วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2025

ไทยรับมอบ 4 วัตถุโบราณบ้านเชียง อายุกว่า 3,500 ปี

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 17 พฤศจิกายน 2567 ประเทศไทยรับมอบ 4 วัตถุโบราณบ้านเชียง อายุกว่า 3,500 ปี ย้ำความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและสหรัฐ

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยกระทรวงวัฒนธรรมรับมอบโบราณวัตถุบ้านเชียง 4 ชิ้น จากสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย ณ พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ประกอบด้วย ภาชนะดินเผา กำไลข้อมือ และลูกกลิ้งทรงกระบอกสองชิ้นที่ยังไม่ทราบการใช้งานที่แน่ชัด โดยวัตถุโบราณดังกล่าว มีลวดลายเขียนสีแดงที่เป็นเอกลักษณ์ของเครื่องปั้นดินเผาจากแหล่งโบราณคดีบ้านเชียง จ.อุดรธานี ที่ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก และได้รับยกย่องว่าเป็นศูนย์กลางของวิวัฒนาการทางวัฒนธรรม สังคม และเทคโนโลยีของมนุษย์ ยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่มีอายุกว่า 3,500 ปี

“พิธีการส่งคืนโบราณวัตถุบ้านเชียงพิธีครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการแสดงออกถึงการให้ความสำคัญต่อแหล่งที่มาของโบราณวัตถุแล้ว ถือเป็นความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศไทยและสหรัฐอเมริกาที่ดำเนินความร่วมมือทางด้านวัฒนธรรมมาต่อเนื่อง ต่อจากการส่งคืนโบราณวัตถุประติมากรรมสำริดรูปพระศิวะ (The Standing Shiva) หรือ โกลเด้นบอย เมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งการนำวัตถุโบราณ ที่ห่างไกลจากประเทศไทย ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะสถานทูตสหรัฐที่ติดต่อและส่งคืนวัตถุโบราณล้ำค่าชิ้นนี้ รวมถึงหน่วยงานทุกฝ่ายที่ให้ความร่วมมือโดยเฉพาะองค์การยูเนสโก” นางสาวศศิกานต์ ระบุ

นางสาวศศิกานต์ กล่าวว่า คณะกรรมการติดตามโบราณวัตถุในต่างประเทศ และได้วางแนวทางติดตามวัตถุโบราณคืนสู่ประเทศไทยทุก ๆ สามเดือน และได้รับแจ้งว่าสหรัฐจะส่งคืนโบราณสถานให้ไทยอีก 2 ชิ้น เป็นประติมากรรมรูปเคารพในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการตรวจพิสูจน์ และภายหลังการรับมอบโบราณวัตถุทั้ง 4 ชิ้น จะมีการจัดแสดงให้ผู้สนใจได้เข้าชมยังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติต่อไป

Advertisement

นายกฯ ภูมิใจความสำเร็จหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 16 พฤศจิกายน 2567 เปรู – นายกฯ ประชุม APEC CEO Summit ภูมิใจความสำเร็จหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ทำให้คนไทยเข้าถึงบริการราคาถูก-เท่าเทียม ย้ำ ระบบสาธารณสุขเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน เดินหน้าใช้ประโยชน์นวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัล พร้อมขอความร่วมมือเอเปคสนับสนุนการสร้างระบบที่ยั่งยืน ยืดหยุ่น และครอบคลุมทุกช่วงวัย

เวลา 15.40 น. ของวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 ตามเวลาท้องถิ่นของกรุงลิมา ซึ่งช้ากว่าประเทศไทย 12 ชั่วโมง ณ เดอะ แกรนด์ เนชั่นนอล เทียร์เตอร์ ออฟ เปรู กรุงลิมา สาธารณรัฐเปรู นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวถ้อยแถลงในการประชุมสุดยอดผู้นำภาคเอกชนของเอเปค (the APEC CEO Summit) ว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ เพราะสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีถือเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ และเกี่ยวพันโดยตรงกับความท้าทายและโอกาสทางเศรษฐกิจในทุกด้านที่ต้องเผชิญ

ประเทศไทยจึงเชื่อว่า ระบบสาธารณสุขถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน เพราะสุขภาพที่ดีจะเป็นรากฐานสำคัญของความมั่นคงของมนุษย์ และเป็นความมั่งคั่งที่แท้จริงทางเศรษฐกิจของไทย ด้วยเหตุนี้ ประเทศไทยจึงภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ที่บรรลุเป้าหมายระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (Universal Health Coverage) หรือ UHC ตั้งแต่ปี 2545 ซึ่งทำให้คนไทยสามารถเข้าถึงบริการด้านสุขภาพที่ราคาไม่แพงและเท่าเทียมกันมายาวนานกว่า 22 ปี จึงสามารถพูดได้ว่า ปัจจุบันคนไทยมากกว่า 99% มีประกันสุขภาพแล้ว จึงเชื่อมั่นว่าเรื่องนี้จะช่วยแบ่งเบาภาระค่ารักษาพยาบาลสำหรับครอบครัวที่ประสบปัญหาได้อย่างแน่นอน

พร้อมย้ำว่า ปัจจุบันไทยและเขตเศรษฐกิจอื่นๆ กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากร ส่งผลให้ประชากรมากกว่า 20% มีอายุมากกว่า 60 ปี และไทยจะเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอดภายในทศวรรษหน้า อันจะส่งผลให้กำลังแรงงานและประสิทธิภาพการผลิตลดลง ไทยจึงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาระบบ UHC เพื่อตอบสนองต่อความท้าทายที่เกิดขึ้นใหม่ในลักษณะที่ครอบคลุมและมีส่วนร่วม

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังได้กล่าวถึงการประกาศนโยบาย “30 บาท รักษาทุกที่” ซึ่งจะทำให้ระบบสาธารณสุขทั้งหมดเป็นระบบระเบียบ โดยใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีดิจิทัลในการให้บริการอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่การเข้าคิว การส่งต่อ การวินิจฉัยโรค การสั่งยา การบริการสุขภาพ เข้าถึงผู้คนทุกวัย รวมถึงประชากรสูงวัย ด้วยค่าใช้จ่ายประมาณ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ จึงขอใช้โอกาสนี้ขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์ของไทยทุกคนสำหรับการบริการและความทุ่มเท เนื่องจากระบบการแพทย์ทางไกลช่วยให้เข้าถึงการดูแลสุขภาพจากที่บ้านได้ และเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพของไทยกับฐานข้อมูลของโรงพยาบาลมากกว่า 500 แห่ง ได้อย่างอย่างไร้รอยต่อ

ประเทศไทยจึงให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมสุขภาพและการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน ผ่าน“แอปพลิเคชันสมุดบันทึกสุขภาพผู้สูงอายุ (Blue Book Application)” ซึ่งให้คำแนะนำด้านการดูแลสุขภาพกับผู้สูงอายุ และสนับสนุนให้ผู้สูงอายุติดตามสุขภาพและความเป็นอยู่อย่างจริงจัง เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมแห่งสุขภาพที่ดี ตลอดจนสร้างระบบสุขภาพที่ยั่งยืน ยืดหยุ่น และครอบคลุมทุกมิติ

ด้วยเหตุนี้ อยากให้เอเปคสนับสนุนคนในทุกช่วงวัยใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี มีเป้าหมาย และเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เนื่องจากประชากรผู้สูงอายุมีเพิ่มขึ้น เอเปคจึงควรมีบทบาทสำคัญในการสร้างการมีส่วนร่วมของผู้สูงอายุในการพัฒนาเศรษฐกิจสุขภาพ เพื่อให้แน่ใจว่าจะสามารถสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงประชากรศาสตร์ทั่วโลก โดยใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลในการดูแลสุขภาพ เข้ามาช่วยสนับสนุนระบบให้มีความยืดหยุ่นและครอบคลุมทั่วทั้งภูมิภาค เพื่อให้ประชากรสูงวัยมีชีวิตที่ดีและยืนยาวขึ้น ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรี ยังสนับสนุนให้สภาที่ปรึกษาธุรกิจเอเปค หารือเพิ่มเติมเกี่ยวกับการส่งเสริมการจ้างงานสำหรับแรงงานสูงอายุ ซึ่งรวมถึงการฝึกอบรมทักษะใหม่และยกระดับทักษะด้วย

เนื่องจากเห็นว่า ความรู้ที่มีเกี่ยวกับสุขภาพ วิทยาศาสตร์อาหาร เทคโนโลยีชีวภาพ และนวัตกรรมการดูแลสุขภาพ เป็นเครื่องมือสำคัญในการชี้แนะให้ดูแลสุขภาพและความสมบูรณ์ของร่างกายได้ดีขึ้น และสามารถลดโอกาสการเกิดโรคร้ายแรงได้ ซึ่งจากแนวคิด the Care and Wellness Economy ที่ผสมผสานสุขภาพ การท่องเที่ยว และนวัตกรรม โดยเพิ่มการให้การบริการดูแลอย่างจริงใจนั้น เชื่อว่าจะสามารถมอบโอกาสมากมายที่สามารถส่งเสริมสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนในระยะยาวได้

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่าประเทศไทยจะส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และบริการที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพอย่างแข็งขัน และเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนี้ ด้วยโครงสร้างพื้นฐานด้านการดูแลสุขภาพที่แข็งแกร่ง สิ่งอำนวยความสะดวกทางการแพทย์ที่มีคุณภาพสูง มีผู้เชี่ยวชาญที่มีทักษะ และมีต้นทุนที่เอื้อมถึง ทั้งนี้รัฐบาลได้ให้นโยบาย กับคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ของไทย ให้มีมาตรการทางภาษีและมาตรการส่งเสริมการลงทุน ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ บริการด้านสาธารณสุข และการวิจัยทางคลินิก ให้กับนักลงทุนจากต่างประเทศอีกด้วย โดยที่ไทยพร้อมจะเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ในระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติ เดินหน้าทำงานเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนระหว่างประเทศ และ มีส่วนร่วมกับเขตเศรษฐกิจเอเปค รวมถึงชุมชนธุรกิจเอเปคต่อไป เพื่อสร้างระบบนิเวศทางการแพทย์ที่สมบูรณ์ และเพื่อความเป็นอยู่ที่ดี ของประชาชนในภูมิภาคและพื้นที่อื่นๆ

Advertisement

รมว.ต่างประเทศระบุ ผลการเจรจา MOU44 เพื่อใช้ประโยชน์ปิโตรเลียมในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 6 พฤศจิกายน 2567 รมว.กต.ยืนยันผลการเจรจาเพื่อใช้ประโยชน์ปิโตรเลียมในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนไทย-กัมพูชา ประชาชนไทยต้องเห็นชอบก่อน – ย้ำผลประโยชน์ต้องเป็นของประชาชน – ชี้ MOU44 เป็นกลไกทำให้การเจรจาไทยกับกัมพูชาเดินหน้าได้

นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงถึงความกังวลเกี่ยวกับพื้นที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกันระหว่างไทยกับกัมพูชาในบริเวณอ่าวไทยว่า ผลการเจรจา หากจะสำเร็จ และยุติได้ จะต้องเป็นที่ยอมรับของประชาชนทั้ง 2 ฝ่าย รัฐสภาของทั้งสองประเทศ จะต้องให้ความเห็นชอบ ผ่านการเสนอจากคณะรัฐมนตรี เข้าสู่กระบวนการรัฐสภาในฐานะผู้แทนประชาชน ที่จะเป็นผู้ตัดสินว่า เห็นชอบกับผลการเจรจาหรือไม่ และข้อตกลงจะต้องสอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ ที่จะให้มีการเจรจาเพื่อเอื้อผลประโยชน์ให้แก่ผู้ใดผู้หนึ่งได้ตามที่มีการกล่าวอ้าง

ส่วนการใช้ประโยชน์เหนือแหล่งปิโตรเลียมนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงว่า ยังไม่สามารถกระทำได้จนกว่าการเจรจาดังกล่าวจะมีข้อยุติ โดยผลการเจรจาจะต้องเป็นที่ยอมรับได้ของประชาชนทั้งสองประเทศ ซึ่ง MOU44 กำหนดให้จะต้องเจรจา 2 เรื่องทั้ง “เขตทางทะเล” และ “การพัฒนาพื้นที่ร่วมกัน” ไปพร้อม ๆ กันโดยไม่อาจแบ่งแยกได้ พร้อมยืนยันว่า หากการเจรจาสำเร็จ ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์สูงสุดต้องเป็นประเทศชาติ และพี่น้องประชาชนคนไทย ที่จะมีเขตทางทะเลที่ชัดเจนกับประเทศเพื่อนบ้าน และได้ใช้พลังงานที่มีราคาถูกลงอย่างมีนัยยะสำคัญ

นายมาริษ กล่าวถึงกรณีที่มีการเรียกร้องให้มีการยกเลิก MOU44 เพราะถือเป็นการยอมรับเส้นอ้างสิทธิของกัมพูชา และทำให้ไทยเสี่ยงเสียดินแดนว่า MOU44 ไม่ได้เป็นการยอมรับเส้นอ้างสิทธิในไหล่ทวีปของกัมพูชา และไม่ได้ทำให้ไทยเสียดินแดนใด ๆ เพราะเกาะกูดอยู่ภายใต้อธิปไตยของไทย 100 เปอร์เซ็นต์ และจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ เพราะสาระสำคัญ ใน MOU44 เป็นเพียงการตกลงร่วมกัน “เพื่อที่จะเจรจาเท่านั้น” โดยแผนผังแนบท้าย เป็นเพียง “ภาพประกอบของพื้นที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปของแต่ละประเทศ” ซึ่งเส้นอ้างสิทธิในข้อตกลงนี้ ไม่ใช่เส้นเขตทางทะเล ตามที่มีการเข้าใจผิดแต่อย่างใด

นายมาริษ ยังย้ำอีกว่า การคงไว้ซึ่ง MOU44 เป็นผลดีมากกว่าผลเสีย เพราะข้อตกลงนี้ทำให้ ทั้งสองฝ่าย มีพันธกรณีที่จะต้องมาเจรจากัน ทั้งในเรื่อง “เขตทางทะเล” และ “พื้นที่พัฒนาร่วม” ไปพร้อม ๆ กัน

ส่วนกรณีที่รัฐบาลเมื่อปี 2552 ได้มีมติเห็นชอบในหลักการให้ยกเลิก MOU44 โดยให้ไปศึกษาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้รอบคอบก่อนนำเรื่องเข้าสู่คณะรัฐมนตรี และรัฐสภานั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงว่า ในกระบวนการศึกษาข้อมูลดังกล่าว กระทรวงการต่างประเทศได้ประชุมหารือ และรับฟังข้อคิดเห็นจากคณะที่ปรึกษากฎหมายต่างประเทศ ประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และส่วนราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งหน่วยงานด้านความมั่นคง และด้านกฎหมาย จนได้ข้อสรุป เสนอเป็นมติคณะรัฐมนตรีในปี 2557 ว่า การคง MOU44 ไว้ เป็นผลดีมากกว่าเสีย และที่สำคัญการมีเขตทางทะเลที่ชัดเจน จะนำไปสู่การเจรจาการใช้ประโยชน์เหนือแหล่งปิโตรเลียมได้อย่างชัดเจนด้วยเช่นกัน

“ขอให้เชื่อมั่นว่า การเจรจาจะคำนึงถึงอธิปไตยและผลประโยชน์ของคนไทยเป็นที่ตั้ง โดยยืนยันว่า กระทรวงการต่างประเทศ จะทำงานด้วยความเป็นมืออาชีพสูงสุด” นายมาริษ ยืนยัน

Advertisement

 

นายกฯยันจำเป็นต้องตั้งคณะกรรมการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนไทย – กัมพูชา เพื่อกลั่นกรองข้อมูล – สื่อสาร

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 5 พฤศจิกายน 2567 นายกฯ “แพทองธาร” คาดแต่งตั้งคณะกรรมการเจรจาพื้นที่ทับซ้อน ไทย – กัมพูชา เข้าที่ประชุม ครม. อีก 2 สัปดาห์ ย้ำจำเป็นต้องมากลั่นกรองข้อมูล – สื่อสาร

วันนี้ (5 พฤศจิกายน 2567) เวลา 11.45 น. ณ บริเวณโถงกลาง ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)  ถึงประเด็นที่ประชุม ครม. เห็นชอบแต่งตั้งคณะทางเทคนิคที่จะไปพูดคุยกับทางด้านประเทศกัมพูชา ว่า ยังไม่มีการแต่งตั้งวันนี้ยังไม่มีเรื่องดังกล่าวเข้าในที่ประชุม ครม. แต่คิดว่าไม่เกินอีกสองสัปดาห์จะมีการนำเรื่องเข้าที่ประชุม ครม.

ผู้สื่อข่าวได้ถามว่าเป็นที่แน่นอนว่ารัฐบาลจะต้องพูดคุยเจรจา กับทางด้านประเทศกัมพูชา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่อง MOU 44 ที่ได้พูดเมื่อวานต้องมีการตั้งคณะกรรมการขึ้น เพื่อเจรจา อย่างไรก็ตามเรื่องดังกล่าวนั้น เป็นเรื่องระหว่างประเทศเราต้องมีคณะกรรมการ และเป็นที่แน่นอนว่าทุกรัฐบาลมีมาแล้ว แต่รัฐบาลนี้ยังแต่งตั้งไม่แล้วเสร็จ แต่ถ้าแต่งตั้งแล้วเสร็จเมื่อมีคำถามหรือต้องสื่อสารกับประชาชนภายในประเทศหรือแต่ละประเทศอย่างไร คณะกรรมการนี้จะกรองเรื่องของข้อมูลและการสื่อสารก่อน เพราะฉะนั้นต้องมีการแต่งตั้งแน่นอน ตั้งไว้เพื่อเจรจากัน

ส่วนจะเป็นนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง นั่งเก้าอี้เป็นประธานฯ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศแถลงหรือไม่ นายกรัฐมนตรี  ระบุว่า คงต้องไปดูกันอีกที

Advertisement

 

นายกฯระบุหากไทยยกเลิก MOU 44 อาจโดนฟ้องร้องจากกัมพูชาอย่างแน่นอน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 4 พฤศจิกายน 2567 นายกรัฐมนตรี ยืนยันเกาะกูดเป็นของประเทศไทย ไม่มีการยกเลิก MOU 44 เตรียมตั้งคณะกรรมการฝ่ายไทย คุย กัมพูชา ยืนยันรัฐบาล รักษาผลประโยชน์ให้คนไทย

วันนี้ (4 พฤศจิกายน 2567) เวลา 15.00 น. ณ บริเวณทางเชื่อมตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการหารือพรรคร่วมรัฐบาล กรณี MOU 44 บันทึกข้อตกลงไทย – กัมพูชา  เกี่ยวกับกรอบเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย – กัมพูชา โดยยืนยันว่า เกาะกูดเป็นของประเทศไทย และเป็นมาตั้งนานแล้ว ซึ่งไทยและกัมพูชาต่างรับรู้อยู่แล้วว่าเกาะกูดเป็นของประเทศไทย และเป็นไปตามสนธิสัญญาฝรั่งเศส ซึ่งแน่นอนว่ารัฐบาลจะไม่ยอมเสียพื้นที่ของประเทศไทยแม้แต่ตารางนิ้วเดียวไปให้ใครก็ตาม

นายกรัฐมนตรีย้ำว่า เกาะกูด ไม่เคยมีปัญหากับทางกัมพูชา และไม่เคยมีข้อสงสัยในเรื่องนี้ อาจจะเกิดความเข้าใจผิดกันของคนในประเทศไทยเอง  ซึ่งความจริงแล้วขอให้มั่นใจได้ว่าเกาะกูดเป็นของประเทศไทย  ส่วน MOU 44 ยังคงอยู่ไม่สามารถมีการยกเลิกได้ หากจะยกเลิกต้องใช้ข้อตกลงระหว่าง 2 ประเทศ  หากไทยยกเลิกเองก็ไม่สามารถทำได้ เพราะอาจถูกฟ้องได้ เพราะเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศ

ส่วนรัศมีรอบเกาะกูดในพื้นที่ทะเล มีความชัดเจนอย่างไรนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวยืนยันว่า MOU ดังกล่าว ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเกาะกูด เพราะเส้นที่ตีหากไปดูทางกัมพูชาก็ได้ตีเส้นเว้นเกาะกูดไว้ เรื่องนี้จึงไม่เกี่ยวกัน ซึ่งในการพูดคุยไม่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ดิน แต่มีการพูดคุยทางทะเลในสัดส่วนที่มีการขีดเส้น ซึ่ง MOU มีการขีดเส้นไม่เหมือนกัน แต่เนื้อหาใน MOU เป็นข้อตกลงจะมีการเจรจากันทั้งสองประเทศ นี้คือความหมายใน MOU 44 ดังนั้นจะเกิดอะไรขึ้น หรือต้องตกลงพูดคุยกันอย่างไร ต้องมีคณะกรรมการ คณะทำงานมาพูดคุยกัน ซึ่งตอนนี้คณะกรรมการทางกัมพูชามีอยู่แล้ว แต่ของไทยเมื่อเปลี่ยนรัฐบาล ต้องเปลี่ยนคณะกรรมการด้วย เนื่องจากคณะกรรมการต้องจบไปตามรัฐบาล ตั้งแต่สมัยรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ก็มีคณะกรรมการนี้เกิดขึ้น ดังนั้น รัฐบาลอยู่ระหว่างจัดตั้งคณะกรรมการนี้อยู่ โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นคณะกรรมการ จะได้คณะกรรมการในเร็วๆ นี้ เมื่อมีการตั้งคณะกรรมการเสร็จสิ้น ก็จะมีการศึกษาและหารือกัน ว่าระหว่างประเทศจะดำเนินการข้อตกลงอย่างไร

ส่วนที่มีการมองว่า หากไม่ยกเลิก MOU 44 จะทำให้ไทยยอมรับเส้นของกัมพูชานั้น นายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด ไม่มีการยอมรับเส้นใด ๆ ซึ่ง MOU นี้ คือการที่คิดไม่เหมือนกันแต่ต้องแก้ไขปัญหาร่วมกันระหว่างทั้งสองประเทศซึ่งตั้งแต่ปี 2515 กัมพูชาได้ดำเนินการขีดเส้นมาก่อน เมื่อปี 2516 ประเทศไทยก็ดำเนินการขีดเส้นด้วย เมื่อขีดเหมือนกัน แต่ข้อตกลงข้างในไม่เหมือนกัน จึงต้องมี MOU ขึ้นมา แล้วเปิดการเจรจา เป็นความเท่าเทียมกันว่าทั้งสองประเทศ จะต้องพูดคุยกันว่าจะดำเนินการอย่างไร  โดย MOU นี้ไม่เกี่ยวข้องกันเกาะกูด และเกาะกูดก็ไม่ได้อยู่การเจรจา จึงขอให้คนไทยสบายใจได้ว่าจะไม่เสียเกาะกูดไป ซึ่งกัมพูชาไม่สนใจเกาะกูดของไทย เพราะไม่ได้อยู่ในการเจรจานี้ จึงขอให้ประชาชนอย่ากังวลเรื่องนี้

ขณะเดียวกันมีข้ออ้างว่า ไทยมีมติ ครม. ยกเลิก MOU 44 สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยืนยันว่าไม่มีเรื่องนี้  ข้อเท็จจริงคือ mou 44 ยกเลิกไม่ได้ ถ้าไม่มีการตกลงระหว่างสองประเทศ และเรื่องนี้ต้องเข้าสู่ที่ประชุมสภาฯ ซึ่งเป็นไปตามกฎหมาย ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่มี และเมื่อปี 2552 ไม่ได้นำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมสภา และในปี 2557 พลเอกประยุทธ์ ยืนยันเป็นเนื้อเดียวกัน มีมติ ครม.ว่าไม่มีการยกเลิก

ส่วนมีกระแสให้มีการยกเลิก MOU 44  นายกรัฐมนตรี จะดำเนินการแก้ไขอย่างไรไม่ให้เกิดปัญหาบานปลาย นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ถ้ายกเลิกแล้วได้อะไร ซึ่งการยกเลิกแล้วได้อะไร ต้องกลับมาที่เหตุและผล ทุกประเทศอาจคิดไม่เหมือนกันได้ เมื่อคิดไม่เหมือนกันก็ต้องมีข้อตกลงเพื่อมาพูดคุยกัน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาระหว่างประเทศซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญ การรักษาความสงบของประเทศเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นใน MOU นี้ เปิดให้ทั้งสองประเทศพูดคุยกัน ซึ่งหากไทยยกเลิกอาจโดนฟ้องร้องจากกัมพูชาอย่างแน่นอน ไม่มีประโยชน์ใด ๆ  ซึ่งการหารือในวันนี้ ยืนยันว่าตนเองรับฟังเสียงคัดค้าน จึงมีการมาพูดคุยและทุกคนตกลงในเนื้อหาเดียวกันอย่างง่ายดาย และเข้าใจตามรายละเอียดว่า เป็นข้อตกลงระหว่างประเทศไม่เกี่ยวกับเสียงคัดค้าน วันนี้ที่ออกมาชี้แจงให้ประชาชนได้เข้าใจเพื่อจะอธิบายให้ทุกคนเข้าใจว่า  MOU ไม่เกี่ยวกับเกาะกูด และ MOU เป็นเรื่องข้อตกลงระหว่างประเทศ  และไทยยังไม่ได้เสียเปรียบในเรื่องของการตกลงเรื่องนี้ อย่านำเรื่องการเมืองมาทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศสั่นคลอน  ขอให้ทำความเข้าใจต่าง ๆ  ให้ตรงกันตามหลัก และพรรคร่วมรัฐบาล ก็เห็นด้วยในการเดินหน้า MOU ต่อในเรื่องนี้   ขณะนี้กัมพูชารอฝ่ายไทยตั้งคณะกรรมการ เพื่อเป็นตัวแทนไปพูดคุย เชื่อว่าเรื่องนี้จะไม่บานปลายหากทุกคนเข้าใจในหลักการ เพราะคือข้อเท็จจริง ยืนยันว่าไม่มีเบื้องหลังใด ๆ  แต่นี้คือกรอบเป็นไปตามกฎหมาย และเรื่องนี้ไม่เป็นเผือกร้อนในมือของตนเอง

ส่วนแนวทางของรัฐบาลไทยกับข้อตกลงผลประโยชน์ที่ทับซ้อนทางทะเล จะดำเนินการอย่างไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องคุยกันระหว่างประเทศพร้อมศึกษารายละเอียดจะสามารถแบ่งกันอย่างไร เพื่อทั้งสองประเทศได้ผลประโยชน์และเกิดความยุติธรรม เพราะหลายคนรู้ว่ามีก๊าซธรรมชาติ และสามารถลดต้นทุนพลังงานได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องส่งคณะกรรมการซึ่งเป็นผู้รู้ในรายละเอียดต่าง ๆ ไปศึกษาร่วมกันทั้งสองประเทศ เพื่อให้ได้คำตอบต่อประชาชนอย่างชัดเจน ซึ่งอยู่ในกระบวนการต่อไป

ส่วนจะใช้ความสัมพันธ์ที่ดีของนายทักษิณ ชินวัตร เพื่อพูดคุยกับกัมพูชาหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ความสัมพันธ์ที่ดีสามารถสร้างคอนเนคชั่นดี ๆ ได้ เปรียบเหมือนมีเพื่อนสนิท ก็สามารถคุยกับเพื่อนสนิทได้ แต่เรื่องผลประโยชน์แต่ละประเทศต้องใช้คณะกรรมการ เพื่อจะได้ไม่เกิดการต่อต้าน ซึ่งเรื่องของประเทศบางอย่างที่สำคัญต้องใช้กรรมการคุยกัน เพื่อจะเกิดความรู้ รู้ครบ และมีความยุติธรรม เป็นสิ่งสำคัญและยืนยันรัฐบาลนี้ปกป้องผลประโยชน์ของประเทศอย่างสูงสุด เพราะตนเองเป็นคนไทยร้อยเปอร์เซ็นต์และประเทศไทย คนไทย ต้องมาก่อน ดังนั้นรัฐบาลนี้ยืนยันจะรักษาแผ่นดินไทยไว้อย่างเต็มที่ และจะทำให้ประชาชนมีความสุขที่สุด นั่นคือสิ่งที่ต้องการ

Advertisement

“นพดล ปัทมะ” ยันเกาะกูดเป็นของไทยมาตลอด MOU 44 ไม่ได้ทำให้ไทยเสียเกาะกูด

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 1 พฤศจิกายน 2567 รัฐสภา – “นพดล” ยืนยันเกาะกูดเป็นของไทยมาตลอด MOU 44 ไม่ได้ทำให้ไทยเสียเกาะกูด ขอเลิกบิดเบือนจุดกระแส เพื่อหวังผลทางการเมือง

นายนพดล ปัทมะ สส. บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงกระแสการบิดเบือนว่าไทยจะเสียเกาะกูดและเอ็มโอยู 44 อาจนำไปสู่การเสียเกาะกูดว่า ข้อเท็จจริงคือเกาะกูดเป็นของไทยตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศสมานานแล้ว และไม่มีใครสามารถยกเกาะกูดให้กัมพูชาได้ คนไทยไปเที่ยวได้ตลอด ตนไม่เคยได้ยินว่ากัมพูชาเรียกร้องสิทธิเหนือเกาะกูด จึงขอเรียกร้องให้เลิกปั่นกระแสไทยเสียเกาะกูดในขณะนี้ เพราะเป็นความเท็จ รัฐบาลนี้รักประเทศชาติ ไม่มีใครจะทำให้ไทยเสียดินแดน

ส่วนที่มีการบิดเบือนว่าเอ็มโอยู 44 จะทำให้ไทยเสียดินแดนนั้น เห็นว่าเอ็มโอยู 44 ที่ลงนามโดยนายสุรเกียรติ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้น ไม่ได้ทำให้ไทยเสียเกาะกูด และเป็นกรอบในการเจรจาเรื่องพื้นที่ทางทะเลและพื้นที่พัฒนาร่วม เนื่องจากทั้งไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิ์ในเขตไหล่ทวีปทับซ้อนกัน สองประเทศเลือกวิธีเจรจาทางการทูต จึงเป็นที่มาของ เอ็มโอยู 44 เพื่อวางกรอบในการเจรจา บนพื้นฐานกฎหมายระหว่างประเทศ นอกจากนั้น มีการระบุชัดเจนว่าเนื้อหาของเอ็มโอยู 44 และการเจรจาจะไม่มีผลกระทบต่อการอ้างสิทธิ์ทางทะเลของทั้งไทยและกัมพูชา อีกทั้งการเจรจานั้นจะต้องกระทำโดยคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิคไทย-กัมพูชา (JTC) เจทีซี คนอื่นไปเจรจาไม่ได้ แม้แต่ตัวนายกรัฐมนตรี นอกจากนั้น รัฐบาลก่อนนายเศรษฐา ทวีสินเป็น นายกรัฐมนตรี ก็เคยใช้การเจรจาตามกรอบของเอ็มโอยู 44 มาก่อน

นายนพดลกล่าวต่อว่า ตนไม่อยากให้นำเรื่องดินแดนมาบิดเบือนใส่ร้าย อย่างเช่นที่ตนเคยถูกกระทำในอดีต ในสมัยที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ตนถูกใส่ร้ายว่าเป็นคนยกปราสาทพระวิหารให้กัมพูชา ทั้งๆที่ไทยยกปราสาทพระวิหารให้กัมพูชาตามคำตัดสินศาลโลกไปแล้วตั้งแต่ปี 2505 ที่มีจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์เป็นนายกรัฐมนตรี ดังนั้นการใส่ร้ายว่า ตนยกเขาพระวิหารให้กัมพูชาจึงเป็นความเท็จโดยสิ้นเชิง ซึ่งในเรื่องนี้ตนถูกฟ้อง แต่ศาลฎีกาก็ได้พิพากษายกฟ้องตนและในคำพิพากษาก็ได้ระบุว่าสิ่งที่ตนทำถูกต้องและประเทศจะได้ประโยชน์ ซึ่งถ้าไม่จุดกระแสคลั่งชาติเพื่อหวังผลการเมืองในขณะนั้น ไทยจะรักษาได้ทั้งดินแดนและความสัมพันธ์ที่ดีกับกัมพูชา แต่เสียดายที่การจุดกระแสด้วยความเท็จ ทำให้มีการปะทะตามแนวชายแดน มีทหารเสียชีวิต และทำให้ในปี 2554 กัมพูชากลับไปศาลโลกอีกครั้งหนึ่งเพื่อยื่นตีความคำพิพากษาศาลโลกปี 2505 จนมีคำตัดสินตีความคดีปราสาทพระวิหารเดิมออกมาในปี 2556 ซึ่งในคำพิพากษาก็ระบุชัดเจนว่ากัมพูชา ไม่ได้ขึ้นทะเบียนมรดกโลกรวมพื้นที่ซับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรตามที่ตนปกป้องไว้

“คนไทยไม่ว่าเสื้อสีอะไรรักชาติเท่ากัน อย่านำประเด็นรื่องดินแดนมาทำ เป็นประเด็นการเมืองเพื่อหวังบั่นทอนเสถียรภาพของรัฐบาลเลย ถ้ารักชาติจริง ต้องเอาความจริงและข้อกฎหมายมาพูดกัน นอกจากนั้นการเจรจาตามกรอบเอ็มโอยู 44 จะต้องกระทำโดยคณะกรรมการ เจทีซี ซึ่งที่ผ่านมาประกอบไปด้วยเจ้าหน้าที่จากกระทรวงพลังงาน กองทัพ กระทรวงการต่าง เป็นต้น โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่จากกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ซึ่งรักชาติและมืออาชีพ เป็นไปได้อย่างไรที่บุคคลเหล่านี้จะทำให้ไทยเสียดินแดน” นายนพดล กล่าว

Advertisement

มหามงคล..คนไทยมีโอกาสสักการะ ”พระเขี้ยวแก้ว” ในรอบ 22 ปี อัญเชิญจากกรุงปักกิ่งให้คนไทยสักการะท้องสนามหลวง 73 วัน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 31 ตุลาคม 2567 มหามงคล..คนไทยมีโอกาสสักการะ ”พระเขี้ยวแก้ว” ในรอบ 22 ปี หลังไทย-จีน เห็นพ้อง อัญเชิญจาก กรุงปักกิ่งให้คนไทยได้สักการะที่ท้องสนามหลวง 73 วัน ในโอกาสเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระชนมพรรษา 6 รอบ และโอกาสความสัมพันธ์ มิตรภาพ ไทย-จีนครบ 50 ปี เริ่ม 4 ธันวาคมนี้ไปจนถึง 14 กุมภาพันธ์ปีหน้า

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี รับทราบกรณีรัฐบาลไทยและรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน เห็นชอบร่วมกัน ให้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) จากวัดหลิงกวง กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน มาประดิษฐานที่กรุงเทพมหานครเป็นการชั่วคราว เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 และในโอกาสการครบรอบ 50 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย – จีน ในปี 2568  โดยเปิดให้ ประชาชน สักการะระหว่างวันที่ 4 ธันวาคม 2567 – 14 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นเวลา 73 วัน ณ ท้องสนามหลวง และจะอัญเชิญกลับประเทศจีนในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568

“ที่ผ่านมา รัฐบาลจีนได้เคยอนุญาตให้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) มาประดิษฐานในประเทศไทยเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2545 ณ พุทธมณฑล ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร  ซึ่งถือเป็น 1ใน 6 ครั้งที่ประดิษฐานนอกประเทศจีน  ซึ่งครั้งนี้ถือเป็นสิริมงคลยิ่งต่อพุทธศาสนิกชน ทั้งชาวไทยและชาวจีนในประเทศไทยที่มีโอกาส เข้าสักการะโดยไม่ต้องเดินทางไป ถึงกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน”

นายจิรายุกล่าวต่อไป ว่า”การอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) มาประดิษฐานในไทยครั้งนี้ จะสานต่อมิตรภาพอันยาวนานระหว่างไทยกับจีนให้แน่นแฟ้น ผ่านสายสัมพันธ์ทางพระพุทธศาสนา และผลักดันการสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันระหว่างไทย- จีน และให้คำว่า“จีนไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน” ยิ่งหยั่งรากลงลึกในจิตใจของประชาชนของทั้งสองประเทศ  ทั้งนี้รัฐบาลได้จัดพิธีบวงสรวงการจัดสร้างมณฑปประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วในวันพรุ่งนี้ พุธที่ 30 ตุลาคม 2567 เวลา 14.00 น. ณ ท้องสนามหลวง โดยมีนายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธี”นายจิรายุ กล่าว

Advertisement

นายกฯต้อนรับเลขาธิการ OECD ย้ำไทยพร้อมเข้าเป็นสมาชิก เร่งปรับปรุงกฎระเบียบสู่มาตรฐานสากล

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 30 ตุลาคม 2567 รัฐบาล ต้อนรับเลขาธิการ OECD ย้ำไทยพร้อมเข้าเป็นสมาชิก เร่งปรับปรุงกฎระเบียบสู่มาตรฐานสากล ด้าน OECD ชื่นชมบทบาทไทยในอาเซียน พร้อมช่วยพลักดันนโยบายภาครัฐ ยกระดับการลงทุน-แข่งขัน-การศึกษา-สาธารณสุข-สิ่งแวดล้อม

วันนี้ (วันพุธที่ 30 ตุลาคม 2567) เวลา 11.00 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายมาทีอัส คอร์มันน์ (Mr. Mathias Cormann) เลขาธิการองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development: OECD) เข้าเยี่ยมคารวะ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในโอกาสเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของกระทรวงการต่างประเทศ โดยสรุปสาระสำคัญ ดังนี้

นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับเลขาธิการ OECD พร้อมขอบคุณสำหรับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ในกระบวนการสมัครเข้าเป็นสมาชิก OECD ของไทย โดยยืนยันว่าไทยมีความมุ่งมั่นอย่างยิ่งที่จะเข้าเป็นสมาชิก OECD รวมทั้งย้ำความพร้อมของไทยในการเข้าเป็นสมาชิก OECD เพื่อเป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์และหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดของ OECD อีกทั้งจะช่วยส่งเสริมความเชื่อมโยงในระดับภูมิภาคผ่านเวทีระหว่างประเทศ เช่น APEC และ ASEAN ซึ่งจะช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันและคุณภาพชีวิตของประชาชน ขณะเดียวกัน ไทยจะกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าดึงดูดสำหรับภาคธุรกิจและการลงทุนจากประเทศสมาชิก OECD และนานาชาติมากขึ้น

ด้านเลขาธิการ OECD ยินดีอย่างยิ่งที่ไทยได้เข้าสู่กระบวนการเข้าเป็นสมาชิก OECD และชื่นชมประเทศไทยที่มีบทบาทสำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งทั้งสองฝ่ายมีความร่วมมือกันมายาวนานนับตั้งแต่ปี 2548 พร้อมยินดีที่จะทำงานร่วมกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยเพื่อสนับสนุนกระบวนการเข้าเป็นสมาชิก OECD ให้เป็นไปได้อย่างราบรื่น รวมทั้งเชื่อมั่นว่าการเข้าเป็นสมาชิก OECD จะสร้างประโยชน์อย่างมากให้แก่คนไทย ช่วยผลักดันการปฏิรูปประเทศ เสริมสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ และยกระดับมาตรฐานการครองชีพของประชาชน

โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายย้ำถึงความสำคัญของการสร้างความร่วมมือที่แน่นแฟ้น เพื่อให้กระบวนการเข้าเป็นสมาชิก OECD นำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทยและสอดรับกับเป้าหมายระหว่างประเทศ โดยนายกรัฐมนตรียืนยันถึงความมุ่งมั่นของไทยที่จะร่วมมือกับทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคเอกชน เพื่อให้การดำเนินงานสอดคล้องกับมาตรฐานสากลและเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมกล่าวเชิญและหวังว่า OECD จะพิจารณาเข้ามาจัดตั้งสำนักงานภูมิภาค (Regional Headquarter) ในประเทศไทย เพื่อส่งเสริมการพัฒนาและความร่วมมืออย่างใกล้ชิด ขณะที่เลขาธิการ OECD ยินดีที่จะให้คำแนะนำและสนับสนุนกระบวนการปรับปรุงนโยบายภาครัฐของไทย โดยเฉพาะในด้านการลงทุน การแข่งขัน การศึกษา สาธารณสุข และสิ่งแวดล้อม ให้สอดคล้องตามกรอบ OECD

อนึ่ง ประเทศไทยได้เข้าสู่กระบวนการหารือ (accession discussions) เพื่อเข้าเป็นสมาชิก OECD แล้วเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา โดยกระบวนการเข้าเป็นสมาชิก OECD มีทั้งหมด 3 ระยะ ซึ่งปัจจุบันไทยอยู่ในระยะที่ 2 โดยไทยและ OECD อยู่ระหว่างการหารือเพื่อร่วมกันจัดทำแผนการดำเนินการเพื่อปรับนโยบายและกฎระเบียบ (Initial Memorandum) ให้บรรลุเป้าหมายตามแผนการเข้าเป็นสมาชิก (Accession Roadmap) ต่อไป

Advertisement

นายกฯ ร่วมงาน “Amazing Thailand Diwali Festival Bangkok 2024” กระตุ้นท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม กระชับสัมพันธ์ไทย-อินเดีย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 29 ตุลาคม 2567 นายกฯ “แพทองธาร” สวมชุดส่าหรีสีชมพู-เขียว ร่วมงาน “Amazing Thailand Diwali Festival Bangkok 2024” กระตุ้นการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม กระชับความสัมพันธ์ไทย-อินเดีย สร้าง “เสน่ห์” สร้างมูลค่า สร้างรายได้

วันนี้ (29 ต.ค. 67)  นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เวลา 18.00 น. ณ เวทีกลาง บริเวณริมคลองโอ่งอ่าง กรุงเทพฯ  นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี  เป็นประธานในพิธีเปิดงาน  “Amazing Thailand Diwali Festival Bangkok 2024”  โดยมี   นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี  นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง   นางสาวธีรรัตน์  สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย  นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร   นายนาเคศ สิงห์ (H.E. Mr. Nagesh Singh) เอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย  พร้อมด้วยนายกสมาคมไทยอินเดีย ประธานหอการค้าอินเดีย-ไทย พี่น้องชาวไทยเชื้อสายอินเดียเข้าร่วมงาน

นางสาวนัทรียา ทวีวงศ์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา  กล่าวรายงานถึงวัตถุประสงค์การจัดงาน เพื่อสร้างโอกาสในการกระชับความสัมพันธ์อันดีงาม ทางการทูตและการค้าระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐอินเดีย ผ่านการจัดงานเทศกาลเชิงวัฒนธรรม เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการท้องถิ่น ทั้งด้านเศรษฐกิจ วิถีชีวิต การท่องเที่ยวและวัฒนธรรมที่หลากหลายของผู้คนในพื้นที่ในปี 2568 จะเป็นปี Amazing Thailand Grand Tourism & Sport Year  เพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพ กระตุ้นเศรษฐกิจ พัฒนาประเทศชาติให้มั่นคงและยั่งยืนต่อไป

นายกรัฐมนตรีชมการแสดงเชิงวัฒนธรรมชุดพิเศษจากแดนภารตะ พร้อมกล่าวแสดงความยินดีที่ได้มาร่วมงานเทศกาล Amazing Thailand Diwali Festival Bangkok 2024 ซึ่งเป็นปีที่ 3 ที่ได้มาร่วมงาน สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและไมตรีจิตจากทุกคน  รู้สึกว่าสิ่งดี ๆ กำลังจะเกิดขึ้นกับทุกคน เพราะความสว่างไสวจากเทศกาลนี้ ได้ทำให้ความมืดมิดหมดไป

นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า  เทศกาลดีวาลีเป็นช่วงเวลาให้คนไทยเชื้อสายอินเดียได้ร่วมเฉลิมฉลองกับครอบครัว ญาติพี่น้อง อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าอย่างมีความสุข  เทศกาลดิวาลีที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ยืนยันถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศไทยกับประเทศอินเดียที่มีร่วมกันมายาวนานถึง 77 ปี รวมถึงตอกย้ำภาพว่า ประเทศไทยคือประเทศแห่งความหลากหลาย แม้ต่างวัฒนธรรมก็อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข

“หวังให้เทศกาลดิวาลีเกิดขึ้นในประเทศไทยต่อไปทุก ๆ ปี พร้อมทั้งพัฒนาให้ใหญ่ขึ้น แข็งแรงขึ้น และน่าสนใจมากขึ้น ทำให้คุณค่าและความเชื่อ ที่เรามีกลายเป็น Soft Power ที่มีอยู่กลายเป็น “มูลค่า” เพื่อยกระดับชีวิตและรายได้ สร้าง  “เสน่ห์” ใจกลางเมือง ทำให้ทุกคนหลงรักชุมชนอินเดียในประเทศไทยมากขึ้น อย่างที่นายกฯ ก็หลงเสน่ห์ด้วยเช่นกัน  ขออวยพรให้ทุกคนมีความสุขมีความสว่างไสวถ้าใครเศร้าหมองยังไงก็ขอให้คนข้างๆ เป็นแสงสว่างในชีวิต  Happy Diwali soon” นายกรัฐมนตรี กล่าว

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้สวมชุดส่าหรีสีชมพู-เขียวสไตล์อินเดียร่วมงาน “Amazing Thailand Diwali Festival Bangkok 2024”  โดยนายกฯ ได้สักการะเทพแห่งฮินดู อาทิ พระพิฆเนศ พระลักษมณ์ พระราม และพระแม่สีดา โดยการคล้องพวงมาลัย และถวายอัคคีบูชาไฟ  เพื่อความเป็นสิริมงคล พร้อมจุดเทียนชัยร่วมกับคณะผู้บริหาร

รัฐบาลเชิญชวนพี่น้องชาวไทยและชาวต่างชาติร่วมงาน “Amazing Thailand Diwali Festival Bangkok 2024” ระหว่างวันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม ถึง วันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน 2567 ณ บริเวณคลองโอ่งอ่าง “ย่านลิตเติ้ลอินเดีย” ร่วมงานเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคนเชื้อสายอินเดีย ร่วมสักการะบูชา ขอพรจากองค์พระพิฆเนศและองค์พระแม่ลักษมี ชมการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นเมืองจากแดนภารตะ สัมผัสประสบการณ์ แสงสีเสียงสไตล์บอลลีวูด ชิม ช็อป อาหารคาวหวาน และสินค้าอินเดียนานาชนิด รวมถึงยังมีกิจกรรมอื่น ๆ อีกมากมายตลอดช่วงเวลาจัดงานเทศกาล

Advertisement

รมว.ต่างประเทศ เผย “เลขาฯ UN-ปูติน” ชื่นชมบทบาทไทย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 25 ตุลาคม 2567 รัสเซีย – “มาริษ” รมว.ต่างประเทศ เผย “เลขา UN-ปูติน” ชื่นชมบทบาทไทย ในเวที BRICS Plus Summit ย้ำนโยบายต่างประเทศ ยุค “นายกฯอิ๊งค์” กระชับสัมพันธ์รอบด้าน-สมดุล เป็นมิตรทุกประเทศ เผยยังต้องรอทางการ BRICS รับไทยเป็นพันธมิตร ลั่นเป้าหมายไทย เดินหน้าจับมือประเทศกำลังพัฒนา นำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน

นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยหลังการประชุมระดับผู้นำระหว่างกลุ่มประเทศ BRICS กับกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนา หรือ BRICS Plus Summit ครั้งที่ 4 ณ เมืองคาซาน ประเทศรัสเซีย ว่า เป็นการมาเข้าร่วมในฐานะตัวแทนของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งได้ฝากนโยบายที่สำคัญ คือ การส่งเสริมความร่วมมือของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาร่วมกัน โดยเน้นบทบาทบนเวทีโลกที่สร้างสรรค์ และผลักดันขับเคลื่อนให้ประเทศกำลังพัฒนา มีส่วนผลักดันในการกำหนดทิศทางของประชาคมโลก

สำหรับการประชุม จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “BRICS and the Global South : Building a Better World Together” ซึ่งเป็นธีม และเป้าหมายที่สอดคล้องกัน โดยความสำคัญของกลุ่มประเทศ BRICS ที่ประเทศไทยเห็น คือ เราต้องการมีส่วนร่วม ในการสร้างประชาคมโลกที่ดี และยุติธรรม รวมถึงตอบสนองต่อผลประโยชน์ของประเทศกำลังพัฒนา ดังนั้นการที่เราพยายามเข้าเป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS จึงมีความสำคัญ และ ครั้งนี้สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนจากทุกประเทศที่ได้รับเชิญเข้าร่วมประชุม ต่างเน้นย้ำถึงแนวทางในการกระชับความร่วมมือของประเทศกำลังพัฒนา เพื่อนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน

นายมาริษ กล่าวว่า นอกเหนือจากหลายประเทศที่ได้รับเชิญแล้ว ครั้งนี้ประเทศรัสเซีย ในฐานะเจ้าภาพ ยังได้เชิญ นายอันโตนิโอ กูเตียร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) มาร่วมด้วย

“และที่ประชุมเห็นพ้องความร่วมมือประเทศกำลังพัฒนา ที่จะกำหนดทิศทางของโลก ไม่ใช่มาต่อต้านใคร แต่กำหนดทิศทางของโลกใหม่ ให้ประเทศกำลังพัฒนา ได้มีส่วนร่วมวางแนวทางพัฒนาของโลก”

ซึ่งหลังจากที่ตนได้กล่าวถ้อยแถลงไป ทางเลขาธิการสหประชาชาติ ก็ได้เข้ามาแสดงความยินดีและพูดให้ฟังว่า เห็นความตั้งใจของไทยในการร่วมมือกับประชาคมโลก นำมาซึ่งการพัฒนาการพัฒนาอย่างยั่งยืนให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น

ขณะที่ นายวลาดีมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ได้ตอบหลังรับฟังถ้อยแถลงของไทย โดย “เชื่อมั่นว่าไทยจะมีส่วนสำคัญในการร่วมมือกับประเทศกลุ่ม BRICS และสร้างความยุติธรรมให้ประเทศกลุ่มกำลังพัฒนา ก้าวไปสู่การเปลี่ยนแปลง และมีแนวทางที่ชัดเจนต่อไป

“ผมขอเน้นย้ำถึงนโยบายต่างประเทศสำคัญของไทย ภายใต้การนำของนายกฯแพทองธาร ต้องการมีความสัมพันธ์ที่รอบด้าน สร้างความสมดุลให้เกิดขึ้นกับประชาคมโลก โดยเป็นมิตรต่อทุกประเทศในโลกนี้ ไม่มีการแบ่งข้าง ทั้งหมดเพื่อผลประโยชน์ของประเทศไทย และประชาชนคนไทย มีศักดิ์ศรี มีเกียติภูมิ และสามารถมีส่วนร่วมในการชี้นำทิศทางที่ควรจะเป็นของโลกในอนาคต” นายมาริษ​กล่าว

ส่วนเมื่อถามถึงข่าวที่ออกมาว่า ที่ประชุมผู้นำ BRICS มีมติรับไทย พร้อม 12 ประเทศ เป็นพันธมิตรใหม่นั้น นายมาริษ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีการแจ้งอย่างเป็นทางการ เช่นเดียวกับอีก 12 ประเทศ ก็ไม่มีใครได้รับการยืนยัน แต่ทราบเพียงสำนักข่าวเท่านั้น ซึ่งเข้าใจว่ายังมีขั้นตอน จึงขอให้รอความชัดเจนอีกครั้ง

Advertisement

Verified by ExactMetrics