมอย่างทั่วถึง ให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสถานการณ์ในปัจจุบัน

Advertisement

“ประยุทธ์” ออกแถลงความสำเร็จของประเทศไทยในการรับมือโควิด

People Unity News : เมื่อวานนี้ (26 พฤศจิกายน 2563) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้แถลงกล่าวถึงเรื่องโควิดและความสำเร็จของประเทศไทย ความว่า

พี่น้องประชาชนที่รักทุกท่านครับ วันนี้ ผมขออัพเดทให้ทุกท่านทราบถึงแนวทางที่ประเทศไทยของเรากำลังเดินไปข้างหน้า ในภาวการณ์ที่เรายังจำเป็นต้องใช้ชีวิตอยู่กับการแพร่ระบาดของโควิดที่ทำลายทั้งชีวิตและเศรษฐกิจของทั้งโลก

ตอนนี้ โลกกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิดมา ปัจจุบันนี้ แต่ละวัน หลายประเทศในยุโรปและที่อื่นๆ มีผู้เสียชีวิตหลายร้อยคน และในสหรัฐอเมริกามีผู้เสียชีวิตเกือบพันคนต่อวัน นับว่าเป็นวิกฤตที่ทำให้ประเทศต่างๆปั่นป่วน จนเกิดการประท้วงอย่างรุนแรงในเกือบ 30 ประเทศทั่วโลก

ล่าสุด เมื่อเร็วๆนี้ องค์การอนามัยโลกได้ออกคำเตือนว่า มีโอกาสที่โควิด-19 จะเกิดการระบาดอีกเป็นระลอกที่ 3 ในช่วงปีหน้า ถ้าแต่ละประเทศไม่รักษาวินัย และไม่เข้มงวดในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิดอย่างเคร่งครัด

ที่สหราชอาณาจักร ตอนนี้มีการล็อกดาวน์ทั้งประเทศไปเรียบร้อย ร้านค้า ร้านอาหาร ผับ บาร์ สถานที่ทำกิจกรรมบันเทิง และกีฬา รวมถึงสถานที่ต่างๆ ต้องปิดให้บริการเกือบทั้งหมด และเมื่อวานนี้ เพิ่งมีการแถลงสถานการณ์เศรษฐกิจที่คาดการณ์ GDP จะหดตัวถึง 11%

ส่วนที่สาธารณรัฐฝรั่งเศส ก็มีการล็อกดาวน์มาตั้งแต่สิ้นเดือนตุลาคม และคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะยิ่งแย่หนัก GDP น่าจะทรุดลงถึง 11% ในปีนี้

ที่ราชอาณาจักรสเปน มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งอาจจะกินเวลานานหลายเดือน มีการประกาศเคอร์ฟิว มีการจำกัดการเดินทาง และมีการจำกัดเรื่องการรวมตัวกัน ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ ก็มีการล็อกดาวน์ ห้ามออกจากบ้าน ถ้าไม่มีเอกสารตามขั้นตอน ราชอาณาจักรเบลเยี่ยม ก็ล็อกดาวน์เช่นเดียวกัน และในสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ร้านค้า ร้านอาหาร ปิด และมีการจำกัดเรื่องการรวมตัวกัน สถานการณ์ทางด้านสาธารณสุข และผลกระทบที่ส่งมาถึงเรื่องเศรษฐกิจ ยังคงทวีความรุนแรงมากขึ้นทั่วโลก

สิ่งที่ต้องระมัดระวังมากที่สุด ไม่ใช่จำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิดเพียงอย่างเดียว แต่หากปล่อยให้สถานการณ์เลวร้ายจนถึงขั้นเหนือการควบคุม จะส่งผลให้เกิดการเสียชีวิตของผู้คนเป็นจำนวนมาก คนที่มีปัญหาด้านสุขภาพ หรือป่วยเป็นโรคอื่น ซึ่งต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล จะประสบปัญหาเตียงไม่พอ หมอและพยาบาลติดพันอยู่กับการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อโควิด สิ่งที่แย่ที่สุดที่เราไม่อยากเห็นคือ หมอและพยาบาลมีงานล้นมือ จนถึงขั้นมีเวลาไม่เพียงพอสำหรับรักษาดูแลผู้ป่วยได้ทันทุกคน และจำเป็นต้องเลือกว่า จะรักษาคนไหน และไม่รักษาคนไหน ซึ่งจนถึงวันนี้ นับว่าเราสามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดสถานการณ์แบบนั้นในประเทศของเราได้สำเร็จ

ผมขอขอบคุณพี่น้องประชาชนในทุกภาคส่วน ทุกภาคธุรกิจ ผู้ประกอบการ และคนทำงานต่างๆ ที่ได้เสียสละ และยอมรับที่ต้องเผชิญกับความยากลำบากในการทำมาหากิน เพื่อที่จะปกป้องบ้านเมืองของเรา ไม่ให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายมากกว่านี้ เหมือนกับที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก

ความสำเร็จนี้ เป็นสิ่งที่องค์การอนามัยโลกให้การยอมรับประเทศไทย ในฐานะเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดในโลกตัวอย่างหนึ่งในการรับมือกับโควิด อีกทั้งยังกล่าวด้วยว่า ความสำเร็จของประเทศไทยในการดูแลและป้องกันการแพร่ระบาดของโควิดในประเทศนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็น “ความร่วมมือกันของประชาชนทุกระดับและทุกภาคส่วนในสังคม” และด้วย “การบริหารจัดการสรรพกำลังทุกอย่างแบบบูรณาการของรัฐบาล” ซึ่งผมอยากให้ทุกคนได้ภาคภูมิใจ และร่วมกันรักษาความรู้รักสามัคคี และสิ่งดีๆนี้ไว้

ตอนนี้ผมขอบอกกับทุกคนว่า เรากำลังเตรียมตัวสำหรับเฟสถัดไป ในการบริหารจัดการกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เพื่อไม่ให้โรคร้ายนี้สร้างปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง และสร้างความยากลำบากในความเป็นอยู่ของประชาชนคนไทยไปมากกว่านี้

วิธีจัดการกับวิกฤตโควิดในระยะยาวคือ การมีวัคซีนป้องกัน และจะต้องกระจายไปยังประชาชนให้ได้อย่างทั่วถึง ซึ่งปัจจุบันมีการพัฒนาวัคซีนที่มีความเป็นไปได้ว่าจะประสบความสำเร็จ ซึ่ง 3-4 กลุ่มอยู่ในขั้นตอนที่ก้าวหน้าไปมากแล้ว โดยกำลังทำการทดสอบความปลอดภัยในการใช้ ก่อนที่จะได้รับอนุญาตให้ใช้ได้จริง อย่างไรก็ดี เรารู้ว่าประเทศใหญ่ๆในโลกต่างพยายามล็อกคิว เพื่อที่จะได้ใช้วัคซีนเป็นประเทศแรกๆ ทันทีที่วัคซีนได้รับการยืนยันประสิทธิภาพและความปลอดภัย แล้วผลิตเสร็จออกมา ซึ่งผมเห็นว่าประเทศไทยเราก็สมควรที่จะได้รับโอกาสนั้นด้วย คือการเข้าถึงวัคซีนอย่างรวดเร็วและเพียงพอ เพราะการได้วัคซีนมาใช้นั้น ยิ่งเร็วเท่าไร ก็ยิ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจสามารถฟื้นกลับมาเป็นปกติได้เร็วขึ้นด้วย

นั่นคือเหตุผลที่เมื่อ 2-3 เดือนก่อน ผมได้ตัดสินใจว่า ประเทศไทยต้องเดินหน้าหาพันธมิตร เพื่อผลิตวัคซีนในประเทศไทยให้ได้ ไม่ใช่เพียงแค่ไปเข้าคิวรอซื้อจากการผลิตในประเทศอื่นเพียงอย่างเดียว เราต้องเลือกจับมือกับพันธมิตรที่มีศักยภาพ ที่น่าจะมีโอกาสทำสำเร็จได้จริงอย่างรวดเร็ว

เมื่อเดือนที่แล้ว ความพยายามของเราประสบความสำเร็จ ซึ่งนอกจากเราได้ลงนามข้อตกลงกับมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด และบริษัทแอสทราเซเนกา เพื่อผลิตวัคซีนในประเทศไทย หากการพัฒนาวัคซีนสำเร็จลุล่วงแล้ว สิ่งสำคัญอีกประการ คือประเทศไทยยังจะได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีในการผลิตวัคซีนนี้ด้วย และในวันพรุ่งนี้ จะมีการลงนามเพิ่มเติมในอีกหนึ่งข้อตกลง เพื่อสั่งซื้อวัคซีนนี้ โดยเมื่อ 2-3 วันก่อน เราได้รับทราบข่าวดีว่า ทีมมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด และบริษัทแอสทราเซเนกา ได้ประกาศถึงความสำเร็จในการพัฒนาวัคซีนแล้ว ซึ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันโควิดได้ถึง 70-90% อยู่ในระดับที่ “ดีมาก”

นอกจากนั้น วัคซีนที่มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด และบริษัทแอสทราเซเนกา พัฒนาขึ้น จะสามารถผลิตออกมาได้ในราคาที่ถูกกว่า หากเทียบกับวัคซีนของที่อื่นๆ และสำคัญมากกว่านั้นคือวัคซีนนี้มีความเหมาะสมกับประเทศไทยมากกว่า เพราะในขณะที่วัคซีนของที่อื่นๆ จำเป็นต้องเก็บรักษาในอุณหภูมิ -20 ถึง -70 องศาเซลเซียสตลอดเวลา ต้องใช้ตู้แช่เย็นที่ออกแบบพิเศษโดยเฉพาะทำให้มีข้อจำกัดทางด้านการขนส่งที่จะทำได้อย่างยากลำยากมาก แต่วัคซีนนี้ สามารถเก็บรักษาได้ไม่ยากในตู้เย็นธรรมดา ณ อุณหภูมิ 2 ถึง 8 องศาเซลเซียส สามารถขนส่งเพื่อกระจายวัคซีนไปสู่พื้นที่ต่างๆทั่วทุกจังหวัดของไทยเราได้อย่างทั่วถึงและไม่ยุ่งยาก

เราคาดว่า วัคซีนนี้ น่าจะได้รับการอนุญาตให้ใช้ได้ และผลิตได้ในช่วงกลางปีหน้า ซึ่งถ้าเราเร่งขั้นตอนต่างๆได้ ยิ่งเร็วเท่าไร ก็จะยิ่งทำให้เราสามารถเปิดรับคนจำนวนมากเข้าประเทศได้ และสามารถเริ่มสร้างฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กลับมาอีกครั้ง ขณะนี้ ผมกำลังพิจารณาวางแผนกระบวนการ และขั้นตอนต่างๆ เพื่อเตรียมการสำหรับการกระจายวัคซีนไปให้ทั่วถึงทุกพื้นที่ของประเทศ ให้ได้อย่างรวดเร็ว ทันทีที่เราได้วัคซีน

แต่ก่อนที่จะถึงวันนั้น ตอนนี้เรากำลังเข้าสู่ช่วงเทศกาลต่างๆ ผมขอให้พี่น้องชาวไทยทุกคน ผู้ที่ได้ร่วมมือ ร่วมใจ เสียสละความสะดวกสบายส่วนตัว ในการยับยั้งและป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 มาตลอดระยะเวลาเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา ได้ช่วยกันอีกครั้งเพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียชีวิตของผู้คน และบรรเทาไม่ให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจจนหนักหนาสาหัสในประเทศไทย เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นแล้วในหลายประเทศทั่วโลก ผมขอให้พวกเราทุกคนยังคงรักษาวินัย ใส่หน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือ และรักษาระยะห่างทางสังคม ขอให้ทุกคนช่วยกันป้องกันไม่ให้เกิดการระบาดในประเทศไทย เพื่อไม่สร้างความทุกข์ยากให้กับประเทศ รุนแรงกว่าที่เราเผชิญอยู่ในปัจจุบัน

ขอบคุณครับ

Advertising

กระทรวงการคลังนำดิจิทัลสร้างเศรษฐกิจสู่ชุมชน

People Unity News : กระทรวงการคลังนำดิจิทัลสร้างเศรษฐกิจสู่ชุมชน “กมธ.ดีอีเอส” เชิญ”กสทช.-ทีโอที” แจงโครงการ “เน็ตประชารัฐ” หลังไม่เสร็จตามกำหนด

วันที่ 13 พฤศจิกายน 2562 นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ได้ร่วมเป็นประธานในพิธี ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่าง 4 หน่วยงานของกระทรวงการคลัง คือ กรมสรรพากร กรมศุลกากร กรมบัญชีกลาง และ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ร่วมกับธนาคารกรุงไทย ในการดำเนินงานโครงการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) เพื่อการพัฒนาเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานในระบบงานของหน่วยงาน ใน 3 โครงการ ด้วยการใช้ Digital Platform อย่างเต็มรูปแบบ

สำหรับ โครงการแรก คือ การคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้นักท่องเที่ยว (VAT Refunds for Tourists) ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกรมสรรพากร กรมศุลกากร และธนาคารกรุงไทย โดยจะเป็นการคืนภาษีให้กับนักท่องเที่ยว ผ่านแอพพลิเคชั่น

ที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ประมาณปีละ 2 ล้านคน หรือเฉลี่ยเดือนละ 2 แสนราย มีมูลค่าการซื้อสินค้าประมาณ 5 หมื่นล้านบาท โดยเป็นนักท่องเที่ยวจีนถึงประมาณร้อยละ 70 ซึ่งชาวจีนมักไม่นิยมใช้เงินสดในการท่องเที่ยว แต่นิยมใช้จ่ายผ่านแอพพลิเคชั่นแทน

ทั้งนี้การคืนภาษีผ่านแอพฯ จะช่วยให้การทำงานของหน่วยงาน มีประสิทธิภาพ โปร่งใส สะดวกและรวดเร็วขึ้น ซึ่งจะมีผลพวงในการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวด้วยเช่นกัน โดยโครงการนี้จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 28 พ.ย.นี้

โครงการที่ 2 ระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (Government Procurement : e-GP) ซึ่งประกอบด้วย 2 โครงการย่อย คือ 1) e-LG การออกหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์ของผู้ประกอบการในระบบ e-GP ซึ่งจะช่วยลดขั้นตอนและการตรวจสอบหลักประกันของผู้ประกอบการ 2) e-Credit Confirmation การรวบรวมข้อมูลประวัติของผู้ประกอบการนิติบุคคล รวมถึงระบบ Rating ของผู้ประกอบการตามผลงานในการทำงานกับภาครัฐ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการลดระยะเวลา และภาระในการจัดเตรียมเอกสาร ในการขอขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการและการยื่นเสนอราคา

จากข้อมูล ปี2562 ภาครัฐมีการจัดซื้อจัดจ้างกว่า 3.6 ล้านโครงการ วงเงินรวมกว่า1.4 ล้านล้านบาท ดังนั้นโครงการนี้จะลดภาระให้ผู้ประกอบการกว่า 270,000 ราย สร้างความโปร่งใสของระบบการจัดซื้อจัดจ้าง ช่วยผลักดันให้การใช้งบประมาณในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่รากหญ้าให้เร็วยิ่งขึ้น ซึ่งในเดือน ธ.ค. 62 ผู้ประกอบการสามารถขอหนังสือรับรองวงเงินสินเชื่อ ของธนาคารกรุงไทยผ่านระบบ e–GP ได้ในทันที

โครงการที่ 3 การออมผ่านพันธบัตรรัฐบาล (DLT Scripless Bond) จะช่วยให้การออกพันธบัตรรัฐบาล การจำหน่าย รวมถึงการรับฝากหลักทรัพย์มีประสิทธิภาพ ทำให้ประชาชนทุกระดับสามารถเข้าถึงการออมได้อย่างทั่วถึง มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ด้วยระบบจองก่อนได้ก่อน (First Come First Serve) ในการจัดจำหน่าย และช่วยลดขั้นตอนต่างๆ ลดระยะเวลาในกระบวนการออกใบพันธบัตร จาก 15 วันเหลือไม่ถึง 2 วัน โดยจะเริ่มออกพันธบัตรออมทรัพย์รัฐบาลผ่านระบบบล็อกเชนในช่วงเดือน พ.ค. 2563

สำหรับทั้ง 3 โครงการที่ผมกล่าวมานี้ ถือเป็นการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีบล็อกเชน เข้ามาเป็นพื้นฐานในการสร้างเศรษฐกิจสู่ชุมชน นำไปสู่การขับเคลื่อนประเทศ ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนและประเทศชาติ เพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่ยุคสังคมไร้เงินสด (Cashless society) ซึ่งภาครัฐจำเป็นที่จะต้องปรับตัวเป็นหัวหอกสำคัญ ก่อนที่ถ่ายทอดเทคโนโลยีเหล่านี้ไปสู่พี่น้องประชาชนในลำดับต่อไป

“กมธ.ดีอีเอส” เชิญ”กสทช.-ทีโอที” แจงโครงการ “เน็ตประชารัฐ” หลังไม่เสร็จตามกำหนด

ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมาธิการการสื่อสารโทรคมนาคมและดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ กมธ.ดีอีเอส โดยได้เชิญตัวแทนจากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. และบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) มาชี้แจงกรณีการดำเนินโครงการจัดให้มีบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในพื้นที่ทุรกันดาร (เน็ตประชารัฐ) หลังจากเมื่อวันที่ 15 ก.ย. 62 เป็นวันสิ้นสุดตามกรอบเวลาที่บริษัททีโอทีขอขยายเวลามาจาก 27 ก.ย.61 ที่ผ่านมา แต่ยังมีหลายพื้นที่ติดตั้งไม่เสร็จ และกสทช. ได้มีการยกเลิกสัญญากับบริษัททีโอทีฯ ไปแล้ว

น.ส.กัลยา รุ่งวิจิตรชัย ประธานกรรมาธิการ ดีอีเอส แถลงว่า ทางตัวแทนของ กสทช. ได้มาชี้แจงถึงโครงการเน็ตประชารัฐว่าจะมีแนวทางดำเนินการต่อไปอย่างไร หลังจากที่ยกเลิกสัญญากับบริษัท ทีโอทีฯ ทราบว่าขณะนี้อยู่ระหว่างรอตรวจรับงานที่ บ.ทีโอที ทำไว้ว่ามีความคืบหน้าแค่ไหนอย่างไร เหลืองานอีกมากน้อยแค่ไหน จากนั้นจะมีการเปิดประมูลรับผู้ดำเนินการรายใหม่ ซึ่งกสทช. คาดว่าภายในเดือนเมษายนปี 2563 จะสามารถเปิดประมูลได้ ทั้งนี้ทางกรรมาธิการฯ เรามีความาห่วงใยกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะทำให้ประชาชนโดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทห่างไกลต้องเสียโอกาส การได้ใช้ประโยชน์จากอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ที่จะช่วยทำให้คุณภาพชีวิตของเขาดีขึ้น โดยเฉพาะการเข้าถึงตลาดโลกด้วยการทำธุรกิจออนไลน์หรืออีคอมเมอร์ซ บริการทางการแพทย์ที่เชื่อมโยงกับนโยบาย Telemedicine หรือการแพทย์ทางไกลผ่านอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และจะเป็นประโยชน์ด้านการศึกษาที่เด็กๆ สามารถหาความรู้หรือเรียนออนไลน์ได้ ที่สำคัญคือมีผลกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน ที่จะพัฒนาไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัลในอนาคต

ประธานกมธ.ดีอีเอส กล่าวว่า ทางกรรมาธิการฯ ไม่ได้นิ่งนอนใจกับปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะการดำเนินโครงการไม่เสร็จตามเวลาที่กำหนดมีผลกระทบต่อประชาชนผู้รอใช้บริการ ดังนั้นทางกมธ.ดีอีเอส จึงได้กำชับไปยัง กสทช. และฝากไปยังกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือดีอีเอส เร่งดำเนินการให้โครงการเน็ตประชารัฐสำเร็จโดยเร็ว เป็นไปตามนโยบายที่กำหนดไว้ ซึ่งทางกรรมาธิการฯ จะติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด โดยมีพ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ รองประธานกมธ.อีดีเอส ในฐานะเป็นประธานคณะอนุกรรมาธิการติดตามและตรวจสอบการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลและความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ จะได้ทำหน้าที่ในการติดตามและรวบรวมข้อมูลเพื่อเสนอให้คณะกรรมาธิการฯ ทราบต่อไป

อย่างไรก็ตามทางกมธ.ดีอีเอส มีแผนที่จะลงพื้นที่เพื่อติดตามความคืบหน้าการดำเนินโครงการอินเทอร์เน็ตชายขอบ ในอีก 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า โดยจะลงพื้นที่จังหวัดหนองคาย และหนองบัวลำภู ทั้งนี้กรรมธิการฯ​ ต้องการที่จะไปสัมผัสพื้นที่จริงที่มีการติดตั้งจุดปล่อยสัญญาณอินเทอร์เน็ต ว่าสามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพหรือไม่ ความเร็วเป็นไปตามมาตรฐานหรือไม่ ตอบโจทย์ของประชาชนในพื้นที่หรือไม่ เชื่อว่าจะเกิดประโยชน์ต่อการดำเนินโครงการดังกล่าวในอนาคตอย่างมาก

พล.อ.ประยุทธ์ กำชับปราบปรามเด็ดขาดค้ามนุษย์

People Unity News : 10 มิถุนายน 2566 “ทิพานัน” เผย พล.อ.ประยุทธ์ ห่วงใยประชาชนตกเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ผ่านช่องทางออนไลน์ กำชับทุกหน่วยบูรณาการแก้ไขปัญหาตามแผนบันได 5 ขั้น เข้มปราบปรามเด็ดขาดถอนรากถอนโคน พร้อมเร่งประชาสัมพันธ์เชิงรุกสร้างภูมิคุ้มกันประชาชน

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์อย่างจริงจังและต่อเนื่องในทุกมิติ จากผลการดำเนินการปราบปรามการค้ามนุษย์ที่ผ่านมาส่งผลให้ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้น โดยอยู่ในระดับ “เทียร์ 2” และมีเป้าหมายไปสู่สถานะ “เทียร์ 1” อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ ยังห่วงใยสถานการณ์ ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หรือ พม.ที่พบว่า ปัจจุบันขบวนการค้ามนุษย์เปลี่ยนรูปแบบการกระทำผิดผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มมากขึ้น เช่น การค้าประเวณี การหลอกเด็กหญิง เด็กชาย ผู้ชายและผู้หญิงเพื่อผลิตสื่อลามกอนาจาร และการหลอกลวงโฆษณาจัดหางาน เพื่อชักชวนคนไทยให้ไปทำงานต่างประเทศ เป็นต้น

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้ย้ำให้ทุกหน่วยงานบูรณาการแก้ไขปัญหา ตามแนวทางป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ดังนี้

1.เพิ่มขีดความสามารถของเจ้าหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมาย

2.ถอดบทเรียนแผนปฏิบัติการด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

3.ยกระดับศูนย์บัญชาการป้องกันการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน/จัดสรรอัตรากำลังเพิ่มเติม

4.ยกระดับระบบรับเรื่องร้องทุกข์ ร้องเรียนการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน การบริหารจัดการข้อมูล และการส่งต่อคดี

5.ตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจต่อต้านการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

“พล.อ.ประยุทธ์ยังได้กำชับให้ดำเนินการบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิดอย่างเด็ดขาด และสาวถึงต้นตอเพื่อถอนรากถอนโคนปัญหาให้ถึงผู้อยู่เบื้องหลัง พร้อมทั้งรณรงค์ให้ความรู้กับประชาชน ตระหนักถึงภัยการค้ามนุษย์รูปแบบใหม่ๆ โดยการประชาสัมพันธ์เชิงรุก เพื่อให้รู้เท่าทัน เพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับประชาชน” น.ส.ทิพานัน กล่าว

Advertisement

 

โฆษกรัฐบาลยันเศรษฐกิจยังขยายตัวโรงงานขอปิดแค่ 1,391 แห่ง

People Unity News : โฆษกรัฐบาลยันเศรษฐกิจยังขยายตัว ลงทุนใหม่มูลค่าทะลุ 4.3 แสนล้าน กิจการเปิดเพิ่มมากกว่าปิด 2 เท่าตัว

เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2562 ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด โดยกระทรวงอุตสาหกรรมรายงานว่าตั้งแต่ 1 ม.ค.-12 พ.ย.ที่ผ่านมา มีการยื่นขอ “เปิดกิจการ” โรงงานใหม่ สูงถึง 2,889 โรงงาน มีการจ้างงานสูงถึง 84,033 คน และมีการจ้างงานเพิ่มจากการ “ขยายโรงงาน” อีกจำนวน 84,704 คน ขณะที่การยื่นขอ “ปิดกิจการ” โรงงาน จำนวน 1,391 โรงงาน มีการเลิกจ้างงานจำนวน 35,533 คน กล่าวคือมีโรงงานเปิดใหม่สูงขึ้นกว่าปิดกิจการกว่า 2 เท่าตัว และพบว่าในปีนี้มีเงินลงทุนเพิ่มสูงถึง 4.31แสนล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 36.6% สอดคล้องกับข้อมูลกระทรวงแรงงานที่รายงานว่ายังมีตำแหน่งงานว่างถึง 79,000 อัตรา

สำหรับการขอใบอนุญาตประกอบกิจการ หรือ ใบรง.4 ในช่วงเดือน ม.ค. – ก.ย. 62 จำนวน 3,184 โรงงาน มีการลงทุนสูงถึง 3.67 แสนล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นการเปิดกิจการใหม่ 2,519 โรงงาน เพิ่มขึ้น 47.9% และการขยายกิจการ 665 โรงงาน เพิ่มขึ้น 32.51% สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจของไทยยังเติบโต ส่วนการเปิดโรงงานใหม่และขยายโรงงานในโครงการอีอีซี ช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา มีการขอใบอนุญาตประกอบกิจการ รง.4 และขยายกิจการ 402 โรงงาน มีมูลค่าการลงทุน 8.35 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 4.29 หมื่นล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายตามนโยบายของรัฐบาล ที่มีมูลค่าการลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรกได้แก่ อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร อิเล็กทรอนิกส์ หุ่นยนต์และแขนกล ท่องเที่ยวสุขภาพ และยานยนต์ ตามลำดับ

รายละเอียดนายกฯตรวจราชการที่ระนอง-ชุมพร และประชุม ครม.นอกสถานที่ 20-21 ส.ค.

People unity news online : พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะรัฐมนตรี มีกำหนดการเดินทางไปตรวจราชการจังหวัดระนอง และจังหวัดชุมพร และประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 6/2561 ณ จังหวัดชุมพร ระหว่างวันที่ 20 – 21 สิงหาคม 2561

สำหรับการตรวจราชการในครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับประเด็นดังต่อไปนี้

จังหวัดระนอง 1.การส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดระนองให้เป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ พร้อมทั้งการส่งเสริมแพทย์ทางเลือกโดยการบำบัดและฟื้นฟูสุขภาพแบบดุลยภาพบำบัดด้วยน้ำพุร้อนตามธรรมชาติ  2.การผลักดันท่าเรือระนองเป็นศูนย์กลางการค้าและโลจิสติกส์ชายแดนฝั่งอันดามันเพื่อรองรับ IMT-GT และกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคอ่าวเบงกอล เนื่องจากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่เป็นจุดศูนย์กลางเชื่อมโยง เส้นทางคมนาคมทั้งทางบก ทางรถไฟ ทางอากาศ และท่าเรือ 3.การรักษาฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลโดยการใช้ปะการังเทียม เพื่อเป็นแหล่งพักอาศัย แหล่งอาหารและแหล่งสืบพันธุ์ของสัตว์น้ำ อันจะเป็นการฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรสัตว์น้ำตามธรรมชาติ

ในส่วนของจังหวัดชุมพร 1.การบริหารจัดการน้ำตามโครงการพัฒนาพื้นที่หนองใหญ่ตามพระราชดำริที่เป็นการพัฒนาแก้มลิงธรรมชาติให้สามารถใช้ในการบรรเทาอุทกภัยของชุมพรและสามารถเก็บกักน้ำไว้ใช้ในการเกษตรและอุปโภคบริโภค 2.การส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนและสนับสนุนแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรในท้องถิ่นโดยการนำองค์ความรู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่นนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร บนแนวความคิดอย่างสร้างสรรค์ และสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของการรวมกลุ่มเชื่อมโยงเครือข่ายแลกเปลี่ยน เรียนรู้ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน

ทั้งนี้มีรายละเอียดงานดังต่อไปนี้

วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม 2561 เวลาประมาณ 08.45 น. นายกรัฐมนตรีพบประชาชน ณ หอประชุมพระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี ศูนย์ราชการจังหวัดระนอง ตำบลบางริ้น อำเภอเมือง จังหวัดระนอง โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีจะเป็นสักขีพยานพิธีมอบสมุดประจำตัวผู้ที่ได้รับการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน ตามนโยบายรัฐบาลในลักษณะแปลงรวม ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ “ป่าคลองลำเลียง – ละอุ่น” เนื้อที่ 511 – 3 – 33 ไร่ จำนวน 84 ราย 98 แปลง จากนั้น นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปต่อยังโรงพยาบาลระนอง ตำบลเขานิเวศน์ อำเภอเมือง เพื่อเยี่ยมชมบ่อน้ำพุร้อนรักษะวาริน รวมทั้งเยี่ยมชมการดำเนินงานของศูนย์ฟื้นฟูสภาพด้วยการแพทย์ทางเลือก พร้อมรับฟังบรรยายสรุปการดำเนินงานของศูนย์ฯ และเยี่ยมชมศูนย์ธาราบำบัด และคลินิกแพทย์แผนไทยและฝังเข็ม เสร็จแล้ว นายกรัฐมนตรีเดินทางต่อไปยังท่าเรือระนอง บ้านเขานางหงส์ ตำบลปากน้ำ อำเภอเมือง เพื่อเยี่ยมชมการบริหารจัดการท่าเรือระนอง พร้อมรับฟังบรรยายสรุปทิศทางการพัฒนาท่าเรือระนอง และมอบปะการังเทียมให้แก่ผู้แทนประชาชน

ช่วงบ่าย ณ จังหวัดชุมพร เวลาประมาณ 15.30 น. นายกรัฐมนตรีพบปะประชาชน และเยี่ยมชมการบริหารจัดการน้ำ พร้อมทั้งเยี่ยมชมโครงการแก้มลิงหนองใหญ่และสะพานไม้เคี่ยม ณ โครงการพัฒนาพื้นที่หนองใหญ่ตามพระราชดำริ ตำบลบางลึก อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร จากนั้น นายกรัฐมนตรีสักการะอุนสรณ์สถานพลเรือพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ และเยี่ยมชมทิวทัศน์หาดทรายรี ณ ศาลกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ตำบลหาดทรายรี อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร

วันอังคารที่ 21 สิงหาคม 2561 เวลา 08.30 น. ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย (ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และพัทลุง) และกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (ระนอง พังงา กระบี่ ภูเก็ต ตรัง และสตูล) จากนั้น นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 6/2561 ณ ห้องประชุมชั้น 4 อาคารคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง วิทยาเขตชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ตำบลชุมโค อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร

ช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรีร่วมกิจกรรมปล่อยลูกปูม้าจำนวน 10 ล้านตัว คืนสู่ทะเล เพื่อประกาศความอุดมสมบูรณ์ของทะเลและชายฝั่งภาคใต้ตอนบนร่วมกับพี่น้องชาวประมง กลุ่มอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล กลุ่มท่องเที่ยวทางทะเล และชุมชน ณ บริเวณชายหาดพระจอมเกล้าฯ จากนั้น นายกรัฐมนตรีเดินทางต่อไปเพื่อเยี่ยมชมการดำเนินงานของวิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร ตำบลทะเลทรัพย์ อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร เสร็จแล้วนายกรัฐมนตรีเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร

People unity news online : post 18 สิงหาคม 2561 เวลา 21.10 น.

“ไทยคม5″ระส่ำ! “เศรษฐพงค์” จี้ยึดคืนคลื่น 3.5 GHzในสภาฯหลังหมดสัมปทาน

People Unity News : “ไทยคม5” ระส่ำ! “เศรษฐพงค์” จี้ยึดคืนคลื่น 3.5 GHz หลังหมดสัมปทาน ลั่น 5Gไทย ต้องทัดเทียมมาตรฐานโลก วอน “ดีอีเอส-กสทช.” เปิดประมูลคลื่น 3.5GHz เพื่อคนไทยได้ใช้ 5G เต็มคุณภาพ ระบุ เป็นประโยชน์ต่อระบบการแพทย์-ศก.ดิจิทัล สอดคล้องนโยบายรัฐ เตือนทำ “พีพีพี” ดาวเทียมไทยคม 5 ต้องรอบคอบ เปิดกว้าง โปร่งใส

เมื่อวันที่ 6 พ.ย.2562 ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เป็นวาระการหารือ โดย พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิจไทย ขอหารือต่อที่ประชุมว่า วันนี้ตนมีเรื่องหารือที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนเทคโนโลยีด้านสาธารณสุข ซึ่งเรื่องดังกล่าวนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข มีความเป็นห่วงและติดตามอย่างใกล้ชิด ก่อนอื่นต้องขอของคุณนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือดีอีเอส และทาง กสทช. ที่มีความตั้งใจและร่วมมือกัน เพื่อจัดประมูลคลื่นความถี่สำหรับ 5G ในช่วงต้นปี 2563 ซึ่งจะสอดคล้องกับการพัฒนาประเทศในทุกมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการแพทย์ การสาธารณสุข ที่จะสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในอนาคตอันใกล้ แต่ประเด็นสำคัญที่ตนจะเน้นย้ำคือเรื่องคลื่นความถี่สำหรับ 5G โดยในปัจจุบันประเทศต่างๆ ทั่วโลกมีทิศทางหันไปใช้คลื่นความถี่ย่าน 3.5GHz ที่เป็นมาตรฐานสากลโดยสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ หรือ ITU ได้กำหนดไว้เช่นกัน และจะมีการผลิตอุปกรณ์หลักๆ มากมายบนย่าน 3.5GHz ดังกล่าวมากกว่าในย่านความถี่อื่นๆ

พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ กล่าวต่อว่า แต่ในแผนการประมูลคลื่นความถี่ที่จะเกิดขึ้นในต้นปีหน้าที่ กสทช. ได้ประกาศออกมานั้น ไม่ได้มีคลื่นความถี่ในย่าน 3.5GHz เลย จึงถือว่าเป็นความเสี่ยงอย่างมาก เนื่องจากถึงแม้ว่าจะสามารถนำคลื่นความถี่อื่นมาใช้ทำ 5G ได้ แต่อุปกรณ์ต่างๆ ที่ทั่วโลกผลิตมาอย่างแพร่หลายไม่ได้อยู่บนคลื่นความถี่เหล่านี้เป็นหลัก การใช้คลื่นความถี่ย่าน 2600 และ 700MHz ยังมีข้อจำกัดในเรื่องของจำนวนผู้ให้บริการ 5G ที่ยังมีไม่แพร่หลายนัก หากประเทศไทยใช้คลื่นความถี่ที่ไม่ได้รับความนิยม จะก่อให้เกิดปัญหาในเรื่องอุปกรณ์ปลายทาง คือโทรศัพท์มือถือ หรืออุปกรณ์ 5G อื่นๆ ที่ไม่มีในท้องตลาด ส่งผลให้ประชาชนต้องใช้อุปกรณ์ที่จะมีราคาสูง

“ดังนั้นผมเห็นว่าควรเร่งการจัดสรรคลื่นความถี่ย่าน 3.5GHz ซึ่งในปัจจุบันคือย่านความถี่ Extended C-Band ที่ใช้ในดาวเทียมไทยคม 5 ในการให้บริการทีวีดาวเทียมเป็นส่วนใหญ่ และปัจจุบันนี้กำลังได้รับความนิยมลดน้อยลง จึงทำให้หลายประเทศก็ได้มีการเรียกคืนความถี่ย่าน 3.5GHz นี้จากดาวเทียมและนำมาจัดสรรเป็นความถี่สำหรับเทคโนโลยี 5G ที่มีประโยชน์ต่อประชาชนมากกว่า ประเทศไทยไม่ควรให้ความหวัง 5G บนคลื่นความถี่อื่น ที่ไม่ใช่ 3.5GHz ที่ถือว่าเป็นความถี่หลักของ 5G ดังนั้น กระทรวงดีอีเอส และ กสทช. ควรเร่งนำคลื่น 3.5GHz มาร่วมประมูลด้วย เพื่อให้ 5G ไทยเทียบเท่ามาตรฐานโลก สามารถรองรับอุปกรณ์จากทั่วโลกที่มีราคาถูกลงอย่างรวดเร็วจนสามารถสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลตามนโยบายของรัฐบาลได้” พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ กล่าว

พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ กล่าวว่า สำหรับดาวเทียมไทยคม 5 กำลังจะหมดสัญญาสัมปทานในปี 2564 ได้ใช้ความถี่ย่าน 3.5GHz ซึ่งถูกนำมาใช้ในการให้บริการทีวีดาวเทียมเป็นส่วนใหญ่ แต่ปัจจุบันนี้กำลังได้รับความนิยมลดน้อยลง ตัวอย่างเช่น ในหลายประเทศก็ได้มีการเรียกคืนความถี่ย่าน 3.5GHz นี้จากดาวเทียมและนำมาจัดสรรเป็นความถี่สำหรับเทคโนโลยี 5G แล้ว ดังนั้นประเทศไทยจึงควรพิจารณาหาแนวทางในการวางแผนการเรียกคืนคลื่นความถี่ย่าน 3.5GHz เพื่อนำมาจัดสรรให้กับ 5G เพื่อให้ประเทศชาติและประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุด ตนจึงขอฝากท่านประธาน ไปยังผู้เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกระทรวงดีอีเอส, กสทช. และคณะกรรมการ 5G แห่งชาติ ที่กำลังจะเกิดขึ้น ช่วยพิจารณาประเด็นดังกล่าว และกรุณาแจ้งแนวทางการดำเนินงานให้ทางรัฐสภาทราบในโอกาสต่อไป

พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า เมื่อดาวเทียมไทยคม5 หมดสัญญาสัมปทานในปี 2564 แล้ว จะต้องมีการดำเนินการตาม พ.ร.บ. การร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (พีพีพี) ซึ่งกระทรวงดีอีเอส และทาง กสทช. จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายและมีนโยบายที่เปิดกว้างและดำเนินการอย่างโปร่งใส เพื่อให้ประชาชนและประเทศชาติได้รับประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้ ในส่วนสถานีภาคพื้นดิน (Ground Station) ที่ถูกสร้างในช่วงเวลาสัมปทาน ทั้งที่ตั้งไว้ในประเทศและต่างประเทศ เมื่อมีการเปลี่ยนผ่านจากระบบสัมปทานไปยังระบบใบอนุญาต จะทำให้ทรัพย์สินทั้งหมด ต้องถูกส่งมอบให้กับกระทรวงดีอีเอส เพื่อนำไปบริหารจัดการต่อ ซึ่งในส่วนนี้ทางกระทรวงดีอีเอส จะนำมาเป็นทรัพย์สินของรัฐในการเจรจา พีพีพี ด้วยหรือไม่ ตรงนี้ทางกระทรวง ดีอีเอส กสทช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะต้องมีการดำเนินการอย่างรอบคอบ โปร่งใส เพื่อผลประโยชน์สูงสุดแก่พี่น้องประชาชน

Verified by ExactMetrics